NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Naruto] Silent Song

    ลำดับตอนที่ #68 : บทที่ 57 อยากให้อยู่ข้างๆ 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      113
      15 เม.ย. 64

     

     บทที่ 57  อยากให้อยู่ข้างๆ

    หลายอาทิตย์ต่อมา

    หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้กับแสงอุษาที่หมู่บ้านโคโนฮะ ข่าวการบุกครั้งใหญ่นี้ก็แพร่สะพัดไปในหลายๆแคว้น พวกเขาหลั่งไหลเข้ามาที่โคโนฮะพร้อมความช่วยเหลือต่างๆมากพอที่จะคืนสภาพของหมู่บ้านกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง

    การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เกิดเรื่องที่น่าเป็นห่วงก็คือ โฮคาเงะ รุ่นที่ 5 มีสภาพที่ยังไม่ฟื้นสติ

    แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องรอเวลาเท่านั้นว่า ผู้นำของหมู่บ้านจะเป็นเช่นไรต่อไป

    หลายสัปดาห์มานี่ทุกอย่างปกติจนเกินไปสำหรับคาคาชิ มีสิ่งหนึ่งที่กวนใจเขา ภาพหลอนหลังความตายที่ปลุกเขาขึ้นมา

    มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนักเวลามองมิกิ

     

    ตอนนี้เธอกับนินจาคนอื่นๆต่างก็ช่วยกันจัดเตรียมอาหารให้กับผู้คนที่อยู่ในแคมป์ชั่วคราว ส่วนเขาก็มีหน้าที่ช่วยยามาโตะจัดการสร้างบ้าน

    ต่างคนต่างก็มีหน้าที่จัดการ ไม่มีเวลามาพบหน้ากันซักที

    อาจจะสงสัยสินะ ว่าทำไมก่อนหน้าเกิดเรื่องร้ายแรงแท้ๆทำไมถึงห่างเหินกันเช่นนี้ แน่นอนว่าภาพหลอนก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่ามิกิ เธอเป็นห่วงนารูโตะเสมอ  เขาจึงปล่อยให้เป็นเวลาของครอบครัว

     

     

    และมันก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะเข้าไปแทรกซักเท่าไหร่

    “อะ...”

    เสียงอุทานของคนที่กำลังจะเดินสวนมาทางคาคาชิ ทำให้เขาหยุดเดินแล้วเงยหน้ามอง

     มิกิ นั่นเอง 

    เธอยืนถือลังเสบียงอยู่ อาจจะกำลังไปที่โซนครัวของค่ายแล้วเจอเขาขวางทางพอดี

    “ไง”  เขาทักทาย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ไม่มีคำพูดไหนออกมาเลยในตอนนี้

    “ไง ... เหนื่อยหน่อยนะ” เธอตอบ

    “ไม่เท่าไหร่หรอก” เขายักไหล่ตอบ “ส่วนใหญ่ยามาโตะเป็นคนทำน่ะ ฉันก็แค่คอยเฝ้าหมอนั่นไม่ให้ตายก่อน”

    มิกิหลุดขำแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอหันไปมองยามาโตะที่กำลังสร้างบ้านไม้ด้วยคาถาไม้ของเขา

    “ทางเธอล่ะ ดูเหมือนจะยุ่งตลอดเลยสินะ”

    เธอหันกลับมาหาคาคาชิอีกครั้งก่อนจะตอบ “อืม หน่วยจัดหาเสบียงวุ่นมากเลยล่ะ มันกลายเป็นจุดเดียวที่คอยช่วยเหลือหลังจากเกิดเหตุพวกเพนตอนนั้น ...”

