ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [sf exo] ❥ hello love stories ( chanbaek )

    ลำดับตอนที่ #43 : [SF] SU-KA-I : CHANBAEK : special

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.24K
      96
      5 เม.ย. 57


    SU-KA-I special

     
    AUTHER : KYUTY
    COUPLE : CHANYEOL x BAEKHYUN
    RATE : PG-15
    NOTE :
    รู้สึกเหมือนโดนสาบแช่งตลอดเวลา 555555555555 ความจริงคือจบไม่ค้างนะเว้ย จบดีแล้วนะเว้ยยย ให้คิดต่อเอาเองไง แต่คือแบบ ว๊อนกันมากใช่มั้ยยย ก็ด๊ายยยยยยย แต่งให้ก็ด๊ายยยยยยย แล้วพออ่านจบคือจบนะยะ ไม่มีต่อแล้วนะ สิ้นสุดแล้ว เข้าใจตรงกันนะ!














     
     
     

    1 เดือนผ่านไป

     

    คนตัวเล็กนั่งเคี้ยวขนมเต็มปากในขณะที่มือก็นั่งขีดเส้นไฮไลท์หน้าหนังสือของตัวเองไม่หยุด ตอนนี้ก็เลยเที่ยงมาชั่วโมงกว่าแต่อากาศก็ยังถือว่าดี เพราะนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ แถมยังมีลมพัดมาเรื่อยๆจนไม่รู้สึกร้อน

     

    หัวเล็กโยกเบาๆเมื่อจังหวะเพลงในหูฟังเป็นเพลงโปรด เปิดเบาๆแล้วอ่านหนังสือไปด้วยก็เพลินไปอีกแบบ

     

    “มีความสุขจังนะ” หูฟังข้างหนึ่งถูกฉวยไปอยู่ในมือผู้มาใหม่ แบคฮยอนหยุดขีดเส้น และหยุดอีกมือที่กำลังหยิบขนมเข้าปาก หันมองใครบางคนที่นั่งลงข้างๆเขาโดยไม่ได้ขออนุญาต

     

    “ก็ไม่ได้ขนาดนั้น” ตอบแค่นั้นเลยหันมาสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ แต่กลับโดนแย่งขนมจากมือไป อีกทั้งห่อขนมก็โดนแย่งไปเช่นกัน

     

    “งั้นขอแบ่งความสุขหน่อยนะ” ว่าแล้วก็หยิบขนมใส่ปากไม่สนใจคนที่ทำหน้าบึ้งใส่เพราะโดนแย่งของกินไป อีกทั้งไม่สนใจแล้วยังหยิบหนังสือออกจากกระเป๋า เปิดหน้าที่อ่านค้างไว้ ขโมยปากกาไฮไลท์สีเหลืองมาขีดใส่หนังสือตัวเองแทน แบคฮยอนที่ไม่มีอะไรในมือเลยได้แต่เบะปากแล้วหยิบปากกาสีเขียวอีกแท่งขึ้นมาขีดเส้นแทน

     

    “นี่ ไม่พูดอะไรหน่อยหรอ” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาที่ต้องการก็ใช้ไหล่ตัวเองสะกิดไหล่อีกฝ่าย แขนด้านขวาโดนสะกิดจนขีดเส้นไม่ตรง เลยต้องยอมหันมองคนชอบรบกวนที่ทำหน้ามีความสุขเสียเต็มประดา

     

    “ขี้ขโมย”

     

    “เฮ้ยว่าใครวะ มึงว่ากูหรอ” คนโดนกล่าวหาทำเหมือนของขึ้น วางปากกาและขนมแล้วเปลี่ยนมาจับแก้มแดงๆของอีกคนแทน

     

    “โอ้ยชานยอล กูเจ็บ” ปากบอกว่าเจ็บแต่กลับยิ้มแก้มปริ ส่วนคนกระทำก็ยิ้มแป้นไม่ต่างกัน เลิกหยิกแก้มแล้วหยิบหูฟังมาใส่หูตัวเองแทน จับซองขนมมาวางไว้กลางโต๊ะเพื่อให้กินได้ทั้งสองคน

     

    “กูรักมึงว่ะ”

     

    “เออ กูรู้แล้ว”

     

