ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวทยาลัย ศาสตร์มนตร์ดำรงเวทยา

    ลำดับตอนที่ #40 : Chapter 27 ................... little star (ReWriteV.4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 800
      11
      3 เม.ย. 57

    Comment : เพื่อให้ได้อรรถรสมากขึ้น แนะนำให้กด เปิดคลิป ทันที เมื่ออ่านไปถึงจุดที่มีคลิปฮะ

    Chapter 27 ................... little star

     

    29 พฤศจิกายน เวทศักราช 212

    เวลา 1.58 น.

    ณ สนามบินแห่งชาติหนองงูจงอาง

     

    เครื่องบินโดยสารติดอาวุธชนิดป้องกันตัวด้วยระบบเวทย์ครบครันลงจอดเทียบท่า

    เหล่าผู้โดยสารเดินลงมาจากเครื่องบินกันอย่างคับคั่ง

     

    ครืดดดดดดดด

    เสียงลากล้อเลื่อนของกระเป๋าสีดำใบเล็กดังขึ้น

    เจ้าของผู้มาพร้อมกระเป๋า ใส่ชุดราตรีดำสนิท ใส่หมวกบานใบใหญ่สีดำ

    ในมืออีกข้างถือหีบไวโอลินสีดำขนาดเล็ก

     

    เธอกำลังมุ่งหน้าเดินตรงเข้าสู่สนามบิน

    สายตาคนหลายๆคนหันมองเธอไปหมด

     

    เธอไม่ได้หันมองหรือยิ้มตอบกลับ

    เธอเดินจนไปถึงหน้าจุดรับส่งคนของสนามบิน

     

    เธอยืนนิ่งอยู่ราวๆ 30 วินาที

    ก็มีหญิงย้อมผมม่วงดัดลอนใส่แว่นดำผ้าปิดปากคนหนึ่งเดินเข้ามาหาก่อนจะเอ่ย

    "...Like a jelly in the sea....."

     

    บุคคลนั้นเงยหน้าพร้อมยิ้มตอบ

    "... Then you show your little hand...."

     

    หญิงสาวผู้มารับนั้นยิ้มหวาน ก่อนจะเริ่มคิดอะไรบางอย่าง

    แล้วเอ่ยอย่างลนลาน

    "ha.. ha... Hi! ..ya.. you.... your .... from come  for from come ... ah ... for he .. .help us right...."

     

    "คิก .... เรามีเครื่องแปลภาษาเวทย์หน่ะ ..... พูดเป็นภาษาของเธอเองก็ได้"

    ผู้ใส่ชุดดำเอ่ยหัวเราะ พลางยิ้มหวาน

     

    "ค่ะ .... งะ งั้นชั้นถือกระเป๋าให้นะคะ"

    หญิงสาวเอ่ยตอบแล้วรีบช่วยแบกของทุกอย่างให้เธอ

     

    "อันนี้ไม่ต้องเราถือเองได้"

    ผู้สวมใส่ชุดดำเอ่ย แล้วยื้อไวโอลินเอาไว้เมื่อ หญิงสาวจะเข้ามาถือไปให้ด้วย

     

    "ค่ะ ... งั้นแค่ กระเป๋านะคะ"

    หญิงสาวพยักหน้าตอบรับแล้วแบกข้าวของขึ้นท้ายรถเก๋งคันงาม

    ก่อนจะเดินมาเปิดประตูหลังให้"

    "เชิญค่ะ....."

     

    "เราขอนั่งด้านหน้าดีกว่า ... อยากจะมองวิวของที่นี่ด้วย"

     

    "เกรงว่าจะไม่มีอะไรให้พิสมัยนะคะ ...."

    หญิงสาวเอ่ยแนะนำ

     

    "เรามีโอกาสมาครั้งเดียวละมั้ง .... ขอดูหน่อยละกัน ว่ามันเป็นยังไง"

    ผู้สวมใส่ชุดดำหันมาเอ่ย

     

    "เอ่อ ... ค่ะ"

    หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะเดินมาเปิดประตูหน้าแทน

    ผู้สวมชุดดำขึ้นตาม หญิงสาวปิดประตูให้ ก่อนจะกลับไปนั่งที่แล้วเริ่มออกรถไป

     

