คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : -30-
-30-
“29”
“30”
“31”
“มึงนับอะไรของมึงวะไอ้ตูน” แอนดี้ที่เห็นว่าเพื่อนร่วมวงของตัวเองนั่งนิ่งๆ โง่ๆ แล้วนับอะไรบางอย่างอยู่นานสองนาน ทั้งๆที่ตรงหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่พอจะนับได้เลย มือเบสของวงละสายตาจากสิ่งที่ตัวเองกำลังจับจ้องแล้วหันมาตอบคำถามเพื่อน ด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยสุดๆ
“กูนับจำนวนครั้งที่ไอ้จินมันถอนหายใจว่ะ”
คำตอบของเพื่อนทำเอาแอนดี้ต้องเผลอเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหันไปสนใจนักร้องประจำวงที่กำลังนั่งพิงหลังมือกีต้าร์ ขณะที่คนหนึ่งเอาแต่สนใจเครื่องเล่นเกมส์พกพาในมือ อีกคนก็นั่งเหม่อถอนหายใจซ้ำๆ ส่วนมือก็ถือโทรศัพท์เอาไว้ไม่ให้ห่างจากตัว
“เฮ้อ”
“32”
“=_=;”
///ผลัวะ///
เสียงของแข็งที่คาดว่าน่าจะเป็นมือของใครสักคน กระทบเข้ากับของแข็งอีกอย่างที่คาดว่าคงจะเป็นหัวของใครสักคนด้วยนั่นแหละ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโวยวายแปดหลอดที่เขาคุ้นเคยดี
“เชี่ยดิน เจอหน้ากันแต่ละที มึงนี่ต้องทำร้ายร่างกายอันมีค่าของกูตลอด”
“เปล่านะ กูแค่ต้องการ cheer up มายเลิฟลี่เฟรนด์ที่เอาแต่นั่งถอนหายใจจนคาร์บอนไดออกไซด์จะล้นโลกแล้ว”
“สัส คิดว่ากูโง่หรอ ถ้าวันนี้กูไม่ได้เอาตีนงามๆของกูกระทืบหน้าโง่ๆของมึงนะ อย่ามาเรียกกูว่าจินเลย!!!”
และสงครามขนาดย่อมๆก็เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเรื่องปกติล่ะนะ สมาชิกในวงคนอื่นๆถึงทำเพียงแค่ ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง
แอนดี้หลุดถอนหายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ในแต่ละวันของเขาไม่เคยจะได้เจอวันสงบสุขเลยสักครั้งสิน่า ตั้งแต่รู้จักไอ้เพื่อนพวกนี้ ต้องมีเรื่องมาให้ตื่นเต้นไม่ก็คิดมากตลอด แต่ถ้าจะให้ถอนตัวออกจากกลุ่ม สายสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนมันก็ดันแน่นหนาเกินไปแล้วสิเนี่ย
ก็เลยตัดสินใจหักข้อมือนิดหน่อย ก่อนจะลุกขึ้นไปห้ามทั้งสองคนที่เอาแต่วิ่งไล่กันไปมาเหมือนเด็กๆ เปรียบเสมือนหน้าที่นี้มันเป็นหน้าที่ประจำของเขาอยู่แล้ว
“พอๆ เดี๋ยวอาจารย์ก็ได้เดินมาว่าหรอก”
“ไม่ต้องมาห้ามเลยมึง ไอ้เชี่ยดินมันกวนตีนกูก่อน” เสียงนุ่มของนักร้องประจำวงยังคงโวยวายไม่หยุด ท่าทางที่ดูโกรธเคืองเกินกว่าเหตุเรียกความสนใจจากเพื่อนๆได้ไม่ยากเย็น สมาชิกในวงคนอื่นๆเร่ิมหยุดจากสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมาสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแทน
แอนดี้ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จินแสดงท่าทางโกรธรุนแรงแบบนี้
