ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] SDD : Sleep , Deep , Death [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 17

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.66K
      13
      24 มี.ค. 58



    แสงแดดยามเช้า ตกกระทบลงบนเตียงหลังเก่าในอพาร์ตเมนท์โทรมๆปลุกให้ร่างสูงบนเตียงต้องจำใจลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าทั้งๆที่เป็นวันอาทิตย์ มาร์คในชุดนอนเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงทรงย้วยบิดขี้เกียจพร้อมกับสะบัดหัวอันฟูฟ่องที่ผ่านการไถกับหมอนมาทั้งคืนเหมือนไล่ความง่วงซึม ก่อนที่จะไล่สายตาไปที่เตียงติดผนังอีกฝั่งแต่กลับพบเพียงกองผ้าห่มขยุกขยุยของน้องชายเท่านั้น ถึงจะงงนิดหน่อยว่าทำไมโจอี้มันถึงได้ตื่นเช้านักแต่สุดท้ายมาร์คก็ลุกจากเตียงพาร่างตัวเองไปที่ห้องครัว แล้วก็พบโจอี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ แต่ทีแปลกก็คือ......




    มันเสือ
    _กอ่านคัมภีร์ไล่ผีแทนหนังสือเรียนนี่สิ





    “เดี๋ยวนี้เข้ามหาลัยเขาใช้วิชานั้นด้วยเหรอวะ” มาร์คที่ยืนดูน้องชายเงียบๆถาม เล่นเอาโจอี้ที่ไม่ได้ตั้งตัวสะดุ้งสุดแรง


    “เฮีย ตกใจหมด” โจอี้ปิดหนังสือพลางทำท่าเหมือนจะเอาไปเก็บ


    “อ่านเสร็จแล้วเหรอมึง” มาร์คเปลี่ยนตำแหน่งมานั่งตรงข้ามน้องชาย ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดดูบ้าง


    “ไม่ได้อ่านจริงจัง เปิดดูเฉยๆ” โจอี้กลบเกลื่อน


    “กินอะไรดีวะวันนี้” มาร์คที่เปิดหนังสืออ่านเล่นถามคำถามโลกแตกกับโจอี้ ซึ่งอีกคนก็ดูจะโล่งอกที่มาร์คไม่ได้ถามเซ้าซี้เรื่องเอาตำราผีๆมาอ่าน


    “ไม่รู้อ่ะ สั่งพิซซ่ามั้ย ไม่ได้กินนานแล้ว” โจอี้บอก ทำงานได้เงินก็ฉลองบ้าง


    “เอาดิ ไก่ทอดด้วย อยากว่ะ”  มาร์คบอกก่อนจะหยิบมือถือมากดอะไรบางอย่าง


    “อันนี้คือจะกดสั่ง” โจอี้ถามพลางชี้ที่มือถือมาร์ค


    “ป่าว เล่นไลน์” มาร์คที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับมือถือตัวเองตอบ และดูจากท่าทางคงม่อใครอยู่แน่นอน


    “เอ้า!!” โจอี้สบถอย่างเซ็งๆก่อนจะเดินไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุคของมาร์คมาเพื่อสั่งอาหารออนไลน์

     

     

     โจอี้เปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะกดเข้าอินเตอร์เน็ตเบราเซอร์ขึ้นมาเพื่อจะเข้าหน้าเว็บร้านพิซซ่าประจำ ส่วนมาร์คน่ะเหรอ ก็ยังยิ้มให้กับสมาร์ทโฟนเหมือนเดิม

     


    “นี่เฮียคุยกับใคร” โจอี้ถามแต่ไม่ได้ละสายตาจากคอมพิวเตอร์


    “แบมแบม” มาร์คยิ้ม ตาก็ไม่ได้ละจากมือถือ ก็แค่ไลน์ไปทักทายมอร์นิ่งแล้วอีกคนก็ส่งสติ๊กเกอร์ตอบกลับมาเท่านั้นเอ๊ง


    “สรุปเฮียเอาจริงใช่ป่ะนิ่”

    “จริง” มาร์คยังยิ้มเหมือนคนบ้า เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของเวลาที่มันขึ้นว่า read แล้วอีกคนตอบกลับมาทันที


    “ไม่กลัว?” โจอี้ถามย้ำ


    “ให้กลัวอะไรล่ะ”


    “ก็แบบว่า เรื่องงานของเรา มันไม่ค่อยปลอดภัย ที่เคยพูดอ่ะ”


    “ไม่กลัวอ่ะ กูเก่ง” มาร์คตอบเหมือนไม่ใส่ใจ น่าหมั่นไส้ชะมัด


    ไม่ใช่มาร์คจะไม่เชื่อในสิ่งที่น้องชายเตือนนะ แต่อย่างที่โจอี้เคยถาม ว่า มาร์คจะสามารถปกป้องแบมแบมไปได้ตลอดเหรอ ถ้าเงื่อนไขนี้ผ่าน ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว  




    ล่ะมั้ง?