    คาคาชิเพิ่งสังเกตได้ว่าใบหน้าของเธอมีพลาสเตอร์ปิดที่แก้ม รวมถึงผ้าพันแขน

    ดูเหมือนว่าแผลยังไม่หายสนิทเลย

    “นี่ มิ—“ ยังไม่ทันที่คาคาชิจะพูดกับเธอ เสียงของคุเรไนก็ดังแทรกเขาทั้งคู่

    “มิกิ!!! เราต้องไปกันแล้วนะ”

    “อื้ม จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ” เธอตะโกนกลับไปก่อนจะหันมาลาคาคาชิ “ต้องไปแล้วล่ะ”

    “อืม ทางนั้นคงยุ่งมากเลยสินะ ไว้วันหลังค่อยมาเจอกันก็ได้”

    ให้ตายสิ อยากเจอกันอีกจัง

    มิกิพยักหน้ายิ้มตอบก่อนจะเดินผละไปอีกทาง  ส่วนคาคาชิ เขาก็หันกลับไปสนใจงานต่อ ทว่าเสียงใสก็เรียกเขาอีกครั้ง

    “คาคาชิ”

    เขาหันกลับไปหาเธอ ใบหน้าของเธอมีความลังเลเล็กน้อย

    “ว่าไง”

    “เอ่อ... คือ เย็นนี้ถ้าเกิดเธอว่างแล้ว เราไปด้วยกันไหม...คือฉันมีที่ๆอยากจะพาเธอไปน่ะ แต่ถ้าไม่ล่ะก็...ไม่เป็นไรนะ” ใบหน้าของมิกิดูไม่มั่นใจขึ้นทันที เธอไม่เคยเอ่ยชวยอีกฝ่ายแบบนี้มาก่อน เสียงท้ายประโยคจึงดูอ่อนลง เหมือนกลัวผิดหวัง

    “ได้สิ”

    พอได้ยินคำตอบของคาคาชิ เธอก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

    “งั้น...เจอกันเย็นนี้นะ” ใบหน้ามิกิดูมีความสุขมาก ก่อนจะหันกลับไปหาคุเรไนที่ยืนท้าวเอวรอเธออยู่ แถมยังยิ้มแซวเพื่อนสาว ที่ทำตัวเหมือนสาวน้อยวัยใสที่เพิ่งชวนผู้ชายที่ชอบเดท

    ส่วนคาคาชิ เขาเงียบกริบไม่แสดงอาการอะไรออกมา แต่พอหันกลับมาดูงานของยามาโตะ ก็ต้องผงะตกใจที่เห็นหน้ายามาโตะที่ซูบผอมเพราะจักระ

    “เฮ้ย!! อะไรของนายเนี่ย เทนโซ!”

    “รุ่นพี่ครับ งานสบายมากเลยสินะครับ” ยามาโตะว่า “ยืนหล่อๆก็มีสาวมาชวนเดท ให้ตายสิ รุ่นพี่ มาช่วยผมทำงานเดี๋ยวนี้เลย!!!”

    คาคาชิโดนรุ่นน้องจับเขย่าตัว “จ้าๆ”

     

     

     

    เวลาต่อมา

    หลังจากเสร็จงานแล้ว คาคาชิก็เดินมาที่โรงอาหารซึ่งเป็นที่ที่มิกิทำงานร่วมกับคุโนอิจิคนอื่นอยู่ รวมถึงคุเรไนที่เป็นสาวท้อง แต่ดูเหมือนร่างกายของเธอไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด เธอช่วยจัดการงานเป็นอย่างดี

    และทันทีที่คาคาชิเข้ามา คุเรไนก็ทักทายเขา

    “ไง คาคาชิ มารับแฟนเหรอ?”

    “ให้ตายสิ คุเรไน เธอนี่แซวไม่หยุดเลยนะ” เขาว่า

    “แหม คิดว่าฉันไม่เห็นตอนกลางวันรึไง ตอนมิกิคุยกับเธอน่ะ ยัยนั่นยิ้มแก้มแดงกลับมา ไม่รู้คุยไรกัน แต่ฉันพอเดาได้แหล่ะ”

    “เดาว่าอะไรล่ะ” เขาถามทำเป็นไม่รู้  

    “เฮ้อ นายนี่มันยียวนกวนประสาทจริง คาคาชิ”

    เขายิ้มตาปิด เอามือซุกกระเป๋า

    “หลังจากตอนนั้น ยัยนั่นไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” เขาถามเสียงเบาลง ซึ่งคุเรไนก็สงสัย

    “หมายความว่าไง ก็ปกติดีนี่” เธอตอบ “นายต่างหากที่น่าห่วง”

    “ฉันเนี่ยนะ”

    “ก็ใช่น่ะสิ” คุเรไนตอบเสียงแข็ง “นายเพิ่งฟื้นจากความตายมานะ จำไม่ได้รึไง”

    “.....” คาคาชิยกมือลูบเส้นผมสีเงินของตนเอง “ก็นะ...”