“มึงเป็นอะไรของมึงวะ ดินมันก็อยากกวนมึงเฉยๆ ก็ปกติของมันไม่ใช่หรอ”
สมกับเป็นมือคีย์บอร์ดของวงที่เหตุผลมาก่อนอารมณ์เสมอ นัยน์ตาเรียวคมภายใต้กรอบแว่นจ้องตาของจินกลับด้วยแววตาที่จริงจังมากกว่า จนคนอารมณ์ร้อนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะทำได้เพียงแค่เสตาไปทางอื่น
“กูอารมณ์ไม่ดี ขอเวลานอก”
พูดแค่นั้นก่อนจะเดินไปเก็บของแล้วออกไป ทิ้งให้เพื่อนๆที่อยู่ในห้องได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง เสียงประตูเปิดและปิดลงไม่เบาเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คนที่อยู่ข้างในไม่สบายใจ
“เชี่ยจินมันเป็นอะไรของมันวะ”
ตัวต้นเหตุของเหตุการณ์พูดออกมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ เพราะจริงอย่างที่แอนดี้พูด เขาก็กวนจินแบบนี้มาตลอด แล้วไอ้แรงที่ตบหัวเพื่อนสนิทไป มันก็ไม่ได้แรงจนต้องโวยวายบ้านแตกแบบนั้น
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาเพื่อหาคำตอบ สไปรท์ที่สนิทกับจินมากที่สุดถอนหายใจยาวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อันที่จริงเขาก็สังเกตเห็นว่าจินมีท่าทางแปลกๆแบบนี้มาสักพักแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรออกไป เพราะเรื่องที่น่าจะมีผลต่อจิตใจของไอ้นักร้องจอมยุ่งนั่น ก็มีแค่เรื่องเดียวแหละ
“ทะเลาะกับพี่แอสตันมั้ง”
พึมพำออกมาเสียงเบา แต่เพราะทั้งห้องนั้นเงียบกริบ คำพูดของสไปรท์เลยดังพอที่จะทำให้ทั้งสามชีวิตที่เหลือได้ยิน
“ครั้งนี้กูว่าจินอาการหนักกว่าตอนไอรีนอีกนะ”
การ์ตูนออกความคิดเห็นบ้าง เพราะเขาไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเองอารมณ์อ่อนไหวแบบนี้มาก่อนเลย อย่างกับผู้หญิงประจำเดือนกำลังจะมาอย่างนั้นแหละ ขึ้นๆลงๆจนตอนนี้เขาเริ่มจะตามอารมณ์เพื่อนไม่ค่อยทันแล้ว
สไปรท์หลุดถอนหายใจออกมา ใช่ เขารู้ รู้ดีเลยแหละ แต่คนนอกอย่างพวกเขาจะไปทำอะไรได้
“ปล่อยให้มันสงบสติอารมณ์ของมันก่อนเหอะ ถ้ามันมีอะไรอยากจะเล่า มันก็เล่าเองนั่นแหละ”
“โธ่เว้ยๆๆๆๆๆ”
ร่างบางที่หลบออกมาสงบสติอารมณ์คนเดียวสบถออกมาอย่างหงุดหงิด ราวกับว่าถ้าได้ทำแบบนี้แล้วจะทำให้ตัวเองอารมณ์เย็นลง แต่เปล่าเลย ความหงุดหงิดของเขาไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลยสักนิด
รู้ตัวดีว่ากำลังทำตัวงี่เง่า
นี่เขาเอาความหงุดหงิดของตัวเองไปลงที่เพื่อนสนิทได้ยังไง สายตาจริงจังของแอนดี้ยังคงติดอยู่ในสมอง รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก เขาเข้าใจสายตาแบบนั้นดี ไม่เห็นต้องมาตอกย้ำกันเลยนี่ว่าเขากำลังทำตัวไร้เหตุผล แต่เขาก็มีเรื่องที่เขาคิดมากอยู่เหมือนกัน
เขากับพี่แอสตันไม่ได้ติดต่อกันมาเกือบจะอาทิตย์นึงแล้ว!!!
