ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Unlove_รวมพลคนหมดรัก(Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #26 : ยกที่23 : ทฤษฎี 21 วัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 228
      14
      22 พ.ย. 61







    ทฤษฎี 21 วัน <RukPart>

     




                “วันเกิดพี่รักษ์ พี่รักษ์มีนัดกับใครรึยังคะ” กวางเงยหน้าขึ้นมาถามผมขณะที่พวกเรากำลังกินข้าวเย็นอยู่ในร้านอาหารชื่อดังในย่านนิมมาน “ถ้ายังไม่มีกวางขอจองตัวได้มั้ย ><

                “ไม่มั่นใจเหมือนกัน ปกติวันเกิดพี่จะกลับบ้านนะ” ผมว่า ก่อนยื่นมือไปยีหัวกวางที่ยู่ปากใส่ “แต่วันหลังวันเกิดน่าจะว่าง”

                “งั้นกวางจองเลยแล้วกัน พี่รักษ์อย่าลืมนะ” กวางยื่นนิ้วก้อยมาให้ผม ผมเกี่ยวนิ้วสัญญากับเธอ

                เอาเถอะ ถึงบางทีจะดูแบ๊วไปหน่อยแต่มันก็คงเป็นวิถึแห่งคนน่ารักน่ะนะ

                น้องกวางนี่เป็นผู้หญิงที่ดูแว้บแรกจะคิดว่าสวย แต่พอมองไปมองมา จะรู้สึกว่าน่ารักแทน คุ้นๆเหมือนเคยเจอความรู้สึกนี้กับใครซักคนใกล้ๆตัว แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร...

                กวางเป็นคนอ้อนเก่ง ไม่ได้เอาแต่ใจตัวเองนะ เธอจะใช้วิธีการอ้อนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาแทน ผมว่าผมอยู่กับคนแบบนี้ได้ว่ะ ถ้าให้อยู่นานๆก็ไม่ค่อยเบื่ออ่ะ เหมือนอยู่กับไอ้ปอนด์ไง!

    ใช่แล้ว ที่ผมว่าคุ้นๆเหมือนเคยเจอความรู้สึกนี้กับใครเมื่อตะกี้ คือไอ้ปอนด์นี่แหละ! ตอนผมเห็นมันบนเวทีครั้งแรกผมว่ามันก็หล่อนะ หล่อแบบเด็กเชียงรายน่ะ อธิบายไม่ถูก แต่พอมันเปิดปากพูดเท่านั้นแหละ แม่ง น่ารักว่ะ

    บรรยากาศของน้องกวางก็คล้ายๆไอ้ปอนด์ แต่ถ้าพูดกันตามตรงเลยคือไอ้ปอนด์ดูจะเป็นธรรมชาติกว่าอย่างบอกไม่ถูก แถมไอ้ปอนด์ยังดูน่าเป็นห่วงกว่าน้องกวางเยอะ 5555

    เออ พูดถึงไอ้ปอนด์ ทำไมมันยังไม่โทรมาซักทีวะ จริงๆมันน่าจะถึงบ้านนานแล้วไม่ใช่เหรอ อย่าให้กลับไปแล้วเจอแม่งแอบไปเล่นเกมส์อยู่กับเพื่อนกูจนลืมโทรกลับมารายงานกูนะมึง กูจะริบเครื่องเกมส์เก็บใส่ตู้ให้มันอดเล่นกันทั้งฝูงเลย!

    ว่าแล้วก็โทรไปถามดีกว่า ผมคิดแล้วก็หยิบไอโฟนที่วางไว้ข้างๆตัวขึ้นมาเตรียมกดโทรออกหาไอ้เอ๋อ แต่ยังไม่ทันกดโทรออก อยู่ดีๆก็มีสายโทรเข้าจากไอ้แมนซะก่อน

    “เออว่า?

    [มึงอยู่ไหน?!] เสียงของปลายสายดูร้อนรนหน่อยๆ ทำเอาผมเริ่มใจไม่ดี

    “กินข้าวกับกวางอยู่ที่นิมมาน เกิดอะไรขึ้นวะ”

    [มึง...ฟังกูดีๆนะ...น้องปอนด์โดนรถชนอาการสาหัสตอนนี้อยู่ICUที่สวนดอก!] ...

    “...”

    [รักษ์! รักษ์! มึงได้ยินกูรึเปล่า?!]         

    “...ตั้งแต่เมื่อไหร่”

    [กูเพิ่งรู้ตอนมีนโทรมาบอกเม่น กูอยู่กับเม่นพอดีเลยรีบโทรหามึง มึงไม่ได้อยู่กับน้องใช่มั้ย]

    “......เจอกันที่โรงพยาบาล!

    ผมรีบวางสายทันทีก่อนหันไปคว้าเงินในกระเป๋ายื่นให้น้องกวางหนึ่งพัน “กวางอันนี้พี่เลี้ยงนะ พี่ต้องไปโรงบาลก่อน ไอ้ปอนด์โดนรถชน กวางเรียกเพื่อนมาอยู่ด้วยได้ใช่มั้ย” ผมถาม เห็นกวางพยักหน้าตื่นๆก็ผละออกมา

    ผมโบกมอเตอร์ไซค์แถวนั้นให้ช่วยไปส่งผม โชคดีว่าเจอคนใจดีตั้งแต่คันแรก พอบอกเค้าว่าน้องชายประสบอุบัติเหตุช่วยไปส่งโรงพยาบาลหน่วย เค้าก็เร่งให้ผมขึ้นรถทันที พอไปถึงโรงพยาบาล ผมก็ขอบคุณเค้ายกใหญ่ เค้าแค่ขอให้ปอนด์ปลอดภัยแล้วขี่มอเตอร์ไซค์จากไปโดยไม่รอให้ผมตอบแทนเลย