    “แหม่ ครับๆ เก่งเรื่องไหนล่ะ” โจอี้แซวเล็กน้อย ถึงจะแอบเบ้ปากเล็กน้อยกับความดื้อด้านของพี่ชาย แต่คนอย่างมาร์ค ตัดสินใจอะไรแล้ว ห้ามได้ที่ไหนล่ะ


    “อะไรของมึง”


    “ผมก็หมายถึง เก่งเรื่องปราบผี หรือเรื่องเต๊าะเด็กล่ะ นี่เฮีย..ผมเตือนไว้อย่าง เฮียระวังเหอะ พี่แบมแบมเขามีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออยู่นะ จะทำอะไรก็รีบๆ” โจอี้เตือนพี่ชาย


    “หมายถึงไอ้เด็กยักษ์ ยูคยอมอ่ะเหรอ” มาร์คถาม


    “ช่ายยยยย...เอาหน้านี้มั้ยเฮีย ดีลักซ์อะไรเนี่ย” โจอี้พยักหน้าก่อนจะชี้ไปที่จอที่มีหน้าพิซซ่าอยู่


    “มึงก็ช่วยกูสิเรื่องไอ้เด็กนั่น.......กูไม่แดกพริกหวาน เอาอย่างอื่น” มาร์คเดินไปกอดคอน้องชาย


    “ช่วยยังไง......เอานี้มั้ย อยากกินกุ้ง” โจอี้ถามไปด้วยตอบไปด้วย คือมันก็ช่างคุยกันรู้เรื่อง


    “มึงสนิทกับมันไม่ใช่รึไง ติดตามความเคลื่อนไหวของมันให้กูหน่อย............อันนี้มีเห็ดมั้ย กูอยากกินเห็ด”


    “สนิทบ้าอะไรล่ะ.........อันนี้มีเห็ดกดสั่งเลยนะ” โจอี้หันไปถามมาร์ค พี่ชายพยักหน้าน้อยๆ


    “ทำไม ก็สนิทจริงมั้ยล่ะ”


    “ไม่จริง ไอ้ที่เห็นว่าสนิทน่ะมันเป็นเพราะงา...” โจอี้รีบแก้ตัวก่อนจะชะงัก จะบอกได้ไงว่าเป็นเพราะงาน ซวยแล้วมึง


    “เพราะ???”


    “เพราะงาน...งานที่ผ่านมาไง เรื่องพี่เจบีอ่ะ” โจอี้แก้ตัว


    “โกหกไม่เนียนเลยว่ะ มึงรู้จักกันมาก่อน” มาร์คที่กอดคอน้องชายเอานิ้วแหย่หูน้องชายเล่น มีใครบอกมั้ยว่าเวลามาร์คมุ้งมิ้งใส่น้องชายแม่_งโคตรน่ารำคาญ


    “มาร์ค อย่าเล่นหู กูไม่ชอบ” โจอี้ปัดมือพี่ชายออก นี่หงุดหงิดจริงนะ เห็นมั้ยสรรพนามเปลี่ยน


    “ช่วยกูหน่อยสิ มึงไม่อยากมีพี่สะใภ้น่ารักๆรึไง” มาร์คยังไม่หยุดเล่นหูน้องชาย อีกมือก็เล่นไลน์ไปด้วย


    “ตอนนี้ผมอยากให้เฮีย เอามือออกจากหูผม” ช่วยเอาเฮียมาร์คคนแมนกลับมาที กูกราบ


    “เออๆ จำไว้เลยนะมึง ไปขี้ก่อน” มาร์คลุกไปโดยทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะ ข้าศึกก็ช่างบุกไม่ดูเวล่ำเวลา

     



    โจอี้ที่เห็นมาร์คเดินไปก็เหลือบมองมือถือของอีกคนเล็กน้อย คือเบอร์ในมือถือมึงนี่น้อยมากนะ มากระแดะเล่นไลน์

    มันก็ไม่เลวนักหรอกที่มาร์คจะมีแฟน จะได้เลิกวุ่นวายกับชีวิตน้องชายอย่างเขาบ้าง ยิ่งเป็นพี่แบมแบมก็น่ารักดี  

    ขณะนั่งทำใจยอมรับความบ้าบิ่นของมาร์คเพลินๆ โจอี้ก็สังเกตเห็นข้อความเขียวๆเด้งขึ้นมาที่มือถือของพี่ชาย  ร่างเล็กเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาจ้อง

     

     












    แอบอ่านสักหน่อย....คงไม่เป็นไรม้างงงงงงง

     

     

     






    BAMx2 : พี่มาร์คครับ

     

    BAMx2 : เดี๋ยวพี่บีกำลังจะไปบ้านพี่มาร์คนะครับ

     











    อิเหี้ยเฮียมาร์ค!!! แขกจะมาบ้าน มึงช่วยหันไปมองบ้านมึงหน่อย โจอี้เหลือบไปมองสภาพห้อง ผ้าห่มที่ไม่เคยพับ ผ้าปูที่นอนที่ไม่เคยตึง ครัวที่สภาพเหมือนคลังแสงอาวุธ กองเสื้อผ้าที่ไม่เคยพับใส่ตู้ บ็อกเซอร์ที่พาดบนโซฟาหนังเก่าๆ อิเหี้ย วินเทจโคตรๆ ถ้าจะให้ดีขึ้นกว่านี้มึงช่วยฉีดสเปรย์ปรับอากาศหลังขี้ด้วยนะมาร์ค โจอี้คิดหนัก แต่ก็ต้องเลิกคิดไป เอาเหอะ ยังไงพี่เจบีก็คงรับได้อยู่แล้ว มันคงเลยจุดความอายของมาร์คมาแล้วล่ะ



    โจอี้คิดอนาถใจกับความซกมกของพี่ชาย(และของตัวเอง) ก่อนจะเหลือบไปเห็นข้อความถัดมาจากแบมแบม

     

     










    BAMx2 : แบมไปด้วยนะครับ

     

     

     









    เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

     




    โจอี้เด้งตัวขึ้นมาลุกขึ้นเก็บห้องอย่างลวกๆ เริ่มจากอย่างน้อยก็ให้กูเอาบ๊อกเซอร์ (ของกู) ออกจากโซฟาก่อนเถอะ ของมาร์คช่างแม่ม ให้มันเก็บเอง ถึงจะไม่อายเจบี แต่กูอายพี่แบมมั้ย เสร็จภาระกิจบ๊อกเซอร์ โจอี้เดินไปที่เตียงเพื่อเก็บที่นอนของตัวเอง ของมาร์คเหรอ? ก็ช่างแม่ม