ที่ว่าไม่ได้ติดต่อก็ใช่ว่าจะไม่รับรู้ข่าวสารของกันและกันเลย แต่แบบ คือไม่ได้คุยโทรศัพท์ ไม่ได้คุยไลน์ ไม่ได้วิดีโอคอลหากันเลยสักครั้ง เรื่องจะให้มาเจอหน้ากันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ มันเป็นไปได้ยังไง พอลองถามดูก็บอกว่าไม่ค่อยว่าง ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย
เขาไว้ใจพี่แอสตัน ก็เลยพยายามไม่ทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายมาก เพราะพอจะรู้มาว่าคณะนี้มีโปรเจคที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่มันก็น่าน้อยใจไม่ใช่หรอ
ทำไมจู่ๆก็มาเปลี่ยนไปกะทันหันแบบนี้
พยายามไม่คิดมาก ไม่อยากจะทำตัวงี่เง่าเหมือนกับผู้หญิง ที่พอแฟนเปลี่ยนไปก็หาเรื่องชวนทะเลาะ พยายามบอกตัวเองว่าพี่มันคงยุ่งจริงๆนั่นแหละ แต่ไอ้สมองไม่รักดีเนี่ย มันก็คอยแต่จะทำให้เจ็บอยู่เรื่อย คิดนู่นนี่ไปต่างๆนาๆ ฟุ้งซ่านจนรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยคงที่ จนสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ เอาความหงุดหงิดไปลงกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรซะงั้น
เขาควรจะทำอะไรสักอย่างกับตัวเองแล้ว เพราะถ้ายังปล่อยเอาไว้แบบนี้ เขาคงจะมองหน้าเพื่อนไม่ติดแน่ๆ...
แอบไปหาที่มหาลัยดีรึเปล่านะ แค่เจอหน้ากันสักแปปก็ยังดี...
พอรู้ตัวอีกที ตัวเขาก็โผล่มาอยู่ที่มหาลัยของรุ่นพี่ตัวสูงแล้วซะอย่างนั้น ถอนหายใจกับนิสัยเอาแต่ใจของตัวเอง เพราะถ้าแอสตันไม่ว่างจริงๆ ก็เท่ากับเขามากวนไม่ใช่รึไง
เหลือบมองรอบตัวนิดหน่อย ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับร้านกาแฟที่แฟนตัวโตเคยพามากิน ถ้าซื้อกาแฟไปฝากจะถือว่าเป็นข้ออ้างได้รึเปล่านะ หลุดคลี่ยิ้มกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายจากการตรงไปที่คณะของแอสตัน มาเป็นแวะเข้าร้านคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆนี่เสียก่อน
“อเมริกาโนเย็นครับ”
เอ่ยสั่งเครื่องดื่มกับพนักงาน ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองออกมาเล่นเพื่อเป็นการฆ่าเวลารอ แอบส่งไลน์ไปหาเพื่อนสนิทของแอสตันอย่างพี่ต้นไผ่กับพี่เรียวนิดหน่อย เพื่อเป็นการคอนเฟิร์มว่าตอนนี้แฟนตัวสูงของเขายังอยู่ที่มหาวิทยาลัย เพราะถ้ามาแล้วไม่เจอ คงจะเสียเที่ยวแย่
“จิน!!”
