ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] SDD : Sleep , Deep , Death [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 16 [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.68K
      12
      19 มี.ค. 58





    “กู...เอ่อ...มาทำธุระว่ะ อยากไปเยี่ยมมึงอยู่”

     

    ร่างสูงเดินไปตามทางเดินของมหาวิทยาลัย ช่วงเย็นๆแบบนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร ส่วนมากช่วงบ่ายๆก็เรียนเสร็จกันเกือบหมด ยกเว้นบางคณะที่อาจจะมีลากยาวไปถึงค่ำ แต่ก็น้อย 

    มาร์คคุยโทรศัพท์ก่อนจะเดินไปเรื่อยๆแถวๆในมหาลัย จริงๆเขาก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอก แต่ถ้าไปโรงบาล มาร์คต้องเจอแบมแบมแน่ มาร์คไม่ชอบความรู้ที่ลังเล เพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะเดินหน้าหรือถอยหลัง เขาต้องคิดทบทวนและแน่ใจกับตัวเองก่อน มาร์คแน่ใจว่าเขาชอบแบมแบมแต่ที่ไม่แน่ใจคือ เขาพร้อมจะดึงแบมแบมมาอยู่ข้างๆเขาหรือเปล่า คือก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะจีบติดหรอก แต่ความสัมพันธ์น่ะถ้ามันพัฒนาไปเรื่อยๆการถอยกลับหรือหยุดไว้มันยิ่งทำได้ยากกว่านี่หว่า



    “เออ โอเค เดี๋ยวกูส่งให้” มาร์คพูดกลั้วหัวเราะ รับปากเจบีว่าจะส่งเบอร์จินยองให้เจบี จินยองก็จะอะไรนักหนา เจบีมันก็นอนบ้านจินยองไม่รู้ตั้งกี่คืน แค่นี้ทำหวง


    “โอเคๆ บาย” มาร์คกดวางสาย

     



    มาร์คเดินเรื่อยเปื่อย หลังจากเดินวนไปมาโรงอาหาร กลับมาที่คณะจนตอนนี้มาหยุดที่หอสมุด มาร์คกำลังชั่งใจว่าจะตรงกลับบ้าน หรือจะแวะหาข้อสอบเก่าจากร้านถ่ายเอกสารใต้หอสมุดดี

    สุดท้ายมาร์คก็ก้าวเข้าไปในหอสมุด มาร์คเดินเข้าไปในร้านถ่ายเอกสาร เขาเห็นคนยืนอยู่ก่อนแต่ไม่ได้สนใจอะไรมาก อาจเพราะก้มหน้าก้มตาเดิน ก็เลยไม่ได้สังเกตว่าใครยืนอยู่ก่อน

     


    “ลุง ไบโอปีสามมีใครมาทิ้งข้อสอบเก่าไว้บ้างป่ะ” มาร์คถามลุงเจ้าของร้าน ไอ้ที่เรียกห้วนๆเพราะสนิทกัน


    “เอ้า หล่อ มาเย็นเว้ยวันนี้ วิดยาภาคอะไรนะ” ลุงในร้านทักอย่างเป็นกันเอง คือนักศึกษาแม่มก็เยอะไงจะให้จำชื่อทั้งหมดก็ไม่ใช่ป่ะ ไอ้นี่มันหล่อจริงก็ต้องเรียกมันหล่อดิ


    “ไบโอไงลุง จำไม่เคยได้ สามปีแล้วนะ” มาร์คว่า


    “เออ เดี๋ยวดูก่อน รอแปบนะ” คุณลุงว่าก่อนจะเดินไปหลังร้าน

     

    .

    .

    .

     

    “พี่มาร์ค??” เสียงคุ้นๆดังข้างๆเรียกให้มาร์คหันไปมอง ก่อนจะเจอเข้ากับคนหน้าหวานที่เขาพยายามจะหลบหน้าอยู่


    “แบมแบม” มาร์คเรียกอีกคนพลางเบิกตากว้าง


    เจริญล่ะมึง


    “ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ พี่นึกว่าไปเฝ้าเจบีซะอีก” มาร์คถาม ไอ้เราก็อุตส่าห์หลบไอ้แจ็คได้ดันมาเจอในมหาลัยเนี่ยนะ


    “แบมติวกับเพื่อนครับ แวะมาเอาข้อสอบเก่า เดี๋ยวจะกลับแล้วเหมือนกัน” แบมแบมยิ้มให้ โธ่ แบมแบมอย่ายิ้มดิ นี่กำลังลังเลอยู่นะ


    “อ่ะเหรอ” มาร์คหลบตาไม่ต่อคำกับแบมแบมเหมือนเคย


    .

    .

    .
    “มีสามชุดว่ะหล่อ เอาอันไหน” ลุงเจ้าของร้านกลับมาพร้อมยื่นชีทหนาสามปึกให้อีกคนดู


    “เอาอันนี้ละกันลุง บางดี ขี้เกียจอ่าน” มาร์คยื่นปึกที่บางที่สุดให้คุณลุง

    .