    “ขอบใจที่ให้โอกาสกูอีกครั้งนะ” แบคฮยอนพยักหน้ารับ เมื่อเดือนก่อนที่ชานยอลมาขอโอกาส ถึงแม้เขาจะกลัวคนรอบข้างด่าทอ แต่ก็จะยอมลองดูอีกสักครั้ง มันคงไม่แย่ไปกว่าเดิมเท่าไร และเขาก็มีแค่ชานยอลคนเดียวจริงๆ ถ้าชานยอลบอกว่าจะพิสูจน์ แบคฮยอนก็จะอดทนรอ

     

    วันแรกๆคือโดนเยอะพอสมควร คนทั้งโรงเรียนไม่พูดกันเรื่องอื่นเลยนอกจากการที่ชานยอลเดินเข้าโรงเรียนมาพร้อมกับแบคฮยอน แถมยังจับมือกันแน่น ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่ถ้าเป็นตอนนี้คงจะเรียกว่ากลัว กลัวคนด่าชานยอล กลัวคนเกลียดชานยอลตามเขา แต่ก็ไม่ใช่ตามที่คิด เพราะทุกคนยังรักชานยอลเหมือนเดิม แต่เกลียดแบคฮยอนเพิ่มขึ้นน่ะสิ

     

    เกลียดแบบลับๆเพราะยังคงเกรงกลัวชานยอลกันอยู่บ้าง ถ้าเขาอยู่คนเดียวก็โดนว่าสารพัด แต่ถ้ามีชานยอลอยู่ข้างๆในตอนนั้นก็จะไม่มีใครมาทำอะไรเขาเลย หลายคนยังคงคิดว่าบยอนแบคฮยอนคนเดิมจะกลับมาในอีกไม่ช้า คนที่หยิ่งยโส คนที่ไม่ไว้หน้าใคร จะเอาแต่ตัวเองเพียงคนเดียว แต่เขารู้ตัวแล้ว เขารู้แล้วว่าการกระทำแบบนั้นมันผิดและแย่มากแค่ไหน เขาจะไม่ให้ความอยากเอาชนะมาครอบงำตัวเองอีกครั้งและชานยอลเป็นคนพูดเองว่าจะให้ความมั่นใจแก่เขา แบคฮยอนคนนี้ก็จะเชื่อโดยไม่มีข้อแม้

     

    ผ่านมาสองอาทิตย์ได้ก็มีคนใจกล้าเดินเข้ามาขอถ่ายรูปกับชานยอลในขณะที่กำลังนั่งกินข้าวกับสองคนในโรงอาหารของโรงเรียน

     

    ไม่อยากถ่ายรูปด้วยจริงๆก็คงจะลองทดสอบแบคฮยอนว่าการทำตัวเงียบไม่หวือหวานั้น สร้างภาพหรือนิสัยจริง

     

    ชานยอลยิ้มรับให้กับเด็กผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะหันมายิ้มให้แบคฮยอน ซึ่งเขาก็ยิ้มกลับ ถ้าชานยอลเชื่อใจเขา เขาก็จะเชื่อใจชานยอล ไม่มีใครจะเอาชานยอลออกไปจากชีวิตเขาได้นอกจากเจ้าตัวเอง ชานยอลบอกกับเขาแบบนั้น

     

    เด็กคนนั้นดูจะตกใจไม่น้อยที่แบคฮยอนไม่มีท่าทีอะไรเลยนอกจากการก้มหน้ากินข้าวดังเดิม เสียงซุบซิบในโรงอาหารดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อเจอเหตุการณ์ที่แสนนิ่งสงบแบบนี้

     

    หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้น บ่อยครั้งที่มีเด็กผู้หญิงมาขอถ่ายรูปหรือให้ของขวัญกับชานยอล แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แบคฮยอนหงุดหงิดใจเลยเพราะชานยอลบอกว่าไม่ได้คิดอะไรด้วย แค่รุ่นน้องคนนึง เลยตอบกลับไปว่า ถ้าคิดจะมีก็ลองดู แต่นั่นก็สามารถเรียกรอยยิ้มของทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี

     

    จนมาถึงตอนนี้ คนเกลียดบยอนแบคฮยอนก็ยังมีอยู่ แต่คนที่ชอบหรือไม่ได้รู้สึกอะไรก็มีเกินครึ่ง แค่นี้ก็ถือว่าดีมากๆสำหรับคนอย่างเขาแล้ว ถ้าไม่มีชานยอลไม่รู้ชีวิตของแบคฮยอนในตอนนี้จะเป็นอย่างไร