น้ำเสียงหวานๆที่รู้สึกคุ้นหูชอบกล ทำให้จินตัดสินใจละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ไปทางต้นเสียงแทน ร่างบอบบางของหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยดี ก็เพราะเคยมีเรื่องให้กัดกันอยู่หลายครั้ง ทำให้เขาจำผู้หญิงคนนี้ได้อย่างขึ้นใจ
“อ้าว พี่ชิชา”
น้ำเสียงที่แสดงอาการเบื่อหน่ายออกมาอย่างชัดเจน ทำเอาคนทักต้องเผลอคิ้วกระตุกด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆสองสามทีเพื่อควบคุมอารมณ์
ใจเย็นไว้ชิชา เธอมีเรื่องที่ต้องคุยกับเจ้าเด็กนี่
หลังจากเหตุการณ์ที่เธอบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาของเดือนคณะรูปหล่ออย่างแอสตัน เธอก็เอาเรื่องนี้กลับมาคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน พยายามคิดอย่างรอบคอบราวกับว่าเป็นเรื่องของตัวเองซะอย่างนั้น
แต่เธอเข้าใจ เพราะว่าเรื่องนี่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าที่จะเอาไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้า เธอพยายามแล้วนะที่จะทำเป็นไม่สนใจ แต่พอเอาเข้าจริงๆเธอกลับไม่สามารถสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวของเธอได้เลย แถมยังทำให้เธอไม่กล้าเข้าไปทักแอสตันเหมือนที่เคยทำ
ก็พอเจอหน้ากันทีไร คำพูดของแอสตันมันก็ลอยเข้ามาในหัวของเธอแทบจะทันทีเลยน่ะสิ
พอคิดไปคิดมา เธอก็คิดว่าเธอควรจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นด้วยการถามความจริงของเรื่องนี้กับใครสักคน ถ้าจะให้เธอไปถามแอสตันตรงๆเลย เธอยอมรับว่าเธอไม่กล้า เผลอๆแอสตันอาจจะโกรธเธอที่แอบไปฟังบทสนทนาส่วนตัวของตัวเองซะด้วยซ้ำ
ก็เลยคิดว่าควรจะถามคนใกล้ชิดของแอสตันมากกว่า แต่ก็ต้องคิดหนักอีกนั่นแหละ เกิดเธอดันไปถามเรื่องนี้กับคนที่ไม่รู้ ก็ไม่เท่ากับว่าเธอเผลอเอาความลับของแอสตันไปป่าวประกาศรึไง
หลังจากนอนคิด นั่งคิด ยืนคิดมาหลายวัน เธอก็ตัดสินใจได้ คนที่ใกล้ตัวแอสตันมากที่สุดก็น่าจะเป็นเด็กนี่นี่แหละ
“พอจะมีเวลาคุยกับพี่สักหน่อยได้รึเปล่า”
จินกะพริบตาปริบๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า คนอย่างชิชาจะมาหาเขาด้วยสีหน้าจริงจังปนลำบากใจแบบนั้น รู้สึกในหัวมีสัญญาณอะไรบางอย่างกำลังเตือนเขาว่า เรื่องที่หญิงสาวคนนี้ขอคุยด้วย ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
จินเหลือบมองท่าทางอ้ำอึ้งของดาวคณะของแอสตันอย่างเหนื่อยหน่าย พวกเขาตัดสินใจหาที่นั่งที่เป็นส่วนตัวที่สุดในร้านเพื่อที่จะคุยกัน แต่คนตรงหน้าเขากลับเอาแต่นั่งขยุกขยิกไปมา จนตอนนี้เสียเวลามามากแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย
“ตกลงพี่มีเรื่องจะพูดจริงป่ะเนี่ย ถ้าไม่มีผมจะไปแล้วนะ”
น้ำเสียงนุ่มพูดออกมาอย่างรำคาญใจ เพราะเป้าหมายหลักของเขาคือการมาหาแฟนตัวสูงนั่น ถ้าเสียเวลามากกว่านี้กลัวว่าแอสตันจะกลับก่อน เพราะถ้าชิชามีเวลาว่างพอจะมาเดินแถวนี้ ก็แปลว่าคงจะเลิกเรียนกันเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวสิ เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่มากนะ”
พูดพร้อมกับยู่ปากอย่างน่ารัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆสองสามทีเพื่อเป็นการรวบรวมแรงใจ จินกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยอมรอให้อีกฝ่ายได้ทำใจก่อนที่จะพูดออกมา
เอาวะ เป็นไงเป็นกันชิชา เธอจะได้เลิกคิดมากเรื่องบ้าๆนี่ซะที
“คือ...จินรู้จักผู้หญิงที่ชื่อว่ารีฟารึเปล่า”
ชื่อที่ได้ยินทำเอาจินชะงักไปชั่วขณะ นัยน์ตาเรียวสวยเลื่อนมาสบเข้ากับนัยน์ตากลมโตของคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกใจ
ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้รู้จักพี่รีฟาได้ล่ะ!!