    ผมวิ่งมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินก็เจอน้องมีน น้องหนึ่ง ไอ้เตอร์และไอ้เอ็กซ์ มีเด็กคณะวิทยาศาสตร์อีกสี่ห้าคนและคนที่ดูท่าทางน่าจะเป็นอาจารย์อีกสองสามคนนั่งอยู่ด้วย นอกจากนี้ก็มีเด็กคณะอื่นที่อยู่กันเป็นกลุ่มอีกหกเจ็ดกลุ่ม มีคนอื่นอีกมากมายซึ่งพอจะทำให้รู้ได้ว่าคงเป็นอุบัติเหตุที่ใหญ่พอสมควร

    “เกิดอะไรขึ้น!” ผมถาม ไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงดังจนกระทั่งไอ้เตอร์จับบ่าผมให้เบาลง

    “มีรถกระบะฝ่าไฟแดงที่แยกกองบิน ดูเหมือนว่าคนขับจะอาการลมชักกำเริบ...ปอนด์กำลังติดไฟแดงอยู่ตรงนั้นเลยโดนไปด้วย...” ไอ้เตอร์อธิบายช้าๆชัดๆ “ตอนนี้น้องถึงมือหมอแล้วมึง...ใจเย็นๆนะ”

    “....” ผมนั่งลงช้าๆ เหมือนโลกทั้งใบแม่งหมุนไปหมด ไอ้เตอร์กับไอ้เอ็กซ์เข้ามาช่วยพยุงผม

    “ตอนแรกกูก็ตกใจนึกว่ามึงโดนไปด้วย เมื่อกี้ไอ้แมนโทรมาบอกว่าพวกมึงไม่ได้อยู่ด้วยกันพวกกูก็โล่งใจหน่อย” เอ็กซ์ว่า “พวกน้องๆเค้าก็เป็นห่วงมึงกันนะ” ผมหันไปมองมีนกับหนึ่งที่หันมายิ้มให้ผมบางๆ...มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด...

    “กูแยกกับมันที่คูเมืองตั้งแต่ห้าโมง กูน่าจะโทรเช็คตั้งแต่แรก ไม่งั้นกูคงรู้นานแล้ว” ทำไมวะ ผมมัวทำอะไรอยู่ถึงไม่โทรหามัน...

    “เพิ่งเกิดอุบัติเหตุตอนหกโมงกว่าๆนี่เองมึง พวกกูรู้เรื่องเพราะอยู่ที่ห้องสโมฯตอนที่โรงพยาบาลโทรเข้ามาที่คณะพอดี” ไอ้เอ็กซ์ว่า “ปอนด์พกบัตรนักศึกษาติดไว้กับตัว เค้าเลยหาทางติดต่อได้ไว ได้ยินพี่กู้ภัยคุยกันว่าคนที่บาดเจ็บสาหัสบางคนยังไม่ระบุไม่ได้เลยว่าเป็นใคร แถมมีคนเสียชีวิตด้วย”

    ผมมองเหม่อไปยังประตูห้องไอซียู เห็นคนเดินไปมาวุ่นวาย ไม่นานก็มีพี่หมอและพยาบาลเดินออกมาถามหาชื่อๆหนึ่ง เห็นน้องๆและอาจารย์คณะที่นั่งตรงกันข้ามลุกชึ้นเดินไปหา คุยกันไม่กี่คำคนทั้งกลุ่มก็ส่งเสียงครวญออกมา น้องผู้หญิงบางคนสลบจนพวกผมต้องรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคอง หลายคนร้องไห้ออกมาจนผมเริ่มใจเสีย รู้แล้วว่าคนที่พวกน้องมารอคงจากไปอย่างไม่มีวันกลับ...

    ผมเดินมานั่งลงข้างๆน้องมีนที่ผมเห็นนั่งเงียบอยู่นาน พอผมนั่งลงเสร็จน้องก็เอี้ยวตัวมากอดทันที ผมเห็นหลังน้องที่สั่นน้อยๆก็ลูบหลังเบาๆ ...ทำไมกูไม่กลับมากับมึงวะปอนด์ ทำไมกูไม่รั้งให้มึงอยู่กับกูแล้วค่อยกลับพร้อมกัน ทำไมวะ ทำไมกูไม่ได้อยู่กับมึงวะ!

    “ปอนด์ต้องรอดใช่มั้ยพี่” มีนถามเสียงสะอื้น

    “รอดสิมีน...ปอนด์ต้องรอดอยู่แล้ว” ผมพูดเสียงเบา...มันอาจจะดูเลว แต่ผมอดไม่ได้ที่จะแอบโล่งใจ ที่ชื่อที่พยาบาลเรียกเมื่อกี้ไม่ใช่ชื่อไอ้ปอนด์!

    ไม่นานนักไอ้แมนกับเม่นก็มาถึงพร้อมกันกับ บาส กุล ธันและก้อง น้องเม่นตาบวมจนดูออกว่าระหว่างทางที่นั่งรถมากับแมนคงร้องไห้หนัก เม่นสวัสดีผมก่อนกอดผมเบาๆ “โชคดีที่พี่รักษ์ไม่เป็นอะไรไปอีกคน”

    ผมมองหน้าน้องเม่น เห็นชัดว่าอีกฝ่ายพูดออกมาด้วยความจริงใจก็ได้แต่คิด...ทั้งที่กูทิ้งมึงให้ต้องเจอเรื่องเลวร้ายอยู่คนเดียวแท้ๆ...แต่เพื่อนมึงก็ยังเป็นห่วงกู

    ผมลุกให้เม่นมานั่งข้างๆมีน แล้วเดินไปคุยกับแมนและเพื่อนคนอื่น อยู่ๆพี่กู้ภัยคนหนึ่งก็เดินมาทางเรา