    “ยังจะมา ‘ก็นะ’ อีก เห้อ....” หญิงสาวพ่นลมอย่างไม่พอใจ แต่เธอก็ต้องยอมแพ้ที่จะถามเขาต่อ เมื่อหญิงสาวร่างบางอีกคนโผล่มาจากครัว

    “คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ?” มิกิถาม

    คุเรไนยักไหล่เชิงไม่สำคัญอะไร “ก็แค่ทักทาย แซวใครบางคนจะไปเดทหลังเลิกงานน่ะ” ว่าจบก็แทงศอกที่เอวมิกิเบาๆ เชิงล้อเลียน

    “โธ่ เดทอะไรเล่า ?”

    คุเรไนไม่ได้รอฟังเพื่อนรักต่อแล้ว เธอเดินเข้าครัวหายไปปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน

    “ที่ว่า...ที่ๆอยากพาฉันไป คือที่ไหนงั้นเหรอ?”

    ลางสังหรณ์ของเขาบอกเป็นลางอยู่นิดหน่อย ว่านี่ไม่ใช่การเดทระหว่างเขาสองคนแน่ๆ

    มิกิยิ้มเจือนๆ “ตามฉันมาเถอะ”

     

     

    สถานที่ที่มิกิพาไป มันอยู่ในป่าหลังหมู่บ้าน

    มันไกลจนพ้นระยะรัศมีของการโจมตีของเพน ไร้เสียงของผู้คนในหมู่บ้าน คาคาชิแอบคิดแล้วว่าหญิงสาวกำลังพาเขาไปไหน ชักแอบกลัวอยู่นิดนึงว่าเธอกำลังลวงเขาไปฆ่าในที่ลับ –ซึ่งเป็นความคิดแวบเดียวเท่านั้น- แต่แล้วพวกเขาก็เดินจนมาถึงเสียงของสายน้ำ

    “ที่นี่เงียบสงบจัง”

    “ใช่ ลับตาผู้คนอีกด้วย” หญิงสาวตอบ

    “....หรือว่า นี่เธอกำลังลวงฉันไปฆ่าหมกป่าอำพรางหรอกใช่ไหม?”  คาคาชิถามอย่างระแวง เขาไม่คิดแวบเดียวแล้ว แต่นั้นก็ทำให้มิกิหลุดขำลั่น

    “ฮ่าๆๆ เธอคิดแบบนั้นเหรอ ให้ตายสิ เธอทำฉัน ....ขำไม่หยุดนะ”

    “ก็มันระแวงนี่นา”

    “ที่ฉันอยากพาเธอมา คือที่นี่ต่างหาก” หญิงสาวดึงมือของเขาเดินผ่านทะลุออกมาลานหญ้ากว้างติดหน้าผาเตี้ยๆ มีสิ่งปลูกสร้างไม้ตั้งอยู่ เป็นเรือนไม้ขนาดกลาง ทั้งร้างอยู่ตรงนั้น

    “ที่นี่....”

    “คือบ้านของฉันเอง”

    “เอ๋?”

    มิกิมองบ้านเก่าหลังนั้น ก่อนตอบ “บ้านที่ฉันเคยอยู่กับพี่มินาโตะ เป็นบ้านของตระกูลเซนจู ตระกูลของโฮคาเงะรุ่นแรกและรุ่นที่สอง”


     

     

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


     

    คาคาชิยังคงอึ้งกับที่สิ่งพบในตอนนี้ เรือนไม้ที่ลับสายตาผู้คนจากหมู่บ้านโคโนฮะ หลังนี้เคยเป็นบ้านของสองพี่น้องนามิคาเซะ แถมยังเป็นบ้านให้เครือตระกูลเซนจูอีกด้วย