“ก็พอรู้ ทำไมหรอครับ”
ท่าทางตกใจของรุ่นน้องตรงหน้าทำให้ชิชายิ่งใจเสียมากขึ้นไปอีก ในใจของเธอยังคงภาวนาให้เรื่องที่เธอได้ยินมาเป็นเพียงแค่เรื่องที่เธอเข้าใจผิดไปเอง แต่พอเห็นปฏิกิริยาของรุ่นน้องคนสนิทของแอสตันแล้ว...เหมือนโอกาสที่เธอจะเข้าใจผิด มันเริ่มลดน้อยลงไปทุกที
แต่ความจริงมันก็คือความจริงวันยังค่ำนั่นแหละ จะมาหลอกตัวเองไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ถึงได้รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายทั้งหมดที่มี ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เธอได้ยินมาให้เด็กตรงหน้าฟัง
อย่างน้อยก็คงจะพอทำให้เธอได้ข้อมูลอะไรขึ้นมามากขึ้น จะได้เลิกเก็บเอาเรื่องพวกนี้มาคิดให้เปลืองเมมโมรี่สมองซะที
“คือ...”
“มึงจะรีบไปไหนวะ”
เสียงทุ้มเอ่ยขัดจังหวะการก้าวเดินของเพื่อน ที่พออาจารย์บอกเลิกคาบปุ๊บ ไอ้ขายาวๆนั่นก็ก้าวดุ่มๆตั้งท่าออกจากห้องไปแทบจะในทันที ไม่มีการคิดจะหันมาบอกกล่าวเพื่อนเลยสักคำ
“ธุระน่ะ”
ใบหน้าคมหันกลับมาตอบเพื่อนสั้นๆ ก่อนจะตั้งท่าเดินออกไปต่อ แต่ก็โดนแขนยาวๆของเพื่อนสนิทรั้งตัวเอาไว้ก่อน สายตาจับผิดของเพื่อนทำเอาคนถูกมองต้องชักสีหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ
“อะไร”
“บอกได้มั้ยว่าธุระอะไร”
แอสตันเงียบไปชั่วขณะ รู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางที่แสดงความไม่ไว้วางใจของเพื่อนสนิท นี่มันเป็นธุระของเขา ร้อยวันพันปีเพื่อนสนิทของเขาก็ไม่เคยเห็นจะมาสนใจอะไรเขาเลย แล้ววันนี้เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาล่ะ
“ทำไมจู่ๆมึงก็มาสนใจวะ”
“แล้วบอกไม่ได้หรอวะ”
“…”
“…”
“เกิดอะไรขึ้น”
เรียวที่สังเกตจากวงนอกอยู่นานตัดสินใจเข้ามาขัดจังหวะ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศที่ลอยวนอยู่รอบตัวคนทั้งคู่ชักจะมาคุแปลกๆขึ้นมาทุกที แอสตันชักสีหน้าอีกครั้ง ตั้งท่าเดินออกจากห้องไป แต่กลับถูกรั้งตัวเอาไว้อีกครั้งจากเพื่อนสนิทอีกคน ก็เลยตัดสินใจตอบเรียวอย่างลวกๆ
“ถามไอ้ต้นไผ่มันดู ไม่รู้เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”
เมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนสนิทที่ไม่รู้ว่ารู้จักกันมาตั้งกี่ปี แสดงท่าทางเหมือนเขาเป็นพวกจอมจุ้น ยุ่งไม่เข้าเรื่องก็อดที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมาไม่ได้จริงๆ คิดว่าเขาอยากจะยุ่งนักรึไง ถ้าไม่ติดว่าคำว่าเพื่อนมันกำลังค้ำคอของเขาอยู่ แต่ไอ้เดือนคณะนี่กลับทำเป็นไม่เห็นคุณค่าซะอย่างนั้น
ก็เลยระเบิดคำพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อยากจะทำให้ไอ้เพื่อนสนิทหน้าหล่อนี่มันสำนึกอะไรซะบ้าง
“กูก็ไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของมึงนักหรอก”
“ถ้าไม่ติดว่าน้องจินทักไลน์กูมา”
“แล้วก็ถามว่าน้องมันมาหามึงที่มหาลัยได้มั้ย มึงว่างรึเปล่า มึงเรียนหนักมากหรอ มึงกินข้าวตรงเวลารึเปล่า มึงได้พักผ่อนบ้างมั้ย และอีกโคตรจะมากมายจนมันทำให้กูสงสัย”
“ทำไมน้องไม่ถามมึงตรงๆวะ”
คำพูดของต้นไผ่ทำเอาแอสตันสะอึก
จินงั้นหรอ...