    ผ่านไป 15 นาที หลังจากออกมาจากส่วนของสนามบินได้

    ระหว่างทาง รถวิ่ง ผู้ที่สวมชุดราตรีสีดำ ก็แอ่นตัวยืดมองออกไปนอกกระจก

    ด้วยความสนใจ กับสิ่งของตามเส้นทางต่างๆที่ผ่านมา

    "เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลยแฮะ ...สิ่งนั้น .... อะ ... นั่นด้วย"

     

    "งั้นเหรอคะ ดีจังเลยนะคะที่ได้เห็น ถึงจริงๆของพวกนั้นจะไม่ค่อยมีคนสนก็เถอะ"

    หญิงสาวเอ่ยขำ แล้วหันมองไปตามที่ๆ ผู้สวมชุดราตรีสีดำชี้

     

    สิ่งหนึ่ง คือ ทุ่ง ที่เต็มไปด้วยหญ้าโบกสะบัดปลิวไสว สะท้อนแสงรถไปในยามคำคืน

    และอีกอย่างคือ ควาย ที่ยืนอยู่ตามทุ่งเหล่านั้น

     

    เวลาผ่านไป อีก 15 นาที ก็เริ่มเข้าสู่ตัวเมือง

    เมื่อหญิงสาวเห็นผู้ใส่ชุดดำยังคงสนใจข้างทาง ดูบรรยากาศเงียบ จึงชวนคุยขึ้นมา

    "ว่าแต่ ... คุณคือ หนึ่งห้าศูนย์ สินะคะ"

     

    "..... ใช่ค่ะ .... นี่ไง"

    ผู้ใส่ชุดราตรีสีดำตอบรับก่อนจะหันมาเปิด กล่องไวโอลิน

    ให้เห็นหมายเลขด้านใน เขียนไว้ว่า หนึ่งห้าศูนย์

    "เราเป็นมืออันดับสี่ ของประเทศที่เรามาค่ะ"

     

    "... สะ สุดยอดไปเลยนะคะ ชั้นไม่เคยเห็นหมายเลขระดับต่ำกว่าหนึ่งพันใกล้ๆมาก่อนเลยค่ะ"

    หญิงสาวผู้สวมแว่นตาดำเอ่ยอย่างปราบปลื้ม หันมามอง

     

    "... ชอบฟังเพลงมั้ยคะ .... เดี๋ยวจะร้องให้ฟัง"

     

    "รบกวนด้วยนะคะ"

    หญิงสาวผู้สวมแว่นดำใส่ผ้าปิดปากสีดำเอ่ยตอบรับ

     

    "งั้นจะร้องละนะคะ .... ........."

     

    ....................................................

    ...........................

    ........

    -----------

    "พยายาม!! เป็นอะไรมั้ยลูก ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะ พ่อจะพาลูกไปหาหมอนะ"

    คุณพ่อของผมเอ่ยด้วยความรู้สึกตกใจอย่างที่สุด

    เขากำลังขับรถโดยให้ผม นอนที่ตักเขา

     

    ".... พ่อครับ ...."

    ผมเอ่ยตอบพอด้วยความรู้สึกที่สั่นกลัวและเจ็บปวด

     

    "ไม่เป็นไรนะ พยายาม ... ใกล้แล้วนะ ใกล้ถึงมือหมอแล้ว"

    พ่อของผมเอ่ยหลังจากจอดรถ แล้วอุ้มผมเข้าไปหาหมอ

    "หมอ หมอ ช่วยลูกผมด้วย ช่วยลูกชายผมด้วย!!!"

     

    "ค่ะ .... พาเขาไปนอนไว้ตรงเตียงนั้นเลย"

    คุณหมอเอ่ยตอบรับ แล้ว

    เดินเข้ามาหาผม ก่อนจะเอ่ยว่า

    "หนึ่ง สอง สาม ถ้าไม่ลุกเค้าปลุกแล้วน้า!"

     

    หา....

    -----------------

     

    "หนึ่ง สอง สาม ถ้าไม่ลุกเค้าปลุกแล้วน้า!"

     

    อืม ... เสียงแบบนี้มัน

    ออ เมื่อกี้ฝันนี่เอง.......

    ยังไม่อยากตื่นเลยแฮะ

     

    "หนึ่ง สอง สาม ถ้าไม่ลุกเค้าบุกแล้วน้า"

     

    หืม .... บุก?

    เดี๋ยวนะ หรือว่า....