     











    “โอ้ย โล่งงงงงงงงงงงง” เสียงคนพ้นทุกข์ดังพร้อมกับร่างที่ออกมาจากห้องน้ำ


    “เฮีย ฉีดสเปรย์หน่อย กลิ่นแม่มอย่างกับไม่ได้ล้างก้น”


    “นี่มึงทำไร” มาร์คเห็นน้องชายเก็บที่นอนในรอบสิบปีถาม


    “เก็บที่นอน ตาบอดหรือโง่” โจอี้บอก นี่มึงปากดีได้ใครมาวะ


    “กูไม่ถือสาเด็กปากเปราะอย่างมึงหรอก” มาร์คว่าก่อนจะเดินไปฉีดสเปรย์ตามคำสั่งน้องชาย


    “เออ เฮีย วันนี้จะออกไปไหนป่ะ” โจอี้หลอกถาม


    “ไม่ วันนี้ไอ้เจบีจะมาจ่ายค่าจ้างที่บ้าน ถามทำไม”


    “ไม่เก็บข้าวของหน่อยเหรอ” โจอี้ถามพลางชี้ไปรอบห้อง


    “ไม่อ่ะ ไอ้เจบีมันชินแล้วล่ะ ค่อยๆเขี่ยของออกหาที่นั่งให้มันทีหลัง” มาร์คว่าก่อนเดินไปเก็บบ๊อกเซอร์ตัวเองมาโยนไว้ที่เตียงก่อนจะนอนยาวที่โซฟา  เออ  ก็ยังดี


    “อ่าฮะ” โจอี้พยักหน้า เดี๋ยวมึงรู้ เฮีย เดี๋ยวรู้


    “เออ เฮีย ถามอีกนิดดิ” โจอี้ถามต่อ


    “อะไร”


    “หมดงานพี่เจบีแล้ว เฮียไม่รับงานอื่นบ้างเหรอ” โจอี้หยั่งเชิงพี่ชาย


    “ไม่เห็นจะมีงานติดต่อมาเลย”


    “มีดิ ทำไมจะไม่มี ลุงควอนโทรมานานแล้ว ผมเห็นเฮียยุ่งๆเลยไม่ได้บอก” งานกูไงมาร์ค งานกู


    “กูยังคิดๆอยู่ คือกูว่างานไอ้เจบีมันยังไม่เคลียร์ว่ะ”  มาร์คบอกพลางเปิดทีวีเก่าๆ


    “นี่ยังไม่คิดจะเลิกหาคนร้ายอีกรึไง มันเหนือขอบเขตงานเราแล้วปะวะเฮีย”


    “กูไม่ได้คิดว่าเป็นงาน แต่กูแค่เป็นห่วงเพื่อน”


    “เออๆ เข้าใจก็ได้ ห่วงเงินในกระเป๋าบ้างนะว่าจะไม่มีแดก” โจอี้แขวะให้ ก่อนจะดึงผ้าปูที่นอนให้เรียบตึงที่สุดในชีวิต


    .

    .

    .


    “เออ เฮีย ถามอีกที” มึงจะ เออ เฮียทั้งวันเลยใช่มั้ย


    “อะไรอีก”


    “เฮียแน่ใจนะ ว่าจะไม่เก็บห้อง” โจอี้หันไปถามอีกครั้ง แต่ก็ไม่หลุดปากหรอกนะว่าใครจะตามพี่เจบีมาด้วย


    “เออ!!!” มาร์คพูดตัดรำคาญก่อนจะเปิดเสียงทีวีดังๆ


    “โอเค๊ ไม่กวน” โจอี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย เสียดายที่มาร์คไม่หันมาเห็น

     

     

     








    เดี๋ยวมึงรู้ เฮีย เดี๋ยวรู้

     

     

    ............................................................................................

     


     

    “ผมนึกว่าแม่พี่พูดเล่น”



    “กูก็นึกว่าแม่กูพูดเล่น”












    “แล้วทำไมพี่ถึงโง่ได้ขนาดนี้เนี่ย นี่มันเรื่องง่ายมากเลยนะ”

     


    ยองแจที่กำลังนั่งสอนบัญชีขั้นพื้นฐานให้แจ็คสันใต้ตึกคณะวิทยาศาสตร์อย่างเหลืออดเหลือทน ตอนแรกก็คิดว่าคุณนายหวังพูดเล่น ก็เลยรับปากว่าจะดูแลแจ็คสันให้แบบไม่คิด ที่ไหนได้ ต้องกลายมาเป็นติวเตอร์จริงๆเนี่ยนะ ถ้าไม่เห็นแก่ค่าจ้างราคางามและการได้แอบอู้งานล้างจานในร้านก็นะ ไม่มานั่งเสียน้ำลายให้ไอ้บ้านี่หรอก

     

    “บัญชีพื้นฐานบ้าอะไร ที่มึงพูดมานี่มีแต่ตัวหนังสือ ไม่มีตัวเลขเลย” แจ็คสันถึงกับทรุด


    “ก็ก่อนจะไปถึงตัวเลขเนี่ย พี่ก็ควรเข้าใจความหมายของคำแต่ละคำก่อนมั้ย”


    “กูก็นึกว่ามันจะมีแค่คำว่า รายรับ รายจ่าย คงเหลือ นี่แม่_งอะไร  งบดุล งบกำไรบ้าบอคอแตก”