     

    แต่มีอีกเรื่องที่น่าสงสัย เรื่องที่หัวหน้าห้องของเขาเดินเข้ามาบอกเกี่ยวกับการทัณฑ์บนเรื่องการโกงข้อสอบถูกยกเลิกไปแล้ว เพราะมีหลักฐานว่ากระดาษแผ่นนั้นไม่ใช่ของเขา และมีผู้รับรองว่าไม่ได้ทำจริง อยากจะถามต่อว่าหลักฐานมาจากไหนและใครเป็นผู้รับรอง หัวหน้าห้องก็เดินกุมรอยช้ำที่มุมปากออกไปเสียก่อน พอไปถามชานยอลกลับตอบว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยแต่แอบยิ้มนี่ไม่ค่อยมีพิรุธเลย แต่เอาเถอะ ก็ต้องขอบคุณชานยอลอีกครั้งที่ยอมเอามือไปกระแทกปากคนนั้นเพื่อให้บอกความจริงกับอาจารย์

     

    “ทำไมไม่กลับไปอ่านที่บ้านวะ” อ่านหนังสือไปได้สักพักชานยอลก็เอ่ยถาม เพราะช่วงใกล้สอบ โรงเรียนจะทำการเรียนการสอนแค่ครึ่งวัน แล้วจะปล่อยให้นักเรียนอ่านหนังสือตามอัธยาศัย ส่วนใหญ่กลับบ้าน มีส่วนน้อยที่ยังคงอยู่ในโรงเรียน

     

    “ที่นี่เย็นกว่า แล้วก็นอนไม่ได้ด้วย”

     

    “ใครว่านอนไม่ได้” ชานยอลเอามือขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเอาหัวฟุบลงไป เอียงหน้ามองแฟนตัวเองที่ส่ายหัวไปมา

     

    “ทำไมไม่นอนลงไปกับพื้นเลยล่ะ”

     

    “จับไปครับ”

     

    “ล้อเล่น อย่าทำจริงได้ป่ะ” จับคนตัวโตที่มีสมองเด็กให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ

     

    “แกล้งมึงแล้วสนุกดี กลับเหอะ กูง่วงจริงๆ” ชานยอลไม่รอคำอนุญาตก็รวบของยัดใส่กระเป๋าทั้งของตัวเองและของแบคฮยอน โยนถุงขนมใส่ถังขยะแล้วจับมือคนตัวเล็กให้เดินตาม

     

    ภาพของชานยอลจับมือแบคฮยอนกลายเป็นภาพที่ชินตาสำหรับโรงเรียนแห่งนี้ไปแล้ว

     

     

     

     

     

    su-ka-i

     

     

     

     

     

    “ชานยอลตื่น”

     

    “งืม...”

     

    “ตื่น จะหกโมงเย็นแล้ว” เขย่าคนขี้เซา ที่กลับถึงบ้านเขาก็ซุกตัวเข้าโซฟาโดยทันที เลยยอมให้นอนไปก่อนแล้วเขาก็ลากโต๊ะเล็กๆมานั่งอ่านหนังสือข้างๆกัน อีกไม่มีวันก็สอบปลายภาค และอีกไม่กี่เดือนก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาจะกลับมามุ่งมั่นอีกครั้งเพื่อทำตามความฝัน แต่อีกคนนี่สิ นอนอืดจนตัวจะกลืนไปกับโซฟาอยู่แล้ว

     

    “ถ้ามึงไม่ตื่นก็เชิญกลับไปนอนบ้านมึงเลยไป”

     

    “อ่อตื่นเลยๆ ไม่ง่วงเลย” คนนอนหลับเด้งตัวขึ้นมาพร้อมทำหน้าตาสดชื่นเกินจำเป็น

     

    “กูหิว”

     

    คนถูกปลุกพยักหน้ารับแล้วจับมือเล็กที่ยื่นมาเพื่อให้จับ ออกแรงดึงอีกคนให้ยืนขึ้นแล้วไปหยิบกระเป๋าเงินกับกุญแจบ้านมาถือไว้

     

    “เอาของกูมาด้วยดิ” ทั้งที่วางอยู่ข้างกันแต่ชานยอลไม่หยิบกระเป๋ามาให้ด้วย

     