เขายอมรับว่าหลายวันมานี้เขาแทบจะไม่ได้ติดต่อเด็กแสบนั่นเลย เพราะเขาต้องยุ่งวุ่นวายกับการพารีฟาไปตรวจสุขภาพ เขาเคยดูแลคนท้องเสียที่ไหน แถมรีฟายังเป็นคนที่มีโรคประจำตัวอีก ไหนจะหาโรงพยาบาลที่พอจะไว้ใจได้ เพื่อเตรียมการเรื่องการตรวจ DNA อีก มีเรื่องมากมายให้เขาต้องจัดการ จนแทบไม่มีเวลาให้กับแฟนตัวยุ่งเลย
รู้ตัวอีกทีก็แทบจะไม่ได้คุยกัน หรือไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบๆอาทิตย์นึงแล้ว...
“ที่มึงรีบออกจากมหาลัยแต่ละวันนี่ มึงไม่ได้ไปหาน้องเค้าหรอวะ”
เรียวที่เงียบมาโดยตลอดตัดสินใจถามขึ้นมาบ้าง เพราะอันที่จริงจินเองก็ไลน์มาถามเรื่องของไอ้เพื่อนบ้านี่อยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เอะใจอะไร เพราะคิดว่าที่แอสตันรีบออกจากห้องแต่ละวัน คือรีบไปหาจินเสียอีก
“เปล่า”
ปฏิเสธอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่ เขายอมรับว่าเขาไม่กล้าบอกความจริงกับเพื่อนเรื่องที่คนรักของพี่ชายของเขาท้อง แถมยังไม่แน่ใจด้วยว่าเด็กในท้องเป็นลูกของใครกันแน่
เขาก็คนธรรมดาคนนึง ที่มีสิทธิ์จะกลัว กลัวว่าคนรอบข้างจะมองเขายังไง เมื่อรับรู้เรื่องที่เขาทำผิดร้ายแรงลงไป ถึงแม้ว่าเพื่อนสนิททั้งสองคนพอจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวมาพอสมควร แต่เรื่องนี้ เขาก็ยังไม่กล้าที่จะบอกอยู่ดี
ทั้งสามก็เลยยืนนิ่งๆเงียบๆกันแบบนั้น อึดอัดเกินกว่าที่จะกล้าก้าวออกไปจากบทสนทนาที่ซับซ้อนนี่
“แอสตัน!!!”
น้ำเสียงหวานๆของดาวคณะเรียกสายตาทั้งสามคู่ให้หันไปมอง บรรยากาศที่น่าอึดอัดค่อยๆลดลง ทั้งสามคนมองหน้ากันนิดหน่อย ก่อนจะส่งสายตาอย่างรู้กันว่า ให้เก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แต่เรียวกับต้นไผ่เองก็ส่งสายตาคาดคั้นไปทางแอสตันเหมือนกัน
ว่าพวกเขาน่ะ จะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่ๆ
ชิชาหยุดอยู่ตรงหน้าบุคคลทั้งสาม แต่แอบรักษาระยะห่างเอาไว้เล็กน้อย ใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตาตอนนี้ทำหน้าแหยๆเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ก็ไม่ปาน แต่จะให้เธอทำยังไงล่ะ ก็ดูเหมือนเธอจะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดกับผิดคนไปแล้วน่ะสิ
ภาพใบหน้าคมสวยที่เหม่อมองมาทางเธอด้วยแววตาเหม่อลอย หลังจากที่เธอเล่าเรื่องทั้งหมดที่เธอแอบได้ยินมาจบ ก่อนที่น้ำใสๆจะค่อยๆเอ่อล้นออกมาจากดวงตาเรียวนั่น หยดแหมะลงกระทบกับโต๊ะ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้กะพริบตาเลยแม้แต่นิดเดียว
ภาพของเด็กคนนั้นยังคงติดตา นี่เธอทำอะไรลงไป
“จิน!!!”