    “เพื่อนน้องอนุทัต ผาแก้ว ใช่มั้ยครับ?” พี่กู้ภัยถามขึ้น พวกผมพยักหน้ารับ

    “อันนี้น่าจะเป็นของน้องเค้า” พี่กู้ภัยยื่นตะกร้าที่มัดเชือกเอาไว้ สิ่งมีชีวิตข้างในขยับไปมาจนตะกร้าสั่นน้อยๆ “น้องเขาพูดกับพวกพี่ก่อนสลบว่าเก็บชูกร้าไกรเดอร์ให้เขาด้วย เขาก็คงรักสัตว์เลี้ยงเขามากอ่ะเนอะ เพื่อนพี่เห็นมันตกอยู่ไม่ไกลรถเลยรีบหยิบมาให้ ดีนะที่เพื่อนพี่รู้จักว่าชูกร้าไกรเดอร์คืออะไร ไม่งั้นเสร็จ โดนขโมยแน่ๆ” พี่กู้ภัยพูดยิ้มๆ “เลี้ยงมันดีๆนะ มันดวงดีมากเลยที่กระเด็นไปบนฟุตบาทพอดี ตะกร้าก็ไม่แตก”

    “ขอบคุณครับ” ผมรับตะกร้าสีชมพูใบเล็กมาถือไว้ ก่อนขอบคุณพี่แกพร้อมกับเพื่อนคนอื่น “ปอนด์เลี้ยงชูก้าไกรเดอร์ด้วยเหรอหนึ่ง” ผมหันไปถามน้องหนึ่งที่ยืนอยู่กับพวกเรา

    “ไม่นะพี่ ผมไม่เคยเห็นเลย” หนึ่งว่าพลางก้มตัวลงส่องไอ้ตัวที่อยู่ในตะกร้าไปมา “มันไม่เคยพูดถึงด้วยซ้ำ”

    ผมพูดกับปอนด์บ่อยๆว่าอยากเลี้ยงชูก้าไกรเดอร์ ถ้ามันเลี้ยงอยู่มันก็น่าจะพูดให้ผมฟังนานแล้ว ปกติเวลาที่ผมพูดเรื่องนี้มันก็เอาแต่ฟังอย่างตั้งใจ ติดจะสนุกที่เห็นผมอยากเลี้ยงสัตว์ด้วยซ้ำ มันบอกว่าถ้าผมเลี้ยงมันจะได้ไปเล่นด้วยบ่อยๆ...

    ...มึงต้องกลับมาเลี้ยงนะเว้ยปอนด์...มันรอดมาได้เพื่อให้มึงเลี้ยง มันรอดมาได้เพื่อจะได้อยู่เป็นสัตว์เลี้ยงของมึงนะ...

    ผมส่งตะกร้าให้ไอ้หนึ่ง เห็นไอ้หนึ่งเดินถือตะกร้าไปให้น้องมีนกับน้องเม่น ทันทีที่สองคนนั้นเห็นสิ่งที่อยู่ในตะกร้าก็ดูตื่นเต้นเปลี่ยนอารมณ์ไปทันที ถึงจะไม่ได้มากมายแต่ก็ทำเอาพวกผมที่ยืนมองอยู่สบายใจขึ้นเป็นกอง แค่แปปเดียวเท่านั้นน้องมีนก็เดินมาชวนแมนไปซื้ออาหารให้ชูก้าไกรเดอร์ของไอ้ปอนด์

    “มันหิวมากจนร้องไม่หยุดเลยแมน พาน้องไปร้านขายอาหารสัตว์หน่อย” แมนหันมามองพวกผมเป็นเชิงขอตัว ผมพยักหน้าน้อยๆ ก็เห็นน้องมีนลากแมนออกไปทันที ...ก็ยังดีที่ว่ามีอะไรมาทำให้พวกน้องเขาได้หายซึมบ้างล่ะนะ

    ซักพักพวกเขมและม้งที่โดนผมวานให้แวะไปดูเวสป้าเหลืองนวลของผมก็มาถึง ตอนแรกผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ดีที่มีพวกพี่กู้ภัยเดินมาเตือนพวกญาติคนเจ็บให้ไปดูรถในที่เกิดเหตุด้วย เพราะว่าอาจโดนขโมยได้ในสถานการณ์วุ่นวายแบบนี้

    “ไม่ได้เละนะมึง พวกกูโทรจ้างช่างให้มายกไปศูนย์ละ เขาบอกเข้าศูนย์ซักสองสามวันก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิมแล้วแหละ” ไอ้เขมว่า “แต่สภาพตรงนั้นคือไม่ไหวว่ะ รอยเลือดเต็มถนนเลย”

    “แล้วอาการปอนด์เป็นไง” ม้งถาม ผมได้แต่ส่ายหน้า ตั้งแต่มาถึงยังไม่มีใครออกมาบอกอาการของปอนด์เลย

    พวกเรารอหน้าห้องได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มีหมอและพยาบาลออกมาจากห้อง พอได้ยินว่าชื่อที่ขานเป็นไอ้ปอนด์ผมและทุกคนก็เดินเข้าไปฟังทันที

    จากที่ผมฟัง หมอบอกว่าอาการทางร่างกายของปอนด์มีแขนหักและกระดูกซี่โครงหักสี่ซี่ แต่ปัญหาที่น่าเป็นห่วงมากๆคืออาการทางสมองเพราะพบว่าหัวของปอนด์ได้รับแรงกระแทก เสี่ยงต่ออาการสมองบวมและมีเลือดคั่งในสมอง

    ผมที่ฟังอยู่ได้แต่นิ่งงัน...นี่มันน่าเป็นห่วงมากเลยไม่ใช่เหรอ...

