คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : THE ROOMMATE - 16
แบคฮยอนตื่นขึ้นมาในสภาพที่ปวดไปทั่วร่างกาย ร่างเล็กยกมือขึ้นมาแตะที่ขมับเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตึง ๆ ที่แผล แล้วก็พบว่าศีรษะของตัวเองถูกพันไว้ด้วยผ้าก็อซผืนหนา และภายในผืนผ้านั้นแผลของเขาคงจะถูกเย็บไว้มากกว่าหนึ่งเข็ม
ร่างเล็กพยายามจะยามจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็ต้องนอนลงไปเหมือนเดิมพร้อมกับนิ่วหน้าขึ้นหลังจากที่รู้สึกได้ถึงความเจ็บที่แล่นไปทั่วหน้าท้อง แบคฮยอนมองสำรวจตัวเอง ตอนนี้เขาอยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล และห้องที่เขากำลังนอนอยู่ก็ดูเหมือนจะเป็นห้องพิเศษขนาดใหญ่เสียด้วย พอมองพิจารณาไปทั่วทั้งห้อง สักพักเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ร่างเล็กหันไปมองตามเสียงนั้น ก่อนจะพบว่าบุคคลที่กำลังเดินเข้ามานั้นก็คือรูมเมทคนที่เขาคุ้นเคยนั่นเอง
ชานยอลที่กำลังเดินเข้ามาเมื่อพบว่าแบคฮยอนฟื้นแล้วก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนที่สีหน้านั้นจะแปรเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนที่กำลังโกรธในวินาทีต่อมา ร่างสูงเดินตรงมาที่รูมเมทตัวเอง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโทนต่ำและก็เคร่งเครียด “ฉันบอกให้รอก่อนทำไมไม่รอ ถ้าก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ไปเห็นว่านายตกอยู่ในอันตรายแบบนั้นนายจะเป็นยังไง”
“…” คนตัวเล็กไม่ตอบอะไร เพียงแต่ก้มหน้าลงเพราะไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายไปยังไง
“ตอบฉันมาสิแบคฮยอน แค่นั่งรอกันมันจะเป็นจะตายมากหรอ!” ชานยอลกระแทกเสียงใส่แบคฮยอน ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันขวับขึ้นมามองหน้าเขาแล้วเริ่มแสดงสีหน้าที่เหมือนจะแปลกใจปนกับไม่พอใจ
ก็รออยู่นานแล้ว ให้รอไปกี่ชั่วโมงล่ะ พอโทรหาก็โทรไม่ติด แล้วสุดท้ายต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเพราะนายไม่ใช่รึไง ?
ชานยอลเริ่มแสดงท่าทีหงุดหงิดมากขึ้นที่แบคฮยอนเอาแต่เงียบไม่ยอมตอบอะไร “แบคฮย…” เสียงของร่างสูงขาดหายไปเมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังเปิดประตูเข้ามาในห้อง คนที่กำลังเดินเข้ามานั้นก็คือหมอเจ้าของไข้ของแบคฮยอน ตามหลังมาด้วยนายตำรวจสองนายที่คงจะมาสอบสวนแบคฮยอนถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้น
“ทางโรงพยาบาลประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้แล้วครับ ยังไงก็รบกวนคุณแบคฮยอนให้การกับเจ้าหน้าที่หน่อยนะครับ” นายแพทย์ในชุดกาวน์ตัวยาวพูดขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ แบคฮยอนแล้วตรวจดูรอยฟกช้ำและบาดแผลที่ถูกผ้าก็อซพันไว้อย่างเบาแรง “ฟื้นเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ยังมีอาการปวดมาก ๆ อยู่รึเปล่าครับ?”
“…นิดหน่อยครับ”
“พยายามอย่าขยับตัวมากเกินความจำเป็น ตอนนี้ที่หน้าท้องของคุณมีอาการฟกช้ำแล้วเหมือนจะช้ำในพอสมควรด้วย ถ้ายังฝืนทำอะไรเยอะ ๆ อาจจะทำให้หายช้า ส่วนแผลบนขมับนี่หมอเย็บไปทั้งหมดสามเข็ม ทิ้งไว้หนึ่งอาทิตย์แล้วก็ค่อยกลับมาตัดไหม”
แบคฮยอนพยักหน้าให้หมอช้า ๆ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ห…หมอครับ ผมจำเป็นต้องนอนที่โรงพยาบาลหรอ?”