น้ำเสียงทุ้มๆที่เขาคุ้นหูทำให้เขาตัดสินใจหยุดเดิน ปาดน้ำตาที่เปื้อนเปรอะเต็มหน้าออกอย่างลวกๆ แต่ก็ยังไม่กล้าหันไปเผชิญหน้ากับรุ่นพี่คนสนิทอยู่ดี
“ใจคอจะไม่หันมาทักทายกูหน่อยหรอ”
น้ำเสียงที่เข้มขึ้นบ่งบอกถึงความจริงจังของคนพูดได้เป็นอย่างดี จินเม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆหันกลับไป ใบหน้าคมคายอย่างคนจีนแท้ของจิวซื่อค่อยๆปรากฎอยู่ตรงหน้า
นัยน์ตาเรียวที่กำลังจับจ้องมาทางเขาด้วยความเป็นห่วง ทำให้น้ำตาที่หยุดไหลกลับมาไหลอีกครั้ง
“เฮียจิว...”
หลังจากได้กินเครื่องดื่มเย็นๆที่เป็นของโปรดของตัวเองแล้ว แถมคนเลี้ยงยังเป็นรุ่นพี่คนสนิทที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันอีก อารมณ์ที่พึ่งระเบิดออกมาเลยค่อยๆลดลงอย่างช่วยไม่ได้
จิวซื่อเหลือบมองท่าทางซึมๆของรุ่นน้องเงียบๆ ตัดสินใจยังไม่พูดอะไร รอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดออกมาก่อน เพราะวันนี้เขาบังเอิญมาหาเพื่อนที่มหาลัยที่เดียวกันกับแอสตัน จริงๆก็ตั้งใจจะกลับแล้วล่ะ แต่ดันมาเห็นไอ้เด็กแสบนี่เดินไปร้องไห้ไปอย่างกับคนบ้าพอดี ถึงได้รีบเดินเข้าไปหาแล้วก็เรียกตัวมาแบบนี้ยังไงล่ะ
“ทำไมได้มาไทยอีกแล้วอ่ะ”
ถามอย่างสงสัย ก็เพราะรุ่นพี่ของเขาเรียนต่อมหาลัยที่ต่างประเทศนี่นา แล้วทำไมถึงได้บินกลับมาที่ไทยบ่อย อย่างกับว่าเดินทางแค่สิบนาทีก็ถึงแบบนี้ล่ะ จิวซื่อยักคิ้วกวนๆส่งกลับไปให้รุ่นน้องคนสนิทนิดหน่อย พอได้รับสายตาคาดคั้นกลับมาก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ พยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“โดนเรียกตัวมาถ่ายแบบน่ะ”
“หือ ตั้งใจจะทำเป็นอาชีพหลักเลยใช่ป่ะ เรื่องรงเรื่องเรียนไม่ซี”
อดจะแขวะรุ่นพี่คนสนิทไม่ได้จริงๆ เอาตรงๆนะ ผู้ชายตรงหน้าเขาเนี่ย ถือว่าเป็นคนที่โคตรจะเพอร์เฟ็คคนหนึ่งเลยแหละ หน้าตาดี หุ่นดี พ่อแม่มีหน้ามีตาทางสังคม บ้านรวย แถมเรื่องสมอง เรื่องการเรียนยังแบบ... คือตลอดเวลาที่รู้จักพี่มันมาเนี่ย ไม่เคยเห็นพี่มันตั้งใจอ่านหนังสือสักครั้งอ่ะ แต่ก็ติดท็อปเท็นในรุ่นตลอด
จิวซื่อเหลือบมองใบหน้ากวนๆของรุ่นน้อง ที่สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้หลากหลายเหลือเกิน ก่อนจะยื่นมือออกไปดีดหน้าผากมนๆนั่นอย่างหมั่นไส้
“ก็ทำให้มีเงินมาเลี้ยงสตาร์บัคมึงก็แล้วกัน”
“งั้นก็ช่วยหาเงินเยอะๆ แล้วก็มาเลี้ยงน้องบ่อยๆด้วยนะครับ”
ลูบหัวตัวเองป้อยๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มกว้าง ที่ดูเสแสร้งชอบกลไปให้รุ่นพี่ร่างสูง