    “พี่อย่าโวยวายได้มั้ย ช่วยทำตัวแบบผู้ดี ลูกคุณหนู คุณชายเหมือนฐานะพี่บ้างเหอะ” ยองแจชักจะเหนื่อยเหมือนกัน


    “พักแปบได้มั้ย เหนื่อยอ่ะ” แจ็คสันขอร้องอีกคน

     




    ยองแจพยักหน้า เขาเองก็เหนื่อยเหมือนกัน วันนี้วันอาทิตย์ส่วนมากไม่มีใครมาทำอะไรที่มหาลัยกันอยู่แล้ว จะมีก็แต่เด็กเรียนบางพวกที่มานั่งจับกลุ่มติวหนังสือ ยองแจเองก็เหมือนกัน จริงๆมีสอบย่อยอาทิตย์หน้าแต่กลับต้องมานั่งสอนบัญชีขั้นพื้นฐานสุดๆให้แจ็คสัน แต่เอาจริงๆปกติวันอาทิตย์จะเป็นวันที่ยองแจไม่อ่านหนังสืออยู่แล้วเพราะถือคติว่าเป็นวันพักผ่อน สมองควรได้พักจริงๆบ้างสักหนึ่งวัน (เอาจริงก็ขี้เกียจนั่นแหละ) ยองแจนอนแผ่บนเก้าอี้ตัวยาวอย่างเหนื่อยอ่อน สอนการบ้านจุนฮงยังไม่เหนื่อยเท่านี้เลย

     


    “เฮ้ยๆ คิดว่าตัวเล็กรึไง ม้านั่งมันแคบ เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก” แจ็คสันชะโงกหน้าไปเตือนยองแจที่นอนม้านั่งฝั่งตรงข้าม


    “นี่ พี่แจ็คสัน ถามอะไรหน่อยดิ” ยองแจพูดขัดอีกคนขึ้นมา


    “อะไร”


    “พี่ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ เรียนของคณะตัวเองก็ต้องเรียน แล้วต้องมาเรียนรู้บริษัทอีก ไหนจะวิ่งปราบผีกับพวกเพื่อนพี่อีก” ยองแจลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าแจ็คสัน


    “เหนื่อยดิ” แจ็คสันตอบจริงจัง

    .

    .

     

    “แต่คือกูเลือกแล้วไง ทำไงได้ เหนื่อยแต่กูก็โอเคนะ” แจ็คสันบอกยิ้มๆ


    “แล้วมึงอ่ะ” แจ็คสันถามอีกคนกลับ


    “ผม? ทำไม?”


    “เรียนก็ต้องเรียน งานที่ร้านอีก แล้วนี่ถ้าจบจะอยู่ที่ร้านหรือทำงานที่อื่น” แจ็คสันถามเรื่องของอีกคนบ้าง


    “ไม่รู้อ่ะ อยากหาประสบการณ์บริษัทใหญ่ๆ งานที่ร้านมันเล็กน้อยมากเลย”


    “มาสมัครบริษัทกูดิ ใหญ่นะเว้ย” แจ็คสันชวน


    “ง่ายอย่างงั้นเลย?” ยองแจถามยิ้มๆกับท่าทางแกล้งโอ้อวดของแจ็คสัน


    “นี่ใคร?...เจ้าของบริษัทนะครับ” แจ็คสันพูดพลางตบอกอย่างภาคภูมิ


    “อ้าวเหรอ นึกว่าหัวหน้าเด็กส่งของ” ยองแจพูดย้อนคำพูดคุณนายหวังพร้อมหัวเราะ


    “ชักจะเข้าขากับคุณนายเกินไปแล้วนะ” แจ็คสันว่าพลางเอื้อมมือไปยีหัวอีกคนอย่างหมั่นไส้


    “แม่พี่น่ารักดีออก” ยองแจบอกไม่ได้ปัดมืออีกคนออกแต่อย่างใด


    “จะน่ารักกว่านี้อีกถ้าแซะลูกชายตัวเองน้อยลง”


    “เอาน่า แม่ผมก็เหมือนกันน่ะแหละ” ยองแจเห็นใจ อยู่บ้านคุณนายเชวก็ใช่ว่าจะบ่นเขาน้อยซะเมื่อไร

     

    .

    .

     

     

    “ไปหาไรกินเหอะ”  หลังจากนั่งพักได้ไม่กี่นาทีแจ็คสันก็เริ่มชวนยองแจออกไปทำอย่างอื่น สงสัยจะสมาธิสั้นจริงน่ะแหละ


    “พี่เพิ่งกินข้าวเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้วป่ะ” ยองแจถามก็ก่อนมามันเพิ่งไปตีเนียนกินข้าวบ้านเขามา


    “หมายถึงขนม น้ำ อะไรอย่างนี้ไง” แจ็คสันพูดพลางลุกขึ้นยืน


    “ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจเดิน” ยองแจทำท่าจะล้มตัวนอนอีกรอบ


    “ไม่ต้องนอนเลย ลุกๆๆ” แจ็คสันเดินไปฉุดข้อมืออีกคนให้ลุก ยองแจทำท่างอแงเล็กน้อยแต่สุดท้ายไม่รู้ว่าใครดื้อกว่าใคร ยองแจจึงลุกขึ้น แต่แจ็คสันก็ยังคงต้องออกแรงจับข้อมืออีกคนลากไปอยู่ดี

     


    หลังจากเดินไปได้สักพักยองแจก็เริ่มรู้ตัวว่าข้อมือของตัวเองถูกจับอยู่ ยองแจพยายามบิดๆออกแต่ดูเหมือนอีกคนมันไม่คิดจะปล่อยเลยแฮะ ยองแจจึงเริ่มยุกยิกแรงขึ้น