    “ครอบครัวของปอนด์กำลังเดินทางมาจากเชียงราย” กุลกระซิบบอกพวกผม “น่าจะถึงที่นี่ประมาณสามทุ่มครับ”

    ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่ม “พวกมึงไปหาอะไรกินก่อนมั้ย เดี๋ยวกูอยู่รอเอง” ผมว่า เห็นทุกคนมองหน้ากันไปมาเหมือนลำบากใจ “ไปแดกซะจะได้มาผลัดคิวกัน อย่าให้มีคนป่วยเพิ่มเลย”

    พอบอกไปแบบนั้นมันถึงได้ทยอยออกไปหาอะไรกิน พวกอาจารย์และเด็กคณะวิทย์คนอื่นก็ทยอยไปหาอะไรกินบ้าง เหลือแค่ผม หนึ่ง กุล เขม และม้งที่ยังนั่งหน้าห้องฉุกเฉิน

    “มึงแยกกับน้องเขาตอนไหนวะ” เขมหันมาถามผม

    “แยกกันที่คูเมืองตอนห้าโมง กวางรถเสียเลยให้กูไปอยู่รอเป็นเพื่อน กูเลยไปกับปอนด์แล้วให้ปอนด์ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมา” ผมเล่า “...กูผิดเอง...”

    ใช่...ผมผิดเอง... ไม่ได้เกี่ยวกับอุบัติเหตุที่บทจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่อยู่ๆเป็นลมชักขึ้นมา ไม่ได้เกี่ยวกับว่าได้ปอนด์แวะไปไหนมาก่อนที่จะกลับบ้าน แต่มันเกี่ยวกับผม ผมเอง ผมที่ควรจะไปส่งมันที่บ้านก่อนออกไปหากวาง ผมที่ควรรั้งให้มันอยู่รอด้วยเพื่อที่จะกลับด้วยกัน ผมที่ไม่พยายามที่จะโทรเช็คเลยว่ามันถึงบ้านรึยัง และผมที่ไม่ใส่ใจมันเท่าที่ควร ผมเป็นคนส่งไอ้ปอนด์ให้ไปอยู่ตรงนั้น ...เป็นผม ผมคนเดียว...

    “พี่รักษ์” หนึ่งที่นั่งข้างๆผมพูดขึ้น “จากที่พวกผมสนิทกับไอ้ปอนด์มาตั้งแต่มัธยมนะพี่ ถ้ามันได้ยินพี่พูดแบบนี้มันจะต้องอยากโบ้หัวพี่ให้ทิ่มลงไปจูบพื้นแน่ๆ”

    “เห็นด้วย” กุลเสริม “มันไม่ชอบให้ใครมารู้สึกผิดเพราะมัน”

    “มึงฟังพวกกูนะรักษ์” ม้งกับเขมจับหน้าผมให้หันไปหาพวกมัน “มันคืออุบัติเหตุ มันควบคุมไม่ได้ และไม่มีใครรู้ว่าจะเกิด”...

     

    ประมาณสามทุ่มเศษๆ พวกผมผมที่นั่งรออยู่หน้าห้องไอซียูก็เห็นกลุ่มคนสามคนท่าทางน่าจะเป็นพ่อแม่ลูกกันเดินตรงมาทางพวกเราอย่างเร่งรีบ ผู้ชายคนหนึ่งที่อายุน่าจะพอๆกับพวกผมเรียกกุลและหนึ่งเสียงดัง “กุล! หนึ่ง!

    “พี่ปาน!” สองคนนั้นลุกขึ้น พวกผมลุกตาม รู้ทันทีว่าต้องเป็นพ่อ แม่ และพี่ชายของปอนด์แน่ๆ

    “ปอนด์เป็นยังไงบ้างลูก” แม่ปอนด์ตามพวกเราเสียงสั่น พวกผมเขยิบตัวขึ้นไปอธิบายคร่าวๆก่อนนำทางทั้งสามคนไปพบคุณหมอเพื่อฟังรายละเอียด

     

    [โลกแม่งโหดร้าย...]

    ผมนั่งมองกล่องข้าวบนตักที่เพื่อนซื้อมาให้เหม่อๆ นึกถึงหน้าไอ้ปอนด์ตอนที่พูดประโยคนี้ขึ้นมาตอนที่พวกเรากำลังกินข้าวเย็นกันอยู่

    จำได้ว่าตัวเองไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แค่มองมันแบบงงๆว่าอยู่ดีๆก็พูดอะไรขึ้นมา

    [ผมว่านะ จริงๆแล้วโลกไม่มีอะไรดีหรอก...แต่ที่เรามีความสุขหรือเจออะไรดีๆ มันเป็นเพราะใจเราเลือกที่จะมีความสุขกับมันเอง]

    [อยู่ๆคิดอะไรของมึงวะ หึๆ]

    [วันนี้อ่ะ ผมตวงสารผิด ทำแลปเออเรอร์แทบยกคลาสเลย แต่พี่เชื่อมั้ย ไม่มีใครโกรธผมเลย มีแต่คนหัวเราะตลกที่ผมตวงสารผิดอ่ะ ขนาดอาจารย์ยังบ่นขำๆแทนด้วยซ้ำ ผมนี่งงเลยว่ะ]

    [อันนี้มึงเอ๋อเองรึเปล่า มันไม่ใช่โลกโหดร้ายหรอกกูว่า]

    [โหดร้ายดิวะ พี่ลองคิดดูนะ มันคือสารเชี่ยอะไรไม่รู้ ตวงเพื่ออะไรไม่รู้ ทดลองไปทำไมไม่รู้ ผมพลาดกับอะไรก็ไม่รู้ ถ้าทุกคนจะโกรธผมแม่งก็คือโกรธกับเรื่องอะไรก็ไม่รู้แต่ก็มีเหตุผลที่จะโกรธอ่ะ พี่นึกออกมั้ย...เหมือนไอ้ความโหดร้ายรอบตัวนี่แหละที่ทำให้เราเห็นความดีและความโลกสวยในใจคนได้ชัดเจนขึ้นอ่ะ]

    สัด...งงกว่าแคลคูลัสสามก็คำพูดมันนี่แหละ [เอาเป็นว่ากูเข้าใจแล้วว่ามึงโชคดีที่อยู่ท่ามกลางคนที่ดี มึงก็ควรจะดีใจสิวะ...แต่กูว่ามึงแดกข้าวต่อเถอะ]

    [พี่แม่งไม่ถึงแก่นเลยว่ะ] ไอ้เอ๋อส่ายหน้าระอา นี่กูควรถึงกับมึงขนาดนั้นเลยเหรอ = =

     

    ผมขำหน่อยๆ ตอนนั้นแม่งฟังดูไร้สาระชิบหาย... แต่ตอนนี้ถ้ามันนั่งอยู่ข้างๆผม ผมคงมองหน้ามันและตอบอย่างจริงจังว่า กูเข้าใจ

    โลกนี้แม่งโหดร้าย...

    ผมเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไมไม่มีใครคิดจะโทษหรือต่อว่าผมเลย...แม้แต่ครอบครัวของไอ้ปอนด์ แม่ปอนด์พอรู้ว่าผมเป็นใครก็ขอบคุณผมที่ไปรับไปส่งปอนด์ยกใหญ่ บอกว่าปอนด์พูดถึงผมให้ฟังเวลาโทรหาแม่ตลอด พ่อกับพี่ชายปอนด์ก็ดีกับผมมาก ...มันทำให้ผมอึดอัด...

    ผมเข้าใจแล้วที่วันนั้นได้ปอนด์ดูจะสงสัยและหนักใจมากกว่าดีใจที่ทุกคนไม่คิดโทษมัน

    ...แม่ง...

    ...ข้าวเย็นที่ไม่ได้แดกกับมึง ไม่อร่อยเลยว่ะปอนด์...



    หลายวันแล้วที่ชีวิตเปลี่ยนไป...ปอนด์ยังไม่ฟื้น

    ผมยังมาเฝ้าปอนด์มานั่งคุยเป็นเพื่อนแม่ปอนด์บ้างเพราะพ่อกับพี่ชายปอนด์ต้องไปๆมาๆระหว่างเชียงรายกับเชียงใหม่ เพื่อนปอนด์ก็ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้าเหมือนกัน

    สามวันก่อนปอนด์เพิ่งโดนย้ายออกจากไอซียู อาการทางสมองที่พบมีแค่เลือดคั่งเล็กน้อย หมอบอกว่าไม่จำเป็นต้องผ่าตัด หมอบอกว่าการที่ปอนด์ยังไม่ฟื้นอาจเป็นผลมาจากอาการเลือดคั่งนี้ แต่หมอก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่าปอนด์จะฟื้นเมื่อไหร่ แต่มั่นใจว่าปอนด์จะฟื้นแน่นอน

    ผมก็ได้แต่ภาวนาให้มันเป็นแบบนั้น...

    สองสามวันหลังจากเกิดอุบัติเหตุ อยู่ดีๆน้องกวางก็พูดกับผมทั้งน้ำตาว่าที่ปอนด์แวะไปที่อื่นก่อนกลับบ้านเป็นเพราะน้องกวางวานให้ไอ้ปอนด์ไปเอาชูก้าไกรเดอร์ให้เธอเอง...ชูก้าไกรเดอร์ที่จะเอามาเป็นของขวัญวันเกิดให้ผม

    เดาว่าน้องคงต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากเพื่อที่จะบอกเรื่องนี้ เอาจริงๆผมไม่โกรธกวางเลยนะ แต่ผมก็ไม่สะดวกใจที่จะคุยกับน้องต่อไปจริงๆ ผมถามค่าชูก้าไกรเดอร์ที่กวางจ่ายไป กวางก็บอกว่าเพิ่งจ่ายไปเป็นค่ามัดจำให้แม่ค้าไปห้าร้อยบาท ผมตัดสินใจควักเงินให้กวางห้าร้อยถือว่าชดเชยที่น้องเสียไป เพราะผมตั้งใจจะเอามันให้ไอ้ปอนด์ หรือถ้าไอ้ปอนด์ปฏิเสธผมก็พร้อมจะเป็นคนเลี้ยงเอง ยังไงซะมันก็คงช่วยผมเลี้ยงอยู่ดี

    แต่ตอนนี้ชูก้าไกรเดอร์ตัวนี้อยู่ที่บ้านมันแล้วแหละ พวกน้องเม่นน้องมีนและน้องหนึ่งดูแลมันดีซะจนผมยังตกใจว่าไอ้ที่อยู่ในกรงนั้นมันกระรอกบินหรือหมูกันแน่ มันกินอิ่มนอนหลับในกรงขนาดใหญ่ที่มีของเล่นและผ้าสีสวยตกแต่งไว้ให้มันได้เล่นและนอนอย่างสบายใจ ...กูยอมใจคนรักสัตว์เลยจริงๆ สายเปย์สุดๆ

    แต่พอหันไปมองหน้าเพื่อนที่ยืนข้างๆตัวเองนั่นแหละก็ถึงบางอ้อ อ๋อ เงินเพื่อนกูนี่เองที่น้องๆเขาเอาไปเปย์กัน 5555 เวรจริงๆ เอาว่าเดี๋ยวผมค่อยไปเคลียร์เงินกับไอ้แมนหลังไมค์ทีหลังแล้วกัน

    เอ้อ น้องๆเขาเรียกชื่อชูก้าไกรเดอร์(รู้สึกว่าเป็นตัวเมีย)ตัวนี้ว่า ดวงดีมันก็สมเหตุสมผลที่จะตั้งชื่อนี้อยู่นะและคิดว่าไอ้ปอนด์เองก็คงชอบชื่อนี้เหมือนกัน ถ้ามันไม่ชอบก็เปลี่ยนทีหลังก็ได้

    สองสามวันที่ผ่านมาแม่ของปอนด์เริ่มพูดให้ผมฟังว่า ถ้าเกิดปอนด์มันยังไม่ฟื้นต่อไปแบบนี้พ่อกับแม่คงจะพาปอนด์กลับไปรักษาที่เชียงราย เพราะว่าพ่อกับพี่ชายปอนด์จะเดินทางไปๆมาๆทุกวันแบบนี้ไม่ได้ แม่ไม่สบายใจเท่าไหร่

    แต่พวกแม่ๆก็ลำบากใจถ้าต้องพาปอนด์ไปเชียงรายเรื่องที่ถ้าไปเชียงรายปอนด์ก็จะอยู่ไกลจากโรงพยาบาลของมหาลัยที่นี่ ซึ่งพ่อกับแม่วางใจให้ปอนด์อยู่ใกล้โรงพยาบาลที่เชียงใหม่มากกว่า

    ...ผมน่าจะทำอะไรซักอย่างบ้าง...