    “ฉันเคยอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าไม่เคยจำได้ก็ตามว่านี่เป็นบ้านของฉัน แต่ว่าฉันจำได้ พื้นเสื่อแบบนี้ กำแพงกระดาษแบบนี้”

    “เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเธอถึงจำไม่ได้กันล่ะ ถ้านี่เป็นบ้านของเธอ”

    มิกิมีสีหน้ากังวล “ที่ฉันจะบอกก็คือ ฉันไม่รู้ว่าทางมาที่บ้านหลังนี่คือทางไหนเลย คาคาชิ บ้านที่ฉันอยู่กับพี่มินาโตะ และพี่คุชินะ คือหลังที่ถูกเก้าหางทำลาย”

    “....”

    “บ้านหลังนั้นไม่มีกลิ่นอายจากอดีตอื่นเลย แต่ที่นี่ฉันกลับจำได้ ว่าฉันเคยอยู่ ตอนฉันป่วย” เธอเดินเข้าไปในตัวบ้าน หักเลี้ยวไปเลื่อนบานประตูห้องหนึ่ง เขาเดินตามไป ห้องนั้นมันว่างเปล่า แต่ทันทีที่มิกิเปิดบานเลื่อนระเบียงออก ก็พบกับสวนหญ้าที่โตขึ้นสูง

    “ที่นี่ เคยเป็นสวนของแม่ของฉัน” เธอบอกแล้วนั่งลงที่ระเบียง

    “....”

    “ฉันรู้ เพราะพี่บอกฉันตอนฉันนอนป่วยที่นี่ เขาบอกว่าแม่อยู่กับเราเสมอ คอยเฝ้าดูเราจากสวนที่แม่รัก อยู่ตรงนี้ แม่ของเราจะอวยพรให้ฉันหายป่วยไว้ๆยามที่ฉันหลับ”

    ในตอนนั้นเอง คาคาชิก็เข้ามานั่งข้างตัวเธอ เขาสังเกตได้ว่าใบหน้าด้านข้างของเธอ ดวงตาของเธอแดงก่ำ เขาจึงกุมของเธอเอาไว้

    “ตอนที่เธอป่วย นั่นใช่ก่อนที่จะเจอฉันใช่ไหม”

    มิกิพยักหน้า

    “ฉันจำได้ ตอนเจอเธอครั้งแรก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันจำไม่ได้”

    “...”

    “คือฉันป่วยเป็นอะไร คาคาชิ”

    “อาจจะป่วยธรรมดาปกติก็ได้ ตอนเด็กๆภูมิคุ้มกันจะน้อย—“

    “ไม่ใช่อย่างนั้น  ฟังที่ฉันพูดนะ ฉันเห็นภาพอดีตภาพหนึ่ง ที่นี่ ตรงนี้  พี่มินาโตะนอนกอดฉัน แต่เขามีแผลเต็มตัวและเขากอดฉันแน่นมาก เขาบอกว่าสัตว์ในป่าข่วน แต่แผลมัน...ฉันคิดได้แต่ว่า ฉันทำร้ายพี่”

    คาคาชินั่งฟัง หญิงสาวกำลังปะติดปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่มินาโตะขอให้เขาปิดไว้ นั่นทำให้เขาเริ่มกลัว

    “ที่ฉันพาเธอมาที่นี่ ฉันอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังนะ”

    “อืม...”

    “เผื่อเธอจะช่วยฉันสืบเรื่องนี้ได้ ฉันเจอโฉนดที่ดินที่นี่ด้วย ลองไปถามท่านซึนาเดะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไร อะ จริงสิ” จู่ๆมิกิก็ลุกขึ้น

    “อะไร!”

    “ตรงข้ามจากที่นี่ มีบ้านของคนเฝ้าที่นี่ เขาเคยดูแลบ้านนี้ตอนที่ฉันอยู่ เราควรไปสืบตรงนั้น น่าจะดีกว่านะ”

    “เดี๋ยวๆ!” คาคาชิรีบดึงแขนเธอเอาไว้ พอเธอหันกลับมามองก็มีสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม “ที่เธอพาฉันมาที่นี่ ก็เพราะอยากสืบเรื่องอะไรกันแน่”

    “....”