    “นี่มึงเดินนิ่งๆไม่ได้รึไง” แจ็คสันหันมาถามพร้อมกระชับข้อมืออีกคนให้แน่นขึ้น


    “แล้วพี่จะจับทำไมวะเนี่ย”


    “ก็เดี๋ยวมึงไม่เดินตามกูมาอีก กูก็ลากอย่างงี้แหละ”


    “ก็เดินตามอยู่นี่ไง” ยองแจว่า และเลิกบิดข้อมือตัวเองออกแล้ว ดูยังไงมันก็คงไม่ปล่อยอ่ะ

     




    ขณะเดินลากกันอยู่สักพัก แจ็คสันก็หยุดเดินซะดื้อๆ เล่นเอายองแจที่ตามมาเบรกตัวเองเกือบไม่ทัน

     



    “อะไรอีกเนี่ย” ยองแจถามพลางทุบหลังอีกคนแรงๆ


    “เฮ้ย มึง....นั่นไอ้มืดป่ะ” แจ็คสันชี้ให้ดูร่างคนคนหนึ่งซึ่งเคยเห็นก่อนหน้านี้ที่ห้องสโมสรคณะบริหาร กำลังยืนอยู่หน้าร้านขายน้ำใต้ตึก


    “มืดไหน ไอ้ที่พี่บอกว่าเป็นรองสโมอะไรป่ะ” ยองแจถาม เขาจำคนคนนั้นได้แต่ชื่อไรจำไม่ได้หรอกนะ


    “เออ ชื่อคิม จงอินใช่มั้ยวะ”


    “ไม่รู้ จำไม่ได้ พี่จะไปยุ่งกับเขาทำไมเนี่ย”


    “มันมาทำอะไรที่คณะกูวะ”


    “เขาจะมาทำไมก็เรื่องของเขาป่ะ พี่แม่มถนัดแต่เรื่องชาวบ้านจริงๆ....โอ้ย!!” ยองแจร้องทันทีเพราะแจ็คสันหันเอานิ้วมาดีดหน้าผากเขาอย่างแรง ด่ากูจังนะ

     





    แจ็คสันไม่พูดอะไรก่อนจะลากยองแจไปยืนอยู่หน้าร้านข้างๆผู้ชายที่ชื่อ คิม จงอิน

     




    “ป้าครับ มอคค่าเย็นแก้วนึง มึงเอาไร”  แจ็คสันสั่งก่อนจะหันไปถามยองแจ


    “ชาเขียวเย็นแก้วนึงครับ” ยองแจสั่งบ้าง

    .

    .

    “เฮ้..นายนี่เอง” แจ็คสันหันไปทักทายจงอินที่ยืนข้างๆด้วยท่าทางที่แกล้งทำว่าบังเอิญเจอกัน

     




    จงอินหันมามองเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ทำหน้าอ๋อในที่สุด

     



    “เอ่อ...ไง” จงอินทักทายแบบงงๆเล็กน้อย


    “มาทำอะไรแถวนี้วะ” แจ็คสันถามตามประสาคนอัธยาศัยดี


    “เอ่อ ก็...ซื้อน้ำน่ะ” ได้ข่าวว่าคณะมึงก็มีตู้กดน้ำนะ ถ่อมานี่เพื่อ????


    “แล้วมาทำอไรที่ ม. วันอาทิตย์วะ” แจ็คสันยังตื๊อไม่เลือก ยองแจได้แต่สะกิดอีกคนเบาๆเพื่อบอกว่าเขาไม่อยากคุยกับมึง


    “ก็...เคลียร์งานสโมนิดหน่อย”


    “อ่อ...ลำบากแย่เลยนะ เจบีไม่อยู่” แจ็คสันตบไหล่ให้กำลังใจจงอิน มึงกล้ามาก

    “นิดหน่อยน่ะ” จงอินปัดมืออีกคนออกเบาๆ


    “แต่เจบีมันออกจากโรงบาลแล้วนิ่ เดี๋ยวก็สบายแล้ว” แจ็คสันบอก


    “อะไรนะ?” จงอินหันมาถามทั้งสองคน


    “พี่เจบี ออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ” ยองแจย้ำ


    “เมื่อไร? แล้วทำไมไม่มาคณะ” จงอินดูสนใจเป็นพิเศษ


    “มันเพิ่งออกเมื่อไม่กี่วัน คงมามหาลัยอาทิตย์หน้า ทำไมวะ” แจ็คสันหรี่ตาถามอย่างสงสัย


    “ปะ..เปล่า........หรือว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงวะ” จงอินบอกก่อนงึมงำกับตัวเอง


    “ว่าไงนะ?” แจ็คสันถามเพราะได้ยินประโยคหลังไม่ถนัด


    “ไม่มีอะไร แค่พึมพำกับตัวเองน่ะ” จงอินปฏิเสธ แจ็คสันพยักหน้าเหมือนไม่ติดใจอะไร

     



    “เอ่อ..พวกนายอยู่คณะนี้ใช่มั้ย” จงอินตัดสินใจหันไปถามอีกครั้ง


    “พี่คนนี้อยู่ครับ แต่ผมเปล่า” ยองแจตอบพร้อมชี้ไปที่แจ็คสัน


    “งั้นนายรู้จัก...คนที่ชื่อมาร์คมั้ย” จงอินถาม


    “อ๋อ..พี่มะ...” ยองแจทำท่าจะพูดแต่ถูกแจ็คสันบีบข้อมือกับส่งสายตาดุๆห้ามไว้


    “ทำไม? มีอะไรกับมัน?” แจ็คสันถาม


    “เปล่าหรอก..แค่มีเรื่องจะถามนิดหน่อย” จงอินมองหน้าแจ็คสันกลับ


    “จะฝากถามมั้ยล่ะ” แจ็คสันเองก็มองอีกคนโดยไม่หลบตา


    “ไม่เป็นไร ไว้ฉันมาลองหาวันธรรมดาดีกว่า” จงอินบอกพลางหยิบแก้วกาแฟของตัวเองที่เพิ่งได้


    “ไปนะ” จงอินขอตัวก่อนเดินไปจากร้าน

     

    .