     

    “พี่ปายเปิดประตูให้รักษ์หน่อย!” ผมตะโกนเรียกพี่แม่บ้านที่กำลังตากผ้าอยู่ เห็นอีกฝ่ายมองมาทางหน้าบ้านงงๆ “เปิดประตูรั้วให้รักษ์หน่อย!

    “อ้าว! น้องรักษ์! รอซักครู่นะคะ!” พี่ปายว่าแล้วรีบวิ่งเข้าบ้านทันที ผมมองประตูรั้วที่ค่อยๆเปิดออกเอง จริงๆผมโคตรเกลียดไอ้ประตูอัตโนมัติอะไรนี้ชิบหายเลย ถึงบางทีมันจะสะดวกมากเลยก็เถอะ แต่หลายครั้งผมรู้สึกว่าสู้จอดรถลงไปเปิดเองแม่งง่ายกว่าเยอะป่ะวะ ผมเคยลองเปิดด้วยแรงตัวเองแต่แม่งเปิดไม่ได้อะคิดดู ต้องใช้แรงไฟฟ้ามันถึงเปิด หยิ่งสัด!

    “สวัสดีฮะพี่ปาย แม่กับพ่อล่ะ?” ผมถามทันทีที่จอดเวสป้าเสร็จ

    “อยู่ในเรือนกระจกค่ะ” พี่ปายตอบพร้อมยิ้มกว้าง “ทำไมไม่โทรมาบอกล่ะคะว่าจะกลับ จะได้ให้ไอ้เหน่งขับรถไปรับ ขี่มอเตอร์ไซค์จากเชียงใหม่มาลำพูนแบบนี้เมื่อยตัวแย่”

    “ไม่เป็นไรพี่ ผมรีบเลยไม่ทันคิด” ผมว่า เห็นพี่ปายแค่ยิ้มๆตอบก็เดินออกไปหาพ่อกับแม่

                ผมเดินไปทางเรือนกระจกหลังบ้าน รู้สึกว่าเรือนกระจกที่บ้านตัวเองเริ่มจะกลายเป็นป่าขึ้นทุกที ถ้าผมเดาไม่พลาดล่ะก็ พ่อต้องเพิ่งเอาไม้มาลงเพิ่มแน่ๆ จำได้ว่ากลับบ้านครั้งที่แล้วพ่อผมเปรยๆว่าอยากทำบ่อน้ำกับน้ำตกขนาดเล็กไว้ในเรื่อนกระจกแบบสวนพฤกษาศาสตร์ในสิงคโปร์ที่เจ้าตัวเพิ่งไปเที่ยวมา แม่ผมที่เป็นสายรักธรรมชาติมีเหรอจะขัดความคิดยกป่ามาไว้ในบ้านของพ่อ ยินดีสุดๆ

                “คุณผู้หญิงจันทร์ฉาย คุณผู้ชายไตรศร สวัสดีค้าบบบ!” ผมลากเสียงยาว เห็นสองคนที่ยืนคุยกันหันมาก็ตรงเข้าไปกอด

                “ทำไมจะมาไม่โทรบอกแม่ก่อนล่ะลูก” แม่ผมถาม

                “ก็พรุ่งนี้จะวันเกิดแล้วไง ปกติก็กลับบ้านตลอดนะแม่ลืมเหรอ” ผมบอกยิ้มๆ

                “เมื่อวานแม่แกโทรหาแกแล้ว แต่เจ้าก้องเป็นคนรับสายแทน บอกว่าช่วงนี้แกไปเฝ้าน้องที่รู้จักที่โรงพยาบาล พ่อกับแม่เลยคิดกันเองว่าวันเกิดครั้งนี้แกคงจะมาไม่ได้น่ะสิ” พ่อผมตอบ เออว่ะ เมื่อวานผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่ไอ้ก้องนี่หว่า

                “แล้วนี่มายังไงล่ะลูก”

                “ขี่เหลืองนวลมา”

                “เมื่อยก้นแย่” พ่อผมว่าขำๆ “วันหลังไม่เอาแล้วนะ เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง ถนนเส้นนี้รถยิ่งวิ่งเร็วอยู่”

                “เห็นไอ้รบขี่มอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนอยู่ทุกวัน” ผมอ้างถึงน้องชายที่กำลังเรียนม.หก ตอนนี้คงยังไม่เลิกเรียน

                “ห่ามกันทั้งพี่ทั้งน้อง ไม่รู้ว่าได้จากใคร” แม่ว่า แต่หน้านี่ยิ้มกว้าง ก็เวลาดุเป็นกันซะแบบนี้ ผมกับน้องจะกลัวลงได้ยังไง

                “ขากลับให้เหน่งไปส่ง เดี๋ยวพ่อให้คนงานเอาเหลืองนวลตามไปให้ทีหลัง”

                “ขากลับจะขอ Fortunerไป” ผมเข้าไปกอดพ่ออ้อนๆ “ขอเอาไปใช้จนจบปีสี่เลยได้มั้ยครับ”

                “ตอนแกเข้ามหาลัยได้แม่แกจะให้Fordไปใช้ แกก็ไม่เอา กวนจะเอาเหลืองนวลไปใช้ ตอนนี้ยังไง เบื่อไอ้เหลืองนวลแล้ว?” พ่อเลิกคิ้วสูง

                “ไม่ได้เบื่อ แต่ผมจะเอาไปใช้ทำธุระ ใช้ Fortunerมันจะสะดวกกว่าไง”

                “เอาFordไปไม่ดีกว่าเหรอลูก รถเก๋งน่าจะขับง่ายกว่ามั้ย แม่ว่าน่ารักสมกับเป็นเด็กวัยรุ่นดี”

                “เอาไปใช้ทำธุระอ่ะแม่ เอาอะไรที่มันขนคนขนของได้เยอะๆดีกว่า”

                “งั้นไม่เอากระบะที่สวนไปแทนล่ะ” อ้าวพ่อกู!