“อ่า… ศีรษะของคุณไม่ได้รับการกระทบกระเทือนมากเท่าไหร่ ไอ้ว่าจำเป็นไหมก็ไม่หรอกครับ แต่อยากให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน อย่างน้อยคุณจะได้พักผ่อนโดยที่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อรอดูอาการต่อไป”
“ผมไม่เป็นไรมากหรอก ดีขึ้นแล้วล่ะครับ ให้ผมกลับเถอะนะ” แบคฮยอนพูดแทรกนายแพทย์เจ้าของไข้ขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน ในขณะที่ชานยอลที่กำลังมองอยู่ก็ถึงต้องทำสีหน้าเอือมระอาขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“คุณมีธุระด่วนที่จะต้องทำหรอครับ”
“ค…ครับ พรุ่งนี้ผมมีเรื่องที่ต้องทำด่วนที่มหาวิทยาลัย”
“ไม่ต้องเลย พักอยู่นี่แหละ รอให้หายดีก่อนค่อยไป” เป็นชานยอลที่พูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่แบคฮยอนจะหันไปมองหน้าเขาเพียงเล็กน้อยแล้วหันกลับมาพูดกับหมอโดยที่ไม่ใส่ใจในคำพูดของเขา
“ตกลงผมออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่คืนนี้ได้ไหมครับ รับรองผมจะไม่ทำอะไรหักโหม พรุ่…”
“แบคฮยอน!” เป็นอีกครั้งที่ชานยอลพูดแทรกขึ้นในขณะที่แบคฮยอนกำลังพูด ใบหน้าของร่างสูงตอนนี้ดูหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม ก่อนที่คนที่เป็นคนกลางอย่างแพทย์เจ้าของไข้จะพูดพลางกับห้ามปรามขึ้น
“ผมว่าใจเย็น ๆ กันดีกว่านะครับ ถ้าคุณแบคฮยอนจำเป็นต้องกลับหมอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ห้ามใช้แรงในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เยอะล่ะ แล้วก็ต้องรอให้น้ำเกลือที่ให้อยู่หมดก่อน แต่ยังไงหมอก็อยากให้คุณนอนพักอยู่ที่นี่มากกว่า ยังไงก็ลองคุยกันก่อนนะครับ ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็ค่อยเรียกหมอ”
“…ครับ”
“งั้นก็รบกวนคุณให้ปากคำกับตำรวจก่อนนะครับ หมอขอตัวละ”
“ขอบคุณครับคุณหมอ” แบคฮยอนฝืนยิ้มให้คนตรงหน้าไป ก่อนที่นายแพทย์ผู้นั้นจะยิ้มตอบแล้วเดินออกจากห้องไป หลังจากนั้นชานยอลก็หันมามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ พร้อมกับเอ่ยปากขึ้นเตรียมจะต่อว่าเขา
“แบคฮ…”
“เชิญเลยครับคุณตำรวจ” แบคฮยอนเลือกที่ไม่สนใจกับน้ำเสียงอันโทสะของรูมเมทตัวสูง แล้วมันมาพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนรออยู่ใกล้ ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นายตำรวจสองคนนั้นหันมาขานรับกับแบคฮยอน ก่อนที่จะเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ เพื่อบันทึกปากคำต่อไป
ชานยอลเม้มปากไว้แน่น ก่อนจะเบี่ยงหน้าไปทางอื่นพร้อมกับเสียงลมหายใจฟึดฟัด แล้วยืนฟังทุกเหตุการณ์จากปากของแบคฮยอนด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การบันทึกการให้ปากคำของแบคฮยอนก็จบลง นายตำรวจทั้งสองคนโค้งให้แบคฮยอนและชานยอลเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปแล้วปิดประตูไว้อย่างเบาแรง
หลังจากที่ร่างของนายตำรวจทั้งสองคนพ้นตาไป ชานยอลก็รีบเดิมดุ่ม ๆ เข้ามาหาแบคฮยอนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นเคย
“ฉันไม่ให้นายกลับ” แบคฮยอนทำเป็นไม่สนใจคำพูดของชานยอล ก่อนที่จะเอื้อมมือไปกดปุ่มตรงสายที่มีไว้สำหรับเรียกเจ้าหน้าที่ในตอนฉุกเฉิน ทำให้ชานยอลต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ และยังที่ไม่ทันได้ถามอะไรออกไป นางพยาบาลก็เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วเดินเข้ามาหาคนที่อยู่บนเตียงทันที
“เป็นอะไรคะคุณแบคฮยอน”
“น้ำเกลือที่อยู่ในถุงหมดแล้ว ถอดเข็มออกให้ผมหน่อยนะครับ รบกวนช่วยบอกคุณหมอด้วยว่าผมจะกลับตอนนี้”
“ทำไมดื้อแบบนี้น่ะแบคฮยอน!” ทันทีที่แบคฮยอนพูดจบ ชานยอลก็ตะคอกใส่ร่างเล็กอย่างเหลืออด ก่อนที่แบคฮยอนจะหันไปถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ชอบใจเช่นเดียวกัน
“อ…เอ่อ เดี๋ยวดิฉันไปตามคุณหมอให้นะคะ” พยาบาลสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักเล็กน้อย ก่อนที่จะหันหลังให้กับคนป่วยแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนที่เหลืออยู่ในห้องสองคนเผชิญหน้ากันโดยลำพังด้วยบรรยากาศที่มาคุขึ้นเรื่อย ๆ
แสงสีส้มนวลจากเสาไฟที่เรียงติดกันอยู่ตามถนนไล้ไปตามโครงหน้าของแบคฮยอน
ตอนนี้ทั้งแบคฮยอนและชานยอลอยู่ในรถคันเดียวกับที่ใช้นำแบคฮยอนไปที่โรงพยาบาล หลังจากการที่ทั้งสองคนได้ใช้เวลาอยู่ในห้องที่โรงพยาบาลด้วยกัน ชานยอลก็เป็นฝ่ายเดียวที่เป็นคนเอ่ยปากถามสารพัดคำถามกับรูมเมทตัวเล็กด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากแบคฮยอนกลับเป็นความเงียบที่ยั่วอารมณ์โมโหของเขาได้เป็นอย่างดี