    “ไม่ใช่เรื่องที่ฉันคิดใช่ไหม”

    “....”

    “ว่าไง?”

    “ทุกอย่างมันดูเป็นไปได้จนน่ากลัวเลยนี่นา” เธอตอบเสียงอ่อน “ทำไมทุกอย่างรอบตัวฉันถึงเกี่ยวข้องกับตระกูลของโฮคาเงะรุ่นแรกกับรุ่นสองล่ะ”

    “เคียวกุโร่ก็พูดว่ารุ่นสองลักพาตัวฉันกับพี่ไป”

    “รุ่นที่สองเกี่ยวอะไรกับฉันกันล่ะ”

    มิกิได้แต่ตั้งคำถาม แต่ทว่าคาคาชิกลับรู้คำตอบได้ไม่นานนัก เธอพูดถูกว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงกัน

    อาจารย์มินาโตะ กับเธอ เกิดที่บ้านหลังนี้

    ของขวัญที่มินาโตะมอบให้เป็นของต่างหน้าครอบครัว ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือดาบของโฮคาเงะรุ่นที่สอง

    หัวหน้ากลุ่มโอนิวะบังที่อ้างว่าสองพี่น้องนามิคาเสะคือทายาทของตน เพราะแม่ของเธอคือผู้หญิงของเขา

    ถ้าเกิด...บ้างหลังนี้คือบ้านของรุ่นที่สองล่ะ ?

    ทั้งอาจารย์กับมิกิมาอยู่ที่นี่เพราะรุ่นสองพามาอยู่ทั้งสามแม่ลูกงั้นเหรอ?

    มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่างนั่นก็คือ ครอบครัวนามิคาเสะมาหลบภับจากกลุ่มโอนิวะบังภายใต้การคุ้มครอบของโฮคาเงะ

    และอีกความเป็นไปได้

    /ดาบนี้ ที่พี่มินาโตะให้เป็นของขวัญ เขาบอกเป็นของต่างหน้าจากพ่อ/

    ดาบที่มิกิใช้เป็นอาวุธติดตัว คือดาบของรุ่นที่สอง ดาบของผู้เป็นพ่อ...

    เซนจู โทบิรามะ คือพ่อของอาจารย์และเธอ .!!

    ….มิน่าล่ะ ทำไมดันโซถึงออกตัวมากำจัดเรื่องของโอนิวะบังด้วยตนเอง

    เขาเป็นลูกศิษย์ของรุ่นที่สอง เช่นเดียวกับรุ่นที่สาม และสองท่านที่ปรึกษา พวกเขาคอยดูแลทายาทของอาจารย์ตนเอง รวมถึงการรักษาความลับ

    “นี่...คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ?”

    “เอ๋?” คาคาชิสะดุ้งหลุดจากความคิด สบกับดวงตาสีฟ้าใส “เปล่านี่”

    “เปล่าเหรอ? นายนั่งหน้าเครียดไปตั้งนาน”

    ข้อสันนิฐานของเขา ควรจะบอกเธอเลยดีไหม

    พวกเขายังคงนั่งริมระเบียงสวนรกร้างนี้ พร้อมกับเสียงของหมู่สัตว์ที่ร้องคลอเบาๆ

    “มันคงจะทำให้เธอคาใจมาตลอดสินะ เรื่องนี้” เขาถาม

    “ฉันแค่..รู้สึกโกรธน่ะ”

    ทันทีที่ได้ยินจากปากของมิกิ คาคาชิก็เผลอนึกถึงภาพของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง 

    “พี่ไม่เคยยอมพูดถึงเรื่องพ่อแม่เลย ตอนนี้ฉันพอเข้าใจ ถ้าเคียวกุโร่เป็นคนพาพี่ตอนอายุ 10 ขวบมาพบเจอเรื่องร้ายๆในตอนนั้น เป็นใครที่ก็ต้องอยากปิดเรื่องนี้ไว้เพื่อปกป้องครอบครัว”

    “....”