    .
    “พี่มาร์คไม่ไปเยี่ยมพี่เจบีบ้างเหรอครับ” แบมแบมตัดสินใจถาม


    “เอ่อ....พี่...ยุ่งๆน่ะ” ยุ่งบ้าอะไรล่ะ


    “พี่มาร์คขยันนะครับ ยังไม่ใกล้มิดเทอมเลย หาข้อสอบเก่าแล้ว” แบมแบมบอก คือไม่ได้ขยันนะแต่มาตอนใกล้สอบคนเยอะยิ่งกว่าอะไรดี รีบๆหาข้อสอบเก่าไปนอนหนุนเล่นเผื่อมันจะต้องใช้เวลานานในการซึมเข้าสมอง


    “แบมก็....เหมือนกันนะ”


    “ป่าวเลยครับ แบมมีสอบย่อยอาทิตย์หน้านี้เอง” แบมแบมตอบพลางยื่นมือไปรับชีทจากคุณลุง

     



    มาร์คพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แบมแบมเองก็แอบรู้สึกประหลาดใจที่วันนี้มาร์คดูมาแปลก พูดน้อยๆ แถมไม่....เอ่อ.....ไม่หยอด ไม่ยิงมุกเสี่ยวด้วย

     



    “พี่มาร์คครับ” แบมแบมหันไปเรียกมาร์คอีกครั้ง


    มาร์คหันมามองเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบ


    “แบมขอบคุณพี่มาร์คมากนะครับเรื่องพี่บี” แบมแบมยิ้มให้อีกคนได้แต่พยักหน้ารับคำขอบคุณ


    .

    .

    .

    “พี่มาร์คไม่สบายรึเปล่าครับ” แบมแบมตัดสินใจถามตรงๆ


    “ฮะ...เอ่อ..เปล่านิ่” มาร์คปฏิเสธ


    “แต่พี่มาร์คดูเงียบๆนะครับ เหมือนเหนื่อยๆ” แบมแบมถาม


    ไม่พูดเปล่า ร่างเล็กกลับยกฝ่ามือขึ้นสัมผัสบริเวณแก้มของอีกคนอย่างลืมตัว เพราะปกติถ้าเจบีไม่สบาย แบมแบมก็มักจะเอามือจับที่แก้มที่หน้าผากดูว่าตัวร้อนหรือเปล่า เล่นเอาคนอย่างมาร์คต้วนหน้าร้อนเห่อหยั่งกะสาวแรกแย้ม มือน้องแบมนิ๊มนิ่ม ฮือออออออออออออ น้องแบมช่วยเมตตาพี่ทีเถอะ

     

    “อ๊ะ..ขอโทษครับ แบมลืมตัว” แบมแบมชักมือกลับเมื่อเห็นอีกคนนิ่งค้างกว่าเดิม ร่างเล็กก้มหัวให้อีกคนอย่างรู้สึกผิด ไปทำท่าทางแบบนั้นกับคนที่อาวุโสกว่าได้ยังไง


    “มะ...ไม่เป็นไรแบมแบม” มาร์คบอกเพราะอีกคนเอาแต่ก้มหัวขอโทษนี่แหละ


    “พี่มาร์คตัวรุมๆนะครับ” ไม่ได้รุมครับแต่เขินหน้ามันร้อน

    “เอ่อ...ก็ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ” มาร์คเฉไฉ

     




    “เอ้า ได้แล้ว” แล้วก็เป็นคุณลุงที่มาเซฟความเขินของมาร์คไว้ ร่างสูงหันไปรับเอกสารก่อนจะจ่ายเงิน


    “ขอบคุณครับลุง” มาร์คเอ่ย ก่อนทำท่าจะหันหลังกลับ

    "พี่ไปนะ" มาร์คหันมาลาแบมแบมแต่..

     
     

    “อ๊ะ.. พี่มาร์คครับ”  แบมแบมเรียกอีกคนไว้เหมือนนึกอะไรขึ้นได้



    ร่างสูงหันมามองอีกคนที่กำลังล้วงหยิบบางอย่างจากกระเป๋า ก่อนจะยื่นมาตรงหน้าเขา ในมือร่างเล็กมียาแก้ปวดแผงเล็กๆประมาณ 4 เม็ด

     

    “เดี๋ยวพี่มาร์คต้องขี่รถกลับนิ่ครับ กินก่อนจะได้ทุเลา พารามันไม่ง่วงหรอกครับ” แบมแบมยิ้มก่อนยัดยาใส่มืออีกคน


    “ขอบใจนะแบม...” มาร์ครับมาอย่างเกรงใจ


    “แบมพกไว้ประจำแหละครับ เออ จริงสิ พี่มาร์คไม่มีน้ำใช้มั้ยครับ” ร่างเล็กบอกพลางล้วงในกระเป๋าอีกครั้งก่อนหยิบขวดน้ำเล็กๆให้อีกคน


    “ขอบคุณครับ” มาร์คบอก

     

    “งั้นแบมไปนะครับ ขวดน้ำกับยานั่นพี่มาร์คเอาไปเลย” แบมแบมบอกก่อนจะโบกมือเชิงลาอีกคน

     




    อ่า....แบมแบม ทำไมถึงได้เป็นคนใจดีแบบนี้เนี่ย ทั้งยังน่ารัก สุดๆ  แล้วอย่างนี้จะตัดใจได้ยังไง



    มาร์คมองขวดน้ำในมือกับเม็ดยาสลับกับร่างเล็กที่เดินไป แบมแบมเป็นคนดี น่ารัก น่าปกป้อง มันก็คงไม่แปลกที่ใครก็อยากจะอยู่ข้างๆรวมถึงตัวเขาเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาร์คได้รับน้ำใจจากแบมแบม ถึงมันจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับมาร์คที่ต้องดูแลครอบครัว ดูแลน้องชายมาตลอด การที่มีคนมาห่วงใยหรือดูแลเขาบ้างมันกลับทำให้รู้สึกดีสุดๆ และมันทำให้มาร์ครู้ว่า การจะหักห้ามใจไม่ใช่ชอบใครสักคนเนี่ย





    มันไม่ง่ายเลย

     












     

    พี่คิดดีแล้วเหรอ จะมีความรัก

     














    พี่จะปกป้องเขาได้ตลอดเหรอ

     





    คำพูดของน้องชายยังวนเวียนในหัว สัมผัสมือนิ่มที่ข้างแก้มก็ยังคงอยู่ มาร์คก้มเม็ดยาและขวดน้ำอีกครั้งก่อนจะเก็บทุกอย่างลงกระเป๋า มาร์คหันหลังกลับวิ่งตามคนตัวเล็กก่อนจะเห็นหลังอีกคนไวๆ

     




    “แบมแบม!