     

    "หนึ่ง สอง สาม แฮ่ก .... แฮ่ก .... ถ้าไม่ลุก ... เค้ากดหละน้า!!!!"

     

    "เห้ย หยุดเลย!!"

    ผมเอ่ยขึ้น ยันตัวลุกลืมตามองก็เห็นสโรชากระโดดเอาตัวทับร่างกายผม

    แล้วไซร้ไปมาอย่างหอบกระหาย

     

    "พยายาม แฮ่ก แฮ่ก ... กลิ่นน้ำลายยืดๆของพยายามมันหอมจริงๆ"

    เธอเอาจมูกมาดอมดมที่บริเวณคางและปากของผม

     

    "ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะโว้ย!!!"

    ผมตะโกนไล่เธอออก

    ......................

    และแล้วผมก็อาบน้ำจนสะอาด แต่งตัวจนเสร็จก่อนจะเดินออกมาจากห้อง

    มานั่งช่วยสโรชานับของขวัญอีกระรอก เพื่อความแน่ใจ

    เมื่อวานนี้ เราได้เอาของขวัญ ไปแจกบ้านบัวบานมาแล้ว

    ส่วนวันนี้ เด็กๆที่บ้านเติมเต็ม ก็มีทั้งหมด 42 คน รวมอาจารย์และผอก็อีก 7 ก็เป็น 49 คน

    ของมี 50 ชิ้น

    พอเพียงสำหรับทุกคนแน่นอน

    ผมหันไปมองนาฬิกา ตอนนี้ก็ 11.20 . แล้ว

    พวกเราควรจะไปก่อนเวลาสักหน่อย

     

    "ออกไปกันเลยมั้ย .... ไปก่อนเวลาสักหน่อยหน่ะ"

    ผมเอ่ยถามสโรชา

     

    "แน่นอนอยู่แล้ว"

    สโรชาหันมาตอบรับกับผมด้วยรอยยิ้ม ที่ดูมีความสุขของเธอ

     

    ......

    และแล้ว

    พวกเราก็นั่งรถ Taxi เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านเติมเต็มซึ่งอยู่นอกเมือง

    มันใช้เวลานานพอดู เพราะบ้านเติมเต็มนั้นอยู่ไกลที่สุด

     

    ค่า Taxi ก็อวมไปเลยเพราะจัดเต็ม ถึง 265 กันเลยทีเดียว

     

    "เย้ ถึงแล้ว!!! บ้านเติมเต็ม เฮ!!!"

    เมื่อถึงสโรชาก็ลงมายิ้มหวานยกไม้ยกมือ

    ก่อนจะยกของส่วนของตัวเองวิ่งเร็วจี๋ราวกับเด็กๆ เข้าไปในบ้านเติมเต็ม

    ที่มีลักษณะ คล้ายกับ โรงเรียน ขนาดเล็กมากๆ

    มีอาคาร แค่ 1 อาคาร  ขนาด 2 ชั้น ชั้นบนมีห้องเรียน 3 ห้อง

    ชั้นล่างมีห้องเรียน 1 ห้อง ใหญ่ ห้องพักอาจารย์ และห้องกิจกรรม

    ด้านข้างมีบ้านขนาด 2 ชั้น อยู่อีก 1 หลัง ติดป้ายไว้ว่า โรงอาหาร

    ด้านหน้าบ้านและอาคาร เป็นพื้นที่แบบดินทรายและหญ้า น่าจะเหมาะกับการวิ่งเล่น

     

    เมื่อพวกเราเข้ามาก็เห็นเหล่าเด็กๆกำลังวิ่งเล่นกันอยู่

    ส่วนอาจารย์สาวนั้นก็กำลังคุยกับเด็กๆ

    ท่าทางพวกเขาดูมีความสุขกันดีนะ

     

    "ขอโทษค่ะ ... คือ"

    สโรชานั้นวิ่งเข้าไปหาอาจารย์สาวที่กำลังเล่นกับเด็กอยู่ทันทีไม่มีรีรอ

     

    "ดูสิๆ มีคนมาแจกของด้วย"

    "ว้าว มีผู้มีพระคุณมาแจกของด้วยหละ"

    "ขอบคุณค่ะๆ"

    "แจกหนูด้วยๆ"

    "หนูก็อยากได้ค่ะ.... อยากได้"

    เสียงของเหล่าเด็กๆที่เห็นพวกเรา

    ต่างก็วิ่งเข้ามายืนใกล้ๆ

    เอ่ยด้วยแววตาเป็นประกาย เพราะอยากได้ เหล่าของขวัญ

     