แบคฮยอนใช้ความเงียบเข้าต่อสู้กับชานยอล จนแล้วจนรอด ชานยอลก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้วยอมให้แบคฮยอนออกจากโรงพยาบาลอย่างไม่เต็มใจ เขาคงจะไม่ยอมหรอก… ถ้าหากย้ำแล้วย้ำอีกกับแบคฮยอนว่าไม่ให้กลับ แต่อีกฝ่ายก็ยังจะขอโทรศัพท์จากพยาบาลเพื่อโทรไปบอกคนให้มารับ จนชานยอลต้องแย่งโทรศัพท์เครื่องนั้นออกมาเองกับมือ แล้วก็ยอมให้แบคฮยอนออกจากโรงพยาบาลโดยที่มีเขาเป็นคนพากลับ แล้วก็ยังเป็นคนที่จะคอยดูแลแบคฮยอนตลอดจนกว่าจะหายดี
เพราะตอนนี้ชานยอลมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนเป็นที่ห่วงและเข้าใจในอาการเจ็บของแบคฮยอนที่สุดแล้ว…
ชานยอลไม่ได้ตั้งใจที่จะแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดหรือโมโหแบบนั้นใส่แบคฮยอนเลย ทุกคำถามของเขาเกิดขึ้นจากความเป็นห่วง แต่แบคฮยอนกลับเอาแต่เงียบโดยที่ไม่ได้สนใจในความเป็นห่วงของเขาเลย และนั่นมันก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องแสดงท่าทีที่ไม่น่าดูเหล่านั้นออกไป แต่ชานยอลกลับไม่รู้ตัวเลยว่า เพราะท่าทีที่ฉุนเฉียวเหล่านั้นนั่นแหละ ที่ทำให้แบคฮยอนไม่มีอารมณ์จะมาต่อปากต่อคำด้วย
วินาทีแรกที่แบคฮยอนเห็นชานยอลเดินเข้ามาในห้อง เขารู้สึกดีใจและมีคำถามมากมายที่อยากจะถามกับรูมเมทร่างสูงเยอะไปหมด
ชานยอลใช่คนที่พาเขามาโรงพยาบาลไหม ? ชานยอลไปเจอเขาได้ยังไง ? ชานยอลหายไปไหนมา ?
แต่คำถามเหล่านั้นก็ถูกลบทิ้งไปทั้งหมดจากคำพูดที่ดูกระโชกโฮกฮากของอีกฝ่าย แบคฮยอนรู้ตัวดีว่าตัวเองงี่เง่ามากที่รู้สึกน้อยใจในคำพูดของชานยอล
แล้วความรู้สึกแบบนี้มันสามารถห้ามกันได้ด้วยหรือ ?
ในวินาทีที่เขาโดนมิจฉาชีพสองคนนั้นทำร้ายจนใกล้จะหมดสติลง แบคฮยอนก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาจะรอดชีวิตไหม จนกระทั่งได้ตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครัน พร้อมกับได้เห็นหน้าของรูมเมทร่างสูงที่เขานึกถึงเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติไปเป็นคนแรก ก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที
แบคฮยอนต้องการคำปลอบโยนจากชานยอล ต้องการให้ชานยอลเข้ามาไถ่ถามเขาด้วยความเป็นห่วงด้วยท่าทีที่อ่อนโยน หากแต่สิ่งที่ได้มาจากชานยอลกลับเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยลื่นหูเท่าไหร่ ในตอนแรก เขาตั้งใจที่จะไม่ตอบชานยอลเพียงเพราะไม่อยากจะแสดงอาการงี่เง่าของตัวเองออกมา แต่ยิ่งเขาพยายามจะเงียบเท่าไหร่ ชานยอลก็ยิ่งพล่ามออกมาไม่หยุดด้วยถ้อยคำที่เขาไม่ได้อยากจะได้ยินมันเลย
แบคฮยอนนั่งนิ่ง ดวงตาคมทอดไปยังถนนด้านนอกซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรผ่านไปมา จนถึงตอนนี้ แบคฮยอนก็ยังไม่ได้ตอบคำถามหรือพูดอะไรกับชานยอล ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดึงดันอะไร เมื่อแบคฮยอนไม่ยอมที่จะปริปากพูดกับเขาแม้แต่นิดเดียว ร่างสูงก็เลยเลือกที่จะเงียบแล้วเก็บอารมณ์ขุ่นมัวเหล่านั้นเอาไว้ โดยที่มีเสียงเพลงจากวิทยุเป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศภายในรถไม่ดูเงียบจนเกินไป
แต่มันก็เท่านั้นแหละ… เสียงเพลงเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนผ่อนคลายขึ้นแม้แต่น้อย ชานยอลเอาแต่เพ่งสายตาไปข้างหน้ากระจกรถอย่างไม่บอกบุญ มือกำพวงมาลัยแน่น และคันเร่งที่ถูกเหยียบให้แรงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะให้ถึงจุดหมายเร็ว ๆ
เวลาเกือบจะตีสี่ รถของชานยอลก็ได้แล่นมาถึงหอพักอย่างปลอดภัย แบคฮยอนเป็นคนที่ลงจากรถเป็นคนแรกและเดินนำไปก่อน ก่อนที่ชานยอลจะรีบเดินตามไปติด ๆ พร้อมกับสัมภาระของแบคฮยอนที่เขาเก็บไว้ให้ในตอนก่อนหน้านี้
เมื่อถึงห้องแล้ว แบคฮยอนก็เดินตรงเข้าไปยังโต๊ะของตัวเองทันที มือเล็กเอื้อมไปหยิบงานเขียนหลาย ๆ แผ่นที่เขาร่างมันไว้ก่อนที่จะกลับคอนโดไปมารวมกันไว้ ชานยอลวางกระเป๋าของแบคฮยอนลง ก่อนที่จะค่อย ๆ พรูลมหายใจออกมาพลางระงับอารมณ์ร้อนของตัวเองเอาไว้
“แบคฮยอน ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ เลือดเปรอะขนาดนั้นไม่คาวรึไง เดี๋ยวของพวกนั้นฉันจะเก็บให้เอง”
“…”
“แบคฮยอน ไปอาบน้ำนอนซะ ฉันจะเก็บงานให้นายเอง”
แบคฮยอนไม่ได้สนใจคำพูดของชานยอล หากแต่ทำเหมือนกับคำพูดที่หวังดีเหล่านั้นเป็นเพียงอากาศ ร่างเล็กลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินผ่านหน้าชานยอลไป ก่อนที่จะไปเปิดตู้ของตัวเองแล้วหยิบกระดาษออกมานับสิบแผ่นออกมาพลิกดู
“…แบคฮยอน ที่พูดน่ะไม่ได้ยินรึไง” แบคฮยอนยังคงเมินเฉยกับคำพูดชานยอล พร้อมกับย่างเท้าผ่านหน้าชานยอลอีกครั้งเพื่อจะกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง ก่อนจะโดนชานยอลคว้าแขนไว้ซะก่อน “แบคฮยอน!”