    .

     

     

    “แปลกๆนะ คนนั้นน่ะ” ยองแจบอกแจ็คสัน


    “อืม ทำไมถึงถามถึงไอ้มาร์ควะ” แจ็คสันหันไปถามยองแจ


    “ผม? คิดว่าผมรู้? แต่บางทีพี่เขาอาจจะรู้จักกันก็ได้นิ่” ยองแจถาม บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจไอ้พี่แจ็คสัน


    “คิดว่าไม่นะ” แจ็คสันได้แต่ใช้ความคิดตัวเองอย่างเงียบๆ

     





    สงสัยต้องถามไอ้มาร์คซะล่ะมั้ง

     

     

    ...........................................................................................................

     




    ก๊อกๆๆ......

     



    เสียงดังจากประตูหน้าห้องทำให้มาร์คกับโจอี้ที่นั่งซัดพิซซ่าบนโซฟาสะดุ้ง เป็นโจอี้ที่ลุกขึ้นเตรียมจะไปเปิดประตู




    “เฮียแน่ใจนะว่าจะไม่เก็บห้อง” โจอี้หันมาถามพี่ชายอีกรอบ


    “เออ”


    โจอี้หันไปทำท่าจะเปิดประตูแต่ก็หยุดหันกลับมาถามพี่ชายอีกครั้ง


    “จะใส่เสื้อก่อนมั้ย” โจอี้หันมาถามมาร์คที่อยู่ในเสื้อกล้ามตัวเดิมที่กินไก่ทอดอย่างเอร็ดอร่อย


    “มึงรีบเปิดก่อนกูจะรำคาญ” มาร์คบอก โจอี้พยักหน้ายิ้มๆ

     

     









    กูเตือนมึงแล้วนะ

     

     






    โจอี้เปิดประตูออกเผยให้เห็นหน้าผู้มาเยือน พี่เจบีนี่ยิ้มฟันยื่นมาแต่ไกล ตามหลังมาด้วยพี่แบมแบม พี่เขาน่ารักจริงอะไรจริงว่ะ แต่โจอี้ก็ต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่อเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่หลังแบมแบม

     

     

    ไอ้พี่คิมยูคยอม!! มาเพื่อ????

     



    “ไงโจอี้ ไอ้มาร์คล่ะ” เจบีถาม


    “ข้างในครับ เข้ามาเลยพี่” โจอี้เชิญพร้อมกับเบี่ยงตัวให้แขกเข้าห้อง


    “รบกวนหน่อยนะ” แบมแบมหันมายิ้มให้โจอี้ก่อนเดินเข้าไป โจอี้เองก็ยิ้มตอบ


    “ไงเปี๊ยก” ยูคยอมทักแต่ไม่ยอมเข้าไปสักที


    “มาทำไม” โจอี้กัดฟันถามอีกคนเบาๆถึงเจบีกับแบมแบมจะเดินเข้าไปแล้ว


    “มากันท่าพี่ชายนายไง” ยูคยอมกระซิบพร้อมยื่นหน้ามาใกล้แต่....

     

     






    “น้องโจอี้ครับ!! มาหาพี่มาร์คหน่อยครับ!!!” เสียงพี่ชายดังมาจากในห้องบ่งบอกเลยว่าอารมณ์เสียสุดๆ

     

     






    “คิดว่าทำได้ก็ลองดู” โจอี้บอกยูคยอมก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้อง

     









    ตอนนี้มาร์คนั่งหน้าเป็นตูดอยู่ในห้องนั่งเล่น และแน่นอนว่าใส่เสื้อเชิ้ตทับเสื้อกล้ามตัวเดิมเรียบร้อยแล้ว เหมือนจะจัดผมตัวเองนิดหน่อยด้วย โดยมีเจบีนั่งข้างๆและแบมแบมนั่งข้างๆเจบีอีกที

     




    “มีอะไรเหรอเฮีย...”ยังไม่ทันจะพูดจบโจอี้ก็โดนพี่ชายลุกขึ้นมาลากคอแล้วเดินแอบไปแถวๆโซนที่นอน


    “มึงรู้ใช่มั้ยว่าแบมแบมจะมา” มาร์คกัดฟันถาม


    “อะไรอ่ะเฮีย ผมไม่รู้เรื่อง” โจอี้ตีหน้าซื่อ


    “แบมแบมบอกว่าไลน์มาบอกแล้ว แต่กูไม่ได้อ่านว่ะ มึงแอบอ่านไลน์กูใช่มั้ย ไอ้เด็กผี” มาร์คคาดโทษน้องชาย


    “ผมก็บอกเฮียแล้วไงว่าให้เก็บห้อง”


    “มึงก็บอกตรงๆนะครับว่าแบมแบมจะมา” หมดกันภาพพจน์กู


    “เอาน่า แล้วนี่รู้ยังว่าไอ้พี่ยูคยอมมาด้วย หนีมาอย่างงี้เดี๋ยวไอ้พี่ยูคยอมก็ทำคะแนนหรอก” โจอี้บอกเพื่อหาทางรอดของตัวเอง มาร์คจึงยอมปล่อยน้องชายแต่โดยดี