    "....เอ้า พอเลยเด็กๆ วันนี้ ต้องทำตัวเป็นเด็กดีเดี๋ยวพักเที่ยงไปทานข้าวให้หมดทุกเม็ดก่อน แล้ว พี่ๆเขาจะแจกของให้"

    อาจารย์สาวผู้ไว้ผมหางม้าสวมแว่นตา หนาราวๆ3ถึง4มิลได้ กลมๆใหญ่ๆ

    เดินมาปรบมือไล่ให้พวกเธอไปทานข้าว

     

    "ค่า!!"

    "ครับ!!"

    พวกเด็กๆตอบรับอย่างไร้เดียงสาและเชื่อฟังอาจารย์เป็นอย่างมาก

    พร้อมทั้งวิ่งไปเตรียมตัวกันทุกๆคน

     

    สุดยอดไปเลยแฮะ

    อาจารย์คนนี้ เด็กๆอาจจะเกรงขามก็เป็นได้

     

    "....ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้วุ่นไปหน่อย"

    อาจารย์คนนั้นหันมายิ้ม เอ่ยพลางขยับแว่น

     

    "ไม่เป็นไรค่ะ เด็กๆก็ไม่แปลกหรอก"

    สโรชาตอบด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน

    แล้วมองตามเด็กๆ ตาเป็นมัน

     

    ขอร้องหละนะ ยัยหื่น

    ถ้าหล่อนอยากกินเด็กแบบที่อยากกินตรูหละก็

    หยุดคิดเดี๋ยวนี้

     

    "เดี๋ยวเข้าไปคุยกับผอ. แล้วไปทานข้าวกันนะคะ ขอให้ทางเรามีโอกาสได้เลี้ยงตอบแทนหน่อยนะคะ"

     

    จะว่าไปแล้ว ..... ให้ตายเถอะ

    พอดันมานึกได้ว่าต้องพูดเรื่องนั้นกับพวกเขาอีกก็ ....

    "เห้อ"

    ผมถอนหายใจ แล้วหิ้วถุงเดินตามสโรชาต้อยๆ

     

    "ค่า!"

    สโรชาตอบรับไม่ปฏิเสธ แล้วหันมาหาผม

    "ไปกันเถอะพยายาม"

     

    "เห้ ... ปะ ปล่อยนะ สโรชา! เดี๋ยวของหล่นหรอกเห้ย!!!"

    ผมโวยวายระหว่างโดนจูงมือไป มือข้างที่ถือถุงต้องรีบกำแน่นเพื่อไม่ให้ของเล่นที่ห่อกระดาษมาแล้วหล่น

     

    อาจารย์สาวแว่นยิ้มดันแว่น

    ก่อนจะเดินนำทางไปที่อาคารชั้น 1 จุดห้องพักอาจารย์

    ตามที่ป้ายติดไว้เป๊ะ

     

    บอกตรงๆเลยนะ มาโรงเรียนนี้ แล้วใครยังหลง รบกวนเอาหัวไปมุดตู้เย็นด่วน

     

    แล้วพวกเราก็เข้าไปอธิบาย ให้อาจารย์ของที่นี่บางส่วนรวมถึงผอ.ฟัง เรื่องของแฟนต้า

    ดูท่าพวกเขาจะเสียใจไม่น้อย รวมถึงขออนุญาตโทรถามเธอ

     

    ผมเข้าใจดีมันเป็นอะไรที่ยอมรับได้ยาก

    อยู่ๆ คนที่มีความสำคัญต่อที่นี่ขนาดนั้น จะมาหายตัวไปเอาดื้อๆ

     

    และแน่นอน ข้อความที่พวกเขาได้รับก็มีแค่คำเดียว

    เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่ได้เปิดใช้งานในขณะนี้

    กรุณาติดต่อใหม่

     

    เห้อ ....ไม่อยากจะพูดเลยนะ....แต่ก็จำเป็นต้องพูด

    พวกเขาจะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ

    พวกเขานั้นพากันพูดถึงเรื่องที่แฟนต้าหายไปอยู่สักครู่

    ก็เริ่มยอมรับกันได้ ... พวกเขาคงต้องลำบากขึ้นแน่ๆ กับเด็กๆ

     

