มหาวิทยาลัยกับการจัดอันดับ
เขียนโดย
nextsterpp
ในที่สุด สิ่งที่ชาวมหาวิทยาลัยในประเทศไทยรอคอย แต่ไม่อยากทราบผลก็มาถึง นั่นคือการประกาศจัดอันดับหรือว่า Ranking มหาวิทยาลัยไทย 50 อันดับแรกในด้านการเรียน การสอน และการวิจัย (ภารกิจอื่นไม่นับรวมในที่นี่) โดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ภายใต้การขับเคลื่อนของเลขาธิการที่ชื่อ ศ. ภาวิช ทองโรจน์ , และการให้สัญญาณไฟเขียวจากรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ นายจตุรนต์ ฉายแสง บนความเชื่อและขอมูลจากการวิจัยที่ว่า มีผลดีมากกว่าผลเสีย ทันทีที่มีการประกาศผลการจัดอันดับออกตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ ก็เกิดปฏิกิริยาแรงสันสะเทือนจากหลายฝ่ายพอสมควร ทั้งด้านบวกและด้านลบ ทั้งพอใจและไม่พอใจ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมประชาธิปไตย ที่ใช้ความรู้สึกและความเห็นมากกว่าเหตุผลหรือความถูกต้อง
กลุ่มที่พอใจและเห็นด้วย แน่นอน ต้องเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยหรือเป็นชาวมหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับใน ช่วงต้นๆ ส่วนกลุ่มที่ไม่พอใจหรือกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ได้แก่ มหาวิทยาลัยหรือชาวมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดอันดับในช่วงท้ายๆ มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ มันเป็นเช่นนั้นเอง (ปรัชญาท่านพุทธทาส ) การประเดิมจัด “แรงกิ้ง” ครั้งนี้จะเห็นว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยมหิดล กวาดเรียบทั้งดีเลิศด้านการเรียนการสอนและการวิจัย ส่วนกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ได้อันดับรั้งท้ายอยู่ในช่วงที่ต้องปรับปรุงด่วน ส่วนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่ผู้เขียนทำงานอยู่ปัจจุบัน ติดกลุ่ม “ ดีเลิศ” ทางด้านการวิจัย (คะแนนเกิน 75 คะแนน) อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับจุฬาลงกรณ์ –มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอม –เกล้าธนบุรี และติดกลุ่ม “ดีเยี่ยม” (คะแนนประเมินอยู่ระหว่าง 70 – 75 คะแนน) ในด้านการเรียนการสอน ) อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับอีก 4 สถาบันคือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยนเรศวร และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หากจะแยกย่อยลงไปถึงระดับสำนักหรือสำนักวิชาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 18 (ด้านการวิจัย) 40 (ด้านการเรียนการสอน) สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร อยู่อันดับที่ 3 (ด้านการวิจัย) และอันดับ 19 (ด้านการเรียนการสอน) สำนัก
เทคโนโลยีสังคม(ที่ผู้เขียนสังกัดอยู่ในปัจจุบัน) ติดอันดับ 25 (ด้านการวิจัย)และอันดับ 10 (ด้านการเรียนการสอน)
ผลดี
ถ้าจะถามว่าการจัดอันดับมหาวิทยาลัยมีผลดีอะไรบ้าง น่าจะพอสรุปได้ดังนี้
1) ทำให้เกิดการแข่งกันพัฒนาและร่วมมือกันด้านคุณภาพในหมู่มหาวิทยาลัยไทยด้วย กัน
2) ทำให้สามารถปรับตัวเพื่อการแข่งขันกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศหรือ มหาวิทยาลัยต่างประเทศที่มาตั้งอยู่ในประเทศไทยได้
3) ทำให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบข้อมูลในการตัดสินใจ เพื่อเข้าเรียนในสถาบันที่น่าสนใจได้โปร่งใสกว่าเดิม
4) ทำให้สาธารณชนได้ข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นว่าสถาบันต่างๆที่ได้รับการจัดสรรงบ ประมาณจากภาษีของประชาชนนั้นมีการดำเนินการอย่างไร มีคุณภาพหรือมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมากน้อยแค่ไหน คุ้มเงินภาษีที่เขาเสียไปหรือไม่
5) ทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนที่จ้างงานได้รับข้อมูลว่ามหาวิทยาลัยไหนโดดเด่นหรือ ด้อยในด้านใด ซึ่งอาจนำมาซึ่งความร่วมมือในการปรับปรุงคุณภาพของบัณฑิตร่วมกันได้ในอนาคต หากตัดปัญหาเรื่องอคติในการจ้างงานออกไป