     





    ร่างสูงตะโกนเรียกอีกคน ก่อนที่แบมแบมจะหันมามองแล้วเลิกคิ้วอย่างงงๆ

     







     

    “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

     

     

     





    มาร์คตัดสินใจแล้ว

     

    ………………………………………………………………………..



     

    “พี่จะนั่งจ้องผมอีกนานมั้ย”  โจอี้ถามรุ่นพี่ร่างสูงที่นั่งตรงข้าม




     

    ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่คอฟฟี่ช็อปใกล้ๆโรงเรียนของโจอี้ ที่จริงโจอี้ไม่ได้อยากนั่งอยู่ตรงนี้เลยนะ กะจะเรียนเสร็จตรงดิ่งกลับบ้านไปนอนตามวิถีชีวิตของเด็กขี้เกียจ นอนก่อน หนังสือหนังหาตื่นมาค่อยว่ากัน แต่พอออกมาหน้าโรงเรียนกลับเห็นไอ้รุ่นพี่ผีเกาะหลังยืนดักอยู่หน้าประตูก่อนจะถูกกลากให้มานั่งจุ้มปุ๊กกินกาแฟด้วยกัน คืออยากจะตะโกนใส่หน้ามันมากว่ากูไม่แดรกส์กาแฟ



     

    “นี่ไม่สั่งอะไรรึไง” ยูคนอมถามขณะนั่งดูดอเมริกาโน่เย็นของตัวเองอึกใหญ่


    “ผมกินกาแฟแล้วใจสั่น พี่มีอะไรก็รีบๆพูดเลย”  โจอี้บอกพลางกรอกตา


    “ชาเขียวมั้ย” ยูคยอมไม่ได้ฟังที่อีกคนพูดเลย


    “ได้ยินมั้ย รีบพูด” โจอี้ย้ำอีกครั้ง


    “แต่ช็อคโกแลตร้อนร้านนี้อร่อย เอานี้แล้วกันนะ” ยูคยอมว่าก่อนหันไปสั่งพนักงาน


    “ไอ้พี่ยูคยอม” โจอี้เริ่มโมโห มึงฟังกูบ้างนะ

    “พูดไม่เพราะเลย ไอ้เด็กนี่” ยูคยอมทำท่าจะมะเหงกใส่เด็กดื้อ แต่โจอี้มีเหรอจะแคร์


    “ก็ผมไม่ได้ว่างนิ่ สรุปจะพูดได้ยัง”


    “ฉันจะเลี้ยงขอบคุณนาย” ยูคยอมบอกอีกคน


    “ขอบคุณ? เรื่อง?” โจอี้ทำหน้างงๆ


    “ก็เรื่อง เอ่อ..สิ่งที่ตามฉันอยู่” ยูคยอมพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าผี
     

    “ไหนว่าไม่เชื่อ? ไหนว่าผมต้มตุ๋น?” ใครจะยอมรับคำขอบคุณง่ายๆวะ เล่นพาไปส่งถึงป้อมตำรวจ ช็อคโกแล็ตแก้วเดียวมันไม่หายหรอกเฟ้ย

    “ก็ตอนนี้เชื่อแล้วไง” ยูคยอมบอก


    “แล้วพี่รู้ได้ไงว่ามันหายไปแล้ว” โจอี้พูดพลางชี้ไปที่หลังยูคยอม


    “ก็..มันไม่ค่อยปวด แล้วก็ แม่ก็ไม่เห็นบ่นว่าเจออะไรในบ้านอีก แถมยังชมนายไม่ขาดปาก” ยูคยอมบอกพลางไหวไหล่


    “ผมบอกอะไรให้เอาป่ะ” โจอี้ยื่นหน้าพร้อมทำเสียงเบาลง


    “อะไร?”


    “ผมยังเห็นมันอยู่ข้างหลังพี่” โจอี้พูดเสียงเบาที่สุด

     


    ยูคยอมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันไปข้างหลังตัวเองเหมือนสำรวจอะไรบางอย่าง ท่าทางแบบนั้นทำให้คนตัวเล็กกว่าสะใจเป็นบ้า

     


    “ฮะๆๆๆๆ” โจอี้ระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางเหรอหราของอีกคน หน้าแม่มซีดเว่อ


    “นี่เปี๊ยก หลอกกันเหรอวะ” ยูคยอมหันมามองอีกคนตาขวางเมื่อรู้ว่าโดนหลอก


    “ป่าว นี่พูดจริง ไม่เชื่อเหร...อุ๊บ” โจอี้อ้าปากพูดแต่โดนอีกคนตักชีสเค้กคำโตยัดใส่ปาก