    “ยกนี้มึงชนะ ไอ้น้องเวร” มาร์คชี้หน้าโจอี้ก่อนเดินกลับไปที่ห้องรับแขก จะเรียกห้องก็ไม่ถูก เรียกโซนรับแขกดีกว่า

     

     

    มาร์คที่เดินกลับเข้ามาพร้อมโจอี้ที่เดินตามหลังมา เห็นเจบีนั่งอยู่ที่โซฟาขนาบข้างด้วยน้องชายทั้งสองพร้อมกับกินพิซซ่าเหมือนอยู่บ้านตัวเอง โซฟาหนังตัวเดียวถูกจับจองซะแล้ว ทำให้มาร์คกับโจอี้ต้องยกเก้าอี้จากในครัวมานั่ง



    “ไม่ได้กินข้าวมาเหรอ?” มาร์คถามเจบีที่เคี้ยวตุ้ยๆ


    “กินแล้ว แต่พิซซ่ามึงน่ากินว่ะ ทำไมสั่งมาถาดเดียววะ” เจบีพูดพลางยื่นพิซซ่าให้แบมแบมลองกินแต่แบมแบมส่ายหน้า


    “คือ..กูสั่งมากินกับน้องกูไง สองคน แล้วก็ไม่คิดว่ามึงจะมาเร็วขนาดนี้” มาร์คตอบ


    “พี่เจบีกินเหอะ ผมอิ่มแล้ว” โจอี้บอก สงสารพี่เจบีเหอะ ไม่ได้กินอะไรมาเป็นเดือนแล้ว


    “น้องมึงน่ารักกว่ามึงเยอะเลย” เจบีพูด ยูคยอมเบะปากเล็กน้อย


    “น้องมึงก็น่ารักกว่ามึงเยอะเหมือนกัน” มาร์คย้อน แบมแบมเองก็หน้าขึ้นสีเล็กน้อย

    “เอ่อ พี่บี แล้วไหนพี่บีจะมาจ่ายค่าจ้างไงครับ” แบมแบมเตือนพี่ชายที่เอาแต่กินจนลืมจุดประสงค์หลัก


    “เออ ใช่ๆ”


    เจบีนึกได้ก่อนจะเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองแล้วหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลมายื่นให้มาร์ค มาร์ครับมาไม่เปิดดูก่อนจะเดินเอาซองไปใส่ตู้เซฟแถวเตียงนอน


    “ไม่เช็คหน่อยเหรอ” เจบีถาม


    “ไม่อ่ะ เดี๋ยวตอนเอาไปเข้าบัญชีค่อยเช็ค” มาร์คว่าหลังจากเอาเงินเข้าเซฟเรียบร้อย


    “นี่ปกติพี่ก็ไม่เช็คก่อนเหรอ ไม่กลัวโดนโกงเหรอพี่อ่ะ” ยูคยอมถามด้วยความหมั่นไส้ คนเหี้ยอะไร จะลุก จะนั่ง จะพูดแม่มดูคูลทุกประโยค


    “ถ้านายเห็นปืนในครัวฉัน นายก็จะรู้ว่าไม่มีใครกล้าโกงฉันหรอก” มาร์คยิ้มอย่างอ่อนโยน?????


    “พี่มาร์ค...เคยยิงคนด้วยเหรอครับ” แบมแบมถามหวาดๆ

    “ล้อเล่นน่ะแบม...ปืนนั่นมันยิงคนไม่เข้าหรอก แต่ใช่ว่าพี่เคยยิงนะ” มาร์คหัวเราะ แบมแบมแอบถอนหายใจไปหน่อยนึงก่อนจะยิ้มให้มาร์คคืน


    “แล้วมึงอ่ะ ผ่านความตายไปครั้งนึง เป็นไงบ้าง” มาร์คหันไปถามเจบี


    “ก็สบายดี ปกติดีทุกอย่าง”


    “เหรอ?” มาร์คเลิกคิ้วอย่างสงสัย ทำไมเวลาพูดไอ้เจบีต้องทำจมูกบาน


    “อ่าฮะ” เจบีพยักหน้า


    “เอ่อ..แบม พอดีพี่ลืมโทรศัพท์ไว้ในรถน่ะ แบมช่วยไปเอาให้หน่อยได้มั้ย” เจบีหันไปบอกแบมแบม


    “ได้สิครับ” แบมแบมลุกขึ้นเตรียมออกเดิน


    “เราไปด้วยดิแบม” ยูคยอมลุกขึ้นตามอีกคน มาร์คเห็นอย่างนั้นเลยเตะขาเก้าอี้โจอี้


    “อะไรเฮีย เตะทำไม” โจอี้หันไปโวยใส่มาร์ค


    “ไปช่วยพี่แบมหาของหน่อยไปมึงอ่ะ เดี๋ยวกลับมาไม่ถูก” มาร์คบอกพลางส่งสายตาบอกโจอี้เป็นนัยๆว่า ไปเป็นก้างแทนกูหน่อย มีหรือที่น้องชายสุดรักจะไม่รู้


    “ไม่เป็นไรหรอกโจอี้” แบมแบมบอกอย่างเกรงใจ


    “ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังเบื่ออยากเดินเล่นพอดี” โจอี้ยิ้มทั้งที่ในใจด่ามาร์คไปประมาณหนึ่งย่อหน้า


    “เกะกะว่ะเปี๊ยก” ยูคยอมแขวะให้


    “ยูคยอม ทำไมว่าน้องแบบนั้น” แบมแบมหันไปดุเพื่อนทีนึง


    “ใช่ครับพี่แบม พี่ยูคยอมอ่ะ ว่าผมตลอดเลย” ออสการ์มั้ยล่ะน้องกู ทำดีมากโจอี้


    “แสบนักนะไอ้เด็กนี่” ยูคยอมถอนใจก่อนที่ทั้งสามจะเดินเถียงกันออกจากห้องไปในที่สุด

     

     

     

     

     

     

     






    .