6) ทำให้มหาวิทยาลัยไทยเร่งพัฒนาและปรับปรุงตนเอง เพื่อการแข่งขันกับประเทศอื่นๆโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน
7) ทำให้มหาวิทยาลัยไทย รู้ว่าตัวเองยืนอยู่จุดไหนในเวทีโลก และเวทีระดับชาติ
ผลเสีย
การจัดอันดับมหาวิทยาลัย ในปริบทของประเทศไทย ซึ่งมักต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบในเชิงลบต่อตนเอง แม้ว่าจะมีในช่วงต้นๆและในระยะสั้นๆมีผลเสียที่พอจะมองเห็นและเข้าใจได้ดัง นี้
1) สร้างความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันระหว่างมหาวิทยาลัยและชาวมหาวิทยาลัย
2) ไม่ได้รับการยอมรับหรืออาจได้รับการประท้วงต่อต้านจากกลุ่มมหาวิทยาลัยที่ ถูกจัดอันดับไว้ในช่วงท้ายๆ
3) ทำให้บัณฑิตที่จบจากสถาบันที่ได้รับการจัดอันดับสูงกับสถาบันที่ได้รับการ จัดอันดับต่ำมีโอกาสไม่เท่าเทียมกันในการสมัครเข้าทำงาน หรืออาจถูกมองจากสังคมภายนอก ด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป
4) ทำให้ศิษย์เก่าหรือผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่มีอันดับต่ำน้อยใจ หรือไม่พากภูมิใจในสถาบันของตนเอง
5) ทำให้เกิดปฏิกิริยาแรงต้านจากสถาบันที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการ เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเอกชนทั้งหมด ไม่ให้ความร่วมมือในการส่งข้อมูล เพราะไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้
ทางออก
1. สกอ. ทปอท. และมหาวิทยาลัย ทั้งหลายต้องประชุมหาเกณฑ์ยุติในเรื่องของดัชนีตัวชี้วัดและเกณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในการประเมิน เพื่อให้เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
2. มหาวิทยาลัยที่ร่วมโครงการทั้งหมดจะต้องปรับตัวเตรียมพร้อมสำหรับการจัด อันดับ ต้องรีบจัดองค์กร จัดเตรียมข้อมูลและชี้แจงให้บุคลากรและนักศึกษาทราบ เพื่อให้
ปฏิบัติตัวไปในทิศทางเดียวกัน
3. มหาวิทยาลัยที่ยังไม่เข้าร่วมในโครงการในช่วงแรกๆ จะต้องเตรียมการต่าง ๆ ให้พร้อมที่จะเข้าร่วมในคราวต่อไป เพื่อให้เกิดเอกภาพทางด้านการศึกษาของประเทศ
4. มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยทุกแห่งจะต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อรักษาและปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานของตนเอง เพื่อประโยชน์ของผู้เรียนและเพื่อการแข่งขันในระดับนานาชาติ
5. ขอให้การจัดอันดับมหาวิทยาลัยเป็นไปเพื่อการพัฒนาปรับปรุงการอุดมศึกษาของ ประเทศ บนพื้นฐานของความร่วมมือ(Cooperation) มากกว่าการแข่นขัน(Competition)กันเอง
โดยสรุป ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พอใจหรือไม่พอใจ แต่การจัดอันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยก็เกิดขึ้นแล้ว และจะได้รับการยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติในปีต่อๆไปอีกด้วย สิ่งที่มหาวิทยาลัย ชาวมหาวิทยาลัย และนักศึกษาตลอดจนศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยทั้งหมดในประเทศไทย ควรลงมือปฏิบัติ คือการหันกลับมามองดูตัวเอง วิเคราะห์จุดดี จุดด้อยของตัวเอง เข้าใจตนเอง ยอมรับจุดดีและจุดด้อยของตนเอง รู้เขารู้เรา และลงมือปรับปรุงพัฒนาตนเองต่อไป อย่างต่อเนื่องไม่หยุดอยู่กับที่ แบบ “ไม้ตายซาก” หรือ Dead Woods ไม่ดีใจแบบหวือหวาหรือเสียใจแบบตีโพยตีพายกับการจัดอันดับของคณะกรรมการอุดม ศึกษาจนเกินไป ขอให้มองว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ยังมีอะไรที่รอคอยเราอยู่เบื้องหน้าเยอะแยะมากมาย ที่เราต้องคิด ต้องทำ ต้องค้นคว้า โลกนี้เป็นโลกของความเปลี่ยนแปลง หากเราไม่ปรับตัวและไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เราก็จะประสบชะตากรรมคล้ายๆกับไดโนเสาร์ยุคจูราสสิค (ประมาณ 60 ล้านปี ที่ผ่านมา) นั่นคือ ถูกธรรมชาติลงโทษทัณฑ์ให้สูญพันธุ์ จนกลายเป็นฟอสซิลให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าในฐานะที่เป็นวัตถุโบราณ ทางประวัติศาสตร์ชั้นหนึ่งเท่านั้น
แจ้ง Blog ไม่เหมาะสม
16 มี.ค. 53
332
0
ความคิดเห็น