    “วันนี้กูเลี้ยงเอง” ยักคิ้วที่คิดว่าเท่ที่สุดจนคนมองหลุดหัวเราะ ยอมให้คนตัวใหญ่กว่าลากออกไปจากบ้าน บ้านของเขาเป็นบ้านป้าที่ทิ้งไว้ให้ก่อนที่จะบินไปอยู่อเมริกาถาวร ความจริงก็ไม่ได้อยากจะเอาให้ คงเพราะเขาไม่มีที่อยู่ ป้าเลยยอมยกบ้านหลังนี้ให้ฟรีๆแทนที่จะขาย เดินไปถึงสิบนาทีก็ถึงปากซอยที่มีร้านค้าขายเต็มไปหมด ที่นี่จึงเป็นที่ฝากท้องของเขาประจำ อ่า...รวมถึงชานยอลด้วยที่ต้องมากินข้าวเย็นที่นี่แทบทุกวัน

     

    “เอาเหมือนเดิมครับ” ชานยอลสั่งกับป้าขายรามยอนที่มากินบ่อยจนจำกันได้ แล้วหาโต๊ะนั่งที่อยู่ริมหน้าต่าง

     

    “วันนี้กูนอนบ้านมึงนะ”

     

    “ช่วยกูจ่ายค่าน้ำค่าไฟด้วย”

     

    “นี่ไง กูเลี้ยงข้าวมึงนี่ไง” กำลังจะทำท่าดีดหน้าผากเนื่องจากที่เลี้ยงข้าวเพราะต้องการจะมานอนที่บ้าน คุณป้าก็มาเสริฟอาหารเสียก่อน

     

    “อ้าว อันนั้นของกู” แบคฮยอนเอ่ยแย้งที่ชานยอลเอาชามรามยอนของตัวเองไปแล้วส่งอีกชามมาให้

     

    “สลับกัน”

     

    “ไม่เอา”

     

    “มึงจะได้รู้ว่ากูกินแบบไหน แล้วกูก็จะได้รู้ว่ามึงกินแบบไหน เราจะได้รู้ของกันและกัน” เจอประโยคนี้เข้าไป ปากที่โวยวายอยู่เป็นอันต้องหุบ แบคฮยอนรู้สึกเขินแปลกๆที่โดนพูดใส่ จับทั้งตะเกียบทั้งช้อนตักน้ำซุปใส่ปากโดยไม่มองอีกคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับอาการเขินของเขา

     

    “เลี่ยนว่ะ”

     

    “เลี่ยนอะไร ของกูเผ็ดนะ”

     

    “หมายถึงมึงอะ เลี่ยน!

     

     

     

     

     

    su-ka-i

     

     

     

     

     

    ช่วงเวลาแห่งการสอบปลายภาคผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นักเรียนหลายคนต่างพากันดีใจที่ได้ปิดเทอม แตกต่างกับเด็กม.6ที่ยังต้องเครียดกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ พอสอบเสร็จก็ต้องมานั่งอ่านหนังสือต่อไม่ได้หยุด หมดเวลาเที่ยวสนุก มีแต่การอ่านหนังสือ กิน นอน ตื่นมาอ่านหนังสือ แล้วก็กิน แล้วก็นอน

     

    “โอ้ยยยย อ่านจนจะอ้วกแล้วเว้ยยยยยยยยย” หนังสือวิชาคณิตศาสตร์ลอยระริ้วออกไปจากบริเวณที่มีสิ่งชีวิตจำนวน 6 ชีวิต โดยที่เจ้าของไม่มีท่าทีใส่ใจสักนิด

     

    “ไอ้ห่า โยนไปนั่นระวังความรู้ที่มึงอ่านมาจะหายหมด”

     

    “ขอโทษครับมึง ความรู้กูไม่มีอยู่แล้ว”

     

    “ถึงว่าหัวมึงเบา มีแต่ขี้เลื่อย”

     

    “เฮ้ยเงียบๆดิ๊ กูกับแฟนจะอ่านหนังสือ”

     

    “นี่ก็เอาแต่แฟนตัวเอง ห่วงเพื่อนมั้ยวะ”

     

    “ถ้ากูไม่ห่วง กูไม่เอาพวกมึงมาอ่านที่บ้านกูแน่ ไปเก็บหนังสือแล้วนั่งอ่านเงียบๆ เดี๋ยวนี้”