“…”
“ฉันไม่ได้อยากอารมณ์เสียใส่นายเลยนะ ทำไมถึงยั่วโมโหฉันแบบนี้ล่ะ จะไม่พูดกับฉันสักคำเลยรึไง!” แบคฮยอนหันหน้ามามองรูมเมทตัวเอง ก่อนที่จะสะบัดมือของอีกฝ่ายทิ้งแล้วเดินไปที่โต๊ะดังเดิม
แบคฮยอนไม่ได้อยากทำแบบนี้… แต่เพราะยังไม่พร้อมที่จะคุยกับชานยอลตอนนี้เลยเลือกที่จะหนีโดยวิธีนี้ และเขาก็รู้ตัวดีว่าการทำแบบนี้มันก็สมควรที่จะถูกชานยอลอารมณ์เสียใส่
แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ? นอกจากวิธีนี้ก็ยังไม่เห็นจะมีวิธีไหนที่พอจะทำได้ในตอนนี้เลย…
ชานยอลเม้มปากจนเป็นเส้นตรงพร้อมกับกำหมัดแน่น
ยิ่งเห็นแบคฮยอนเป็นแบบนี้มันก็ยิ่งอดไม่ได้เลยที่จะโมโห…
ขายาว ๆ ของชานยอลก้าวพรวด ๆ ตรงมาที่แบคฮยอน ก่อนที่จะเอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับไหล่ของอีกคนให้หันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง
“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ! รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายแค่ไหน!! หัวใจแทบจะหลุดจากหน้าอกอยู่รอมร่ออ่ะตอนพานายไปหาหมอ แล้วดูนายทำสิ สนใจกันบ้างรึเปล่า ความรู้สึกของฉันมันไม่สำคัญเลยรึไง!!!”
“…” แบคฮยอนขมวดคิ้วมองหน้าแบคฮยอนด้วยสายตาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาปัดมือของชานยอลออกไป แล้วหันกลับไปที่โต๊ะของตัวเองเหมือนเดิม
เขาอยากจะตอบชานยอล มีคำพูดมากมายที่แบคฮยอนอยากจะบอกหรือถามชานยอลกลับไปมันเยอะไปหมด เยอะเสียจนสมองเขาตอนนี้แทบจะประมวลมันออกมาไม่ทัน
แล้วความรู้สึกฉันล่ะชานยอล ? นายปล่อยให้ฉันรอแล้วรออีกแล้วก็ไปอยู่กับแฟนตัวเอง แบบนี้จะให้ฉันรู้สึกยังไง ?
แบคฮยอนกำมือแน่น เขาอยากจะตะโกนความในใจใส่หน้าชานยอล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้เพราะไม่อยากจะปะทะอารมณ์กับชานยอลตอนนี้ จนกระทั่งอีกฝ่ายกระชากแขนเขาเพื่อให้หันหน้าไปเผชิญกันอีกครั้ง
แบคฮยอนสะบัดมือนั้นอย่างไม่ใยดี ก่อนที่ชานยอลจะเปลี่ยนจากการกระทำแบบเดิมไปเป็นรวบตัวของแบคฮยอนเข้ามาชิดกับร่างตัวเอง แบคฮยอนพยายามจะดันออก ทั้งทุบ ทั้งดัน แต่มันก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายรวบตัวเขาไว้แน่นยิ่งขึ้น
“ทำไมล่ะแบคฮยอน รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยรึไง แตะนิดแตะหน่อยนี่ถึงกับต้องสะบัดออกตลอด” ชานยอลพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ อีกฝ่าย ทำให้แบคฮยอนต้องเบือนหน้าหนีด้วยสีหน้าที่บอกว่ารังเกียจรังงอนเอามาก ๆ ก่อนที่ชานยอลจะแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย และเสียงหัวเราะนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง…
“จะพูดกับฉันได้รึยัง” หลังจากที่ชานยอลพูดจบ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งแบคฮยอนยอมพูดขึ้น
“…ปล่อยเถอะชานยอล ฉันยังไม่อยากพูดอะไรกับนายตอนนี้ แล้วก็ขอร้องอย่ามาแตะต้องตัวฉันในลักษณะนี้อีก” แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงเบาแผ่วพร้อมกับก้มหน้าต่ำลง
“ทำไม”
“…”
“บอกฉันก่อนสิว่าทำไม!” ชานยอลพูดพร้อมกับกอดรัดตัวของแบคฮยอนเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น ในขณะที่แบคฮยอนเองก็พยายามจะดันออกอยู่ตลอดเวลา
คำตอบที่มีแต่ความเงียบและท่าทีที่ต่อต้านการสัมผัสจากอีกฝ่ายของแบคฮยอนเริ่มทำให้ความอดทนของชานยอลขาดผึง ร่างสูงยังคงกอดรัดตัวของแบคฮยอนเอาไว้แล้วมืออีกข้างก็ใช้ดันท้ายทอยของแบคฮยอนให้หันมามองหน้าตัวเอง