นัยน์ตาเรียวของคนอายุมากกว่าทอดสายตามองรุ่นน้องตรงหน้า หน้าคมสวยที่มักจะกวนโอ๊ยเขาตลอด แก้มที่เคยโดนเขาล้อว่ามันชอบบวมเวลาที่เจ้าเด็กนี่ขอให้เขาเลี้ยงขนม ตอนนี้ตอบลงไปมากพอที่จะทำให้เขาสังเกตได้ ไหนจะสภาพร้องไห้ไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบกายแบบเมื่อกี้อีก
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสาเหตุมันมาจากไหน ถ้าไม่ใช่ไอ้หน้าหล่อที่เลื่อนสถานะมาเป็นคนรักของน้องของเขามาหมาดๆ
ตอนก่อนจะคบกันก็ต้องเคลียร์ปัญหากันซะยืดยาว พอคบกันก็ยังมีเรื่องมาให้รู้สึกแย่ไม่หยุดหย่อนอีก เขาควรจะทำอะไรเพื่อเจ้าเด็กนี่มั้ยนะ...
บางทีเขาก็หงุดหงิดนะ คือ เขารู้จักกับเจ้าเด็กแสบตรงหน้านี่มานานพอสมควร อย่างน้อยก็นานกว่าแอสตันก็แล้วกัน สนิทกันมาก คอยดูแลมันมาตลอด ก็อาจจะไม่ได้ดูแลแบบทะนุถนอมมาก แต่ก็คอยช่วยแก้ปัญหา เป็นกำลังใจให้ในสไตล์ของเขา และที่สำคัญ เขาพยายามทำให้เจ้าเด็กนี่เป็นคนที่เข้มแข็งมากพอที่จะไม่เสียน้ำตาง่ายๆ
แต่นี่อะไร...ไอ้นั่นมันเป็นใคร ถึงได้ทำให้น้องของเขาร้องไห้ซ้ำซากอยู่แบบนี้
“ให้เลี้ยงมึงตลอดชีวิตเลยเอามั้ยล่ะ”
ริมฝีปากรูปกระจับจรดอยู่ที่ปลายหลอดค้างเมื่อได้ยินประโยคที่มาจากรุ่นพี่คนสนิท นัยน์ตาเรียวสวยช้อนมองอย่างอึ้งๆนิดหน่อย
“ฮ่าๆๆ พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย”
หัวเราะกลบเกลื่อนสายตาจริงจังที่คนเป็นพี่ส่งมาให้ รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองหยุดเต้นไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเต้นด้วยจังหวะที่รับรู้ได้เลยว่ามันไม่ปกติ
“เปล่า กูจริงจัง”
“…”
“มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงผอมลง ร้องไห้บ่อย แล้วก็คิดมากมากเกินไป”
“กูดูแลมึงมาตั้งกี่ปี แล้วไอ้เหี้ยตัวไหนก็ไม่รู้อยู่ดีๆก็มาทำให้น้องกูเป็นแบบนี้”
“มึงคิดว่ากูจะอยู่เฉยๆได้หรอ”
-----------------------------------------------
Talk : โฮรกกกกก ในที่สุดก็เขียนจบตอนนี้จนได้
ขอโทษที่หายหน้าไปนานเลยนะคะ .__. ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก
แค่อยากจะบอกว่า...เราจะพยายามไม่มาม่านะ อิอิ
ในที่สุดตัวละครตัวโปรดของไรท์ก็ได้โผล่มาซะที
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันนะ....
ยังไงก็ขอบคุณที่ยังคอยติดตาม
แม้ว่าไรท์จะอัพนิยายนานทีครั้งนึงก็เถอะ
รักรีดเดอร์ทุกคนมากๆนะคะ ม้วฟๆๆ <3
ความคิดเห็น