นักท่องเที่ยวกับคนทำมาหากิน
เย็นวันศุกร์ ก่อนจะเข้าสู่วันหยุดสุดสัปดาห์ หลายคนให้รางวัลกับการทำงานหนักตลอด ๕ วันด้วยการไปสังสรรค์ปาร์ตี้ บางคนก็อยากกลับบ้านไปพักผ่อนใจจะขาด ฉันเองเป็นพวกหลัง
แต่ท้องถนนกลางเมืองหลวงก็ช่างโหดร้ายกับผู้สัญจรเสียเหลือเกิน
เมื่อสะสางงานจนเสร็จ ฉันรีบตรงดิ่งกลับบ้าน หาก ก็มีเหตุให้ต้องหัวเสียกับการรอรถเมล์อยู่เป็นชั่วโมง จะว่าติดขบวนเสด็จหรือขบวนผู้ชุมนุมที่มุ่งหน้าสู่ท้องสนามหลวงก็ตามแต่ ฉันไม่สนใจอีกแล้ว ขอแค่พาตัวเองกลับไปล้มตัวลงนอนให้สบายอารมณ์ได้เป็นพอ
เบียดแทรกขึ้นรถเมล์ที่แสนแน่นขนัดมาได้ก็ต้องหัวเสียอีกครั้งเมื่อหันไปเห็นฝรั่งแบกเป้กลุ่มใหญ่นั่งกันเต็มพื้นรถ คาดว่าพวกเขาคงขึ้นมาจากต้นสายแถวบางลำพู และกำลังจะมุ่งหน้าไปมาบุญครอง ด้วยความที่เบาะที่นั่งเต็ม พวกเขาคงคิดว่าเหมือนรถโดยสารตามต่างจังหวัดที่ไม่ว่าซอกมุมไหนก็นั่งได้แม้แต่หลังคารถ แต่นี่รถเมล์กรุงเทพฯ จนใครสักคนตะโกนบอกพวกเขาถึงลุกขึ้นยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ตอนหลังรถ
รถติดเป็นแพ จอดนิ่งบนท้องถนนของเย็นวันศุกร์ ท่ามกลางอากาศขมุกขมัวอบอ้าวเหมือนฝนจะตก คนยืนเบียดกันในรถเหงื่อไหลไคลย้อย เหนื่อยหนักจากการงานแล้วยังต้องทนแออัดในรถกับผู้คนที่มุ่งไปปลายทางเดียวกัน
ฝรั่ง นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นทั้งหญิงชายพูดคุยหัวเราะขบขันลั่นรถ แล้วจู่ๆ พวกเธอก็ประสานเสียงกันร้องเพลง เพลงแล้วเพลงเล่า รถก็ยังไม่เขยื้อน
คนบนรถเพียงชายตามอง แล้วก็ไม่มีใครจะมีทีท่าสนใจพวกเขาอีก ต่างคนต่างหน้าบูดบึ้ง นิ่งขึงอยู่กับมุมยืนของตัว
ฉัน เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในใจคิดเพียงว่า ร้องเพราะดีอยู่หรอกนะ แต่ขอร้องละ ในสภาพหน้ามันเย็นวันศุกร์อย่างนี้ ฉันไม่โรแมนติกไปกับพวกหล่อนด้วยหรอก
เท่า ที่ฉันสังเกต วัฒนธรรมตะวันตก เวลาฝรั่งอยู่กันเป็นกลุ่ม พวกเขาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะน่าเกลียดแค่ไหน และโดยไม่แคร์สายตาใครหน้าไหนทั้งสิ้น
นี่เป็นสิ่งที่ฉันได้ประสบพบเจอกับตัวเองในยามล่องเรือไปหลวงพระบาง ฝรั่งผมทองเต็มทั้งลำเรือ มีเราชาวเอเชียอยู่สามสี่คน พวก เขาอาจมาจากคนละทิศละทาง แต่พอลงเรือลำเดียวกันแล้ว ความผิวขาวผมทองเหมือนๆ กันก็ทำให้พวกเขามีพฤติกรรมกลุ่มแสดงความเป็นพวกเดียวกันแบบไม่เกรงอกเกรงใจ ใครทั้งสิ้น
ยิ่ง เป็นในบ้านเมืองอื่น ยิ่งเป็นประเทศโลกที่สามด้วยแล้ว เขาและหล่อนจะทำอะไรก็คงไม่ผิดนัก เพราะพวกเขาเคยครอบครองอาณาประเทศแถบนี้มาแล้ว
ใน ลำเรือที่แล่นไปอย่างเอื่อยเฉื่อยกลางลำน้ำโขง ฝรั่งผมทองทั้งหญิงชายเปิดเพลงจากเอ็มพีสี่เสียงลั่นเรือ แล้วลุกขึ้นเต้นกันเมามันพร้อมเบียร์ลาวในมือ เหมือนลำเรือเป็นดิสโกเทคก็ไม่ปาน
กลางเมืองหลวง มองในแง่ดี พวกเธอคงอยากสร้างรอยยิ้มให้แก่ผู้คนบนรถ แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ จู่ๆ พวกเธอจึงขึ้นเพลงเพลงหนึ่งออกมา “ลอยลอยกระทง ลอยลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง…”
เงียบ ! ไม่มีเสียงตอบรับจากเพลงเพลงนั้น หลายคนเพียงหันมองชั่วแวบ หากไม่มีใครยิ้ม หัวเราะ กระทั่งออกมารำวงกับพวกเธอ
รถเมล์แล่นผ่านภูเขาทองไปพร้อมกับเพลงลอยกระทงสำเนียงฝรั่งลอยไปกับสายลมเอื่อย
ฝรั่งกลุ่มนั้นคงนึกฉงนว่า ไหนล่ะ “ยิ้มสยาม” อันลือเลื่อง
บางที ทัศนะแบบนักท่องเที่ยวที่คาดหวังว่าเจ้าบ้านจะต้อนรับผู้มาเยือนนั้นคงจะล้าสมัยไปแล้ว
และการรณรงค์รอยยิ้มในสังคมไทย ก็อาจมีราคาที่ต้องจ่ายด้วย
แล้ว ใบหน้าของคนกรุงผู้หาเช้ากินค่ำอัดยัดทะนานเป็นปลากระป๋องในยามเย็นวันศุกร์ ก็ยังคงขึ้งเครียด ไม่เผยรอยยิ้มแม้เพียงนิดเดียวให้เหล่านักเดินทางได้ประทับไว้ในความทรงจำ
ความคิดเห็น