แบคฮยอนพยายามจะผลักไสอ้อมกอดนั้นด้วยการดันและทุบไหล่ของร่างสูงตรงหน้าอย่างหนักหน่วง และยิ่งทำแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้ชานยอลเลือกที่จะทิ้งความอดทนไว้ข้างหลัง ก่อนที่จะทำในสิ่งที่เขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำขึ้น ร่างสูงใช้มือหนาดันท้ายทอยของแบคฮยอนเข้ามาใกล้ ๆ แล้วก็ก้มหน้าลงไปหาใบหน้านั้นจนปลายจมูกสัมผัสกัน
“ชานย…!” เสียงของแบคฮยอนถูกกลืนหายไปหลังจากริมฝีปากของชานยอลได้แนบลงที่กลีบปากบางของเขา แบคฮยอนเบิกตาโพลงทันทีที่รู้สึกได้ว่าลิ้นสากของชานยอลนั้นกำลังพยายามดันเข้ามาในโพรงปากของตัวเอง ร่างเล็กเม้มปากไว้แน่นพร้อมกับพยายามดันไหล่ของชานยอลออกไป แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ชานยอลรวบตัวเขาไว้แน่นยิ่งขึ้น
แบคฮยอนหลับตาลงพร้อมกับกลั้นลมหายใจเอาไว้อย่างไม่รู้ตัวเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงที่มีมากกว่าของชานยอล มือเล็กจากที่ใช้ทุบและดันตัวอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนมาเป็นกำไหล่แกร่งไว้แน่นเพราะเริ่มรู้สึกหมดแรง
ริมฝีปากหนาของชานยอลยังคงพยายามดูดดึงกลีบปากของแบคฮยอนอย่างหนักหน่วง จนในที่สุดลิ้นของเขาก็สามารถผ่านริมฝีปากของแบคฮยอนเข้าไปได้หลังจากอีกฝ่ายเริ่มขาดอากาศหายใจแล้วเผลอเผยอปากขึ้น ร่างสูงไม่รอช้าที่จะรีบตักตวงความหวานจากโพรงปากเล็กเอาไว้ ลิ้นหนาของชานยอลถูกกวาดไปทั่วบริเวณ พร้อมกับริมฝีปากที่เริ่มดูดดึงลิ้นเล็กของอีกฝ่ายเอาไว้
ชานยอลรู้สึกมีความสุขกับรสจูบนี้ ถึงแม้ว่าการกระทำนี้มันเกิดขึ้นเพราะอารมณ์โทสะ แต่ตอนนี้ความหวานจากแบคฮยอนมันกลับทำให้เขาอ่อนยวบลงอย่างง่ายดาย และยิ่งไม่อยากจะปล่อยให้คนตัวเล็กหลุดจากอ้อมกอดไป…
สมองของแบคฮยอนเริ่มขาวโพลน ร่างเล็กรู้สึกหมดแรงไปกับการกระทำอันจาบจ้วงของชานยอล แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที แบคฮยอนก็ค่อย ๆ ตั้งสติได้ ก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วผลักร่างสูงออกไปเต็มแรง
แบคฮยอนหลุดออกจากอ้อมกอดและจูบของชานยอล…
ชานยอลที่เพิ่งเสียหลักออกมายืนมองคนตรงหน้านิ่ง ร่างสูงเหมือนเพิ่งจะตั้งสติได้ อารมณ์รู้สึกผิดมันผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เขารู้สึกสับสนและอยากจะขอโทษแบคฮยอน… หากแต่ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากขึ้นนั้นก็โดนอีกฝ่ายพูดตัดหน้าไปซะก่อน
“เป็นบ้าอะไรห้ะชานยอล!!!!”
“…”
“ฉันอุตส่าห์อดทนไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับนายแล้วนะ แล้วนี่นายทำอะไร!” แบคฮยอนตะโกนออกมาอย่างเหลืออด สะกดให้ชานยอลยืนนิ่งอยู่กับที่โดยที่ไม่คิดจะพูดแทรกขึ้น “ก็บอกแล้วไงที่ฉันเงียบใส่นายเพราะฉันยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรทั้งนั้น …อยากรู้รึเปล่าว่าทำไม”
“…” ชานยอลไม่ตอบอะไร ดูเหมือนตอนนี้มันก็คงจะชัดแล้วว่าเขาต้องเป็นฝ่ายที่ต้องเงียบเพื่อให้แบคฮยอนพูดความในใจออกมาบ้าง
“ฉันน้อยใจนายที่นายเอาแต่บ่นแล้วก็ตวาดฉันทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งเจ็บหนักมา งี่เง่าใช่ไหมล่ะ? ฉันอยากให้นายเข้ามาปลอบฉัน อยากให้นายอ่อนโยนกับฉัน แต่นายแม่งก็เป็นแบบนี้อ่ะ!”