    “จะได้หยุดหัวเราะคนอื่น” ยูคยอมว่าพลางยิ้มอย่างสะใจที่ได้แก้แค้น


    “เล่นบ้าอะไรเนี่ย ผมไม่ชอบชีสเค้ก” โจอี้ที่กล้ำกลืนฝืนกินในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบบ่นออกมาทันทีที่กลืนลงไปพร้อมกับทำหน้าแหยะๆ

    “ของอร่อย ไม่ชอบอีก” ยูคยอมว่าก่อนจะกินเข้าไปบ้าง


    “ก็มันเละๆ แฉะๆ เปรี้ยวๆ”


    “งั้นสั่งอย่างอื่นมั้ย” ยูคยอมถาม ก็ช่วยไม่ได้ว่าจะพามาเลี้ยงนี่หว่า


    “ไม่เป็นไรอ่ะ”


    “ไม่ชอบของหวาน?” ยูคยอมถาม เด็กนี่แปลกแฮะ ต่างกับแบมแบมลิบลับ รายนั้นเห็นขนมแล้วรีบพุ่งเลย


    “ก็ไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบอ่ะ เฉยๆ” โจอี้บอก ยูคยอมพยักหน้าเหมือนเข้าใจ


    “ถ้าไม่หวานมาก ก็โอเคนะ แบบช็อคโกแลตขมๆก็ได้อยู่” โจอี้บอกเป็นจังหวะที่ช็อคโกแลตร้อนมาเสริฟพอดี


    “ชอบขมๆ แต่ไม่ดื่มกาแฟ?” ยูคยอมถามอีกรอบ


    “ก็บอกว่ากินแล้วใจสั่น” โจอี้พูดพลางจิบเครื่องดื่มแล้วก็ต้องตาโตเพราะมันอร่อยมาก ไม่หวานมาก กำลังดี


    “อร่อยอ่ะดิ” ยูคยอมยักคิ้วกวนๆให้อีกคน


    “ก็.......เฉยๆ” โจอี้วางแก้วลง พลางตีหน้านิ่ง นี่ไม่ได้พยายามเก๊ก พูดเลย

    “เด็กอย่างนายนี่มันน่าตบปากจริงๆ” ยูคยอมพูดยิ้มๆ ใจนึงก็หมั่นไส้ ใจนึงก็เอ็นดูนะ


    “แต่ผมพูดจริงนะ” โจอี้กลับมาโหมดหน้านิ่งอีกครั้ง


    “เออ เชื่อแล้วว่าไม่ชอบชีสเค้ก”


    “ป่าว ผมหมายถึงเรื่องวิญญาณน่ะ” โจอี้บอก


    “คิดจะอำฉันอีกรอบรึไง” ยูคยอมจ้องหน้าอีกคน


    “วิญญาณนั่นน่ะ แค่อ่อนกำลัง แต่ไม่ได้ถูกกำจัด เดี๋ยวก็คงกลับมา นี่ผมถามจริงเหอะ เคยไปหักอกใครจนเขาฆ่าตัวตายป่ะ”


    “จะบ้ารึไง ไม่ขำนะเว้ย” ยูคยอมยังเอี้ยวตัวไปมองข้างหลังเรื่อยๆ


    “คิดว่าผมขำรึไง ผมเบื่องานนี้จะแย่ คิดว่าผมอยากจะมานั่งมุ้งมิ้งกับพี่แบบนี้บ่อยๆรึไง” นี่บ่นหรือแอบด่าวะ


    “แล้วต้องทำไงเนี่ย ฉันต้องอาบน้ำมนต์แบบนั้นทุกวันรึไง” ยูคยอมบ่นบ้าง


    “กำลังหาทางอยู่นี่ไงเล่า” ก็คิดอยู่ไง เร่งจังเลย


    “ถามพี่ชายนายรึยัง” ยูคยอมว่า ก็ไอ้พี่มาร์คแม่มโปรจริง


    “ก็อยากถามอยู่หรอก แต่...” โจอี้อ้ำอึ้ง


    “แต่อะไร?”


    “ไม่กล้าถามอ่ะ” โจอี้สารภาพตามตรง


    “ไหงงั้นเนี่ย!!” ยูคยอมอึ้งกับคำสารภาพของเด็กปากเก่งตรงหน้า


    “ไม่ได้อ่ะ ถ้าเฮียรู้ว่าผมรับงานคนเดียวล่ะก็ ผมต้องโดนขังลืมไว้ในห้องแน่” โจอี้บอก มาร์คน่ะเวลาโกรธนี่น่ากลัวชิบหาย  

    “แล้วนายจะทำยังไง แล้วฉันจะทำยังไง”


    “ผมก็มืออาชีพนะ ผมหาทางได้ก็แล้วกัน” โจอี้บอกพลางดื่มช็อคโกแลตอึกสุดท้ายลงไป

     



    เด็กอย่างเนี้ยนะ มืออาชีพ ถึงจะจริงแต่ดูยังไงก็ไม่เข้ากันสุดๆ ยูคยอมได้แต่คิดพลางดูดกาแฟของตัวเอง

     



    “เออนี่ ถามอะไรหน่อยสิ” ยูคยอมสะบัดหัวไล่ความกังวลเรื่องสิ่งลี้ลับก่อนจะเปิดปากถามอีกรอบ


    “อะไร ไม่ต้องมาถามอะไรกดดันผมเลยนะ” โจอี้บอกพลางเขี่ยๆแก้วตัวเอง


    “เปล่า ฉันจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องไอ้สิ่งที่อยู่ข้างหลังฉันแล้วกัน แต่ที่ฉันอยากจะถามก็คือ..”