    แต่ .... เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น

    เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้

    พวกเราเสนอว่า จะอุปการะ เด็กๆ ทุกคนที่แฟนต้าเคยดูแลต่อ ด้วยวงเงินเพียงเท่านี้

     

    พวกเธอพยักหน้าตอบรับ แล้วขอคุยเรื่องเอกสาร

    พวกเราก็เซ็นในส่วนที่ทำได้

    เมื่อเสร็จแล้วก็เริ่มเตรียมตัวพาพวกเราไปโรงอาหารทันที

     

    อาจารย์สาวแว่นหนาเตอะพาพวกเรามาที่บ้านขนาดไม่ใหญ่ ที่มีป้ายเขียนด้านหน้าว่า โรงอาหาร

    ด้านขวาประตูมีบันได เดินขึ้นชั้น 2

    เมื่อเดินเข้ามา ก็พบว่า ภายในบ้าน นั้น มีโต๊ะ แถวยาวเรียงราย พร้อมเก้าอี้ยาวไม่มีพนักนั่ง

    และมีห้องครัวอยู่สุดด้านในสุด ซึ่งเปิดโล่งให้มองเห็นได้

    ทุกสิ่งภายในห้อง ทาสีขาว เช่นเดียวกับอาคาร และสถานที่ต่างๆ

    เพื่อสื่อว่า เด็กๆที่นี่ เปรียบเสมือนผ้าขาว

     

    เหล่าเด็กๆบางคนกำลังช่วยอาจารย์ อีก 3 คนที่เตรียมปรุงอาหาร

    นักเรียนที่ไม่ได้ช่วยก็มายืนต่อแถวรอรับข้าว

     

    จานอาหารนั้นเป็นถาดเหล็ก 3 หลุม หลุมหนึ่งใส่ข้าว อีก 2 หลุมใส่กับข้าว

    และกับข้าววันนี้ ก็มี แกงจืดเต้าหู้ กับ ไส้กรอกคนละครึ่งชิ้น

     

    พวกเรานั้นนั่งลงมองพวกเด็กๆ กำลังเตรียมตัวกันพร้อมทั้งบริการพวกเราอย่างดี

    ทั้งเสิร์ฟน้ำและอาหารให้.... อาหารที่พวกควรจะเป็นของพวกเขา

     

    เมื่อบริการให้เรา และอาจารย์เสร็จแล้ว

    จะเริ่มตักส่วนของพวกตนเองจนครบและมานั่งเตรียมตัวกันอย่างมีระเบียบ

    ทุกคนท่องบทเพลง

    ที่ชวนนึกถึงอดีต

     

    ~ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง ... อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า ...เหล่าคนทุกยากลำบากหนักหนา สงสารบรรดา เด็กตาดำๆ~

     

    สำหรับเด็กทั่วๆไป พวกเขาจะรู้สึกอะไรกับเพลงๆนี้มั้ยนะ

    ผมที่เคยฟังมาก่อนก็รู้สึกได้ ว่าเพลงนี้ มันไม่ได้ซึ้งอะไรเลย

    ยังคิดด้วยซ้ำว่า น่าเบื่อจริงๆ ทำไมอาจารย์ตอนเด็กๆต้องให้มาร้องเพลงน่ารำคาญแบบนี้

    กินๆข้าวก็จบแล้ว

    จะไปสงสารทำไม ..... กับเด็กตาดำๆ

     

    ให้ตายเถอะ พอมาวันนี้ รู้สึกเข้าใจเพลงพวกนี้แปลกๆ

    แม้พวกเขาจะลำบากแล้ว ก็ยังต้องเตือนตนเองเลย

    ว่ามีคน ... ที่ลำบากกว่าพวกเขา

     

    ใช่แล้วหละ สายตาผมมองไปยังเหล่าเด็กพวกนั้น

    ทุกๆคนล้วนมีเสื้อใส่ แต่ก็ไม่ได้ใหม่อะไร

    ทุกๆคนล้วนมีร่างกายที่สมบูรณ์และมีความอบอุ่นจากรอบด้าน ยกเว้นครอบครัว

    ทุกคนมีอาหารกิน แต่เลือกไม่ได้ว่าวันนี้ อยากจะทานอะไร

    พวกเขา ตอบขอบคุณทุกๆคน ที่ทำให้พวกเขามีกิน

    พวกเขาต้อง ดิ้นรนต่อไป เพื่อมีชีวิตรอด

    แลต้องรู้ตนเองเสมอว่า มีคนที่ลำบากกว่าพวกเขา

     

    ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า เมื่อก่อน

    ถึงจะพูดว่าสงสารพวกเขา

    แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรมาก ไปกว่า คิดว่าน่าสงสาร อืม ก็มันจินตนาการภาพลำบากนี่นะ

    ผมคิดว่า หลายๆคน ก็จะคิดแบบผมในตอนนั้นนั่นแหละ

    นี่ขนาดในเขตนอกเมืองของจังหวัดที่เจริญแล้วนะ

    ถ้าไปไกลถึงขอบจังหวัดไกลๆเลย จะเป็นยังไง นี่ไม่อยากคิดจริงๆ

     

    เมื่อร้องเพลงจบทุกคนก็ประนมมือรอ

     

    ผอ. หญิงแก่ผู้ไว้ผมยาวตรงน่าจะย้อมผมสีดำ ก็เอ่ยขึ้น

    "รับประทานอาหารได้"

     

    แล้วเด็กๆทุกคนก็เอ่ยพร้อมกัน

    "ขอบคุณค่า"

    "ขอบคุณครับ"

     

    .....................

    พวกเราทานอาหารกันจนเสร็จ

    ก่อนที่ ผอ. จะเชิญให้พวกเราเข้าไปภายในห้องกิจกรรม

    ที่มี การตั้งเก้าอี้ ไว้ทั้งหมดน่าจะ 49 ตัว รอบห้องเป็นวงกลม

    และตั้งเก้าอี้ 2 ตัวพนักชนกันไว้ตรงกลาง

     

    "ว้าววว ... พยายามดูสิๆ ที่นี่มีอะไรต่างจากที่อื่นด้วย!!"

    สโรชาเอ่ยด้วยเสียงดีใจ เดินเข้ามาในห้อง ซอกแซกไปมาอย่างสนุกสนาน

     

    "..... เขาจะมีการแสดงอะไรต้อนรับหรือป่าวหน่ะ ...."

    ผมเอ่ยมองไปรอบๆห้อง ที่ถูกทาด้วยสีขาว รอบๆด้านมีภาพกิจกรรมของเหล่าเด็กๆ

    และ บนหลังคาห้องก็มีเชือกเจาะกระดาษรูปดาวหลากสีห้อยลงมา

    แต่แปลกจังเลยแฮะ เหมือนเพิ่งทำใหม่ๆเลย

    นั่นแหละ พวกเขาที่โทรมาเลื่อนนัดเราในวันนั้น อาจจะกำลังเตรียมสถานที่ไว้ต้อนรับพวกเราก็ได้

     

    "นั่นสิ!! อยากจะเห็นไวๆจังเลย"

    สโรชาเอ่ยลุ้นด้วยใบหน้ามุ่งมั่นมากๆ

     

    เธอดูจะติดใจ เหล่าเด็กๆมากทีเดียวหละนะ

    บอกได้เลยว่าผมก็พอเข้าใจ แต่ผมคงจะไม่ดีใจและดีดดิ้นแบบเธอแน่ๆ

    ไม่มีทางหละ.....

     

    อาจารย์สาวผู้สวมแว่นตาหนาเตอะนั้น เดินถือไวโอลินเข้ามาภายในห้อง

    แล้วยิ้มให้กับพวกผม

    "นั่งตรงกลางได้เลยค่ะ..... พวกเรามีโชว์พิเศษให้กับ แขกที่มาในวันนี้เลยนะคะ...."

     

    จริงๆด้วยแฮะ

     

    "ค่ะ!"

    "ครับ"

    พวกเราตอบรับ แล้วนั่ง

     

    "เด็กๆเข้ามาได้จ้ะ"

    เมื่อเธอเดินไปถึง เก้าอี้ ตรงกลาง ซึ่งหันหน้ามาทางผม เธอก็เอ่ยเรียกเด็กๆ

    เหล่าเด็กๆก็ค่อยๆเดินเข้ามากันอย่างเป็นระเบียบและนั่งตามตำแหน่งจนครบโดยไม่มีแย่งกัน

    อาจารย์ที่เหลืออีก 5 คนและผอ.ก็เข้ามานั่งด้วย ตามจุดต่างๆ ที่ยังว่าง

     

    "ว้าว!! โชว์พิเศษจริงๆด้วย"