     

    “เออๆ กูเห็นแก่แบคฮยอนหรอกเว้ย”

     

    ชานยอลบ่นเบาๆกับเพื่อนที่นั่งไม่ถึงสิบนาทีก็เป็นอันต้องร้องเสียงดังเพื่อระบายอารมณ์ความอึดอัดกับการอ่านหนังสือแล้วหันมามองแบคฮยอนเพราะกลัวว่าคงจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องในที่ที่มีเสียงดัง

     

    “มึงอ่านรู้เรื่องป่ะวะ” พอถามจบก็อยากจะกลืนคำถามนั่นไปซะ เพราะว่า...

     

    “ห๊ะ มึงว่าอะไรนะ” ดึงหูฟังออกจากหูเมื่อเห็นคนข้างๆขยับปากเหมือนพูดกับตัวเอง

     

    “ใส่หูฟังตั้งแต่เมื่อไร”

     

    “เมื่อตอนที่เพื่อนมึงแหกปากเป็นครั้งที่สอง” มันแหกปากเป็นรอบที่สิบกว่าล่ะ นี่ก็ไม่บอกเลยว่าปิดการรับรู้ทางเสียงไปแล้ว แล้วนี่เขาจะด่ามันเพื่อใครวะเนี่ย

     

    “แม่งไม่บอกกู”

     

    “กูได้ยินที่มึงพูดกับเพื่อนอยู่ ขอบใจนะ” เอียงหัวซบไหล่กว้างแล้วส่งยิ้มตาหยีใส่

     

    “เอาหัวออกไป กูหนัก”

     

    “ทำไม มึงแพ้รอยยิ้มกูใช่มั้ยล่ะ อะๆ กูหลับตาแล้วนะ” แบคฮยอนหลับตาตามที่พูดโดยที่ยังไม่เอาหัวออกจากไหล่

     

    ชานยอลก้มหน้ามองใบหน้าขาวใสที่อยู่ใกล้นิดเดียว แต่เหมือนจ้องนานไปหน่อย แบคฮยอนที่หลับตาอยู่ก็พลันลืมตาขึ้นมา สองคนจ้องตากับสักพักก็เป็นแบคฮยอนที่ทนไม่ไหวพูดออกมาก่อน

     

    “ยังนิ่งอีก จะเอาไง”

     

    “ก็อยากมองก่อนค่อยทำได้ป่ะวะ”

     

    “ไม่ได้” แบคฮยอนยิ้มก่อนจะยกหัวตัวเองให้ริมฝีปากชนกันแผ่วเบาแล้วผละออก ส่วนชานยอลที่เพิ่งรู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายจุ๊บที่ปากแค่แป๊บเดียวแล้วกลับไปอ่านหนังสือต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ทำได้แค่โยกหัวเล็กนั่นเบาๆ เพิ่งรู้ว่าแบคฮยอนก็ชอบแกล้งเหมือนกัน

     

    “อย่าให้เผลอนะไอ้ตัวแสบ”

     

    “อ่านหนังสือไปเลย มึงกับกูต้องสอบติดที่เดียวกันนะ”

     

    “ได้ กูสัญญา”

     

     

     

     

     

    su-ka-i

     

     

     

     

     

    แบคฮยอนตื่นมาตั้งแต่หกโมงเช้า เรียกว่ายังไม่ได้นอนเลยดีกว่า เพราะวันนี้เป็นวันนี้ประกาศคะแนนของมหาวิทยาลัยที่เขาหวังไว้ บังเอิญที่คณะบริหารที่ชานยอลลงไว้กับคณะสังคมศาสตร์ของเขามันประกาศวันเดียวกันพอดี ต่างคนเลยอยู่ที่บ้านเพื่อเช็คผลคะแนนของตัวเอง

     

    อาบน้ำแต่งตัวแล้วมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้ผลจะออกตอนไหน แต่มือก็ยังกดรีเฟรชอยู่ตลอด

     

    ติ๊ด ติ๊ด

     

    “ฮัลโหล”

     

    “ถ้าตื่นแล้วก็กินข้าวก่อน มหาลัยยังไม่ออกตอนเจ็ดโมงเช้าหรอกนะ”

     

    “รู้ได้ไง”

     

    “ไม่มีใครโอเว่อร์ได้เท่ามึงอีกแล้วแหละ ไปกินข้าวเดี๋ยวนี้”

     

    “เออๆ แล้วมึงกินยัง”

     

    “กำลังกินอยู่”

     

    “งั้นแค่นี้แหละ จะไปหาของกิน” วางโทรศัพท์แล้วเดินเข้าห้องครัว เริ่มหิวแล้วเหมือนกันแฮะ ปาร์คชานยอลน่ากลัวจริงๆ รู้ดีไปซะทุกอย่าง...