    “อะไร โตแล้วอย่ามาอ้ำอึ้ง” โจอี้กวนอีกคน ไอ้เด็กนี่มันควรจะจับดัดนิสัยจริงๆ โดยเฉพาะปากนั่น


    “พี่ชายนายน่ะ...คิดอะไรกับเพื่อนฉันรึเปล่า” ยูคยอมตัดสินใจถาม


    “เพื่อน? คนไหนล่ะ?”


    “แบมแบม”


    “คิด...แบบไหนล่ะ” โจอี้ยิ้มกวนๆ เขารู้ว่ายูคยอมหมายถึงอะไร หวงก้างเอ้ย


    “นายอย่ามาทำเป็นไม่รู้” ยูคยอมจิ้มหน้าผากอีกคนอย่างหมั่นไส้


    “อืม..นั่นสินะ ปกติเฮียมาร์คก็ไม่ค่อยแสดงออกว่าห่วงใครอย่างออกนอกหน้าอย่างนี้นะ” โจอี้เหล่มองอีกคน


    “ชอบจริงๆด้วยสินะ เห้ยยยยยย”  ยูคยอมถอนหายใจก่อนกุมหัวตัวเอง


    “เป็นเอามากนะ” โจอี้แขวะให้


    “ก็ฉันชอบของฉันมาตั้งนานแล้วนี่ อยู่ดีๆมามีคู่แข่งซะได้”


    “อย่ามาทำงอแง ขนลุก” โจอี้ลูบแขนตัวเองไปมา


    “บอกพี่ชายนายถอนตัวไปเลย” ยูคยอมบอก


    “ไปบอกเองเด่ะ” ตอนนี้ชักอยากหันไปสนับสนุนมาร์คซะแล้ว เอาให้ไอ้พี่ยูคยอมมันอกแตกตายไปเลย


    “ถ้าพี่มาร์คเป็นเหมือนนาย ฉันจะไม่กังวลสักนิด”


    “หมายความว่าไง พูดดีๆเลย”


    “ก็พี่มาร์คมันหล่อป่ะ แถมดูคูล ดูเท่ อินดี้มีสไตล์ ผู้ชายอบอุ่น แล้วดูนาย ถ้าพี่มาร์คเป็นแบบนาย ฉันชนะขาดชัวร์” ยูคยอมอธิบายเล่นเอาอีกคนหงุดหงิดไม่น้อย


    “ทำเป็นพูด เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่การแข่งขันกีฬานะ จะได้มีเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบทางด้านกายภาพน่ะ พี่ต่างหาก ชอบเขามาตั้งนานแล้วมัวทำอะไรอยู่”

     




    แทงใจดำโคตรๆ




    ยูคยอมถึงกับอึ้งเมื่อได้ยิน มันก็จริงนั่นแหละว่าเขาทำอะไรอยู่กับเวลาที่ผ่านมา แต่มันกลัวนิ่ กลัวว่าถ้าอีกคนไม่รู้สึกเหมือนกัน แล้วความเป็นเพื่อนที่ผ่านมาล่ะ ยูคยอมก็แค่คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าเสี่ยงกับอะไรเลย

     
     

    “เด็กแก่แดด” ยูคยอมแขวะอีกคนกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง


    “อะไรล่ะ ก็พูดจริงนิ่”


    “พูดน่ะมันง่าย แต่ถ้าอีกคนไม่รู้สึกเหมือนกัน นายคิดว่าจะมองหน้ากันติดรึไง”


    “ผมไม่รู้หรอกว่าพี่แบมแบมเป็นไง แต่สำหรับผมนะ ผมว่าผมแฟร์พอที่จะรับฟัง ถ้าผมไม่ได้รู้สึกกับเขาแบบคนรัก ผมก็จะบอกเขา แล้วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม พี่คิดว่าพี่แบมแบมเป็นแบบผมรึเปล่า แล้วก็อีกอย่างนะ พี่ต้องถามตัวเองด้วยว่าพี่เองน่ะยอมรับได้รึเปล่าถ้าโดนปฏิเสธ พี่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้รึเปล่า” โจอี้อธิบาย


    “นายมันแก่แดดจริงๆนั่นแหละ”


    “นี่ผมให้คำปรึกษาอยู่นะ” โจอี้หน้าบึ้งทันที


    “โอเคๆ ฉันจะลองกลับไปคิดดู ขอบใจนะ” ยูคยอมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวอีกคน


    “อย่ามาเล่นหัวนะ มีแต่เฮียมาร์คเท่านั้นที่ผมยอมให้ลูบอ่ะ” โจอี้ปัดมืออีกคนออกอย่างไม่จริงจังอะไรมากก่อนจะนั่งกอดอก  ยูคยอมได้แต่ยิ้มขำๆกับท่าทางของคนตรงหน้า เด็กบ้าอะไร ปากดี หัวแข็ง หลอกล่อก็ยาก แถมยังมาสอนคนที่โตกว่าอีก ไหนจะท่าทางที่โคตรดื้อและโคตรอวดดี......

     








    แต่จะว่าไป.....

     

     

     











    ก็น่ารักดี

     

    ..............................................................................................