    สโรชาเอ่ยอย่างสนใจ กอดถุงของขวัญลุ้นๆ

     

    ยัยสโรชานี่ .... เห้อ เอาเถอะ พักผ่อนหละนะ

    ได้เจอเด็กๆ ได้คลายเครียด

    บริจาคของแค่น้อยนิด ก็ได้รับการตอบรับที่ดีขนาดนี้ ... สุดยอดแฮะ

    "กระดี๊กระด๊าจริงๆน้า"

    ผมหันไปเอ่ยยิ้มขำสโรชา

    อย่างน้อยๆในเวลาแบบนี้ก็ไม่แสดงอาการหื่นออกมาหละนะ

    อยากจะเห็นตัวเธอตอนเป็นไอดอลหน่อยๆแฮะ....

     

    ไม่นานนักห้องก็เงียบเชียบ

    ประตูห้องก็ถูกปิดลง

    อาจารย์ที่ถือไวโอลินนั้น ลุกขึ้นยีน

    เด็กๆทุกคนนั่งเตรียมพร้อมเงียบ ไม่มีใครคุยกันเลย...

     

    สุดยอดแฮะ! เยี่ยมไปเลย

    บอกตรงๆเลยนะ ว่าเด็กทุกคนดูเป็นเด็กเรียบร้อยมากเกินไปจริงๆแฮะที่นี่

    ที่อื่นนะ ถึงจะสั่งให้เงียบ ให้ฟัง ก็ต้องมีเด็กดื้อกันมั่งแหละไม่ก็เสียงดังบ้างแหละ

    เป็นเรื่องที่พอเข้าใจและยอมรับได้

    แต่ที่นี่สุดยอดไปเลย อาจารย์เขาสอนดีมากหรือไงนะ บ้านเติมเต็มเนี่ย

    พูดอะไรเด็กฟังหมด .... สอนกันยังไงนะ

     

    แล้วเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนข้างๆอาจารย์ผู้ถือไวโอลิน ก็ยืนขึ้นกล่าว

    ด้วยเสียง ที่ฟังดูไม่มีอาการเกร็งใดๆเลย

    "บทเพลง ที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ให้กับแขกผู้มาเยือน คือบทเพลง ทวิงเคิล ทวิงเคิล ลิทเทิลสตาร์!"

     

    "ว้าว ... ชั้นชอบนะ เพลงนี้ .. ชอบมากๆเลย"

    สโรชาเอ่ยสนใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง ที่โดนตกแต่งให้เหมือนดาวระยิบระยับ

     

    "ชุ่ เงียบๆสิ"

    ผมเอ่ยไม่ให้เธอขัดการแสดงของพวกเด็กๆ

     

    "อื้อๆ"

    สโรชาตอบรับ แล้วกอดถุงของขวัญต่อเงียบๆ

     

    แกรก.... อยู่ๆไฟก็ถูกปิดลง

     

    พวกเรากลืนน้ำลาย ลุ้น ......

     

    แอ๊ดดดดด ...... แอดดดดด...

    เสียงไวโอลิน .... เริ่มบรรเลงออกมา

    เสียงดนตรี ที่ควรจะเป็นเพลงของเด็กๆ

    แต่ทำไม มันกลับบรรเลงดูโหยหวนแบบนี้

     

    เสียงมันไม่ได้แสบแก้วหู แต่มันกลับทำให้ปลายประสาทของผมรู้สึกขวัญเสีย

    ขนแขนของผมเริ่มลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพียงโดยไม่ได้นัดหมาย

     

    พรึบ.... เด็กๆบางคน เปิดไฟฉายสาดแสงไปที่ดวงดาว

    ไฟฉายสี ... แดง

    สะท้อนเหล่ากระดาษบนเพดานราวกับเป็นดาวมรณะ สีเลือด

     

    จากบรรยากาศดีๆ

    ผมรู้สึกหนาวแปลกๆ แม้จะยังมืด

    แต่ผมรู้สึกได้ว่าทุกๆคนในห้อง

    จ้องมองมาที่พวกเรา จ้องมองด้วยสายตาที่ต้องการอะไรบางอย่าง

    ไม่ใช่สายตาที่ต้องการของขวัญ

    มันเหมือนต้องการมากกว่านั้น

     

    "นี่มัน...."

    ผมไม่เข้าใจ .... แต่ไม่กล้าจะขัดไม่รู้จะหันไปทางไหน

     

    หมับ ...