“…”
“ฉันตั้งใจจะไม่พูดกับนายแค่แปปเดียว แล้วดูแต่ละคำพูดของนายสิ ทำเหมือนฉันแม่งผิดเองทุกอย่างที่เกือบพาตัวเองไปตายแบบนั้น แล้วนายล่ะ นายไม่มีส่วนที่มันทำให้มันเป็นแบบนี้เลยงั้นดิ?” ชานยอลหลุบตาต่ำลง ก่อนที่แบคฮยอนจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วช้อนตาขึ้นมองเขา “นายนัดฉันกี่โมงแล้วนายปล่อยให้ฉันรอถึงกี่โมง?”
“ฉ…ฉั…” ชานยอลเปล่งเสียงออกมาอย่างตะกุกตะกัก แต่แบคฮยอนก็ไม่ได้จะฟังคำตอบจากอีกคนอยู่แล้ว เลยพูดสวนขึ้นในขณะที่ชานยอลยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร
“ฉันรอนายตั้งแต่สองทุ่มยันเที่ยงคืนแล้วนายก็ไม่มาสักที พอโทรหาโทรไม่ติด”
“…”
“นายเอาแต่บอกว่าฉันไม่แคร์ความรู้สึกนาย แล้วนายล่ะ ฉันเป็นคนบังคับให้นายมารับรึเปล่า? นายทั้งนั้นแหละที่คะยั้นคะยอจะมารับฉันให้ได้ แล้วพอวันนี้นายก็บอกให้ฉันรอๆๆๆแล้วก็ไปอยู่กับแฟนตัวเองอ่ะ มันสมควรจะเป็นฉันหรือนายกันแน่ที่ว่าไม่แคร์ความรู้สึกน่ะ!”
“แบคฮยอนฉั…” ชานยอลส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกผิด
“พอสักทีเถอะชานยอล เลิกทำเหมือนฉันสำคัญทั้ง ๆ ที่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น” แบคฮยอนก้มหน้าลง ก่อนจะถามชานยอลขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “รู้อะไรไหม”
“…?” ชานยอลเลิกคิ้วขึ้น
“ที่ฉันต้องกลับไปอยู่คอนโดน่ะ ก็เพราะนาย”
“ห…หมายความว่ายังไง”
“นายคิดว่าสิ่งที่นายปฏิบัติต่อฉันมันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเป็นเพื่อนกันเขาทำกันไหม?” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าชานยอลอีกครั้ง “แต่ฉันกับเซฮุนไม่เคยเป็นแบบนั้นกันว่ะ”
“…”
“ฉันเข้าใจนะ สิ่งที่นายทำกับฉันไม่ว่าจะเป็นไอ้พวกกอดซบหอมจูบบลา ๆ นายบอกว่ารู้สึกดีกับฉันทำดีกับฉันหรืออะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่างมันอาจจะเป็นเพราะนายเหงา แต่นายรู้ไหม? เพราะไอ้เรื่องพวกนี้แหละที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับนายขึ้นมา”
“…แบคฮยอน”
“ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่ฉันแน่ใจว่าฉันไม่ได้ชอบนาย ฉันไม่ชอบนาย ฉันไม่ชอบนายที่เอาแต่ให้ความหวังฉันไม่จบไม่สิ้นแบบนี้น่ะชานยอล!”
“แบคฮยอนฉันขอโทษ” ชานยอลมองหน้าแบคฮยอนอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับพร่ำคำขอโทษออกมาแล้วกับเอื้อมมือจะไปแตะที่ตัวของแบคฮยอน แต่อีกฝ่ายกลับเลี่ยงสัมผัสนั้นด้วยขยับกายหนีอย่างอัตโนมัติ
“เข้าใจแล้วใช่ไหมชานยอล ถ้านายยังสงสารฉัน ก็เลิกทำแบบนี้กับฉันซะเถอะ อย่ามาทำเหมือนว่าคิดอะไรกับฉันทั้ง ๆ ที่นายก็รักคุณลู่หานอยู่แล้ว”
ชานยอลนิ่งไป…
คำพูดของแบคฮยอนเหมือนจะตบหน้าเขาเข้าอย่างจัง สิ่งที่เขาไม่แน่ใจมาตลอดในตอนนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าแบคฮยอนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรต่างไปจากที่เขาเคยรู้สึกกังวลเลย เพียงแค่ที่ผ่านมา เขายังไม่ได้มองแบคฮยอนให้ลึกพอ แล้วมันก็กลายเป็นการทำร้ายแบคฮยอนไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว…
“ฉันรู้ว่าเรื่องที่ฉันพูดมาประโยคหลัง ๆ มันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องวันนี้ แต่ที่ฉันพูดไปมันคงจะตอบเรื่องที่นายสงสัยไปได้ทั้งหมดแล้วใช่ไหม นายเข้าใจฉันแล้วใช่ไหม”
“…”
“ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวนะ… สงสารฉันเถอะ อย่าให้ความรู้สึกของฉันมันเกินเลยไปมากกว่านี้เลย” แบคฮยอนพูดออกมาพร้อมกับแววตาที่แดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ร่างเล็กจะหันหลังให้กับชานยอลแล้วค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป
ชานยอลไม่ได้รั้งแบคฮยอนเอาไว้ ร่างสูงปล่อยให้รูมเมทตัวเองเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้หันไปมอง เขารู้ว่าที่ที่แบคฮยอนจะไปก็คงมีไม่กี่ที่ แล้วการที่ปล่อยให้แบคฮยอนไปแบบนั้นมันก็คงจะดีมากกว่าที่จะมานั่งรู้สึกแย่อยู่ในห้อง ๆ นี้อย่างแน่นอน
ชานยอลยืนนิ่งพร้อมกับก้มหน้าต่ำลง ร่างสูงใช้เวลายืนทบทวนความรู้สึกตัวเองอยู่นานร่วมครึ่งชั่วโมง ก่อนที่มือข้างซ้ายจะถูกยกขึ้นในระดับคอ
ชานยอลกำมือตัวเองไว้ ก่อนจะจ้องมองไปที่แหวนที่สวมอยู่ในมือแล้วค่อย ๆ เกลี่ยมันเบา ๆ
“มันไม่ใช่ความรัก” ร่างสูงเปล่งเสียงออกมาอย่างชัดเจน แล้วเดินกลับไปคว้ากุญแจรถที่ถูกโยนลงบนเตียงในตอนที่เพิ่งกลับมาถึงห้อง ก่อนจะรีบเดินทางออกจากหออีกครั้งเพื่อกลับยังคอนโดของคนรัก
ผมขอโทษนะพี่ลู่หาน…
“มึงโอเคใช่ไหม”
“อือ”
“ไอ้เหี้ยชานยอลแม่ง…” เซฮุนสบถขึ้นมาพร้อมกับกัดฟันกรอด หลังจากที่แบคฮยอนเดินโซซัดโซเซเข้ามาเคาะห้องเขาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ และนับว่ายังดีที่จงแดยังไม่กลับมาจากบ้าน ร่างสูงเกิดอาการตกใจสุดขีดหลังจากได้เห็นสภาพเพื่อนรักที่มีผ้าพันแผลพันอยู่บนหัว แถมยังมีคราบเลือดเกรอะกรังเต็มเสื้อผ้า เซฮุนรีบดึงเพื่อนรักเข้ามาประคองไว้ ก่อนจะไถ่ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตื่นตระหนก และแบคฮยอนก็พูดออกมาจนหมด พูดแม้กระทั่งเรื่องที่เขาปะทะอารมณ์กับชานยอลในวันนี้ ทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าจะไม่พูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชานยอลให้ใครฟัง…
“ทำไมมึงไม่เคยพูดให้กูฟังเลยวะ”
“…กูว่ามันไร้สาระ เรื่องทั้งหมดมันอาจจะเป็นกูที่เข้าใจผิดคนเดียวก็ได้”
“ไร้สาระอะไรของมึง มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนไหม! มีอะไรก็บอกกันดิ!!” เซฮุนตะคอกใส่แบคฮยอนด้วยความโมโห ก่อนจะปรับโทนเสียงให้ต่ำลงแล้วเอียงคอถามต่ออย่างไม่เข้าใจ “กูเป็นเหี้ยอะไรกูเคยไม่บอกมึงป้ะ แล้วเรื่องแต่ละเรื่องที่กูเล่าให้มึงฟังแม่งก็ไร้สาระทั้งนั้นอ่ะ แต่กูเคยเกรงใจที่จะบอกมึงป้ะ? กูเคยคิดจะปิดมึงเพราะกูกลัวว่ามึงจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระไหม?”
“…กูขอโทษ”
“กองไว้ตรงนั้นแหละ!” คำพูดของเซฮุนทำให้แบคฮยอนต้องขมวดคิ้วเป็นปมอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าสวยแสดงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน “กูไม่ได้โกรธมึงที่มึงไม่ยอมบอกความลับกับกู แต่กูโกรธที่มึงทำเหมือนเกรงใจกูทั้ง ๆ ที่กูเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของมึง”
“…”
“มึงมีอะไรก็บอกกูดิแบคฮยอน ถ้ามึงคิดว่าไอ้ตัวเหี้ยคนนี้จะช่วยไรมึงไม่ได้ก็พูดระบายให้มันคลายความอัดอั้นตันใจออกมาก็พอ ให้เป็นกูที่อยู่ข้างมึงในทุกเวลาที่มึงมีปัญหาเถอะ”
แบคฮยอนก้มหน้าต่ำลง ดวงตาคมเริ่มมีสีแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง เซฮุนถอนหายใจพรืดออกมาเบา ๆ ก่อนขยับเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อนตัวเล็กแล้วกอดไว้หลวม ๆ
“มึงอย่ามางอแงนะ อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตกูยังไม่เคยเห็นมึงร้องไห้เลย จะมาร้องเพราะเรื่องขี้หมาแค่นี้หรอ” พูดแล้วก็ลูบหัวทุยของเพื่อนรักเบา ๆ ก่อนที่แบคฮยอนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มให้เขาพร้อมกับจมูกแดงรั้นที่ประทับอยู่บนใบหน้านั้น มันไม่ใช่รอยยิ้มฝืน หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูอิ่มเอม…
“ไม่ร้องหรอก เพื่อนที่ดีที่สุดของกูปลอบจนกูหายแล้วล่ะ”
เซฮุนเดินล้วงกระเป๋าขึ้นมาบนหอพักหลังจากที่เลิกเรียนในช่วงเช้าเสร็จ ร่างสูงเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสามซึ่งอยู่สูงกว่าชั้นของห้องตัวเอง
“หวังว่าคงจะอยู่นะ” ร่างสูงพึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะบานประตูที่อยู่ตรงหน้า หลังจากเดินมาถึงห้องที่เป็นจุดหมายเรียบร้อยแล้ว