                “อันนั้นก็เกินไปละคุณไตรศร ผมเอาไปรับส่งคนป่วย” ผมว่าหน้าเอือม ได้ยินพ่อกับแม่หัวเราะเสียงดัง ได้แกล้งลูกแล้วสนุกกันใหญ่ รู้อยู่แล้วแหละว่ายังไงก็ให้ แต่ขอให้ได้หยอกกันซักหน่อย

                “คนป่วย? รุ่นน้องที่ลูกไปเฝ้าที่โรงพยาบาลใช่มั้ย” แม่ผมถาม

                “ใช่ครับ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย” อยากให้ฟื้นไวๆเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าเร่งกันไม่ได้ก็เถอะ

                “พรุ่งนี้ไปวัดก็ทำบงทำบุญ เผื่อคุณพระจะช่วยให้น้องเขาฟื้นเร็วๆ” แม่ผมถอนหายใจยาว ผมได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆก่อนชวนพ่อกับแม่เข้าบ้าน

                ...

                ..

                .

                “แม่! ไหงไอ้เหลืองนวลมาอยู่นี่ได้อ่ะ รักษ์มันไม่กลับไม่ใช่เหรอ” เสียงแบบนี้ ไอ้รบน้องชายผมแน่ๆ ไม่ต้องสงสัย

                “กลับจ้า” ผมโบกมือทักทายน้องชายตัวเองที่เพิ่งกลับมาจากเรียน “แม่ทำกับข้าวกับพี่ปายอยู่ในครัว”

                “เอ้า! ทำไมมึงไม่ให้พี่เหน่งไปรับวะ ขี่เหลืองนวลมาอันตรายนะนั่น” ไอ้รบเหวี่ยงกระเป๋าลงโซฟาเสร็จก็หันมาบ่นผมทันที ไม่คิดจะทักทายกันเลย

                “กูจะเอาเหลืองนวลกลับมาเก็บไง จะเอารถไปใช้แทน”

                “อ๋อออออ เออๆ ดีละ กูได้เอาเหลืองนวลไปใช้บ้าง ทุกวันนี้กูแอบขโมยอีแก่ของพี่ปายไปใช้อยู่เลย”

                “แล้วซูเมอร์เอ็กซ์ที่พ่อเพิ่งซื้อให้ตอนมึงม.สี่ล่ะ”

                “ฟาดพื้นไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ยังอยู่ที่ศูนย์อยู่เลย =w=

                “Kวย! งั้นไม่ต้องมายุ่งกับเหลืองนวลกูเลย โน้น! ให้พี่เหน่งไปรับไปส่งจนกว่าจะซ่อมเสร็จ”

                “งกว่ะ เดี๋ยวกูจะฟ้องแม่ว่ามึงแกล้งน้อง”

                “ไปฟ้องดิ แม่รอเทศน์มึงเรื่องแอบเอามอเตอร์ไซค์พี่ปายไปโรงเรียนอยู่เลย” ผมว่า นึกถึงที่แม่บ่นให้ฟังเมื่อกี้ว่าไอ้รบขโมยมอเตอร์ไซค์พี่ปายที่เป็นแม่บ้านไปโรงเรียน พี่ปายที่จะไปจ่ายตลาดก็ไม่มีมอเตอร์ไซค์คันเก่งไป บ้านผมก็ไม่มีมอเตอร์ไซค์สำรองไว้ พี่ปายเลยควบจักรยานสามกิโลไปจ่ายตลาดแทน จริงๆถ้าพี่ปายใจเย็นรอพี่เหน่งคนขับรถกลับมาจากธุระก่อนแม่ก็ให้พี่เหน่งขับรถพาพี่ปายไปตลาดแทนอยู่แล้ว แต่นี่พอพี่เหน่งกลับมาถึงบ้านพี่ปายก็หายไปพร้อมกับจักรยานซะแล้ว

                “จริงป่ะวะ” ไอ้รบถามหน้าตาตื่น

                “เออ กูจะโกหกทำไมล่ะ ทำเขาเดือนร้อนกันทั้งบ้านขนาดนี้ พ่อบอกว่าเมื่อเช้าแม่นั่งก้นแทบไม่ติดโซฟา กลัวพี่ปายปั่นจักรยานแล้วจะไปเกิดอุบัติเหตุ”

                “งั้นกูขึ้นห้องด่วนๆเลย” ไอ้รบทำท่าสะพายกระเป๋าเตรียมย่องขึ้นห้องเรียบร้อย แต่ไม่ทันคุณผู้หญิงจันทร์ฉาย

                “ตารบ! นั่งลงเดี๋ยวนี้!

                ว้าบเลยกู! ไปดูพ่อทำสวนขวดดีกว่า!

     

                ...

                ..

                .