    .

    .


     

    “มึงมีอะไร” มาร์คถามเจบีอีกครั้ง หลังจากเหลือกันแค่สองคน


    “มึงแม่มจิตสัมผัสจริงๆว่ะ” เจบีชมอีกคน


    “รีบพูดเลย เดี๋ยวแบมแบมกลับมามึงจะไม่กล้าพูด” มาร์ครู้ว่าที่เจบีให้แบมแบมไปหาของเพราะไม่อยากให้แบมแบมรู้


    “กูฝันว่ะ” เจบีบอกในที่สุด


    “ฝัน?”


    “เออ ฝันทุกคืนเลยตั้งแต่กูเข้าร่าง” เจบีว่า


    “ฝันว่าไง”


    “ฝันถึงที่เดิมๆ  คือมันเหมือนฝันต่อกันอ่ะ กูฝันว่ากูอยู่ในทุ่งหญ้า ไม่ดิ เหมือนเนินเขา”


    “แล้วไงต่อ” มาร์คทำท่าสนใจจริงจัง


    “แค่นั้น” มาร์คแทบทรุดกับคำตอบของไอ้เพื่อนเห่อร่าง


    “คือวันแรกที่ฝันอ่ะแค่นั้น แล้ววันต่อๆมากูก็ยังอยู่ที่นั่น แต่เหมือนเดินไปเรื่อย จนเมื่อสามสี่วัน ในฝันกูเริ่มมีผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งอยู่ในนั้น” เจบีเล่าต่อ


    “เป็นคนที่มึงรู้จักป่ะ”


    “กูไม่แน่ใจ สองคนนั้นหันหลังว่ะ แล้วก็อยู่ไกลๆ แล้วเขาก็ดูไม่ได้สนใจกู แต่มันประหลาดตรงที่กูฝันทุกคืนนี่แหละ ทุกคืนจริงๆนะมึง พอตื่นขึ้นกูก็จะรู้สึก...ไม่รู้ว่ะ....รู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงไม่รู้” เจบีย้ำหนัก


    “ประหลาดจริงนั่นแหละ” มาร์คเริ่มใช้ความคิด


    “มึงว่ากูควรทำไงดี นี่กูไม่กล้าเล่าให้แบมฟังนะเนี่ย ไม่งั้นน้องกูวิตกจริตตายเลย ขนาดกูกูยังแบบ...หลอนว่ะ” เจบีถามความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ


    “กูคิดว่างานนี้มันจบแบบค้างๆว่ะ” มาร์คพูดพร้อมลุกขึ้นยืน

     
    “กูว่าคงต้องหาตัวคนที่ทำร้ายมึง แล้วจัดการให้มันจบๆไปซะ” มาร์คว่าต่อ
     

    “จัดการยังไง ห้ามฆ่าคนนะเว้ย!!” เจบีเริ่มจะกลัวไอ้มนุษย์หัวแดงนี่ละนะ


    “มึงจะบ้าเหรอ กูหมายถึงถอนคำแช่ง คลายมนต์ดำ ประมาณนั้น มันอาจจะเกี่ยวกับฝันมึง”


    “มึงจะช่วยกูเหรอ” เจบียิ้ม


    “แน่นอนว่าไม่ฟรี” มาร์คขัด เจบีแทบจะเอาเท้ายันหน้าหล่อๆให้หงาย ไอ้งกเอ้ย!!!



    .

    .

    .


    “แต่ก่อนอื่นกูว่ามึงลองไปนั่งตีความฝันมึงให้ออก มันอาจชี้ตัวคนร้ายได้ก็ได้นะ” มาร์คชี้แนะจากประสบการณ์ ใครบางคนบอกว่าฝันคือสิ่งที่จิตปรุงแต่ง แต่บางครั้งที่หลายความฝันก็เป็นลางบอกเหตุ และในกรณีของเจบีมันก็คงแปลกมากที่จะฝันเรื่องเดิมๆซ้ำๆทุกคืน ถ้าฝันนั่นไม่ต้องการจะบอกอะไร


    “ให้กูตีความฝัน มึงบ้าป่ะ ถ้ากูคิดออกจะบากหน้ามาหามึงมั้ย” เจบีบอกเซ็งๆ


    “กูบอกเหรอว่าให้มึงทำคนเดียว”


    “อ้าว งั้นมึงก็รีบๆช่วยกูสิ” เจบีบ่น กวนตีนชิบหาย


    “กูไม่รู้เรื่องอ่ะ ตีความฝันอะไรนั่น” มาร์คส่ายหน้า


    .

    .

    .

    “แต่กูรู้ว่าใครช่วยมึงได้” มาร์คยิ้ม


    “ใคร?”















    “พ่อมดไง” มาร์คตอบยิ้มๆ

     













    นั่นเป็นประโยคแรกจากมาร์คที่ทำให้เจบียิ้มออก



    .........................................................................................................................................................

    มาต่อแว้วนะ ทำไมรู้สึกอี้กวนตีน ทำไมรู้สึกแจ็คแจน่ารัก ทำไมรู้สึกว่าเรื่องยุ่งยากมันกำลังมา ฝันจะบอกอะไร จงอินเกี่ยวอะไร รู้จักมัคคึได้งาย ใครเป็นคนร้าย คำถามเต็มไปหมด 
    วะฮ่าๆๆๆๆ 
    ปิดท้าย ขอบคุณทุกท่านที่อ่านที่เม้น ขอบคุณจริงๆค่ะ ฮิ้ววววว  1 เม้น 1 กำลังจายยยยยย


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×