ประตูถูกเปิดออกทันทีหลังจากที่เซฮุนเคาะเสร็จไปไม่กี่วินาที
บิงโก…
เซฮุนเดินชนไหล่เจ้าของห้องเข้าไปด้านในทันที โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากทักทายหรือสนใจสีหน้าที่ดูแปลกใจปนกับตกใจของบุคคลตรงหน้าเลย
“เซฮุ…” เจ้าของห้องปิดประตูเข้ามา ก่อนจะเอ่ยปากทักทายแขกผู้มาเยือนขึ้นแต่ก็โดนอีกฝ่ายสวนขึ้นทันที
“มึงทำอะไรเพื่อนกู” ผู้ที่ถูกถามขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินสรรพนามที่แปลกไป แต่ก็พยายามจะไม่สนใจเพราะรับรู้ได้ถึงเหตุผลที่เซฮุนพูดออกมาแบบนี้ ก่อนจะถามกลับไปด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“แบคฮยอนอยู่ห้องนายใช่ไหม เมื่อกี้ไปเคาะเหมือนจะไม่มีคนอยู่เลย”
“กูถามว่ามึงทำอะไรเพื่อนกูชานยอล”
“…ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“หึ” เซฮุนหัวเราะในลำคอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกแล้วเดินตรงมาที่ชานยอลอย่างคาดโทษ “อย่ามายุ่งกับแบคฮยอนอีก อย่ามาทำให้เพื่อนกูเสียใจเพราะเรื่องของมึง”
“ฉันเลิกกับพี่ลู่หานแล้ว”
“แล้วไงวะ! มึงคิดว่าที่กูมาหามึงวันนี้เพราะอยากจะให้มึงรับผิดชอบอะไรอย่างงั้นหรอ” เซฮุนตะคอกขึ้นมาสวนกับชานยอลอีกครั้ง “บอกว่าห้ามยุ่งก็อย่ายุ่ง ถ้ามึงยังอะไรกับเพื่อนกูจนมันต้องเสียใจอีกมึงไม่ได้ตายดีแน่” พูดแล้วเซฮุนก็หันหลังให้ชานยอลทันที ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูแล้วเตรียมจะบิดลูกบิดเพื่อเปิดออกไป แต่ก็ต้องหยุดมือลงเพราะเสียงตะโกนจากชานยอลส่งมาซะก่อน
“ฉันไม่ได้จะรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ฉันชอบแบคฮยอน ที่ฉันเลิกกับพี่ลู่หานเพราะฉันชอบแบคฮยอน!!” เซฮุนแค่นยิ้มพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหันมามองหน้าชานยอลอีกครั้ง
“เฮอะ ชอบงั้นหรอ?”
“…”
“อย่ามาทำปากไวแบบนี้ มึงแน่ใจหรอว่าตัวเองไม่ได้สับสนอะไรอีกเหมือนก่อนหน้านี้? กลับไปคิดอะไรเองให้ยาว ๆ อีกที ลองนึกให้ดีว่าแบคฮยอนมันรู้สึกแย่แค่ไหนตอนที่มึงทำเหมือนชอบมันแล้วมึงก็กลับไปคบกันคุณลู่หานน่ะ …เห็นแก่ตัว” ชานยอลก้มหน้าต่ำลง เป็นอีกครั้งที่คำพูดจากคนอื่นสามารถตบหน้าเขาได้อย่างรู้สึกเจ็บขนาดนี้
ชานยอลไม่ปฏิเสธอะไรทั้งนั้น เขาผิดจริง ๆ แหละ เขานั่นแหละที่ผิดเองทั้งหมด…
“ขอโทษด้วยนะที่วันนี้หยาบไปหน่อย กูจะเป็นแบบนี้แค่ตอนที่กูโกรธใครจริง ๆ เท่านั้นแหละ” เซฮุนเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะบิดลูกบิดประตูแล้วพาตัวเองออกไปจากห้องทันที และชานยอลก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก
ร่างสูงยกมือขึ้นมาถูจมูกตัวเองเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมา รู้สึกเหมือนตัวเองได้ยกภูเขาออกจากอก ที่จริงเซฮุนรู้สึกคันมือคันเท้าอยากจะกระทืบชานยอลให้รู้แล้วรู้รอดเสียมากกว่า แต่ก็ยังนึกถึงคำขอร้องของแบคฮยอนที่บอกกับตัวเองว่าไม่อยากให้ไปอะไรกับชานยอล แต่ก็เท่านั้นแหละ… สุดท้ายถึงไม่ได้กระทืบแต่ก็ได้มาด่าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกโล่งอยู่ดี
“ช่วยไม่ได้นะแบคฮยอน” เซฮุนพึมพำพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อยในขณะที่กำลังจะเดินกลับไปเรียนต่อ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นแล้วหันกลับไปยังด้านหลังเมื่อเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้
เดี๋ยวนะ…
เมื่อกี้ชานยอลพูดว่าอะไรนะ?
ชานยอลเลิกกับคุณลู่หานแล้ว…
ชานยอลเลิกกับคุณลู่หานแล้ว!!!!
อัพเร็วกว่าที่ตัวเองกะไว้ มีคนกดดันให้อัพฟิคเพิ่มขึ้นแล้วค่ะ คนนี้ทรงอิทธิพลมาก รูมเมทไรท์เอง 55555555
สุดท้ายชานยอลก็หายโง่แล้วเย่ ขอบคุณที่ติดตามกันจนมาถึงตอนนี้นะคะ อ่านทุกคอมเม้นท์เลย<3
ความคิดเห็น