     

    พอผ่านมาได้สักพักก็อยากจะทุบคอมพิวเตอร์ทิ้งเพราะผลคะแนนยังไม่ออกสักทีทั้งที่มันบ่ายกว่าแล้ว นี่ก็จะให้ลุ้นไปถึงไหน เกิดหัวใจวายตายขึ้นมาจะรับผิดชอบมั้ย ฮึ่ยย

     

    ติ๊ด ติ๊ด

     

    “คะแนนออกแล้วหรอ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทักทายตามมารยาทการโทรศัพท์ก็เป็นฝ่ายถามก่อน ในเวลานี้ถ้าชานยอลโทรมาก็น่าจะเป็นเรื่องนี้

     

    “อือ”

     

    “ติดมั้ย”

     

    “...”

     

    “ชานยอล...”

     

    “แบคฮยอน”

    “พูดมาเลย ไม่เป็นไรหรอก”

     

    “แบคฮยอน”

     

    “ไม่เป็นไรชานยอล”

     

    “คือกู...”

     

    “...”

     

    “กู...สอบติดว่ะ”

     

    “สอบติด! จริงหรอ! ชานยอล! ชานยอล!

     

    “จริงดิวะ อยากกอดมึงว่ะ ดีใจที่สุดในโลกเลย”

     

    “ดีใจด้วยนะเว้ย ดีใจด้วยว่ะ”

     

    “กูบอกแล้วว่ากูจะไม่ทิ้งมึง เราจะได้ไปเรียนพร้อมกัน”

     

    “...”

     

    “ฮัลโหล แบคฮยอน”

     

    “แค่นี้ก่อนนะ กู...กูจะไปเข้าห้องน้ำ”

     

    ไม่ได้อยากจะตัดสายในขณะที่อีกฝ่ายกำลังดีใจที่สอบติด เพียงแต่เขากำลังกลัว...กลัวเขาจะทำตามสัญญาไม่ได้ กลัวเราสองคนไม่ได้เรียนที่เดียวกัน...

     

    แบคฮยอนเริ่มเครียดมากขึ้น มือก็ยังขยับไม่หยุด มองนาฬิกาชี้เลขสาม บ่ายสามแล้วคะแนนยังไม่ออกอีกหรือไง หรือต้องให้ไปดูผลที่มหาลัยห๊ะ!!

     

    “ออกแล้ว!” กดไปสักพักตัวหนังสือสีแดงก็ปรากฏ ไม่รอให้เว็บล่ม แบคฮยอนรีบกดเข้าไปในทันที

     

    ไล่สายตาอย่างละเอียด ไม่ผ่านสักบรรทัด ต้องดูให้แน่ใจว่าเขาจะไม่เผลอข้ามชื่อตัวเองไปเด็ดขาด แต่คงเพราะตื่นเต้นเกินไปทำให้ปวดตาทั้งที่ไม่ได้เพ่งนานเลย หาดู 1 รอบแต่ไม่พบชื่อตัวเองทำเอาจิตใจห่อเหี่ยวแทบหมดแรง

     

    “ใจเย็นๆแบคฮยอน ใจเย็นๆ” บอกตัวเองก่อนจะหาอีกรอบ ตั้งใจหาใหม่ ยังไงเขาก็ต้องสอบติด ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อชานยอล...

     

    “ไม่มี...”

     

    มือตกลงข้างกาย ในหัวสมองแทบจะว่างเปล่า ไม่ได้นะ ต้องติดสิ ต้องติดมหาวิทยาลัยนี้นะ มันเป็นความหวัดสูงสุดในชีวิตเขาแล้วนะ ต้องติด ขอร้อง เขาต้องมีที่เรียน...