                 เช้าวันรุ่งขึ้น พ่อและแม่พาผมกับไอ้รบไปทำบุญเก้าวัดและไปกินข้าวด้วยกันเป็นการฉลองวันเกิด ทุกๆวัดที่ผมไป ผมบนบานศาลกล่าวไว้ทุกที่ว่าขอให้ไอ้ปอนด์ตื่นขึ้นมาในเร็ววัน ขอให้มันมีสติและเป็นไอ้ปอนด์คนเดิมที่เต็มไปด้วยพลังบวก

                ถ้าไอ้ปอนด์ฟื้นขึ้นมาภายในสองสามวันนี้ ผมจะแก้บนด้วยการพามันกลับมาไหว้ทันทีที่มันแข็งแรงพอ (ไฟลท์บังคับสุดๆ)

                สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งสังเกตได้ก็คือ ผมสามารถตื่นหกโมงเช้าได้โดยที่ไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกทั้งที่ผมเพิ่งมาตื่นเร็วก็ตอนที่เริ่มไปมหาลัยกับปอนด์เท่านั้นเอง ยอมรับว่าวันแรกๆที่ตื่นเช้าลากมันไปกินข้าวก็กะแกล้งมันหน่อยๆนั่นแหละ แต่ต่อมารู้สึกว่ากินข้าวเช้าก่อนเรียนมันดีต่อร่างกายอย่างบอกไม่ถูกเลยลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้

                ผมตื่นหกโมง กินข้าวเจ็ดโมงครึ่งจนเป็นนิสัยไปแล้ว เหมือนกับการมีไอ้ปอนด์ในชีวิต...

                ทฤษฎี 21 วันใช้ได้ผลกับผมจริงๆ

                “จะกลับวันนี้เลยเหรอลูก” แม่ผมถามขณะที่เรากำลังกินข้าวด้วยกันในร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดลำพูน

                “ครับ รักษ์จะแวะไปดูน้องที่โรงพยาบาลด้วย เดี๋ยวขากลับคงแวะซื้อของฝากไปให้แม่น้องเขาหน่อย”

                “ถามได้ป่ะ” ไอ้รบหันมาพูด ผมแค่พยักหน้าก่อนตักกับข้าวเข้าปาก “น้องที่ว่าเนี่ยคืออะไรยังไงวะ”

                ผมหันไปมองหน้าไอ้รบ เห็นมันมองหน้าผมนิ่ง ดูท่าทางตั้งใจที่จะฟังเต็มที่เลยตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้ทั้งพ่อ แม่ และไอ้รบฟัง

                พอพวกเรากลับถึงบ้าน ผมก็เก็บข้าวเก็บของที่เตรียมไว้ใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับเชียงใหม่

                “ขอเข้าไปหน่อย” ไอ้รบยื่นหน้าเข้ามาในห้อง พอเห็นผมไม่ว่าอะไรก็วิ่งเข้ามาแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงผมอย่างแรง

                “คิดถึงกูรึไง” ผมว่า “อยากอ้อนพี่ชายเหรอจ้ะ”

                “เหอะ! คิดถึงทำเพื่อ! มึงกลับบ้านเดือนละสองครั้ง พ่อกับแม่แวะไปหาอีกเดือนละครั้ง เจอมึงเยอะกว่าผอ.โรงเรียนอีก จะให้กูคิดถึง?

                “แล้วมีอะไร?

                “ถามหน่อยดิ” วันนี้มึงถามกูเยอะแล้วนะ “แฟนป่ะ”

                “ใครแฟน” ผมเลิกคิ้ว มือยังเก็บของต่อ

                “พี่ปอนด์อ่ะ”

                “ทำไมถามอย่างนั้น กูก็เล่าให้ฟังแล้วว่าเป็นน้องข้างบ้าน”

                “ก็มันยังไงไม่รู้”

                “อะไรวะ?” ผมขมวดคิ้วยุ่ง “ขอคำอธิบายแบบยาวๆ”

                “ก็มึงดูแคร์ดูห่วงแบบอธิบายไม่ถูก กูว่าพ่อกับแม่ก็รู้สึกแต่แค่ไม่พูดอะไรเท่านั้นแหละ”

                “ไร้สาระ” ผมว่า “ถ้าว่างก็ช่วยกูยกกระเป๋าไปใส่รถ”

                ไอ้รบทำปากมุบมิบๆแต่ก็ช่วยหยิบกระเป๋าที่ผมเตรียมไว้เดินตามหลังมาจนถึงรถ “ไม่รู้แหละ กูเมมใส่หัวไว้แล้วว่ามีพี่สะใภ้ชื่อปอนด์”

                “เก็บที่ว่างในสมองมึงไว้ใส่ความรู้เตรียมสอบเข้าเถอะ” ผมรับกระเป๋าจากไอ้รบ “กูไปก่อนนะ”

                “เออๆ ถามจี้ใจหน่อยเดียวรีบหนีเลยนะ ถึงแล้วโทรบอกด้วยล่ะ” จี้ใจพ่อง กูบอกอยู่ว่าน้องชาย!

                “เออๆ” ผมตอบไอ้รบแล้วก็สตาร์ทรถออกมาทันที ไอ้รบยืนโบกมือหยอยๆส่งผมอยู่หน้าบ้านซักแปปก็กลับเข้าไป จังหวะเดียวกันก็มีสายเข้าจากไอ้แมนเข้ามาพอดี

                “ว่าไง”

                [มึงอยู่ไหน]

                “เพิ่งออกจากบ้านเนี่ย ประมาณชั่วโมงครึ่งน่าจะไปถึง แต่จะแวะไปดูไอ้ปอนด์ที่โรงพยาบาลก่อน”

                [...มึงรีบ...................เอ้อ.........................จะคุยเหรอ................................] ไม่รู้หรอกว่าไอ้แมนมันทำอะไรอยู่ แต่พวกมึงคุยกันให้เสร็จก่อนค่อยโทรหากูแล้วกัน กูขับรถไปด้วยโทรศัพท์ไปด้วยนานๆไม่ได้

                “อะไรของพวกมึงวะ เดี๋ยวกูไปถึงแล้วค่อยคุยมั้ย”

                [......พี่รักษ์......]

                “......”

                [...พี่ได้ยินมั้ย...]

                “.......นั่นปอนด์เหรอ”

                [........สุขสันต์วันเกิดนะพี่]








    ข้าวเย็นกินคนเดียวไม่อร่อยเลย 
    ต้องซื้อกลับบ้านเเล้วเปิดNetflixแกล้ม =w=
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×