    มือของสโรชาเอื้อมมาจับมือผมไว้ทันที

     

    "ท่าไม่ดีแล้วสิ ... พยายาม"

    สโรชาเอ่ยด้วยเสียงไม่สู้ดี เธอดันตัวเองมาติดกับผมกลืนน้ำลาย

     

    ใช่แล้ว ... ผมรู้สึกเหมือนกัน

    ตอนนี้ เราหลงมาอยู่ในท่ามกลางของอะไรสักอย่าง

    อะไรหละ.....

    นักฆ่ารายใหม่เหรอ?

    เด็กๆพวกนี้เนี่ยนะ

    ทั้งอาจารย์ ทั้งเด็กๆพวกนี้ เป็นนักฆ่าหมดเลยเหรอ????

    ไม่จริง

    จะบ้าไปแล้วหรือไง!!!!

     

     

    แอ๊ดดดดดด แอ๊ดดดดดดดดดด

    เสียงของ ไวโอลินนั้นยังคงดังระงม

    ก่อนที่เสียงของเด็กชายที่กล่าวนำ ก็เริ่มต้นร้อง

    "Twinkle, twinkle, little star"

    สำเนียงของเด็กคนนั้น ร้องได้อย่างชัดเจนจนน่าตกใจ

    แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่า ไม่ใช่สำเดียง

    แต่กลับเป็นเสียงร้องโหยหวน จนสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง
     

    ชิบหายแล้วไง ตรู ... นี่มันเหี้ยอะไรอีกวะเนี่ย

    รอบนี้ พวกมึงเอาเด็กมาฆ่ากูเลยเหรอวะ!!

    ไม่ใช่แค่ขนแขนแล้ว ..... แต่ขนทั้งร่างกายตอนนี้มันลุกซู่ไปหมดแล้วโว้ย สัตว์เอ้ย!!!

     

     

    เมื่อสิ้นเสียงนำ

    เหล่าเด็กทุกๆคน ก็เริ่มร้องประสานเสียงกับบทบรรเลงเพลง ....

    ที่แสนจะโหยหวนกรีดแทงจิตใจ ลงไปทุกกระดูกดำ

    บทเพลง ที่เปี่ยมไปด้วย ความกระหายและกลิ่นอายของความตาย

    เข้ากับบทบรรเลง ดนตรี ไวโอลิน ที่เล่นได้ดี

    แต่กลับชวนให้เราปวดเส้นประสาท ลงไปถึงแก่น

     

    ~~~How I wonder what you are!

    Up above the world so high,

    Like a diamond in the sky!

     

    When the blazing sun is gone,

    When the nothing shines upon,

    Then you show your little light,

    Twinkle, twinkle, all the night.

     

    Then the traveler in the dark,

    Thanks you for your little spark,

    He could not see which way to go,

    If you did not twinkle so.

     

    When the blazing sun is gone,

    When the nothing shines upon,

    Though I know not what you are,

    Twinkle, twinkle, little star.~~~

     

    บรรยากาศในห้อง ที่มืดมิด

    ถูกฉายด้วยไฟฉายสีแดง สาดส่องไปทั่วเพดาน

    ดวงดาวบนเพดานสะท้อนแสงสีแดงคล้ำ
    ราวกับแสงนั้นคือเลือด ที่เกาะติดกับเหล่าดวงดาว

    แสงที่สะท้อนเข้าหน้าเด็กๆ เผยให้เห็นดวงตา อันไร้ซึ่งแววตา ไร้ซึ่งความรู้สึก และไร้ซึ่งความหวัง

    เสียงที่โหยหวน ถูกเค้นออกมาจากลำคออันเรียวเล็กของพวกเขาเปล่งผสาน สอดคล้องร่วมไปกับท่วงทำนองของไวโอลิน ที่กำลังบรรเลงเสียงอันไพเราะ แต่กลับทรมานจิตใจ

    ......

    จากทั้งหมด มันเหมือนกับพวกเขามีความต้องการเพียงอย่างเดียว ที่จะมอบให้กับพวกเรา

    ราวกับว่า .....พวกเขา กำลังต้องการให้พวกเราดำดิ่งสู่ห้วงลึกของเพลง

    ดวงดาวน้อย แห่งความตาย

     

    End Chapter 27 Twinkle, twinkle, little star

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×