     

     

    “โหย ม๊าอ่ะ ผมบอกแล้วไงว่ารถติดอ่ะ” แจ็คสันบอกขณะที่ขับรถไปตามทาง


    “จะไปรู้แกเหรอ แต่ตอนนี้ม๊าหิวมาก ถ้าอีกครึ่งชั่วโมงไม่มีอะไรตกถึงท้องม๊า ม๊าจะกินหัวแกแทน” เสียงหญิงผู้เป็นแม่บ่นตรงที่นั่งข้างคนขับ


    “ก็จะพาไปกินอยู่นี่ไงคร้าบ” แจ็คสันลากเสียงยาว


    “ขออาหารเกาหลี ถ้าแกเลี้ยวเข้าร้านอาหารที่มีส่วนผสมของชีส นม เนย ม๊าจะตบกบาลแกให้โขกพวงมาลัย” คำประกาษิตจากมารดาที่แจ็คสันต้องน้อมรับ บอกตรงๆคุณนายหวังผู้ไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเบื่อมาก ช่วงนี้เดินทางแต่ฝั่งยุโรป เกือบเดือนแล้วนะที่ไม่ได้กินข้าวกับกิมจิ อยากจะร้องไห้ อีตาสามีก็เป็นชู้กับเอกสารที่บริษัทนอนกกเอกสารมันทุกคืน สนใจเมียบ้างอะไรบ้าง เหลือก็แต่ลูกชายคนเดียวที่ยังยอมให้โขกสับอยู่


    “ร้านนี้อร่อยจริงๆ ผมมากินบ่อย” แจ็คสันพูดก่อนเลี้ยวเข้าตลาดใหญ่ที่ยังมีในส่วนของร้านอาหารบางร้านเปิด


    “ไม่ใช่ว่าแกเป็นพวกกินอะไรก็อร่อยรึไง” มารดาแขวะให้ เกิดเป็นแจ็คสันนี่ก็ลำบาก อยู่กับแม่ก็โดนจิก อยู่กับเพื่อนก็โดนใช้


    “แล้วคุณนายจะต้องอึ้งในความอร่อยครับ” แจ็คสันจอดรถก่อนจะพยักหน้าให้มารดา

     




    แจ็คสันพาแม่เข้าไปในร้านอาหารเกาหลีร้านเดิมที่เขามาฝากท้องบ่อยๆช่วงนี้ ก็จะร้านใครล่ะถ้าไม่ใช่ ร้านของบ้าน เชว ยองแจ

     




    “อ้าว แจ็คสันเองเหรอ นั่งก่อนสิ” เชว ซึงฮยอนลูกพี่ลูกน้องของยองแจควบตำแหน่งลูกมืออันดับหนึ่งของพ่อครัวร้านนี้เอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง ก็บอกแล้วว่าช่วงนี้มาบ่อย


    “ครับ พาแม่มาด้วยวันนี้” แจ็คสันบอก ซึงฮยอนเองก็ก้มหัวให้ผู้หญิงที่เดินตามแจ็คสันมา เธอเองก็ยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร


    “นี่ เมนูนะ” ซึงฮยอนยื่นเมนูให้แจ็คสัน แจ็คสันรับมาก่อนส่งให้มารดาเลือก


    “ยองแจล่ะครับ” แจ็คสันถามซึงฮยอน


    “ทำบัญชีอยู่หลังร้านน่ะ ให้เรียกมั้ย” ซึงฮยอนชี้ไปที่หลังร้าน


    “ไม่ต้องหรอกครับ”


    “เอากิมจิชิเกกับข้าวเปล่าแล้วกันจ๊ะ แกล่ะแจ็คสันกินอะไร” แม่ของแจ็คสันเมื่อเลือกเมนูแสนเบสิคด้ก็ถามลูกชาย


    “ผมก็เหมือนเดิมแหละ เซ็ทพุลโกกิ” แจ็คสันหันไปบอกซึงฮยอน

     
     

    ซึงฮยอนจดออร์เดอร์พยักหน้าให้ทั้งสองยิ้มๆแล้วเดินไปหลังร้าน

     





    “ดูสนิทนะ กินบ่อยเหรอ” คนเป็นแม่อดถามไม่ได้


    “ก็บ่อยแหละช่วงนี้ พอดีเป็นร้านของรุ่นน้องที่มหาลัยครับ”


    “คนเมื่อกี้อ่ะนะ” ดูยังไงคนเมื่อกี้ก็แก่กว่าลูกชายเขานะ ถึงไม่แก่มากก็เถอะ


    “ไม่ใช่ครับ รุ่นน...”



    .

    .

    .



    “ป๊าอ่ะ!! ทีหลังป๊ามาบอกผมด้วยสิครับหรือไม่ก็จดไว้ว่าจ่ายอะไรไปเท่าไร” เสียงดังมาจากหลังร้านขัดจังหวะแจ็คสันที่กำลังจะคุยกับแม่


    “ป๊าขอโทษ ก็ลืมนี่หว่า” พ่อของยองแจหรือพ่อครัวหลักของที่นี่เอ่ยตามหลังลูกชาย


    “ก็ผมถึงบอกว่าก่อนจ่าย ให้ป๊าจด เนี่ยผมวางสมุดไว้ให้ ตีตารางให้พร้อม” ยองแจหยิบสมุดตรงเคาน์เตอร์ให้คนเป็นพ่อดู


    “เออ เดี๋ยวคราวหน้าป๊าจะกลับมาจด”


    “จดก่อนแล้วค่อยจ่าย ไม่ใช่กลับมาจดนะครับ” นี่ใครลูกใครพ่อวะ


    “ลุงครับออร์เดอร์ แจ็คสันมาน่ะยองแจ” ซึงฮยอนที่ขัดจังหวะการรบของสองพ่อลูกยื่นกระดาษให้ลุงแท้ๆก่อนหันไปบอกยองแจที่ยืนกดเครื่องคิดเลขยิกๆ