     

     

     

     

     

    su-ka-i

     

     

     

     

     

     “ชานยอล มาตั้งแต่เมื่อไร” แบคฮยอนร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเปิดประตูบ้านออกมาก็เจอคนที่อยากไปหามายืนรออยู่หน้าบ้านแล้ว

     

    “พอมึงตัดสายกู กูก็รีบออกมาหามึงเลย แต่กูไม่กล้าเข้าไป กูรอมึงออกมา”

     

    “ฮึก...ชานยอล” ตอนแรกคิดว่าจะไม่ร้องไห้แล้วนะ แต่พอเจอหน้าชานยอลแล้วน้ำตามันไหลออกมาดื้อๆเลย

     

    “ร้องไห้ทำไม แบคฮยอน”

     

    “คะ...คะแนน...ออกแล้ว...”

     

    “เป็นยังไงบ้าง”

     

    “ฮึก...ฮืออออออ” คนตัวเล็กกว่าไม่ตอบ แต่โผตัวเข้ากอดอย่างจัง หัวเล็กซุกอยู่ตรงอก แขนกอดเอวหนาแน่นไม่ปล่อย

     

    “มึงอย่าร้องดิ กูจะร้องตามแล้วนะ” แบคฮยอนไม่ยอมตอบคำถามเขาแล้วเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ หมายความว่า...

     

    “ฮึก..ชาน...ยอล...กู...กู...” ด้วยความที่ร้องไห้หนักจนเสียงอู้อี้ดังไม่ค่อยรู้เรื่อง พอจะเรียบเรียงคำพูดก็ไม่ได้ดั่งใจ

     

    “ค่อยๆพูดนะ” ดึงแบคฮยอนออกมาแล้วย่อตัวลงเล็กน้อยให้อยู่ในระดับเดียวกัน มือหนาค่อยๆเช็ดน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุดออกไปจากใบหน้าเนียน อีกมือก็ลูบหัวคอยปลอบไม่ให้ร้องไห้ไปมากกว่านี้

     

    “มึงตั้งใจฟังนะ...ฮึก...กู...กู.......สอบติดแล้ววววววว!!!!” จากใบเสียงสะอึกสะอื้นเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ

     

    “มึงแกล้งกูอะ” จับคนที่ยิ้มทั้งน้ำตามากอดแน่นๆให้หายแค้นที่โดนแกล้งแบบฟูลออฟชั่น ตอนแรกใจเขาไม่ดีเลยที่เห็นคนตัวเล็กวิ่งร้องไห้ออกมาแถมยังไม่พูดไม่จาเอาแต่ฟูมฟายอย่างเดียว แต่แกล้งแบบนี้เขาก็โอเคนะ เพราะอย่างน้อยเราสองคนที่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้สำเร็จ

     

    “ตอนแรกกูหาชื่อไม่เจอ แต่พอกูตั้งสติอ่านรอบที่สาม มันอยู่ชื่อสุดท้ายของหน้าแรก มึงคิดดูดิ กูโคตรเซ่ออะ” พูดไปทั้งน้ำตาโดยมีที่คนรับฟังเช็ดน้ำตาไปด้วย

     

    “แม่งเซ่อจริง”

     

    “เซ่อแล้วรักป่ะ”

     

    “รักดิ ไม่งั้นจะยืนหล่ออยู่ตรงนี้หรอครับแฟน”

     

    “เออ แม่งหล่อจริง หล่อจนกูอยากบอกว่า กูรักมึงนะ” กระโดดกอดอีกรอบ คราวนี้ชานยอลกอดกลับพร้อมกระชับจนคนตัวเบาขาลอยเหนือพื้น โยกตัวไปมาอย่างไม่รู้สึกหนัก ความรู้สึกดีใจมันตีตื้นไปหมดทั้งหัวใจ

     

    “สอบติดแล้วเว้ย”

     

    “สอบติดแล้วนะ”

     

    “สอบติดแล้ววววววววววววว” เสียงหัวเราะดีใจปนเสียงตะโกนลั่นว่าสอบติดดังไปทั่วบริเวณ แต่ไม่มีใครกล้าออกมาว่าหรอก เพราะภาพที่เห็นมันดูน่ารักเกินกว่าจะออกปาก ภาพของเด็กผู้ชายวัยรุ่นสองคนกอดกันทั้งน้ำตา รอยยิ้มที่ใครมองก็ต้องยิ้มตาม ความรักดีๆที่ก่อตัวขึ้นและผลักดันให้ไปถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว...



















    100%
     

    :) Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×