    “มาอีกละเหรอ” ยองแจบอกก่อนมองไปที่โต๊ะโต๊ะหนึ่งก็เห็นแจ็คสันโบกมือไวๆแต่ดูเหมือนจะไม่ได้มาคนเดียวแฮะ

     




    ยองแจเดินไปหยิบแก้วน้ำเปล่าสองใบใส่ถาดก่อนจะเดินไปเสริฟที่โต๊ะแจ็คสัน

     




    “สวัสดีครับ” ยองแจโค้งให้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่เขาที่นั่งที่โต๊ะแจ็คสัน


    “นี่แม่กุ...เอ้ย..แม่พี่เอง” แจ็คสันบอกรุ่นน้องตัวเอง ยองแจพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปโค้งให้คุณนายหวังอีกครั้ง


    “สั่งอาหารยังครับ” ยองแจหันมาถามทั้งคู่ ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็สุภาพนิดนึง


    “เรียบร้อยแล้วจ๊ะ” คุณนายหวังหันไปบอกอย่างเอ็นดู ชิ เอ็นดูกว่าลูกตัวเองอีก


    “งั้นตามสบายนะครับ” ยองแจบอกอีกครั้งก่อนทำท่าจะเดินไปหลังร้าน



    .

    .

    .
     

    “อายองแจ!!!” เสียงดังมาจากทางขึ้นบันไดชั้นสองที่เป็นในส่วนที่พักของบ้านยองแจดังขึ้น พร้อมกับร่างเล็กๆของเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบวิ่งมาทางยองแจ


    “จุนฮง อาบอกว่าอย่าวิ่งในร้านไง เดี๋ยวเรียกพ่อมาดุเลย” ยองแจบอกพลางดักหลานชายเอาไว้


    “อาดูสิ ชุดนักเรียนใหม่” จุนฮงอวดพร้อมยิ้มกว้าง


    “โตขึ้นอีกแล้วเหรอเรา โตเร็วเกินไปละนะ” ยองแจลูบหัวหลานชาย เป็นภาพที่ดูน่ารักไม่น้อย


    “พี่ซึงฮยอน อันนี้พี่ซื้อเผื่อโตแล้วใช่มั้ยครับ” ยองแจหันไปถามญาติผู้พี่ที่เดินออกมาพอดี ก็คราวที่แล้วเล่นซื้อมาพอดีเป๊ะ สุดท้ายก็เลยต้องเปลี่ยนทั้งที่ยังใช้ได้ไม่กี่ปีนี่ไง


    “อืม ขอบใจนะที่ให้เบิกเงินก่อน” ซึงฮยอนบอกอีกคน


    “ขอบใจอะไรล่ะ จุนฮงก็หลานผมนิ่” ยองแจบอกก่อนจะอุ้มเด็กน้อยขึ้น


    “จุนฮงไปเปลี่ยนเสื้อแล้วก็ทำการบ้านข้างบนนะครับ ทำเสร็จค่อยลงมาช่วยคุณพ่อทำงาน โอเคมั้ย” ยองแจบอกหลานชายตัวเอง เด็กน้อยในอ้อมแขน เจ้าตัวเล็กก็พยักหน้างึกๆรับทราบ


    “อายองแจไปส่งหน่อยสิ นะๆ” เจ้าตัวเล็กอ้อนอาตัวเองอย่างน่ารัก


    ยองแจพยักหน้าก่อนจะพาเด็กชายไปส่งข้างบนบ้าน

     

     




    “รุ่นน้องแก น่ารักนะ” คุณนายหวังพูดขึ้นหลังจากสังเกตมาสักพัก ทำไมลูกชายเธอถึงน่ารักไม่ได้ครึ่งนึงของเด็กคนนี้บ้างนะ


    “นั่นน่ะนะ น่ารัก คุณนายใช้อะไรมองครับ” แจ็คสันบอก ไอ้เด็กตี๋สร้างภาพเก่งนักนะ


    “ถ้าเทียบกับแกก็น่ารักกว่านั่นแหละ แถมยังดูพึ่งพาได้” ถึงจะโดนผู้เป็นแม่แซะแต่แจ็คสันก็ไม่ได้เครียดอะไร บอกเลยชิน


    “เด็กนั่นเคยปาเงินใส่หน้าผมด้วยเถอะ”


    “อย่างแกคงไปกวนตีนเขาก่อนล่ะสิ”


    “โหย ม๊า ผมลูกม๊าจริงป่ะเนี่ย”


    “แหม ทำงอนนะ” คุณนายหยิกแก้มลูกชาย เรียกว่ากะดึงให้ยานเลยดีกว่า


    “ม๊าอ่า” แจ็คสันปัดมือแม่ตัวเองออกเบาๆ

     




    สองแม่ลูกคุยกันอย่างออกรสหลังจากไม่ได้เจอหน้ากันเกือบเดือน คุยตั้งแต่เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน ข่าวสารทั่วไป แจ็คสันจริงๆก็สนิทกับพ่อแม่นะแต่พอโตขึ้นมาอาจจะเพราะไม่ค่อยเจอหน้ากันก็เลยไม่ค่อยได้คุยกัน แต่เดี๋ยวนี้ดีที่เทคโนโลยีมันทันสมัย อยู่ไกลกันแค่ไหนก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากมาย

     


    ยองแจที่ลงมาจากชั้นสองยังอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางเด็กๆของแจ็คสันเวลาอยู่กับแม่ คงจริงที่เขาว่าไม่ว่าจะโตแค่ไหน ลูกก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งของคนเป็นพ่อเป็นแม่

     




     

    “กิมจิชิเกมาแล้วครับ” เป็นซึงฮยอนที่เดินยกอาหารมาเสริฟขัดจังหวะสองแม่ลูก


    “ธุรกิจครอบครัว ดีจังเลยนะคะ” คุณนายหวังพูดกับซึงฮยอน


    “ครับ แต่ก่อนก็ทำกันเล่นๆพอกินพอขายแหละครับ”


    “แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เล่นแล้วนะคะ” คุณนายหวังแซวเพราะต้องยอมรับว่าร้านอาหารร้านนี้ไม่ได้เป็นธุรกิจเล็กๆเลย ทั้งเมนู การตกแต่ง การบริการ มีจ้างพนักงานเสริมอีก


    “ ครับ เพิ่งขยายมาได้สักพัก พอยองแจโตขึ้นเขาก็ช่วยจัดการได้เยอะเลย พวกบัญชีร้าน เงินเดือนเด็กเสริฟก็ยองแจดูแลหมด ก็เป็นระบบมากขึ้นแหละครับ” ซึงฮยอนอธิบาย


    “แกหัดเอาอย่างบ้างสิ” คุณนายหันไปบอกลูกชาย


    “ผมก็เข้าบริษัททุกอาทิตย์น่าม๊า”


    “พี่ซึงฮยอน ผมดูต่อเอง” ยองแจที่เพิ่งลงมาเดินถือเซ็ทอาหารพุลโกกิมาสมทบบอกญาติผู้พี่ ซึงฮยอนพยักหน้ารับก่อนจะกลับไปทำงานหลังร้านต่อ


    “ยองแจ ใช่มั้ยลูก” คุณนายหวังเรียกเด็กหนุ่มตรงหน้า


    “ครับ” ยองแจพยักหน้าพลางวางถาดอาหารหน้าแจ็คสัน


    “ดีจังนะช่วยงานที่บ้านด้วย ไม่เหมือนไอ้นี่” คุณนายหวังชมยองแจพร้อมแดกดันลูกชายไปในตัว


    “ผมไม่ช่วยตรงไหนเนี่ย” แจ็คสันบ่น คนอุตส่าห์เข้าบริษัททุกอาทิตย์


    “นิดหน่อยเองครับ” ยองแจยิ้มอย่างสุภาพ เข้ากันดี๊ดีกับคุณนาย


    “ยองแจทำบัญชีที่ร้านเองเหรอลูก” แหม่ คุณนายครับ ลูกทุกคำเลยนะ


    “ครับ พอดีผมเรียนบัญชีด้วย ก็ฝึกๆไปในตัวด้วยครับ” ยองแจตอบ


    “สอนพี่มันหน่อยสิ” คุณนายหวังบุ้ยหน้าไปทางลูกชายที่เอาแต่ก้มกินข้าว


    “อะไรอ่ะ ม๊า” แจ็คสันบ่นเมื่อแม่เริ่มทำเหมือนเขาเป็นเด็กต้องมีคนสอน


    “ผมไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอกครับ”  ยองแจปฏิเสธ


    “แกไม่ต้องมาโวยวาย รู้มั้ยว่าป๋าแกจะลดตำแหน่งแกเป็นหัวหน้าเด็กส่งของแทนตำแหน่งประธานบริษัทอยู่แล้ว” คุณนายหวังบ่นลูกชายยาวเหยียด จริงๆแจ็คสันก็ไม่ได้ทำตัวเกกมะเหรกเกเรอะไรหรอก แต่ไอ้นิสัยสบายๆไปเรื่อยๆก็ทำพ่อกับแม่เหนื่อยใจได้เหมือนกัน


    บางทีแจ็คสันก็ทำตัวสบายๆจนน่าเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไร้ความรับผิดชอบหรอกนะ เธอกับสามีก็ไม่อยากจะบังคับอะไรลูกมาก เพราะแค่ต้องเป็นผู้สืบต่อธุรกิจครอบครัวนั่นก็เป็นกรอบที่แสนจะอึดอัดอยู่แล้ว แต่ถ้าการที่แจ็คสันจะต้องขึ้นทำงานบริหารด้วยความรู้ทางด้านนี้อันน้อยนิด มันก็ต้องคิดเป็นห่วงบ้างเหมือนกัน


     

    “ไว้ผมจะช่วยดูให้ละกันครับ” ยองแจหันไปยิ้มขำๆให้แจ็คสัน


    “เข้ากันดีจังเลยนะ” แจ็คสันแขวะทั้งแม่และรุ่นน้อง

     

     





    บางทีก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่พาคุณนายหวังมากินข้าวที่นี่วะเนี่ย

     

     

    ...................................................................................................

     
    100% แล้วจ้า ช่วงนี้ไม่ค่อยมีพิธีกรรมผีๆนะ ให้พี่บีได้ฉลองความเป็นคนบ้างอะไรบ้าง ใครถามถึงยูคอี้กะแจ็คแจ ทะยอยคลอดออกมาให้แล้วนะ แต่ยิ่งแต่งช่วงของแจ็คสันยิ่งรู้สึกสงสารมัน 5555 เพื่อนก็ด่า แม่ก็จิก เกิดเป็นแจ็คสันเรื่องนี้ทำใจนะ
    สุดท้าย เหมือนเดิม ขอบพระคุณทุกคอมเม้นท์มากนะคะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×