    “เขาเก็บเงียบมาตลอด เพื่อฉัน และคนที่เขารัก ทำเอาฉันดูไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

    “....”

    หญิงสาวขมวดคิ้วชนกัน เธอหันไปมองชายหนุ่มอย่างสงสัย เขาดูเงียบไม่ตอบอะไรมาครู่นึงแล้ว

    “เป็นอะไรรึเปล่า คาคาชิ เธอดูไม่พูดอะไรเลยนะ”

    เขาเงยหน้ามองตอบ แววตาครุ่นคิดบางอย่างเผยออกมา แต่ก็หายไปเพราะเขายิ้มให้กับเธอ

    “ก็ฟังเธออยู่ไง ฉันไม่อยากแทรกน่ะ”

    มิกิเงียบไปครู่ก่อนจะยิ้มตอบ “ขอบคุณนะ ที่คอยรับฟังฉัน รู้สึกโล่งครั้งแรกเลยล่ะ ที่สามารถเล่าให้เธอฟังได้”

     

     

    “เรื่องที่เธอป่วยเป็นอะไรน่ะ ฉันพอจะรู้อยู่นะ”

    ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดออกมา  มิกิตัวแข็งทื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าเธอหายไป แววตาที่มองคาคาชิมีความแปลกประหลาดใจ

    “หมายความว่าไง?”

    “ตอนนี้เธอก็ยังไม่หาย”

    “อะไรนะ?”

    คาคาชิเห็น มิกิเริ่มกลัว แต่ว่าสิ่งนี้ที่เขาขอได้รับการอภัยจากอาจารย์

    “อาจารย์เขาฝากยาไว้กับฉัน กรณีที่เธออาการแย่ลง”

    “ยา? ยาอะไร?”

    เขาบีบมือเธอแน่น รู้สึกกลัวเหมือนกันที่ต้องบอกเธอ

    “มันเป็นยาผนึก เมื่อเธอกินมัน มันจะผนึกความทรงจำบางส่วนของเธอไปด้วย นั่นแหล่ะที่เป็นเหตุผลที่เธอจำอะไรไม่ได้ในบางครั้ง”

    มิกินั่งฟังความจริงที่เป็นเหมือนกับจิ๊กซอวเข้าประกอบบางส่วนในความทรงจำ แต่สิ่งเธอกลัวกว่าคือเธอป่วยเป็นอะไร ?

    “ละ แล้วฉันป่วยเป็นอะไรล่ะ?”

    เรื่องนั้นที่คาคาชิไม่รู้

    “ฉันเคยเห็นเธอเป็นแค่สองครั้ง ตอนที่เราเคยประลองกันระหว่างทีม และตอนที่หลังจากสู้กับแสงอุษา ฮิดันและคาคุสึ เธอจะมีอาการปวดท้องรุนแรง จนถึงขั้นชัก”

    “มันเป็นอาการที่เจ็บปวดที่สุด เหมือนกับกำลังถูกฉีกร่างเป็นชิ้น” เธอต่อให้ “ฉันคิดว่า ฉันพอจะรู้แล้วว่าทำไมฉันถึงทำร้ายพี่ ถ้างั้นเธอด้วยงั้นเหรอ คาคาชิ ฉันก็ทำร้ายเธองั้นเหรอ?”

    คาคาชิยิ้มส่ายหน้า เผลอยกมือขึ้นไปลูบหัวเธอ

    “ไม่ เธอไม่เคยทำร้ายฉันหรอก ไม่เคย”

    ถึงแม้ว่าในภาพฝัน หญิงสาวตรงหน้าจะพยายามบีบคอเขาก็ตาม

    ถ้าเกิดว่าภาพที่เห็นนั่นคือตัวตนมิกิจริงๆ แต่ว่าเนื้อแท้จริงของเธอก็ไม่เคยทำร้ายใครแน่นอน เขาเชื่อเช่นนั้น...

    “งั้นก็หมายความว่า เธออยู่ข้างฉันมาตลอดเลยสินะ”

    “ไม่หรอก แค่พยายามอยู่ข้างๆเธอให้มากที่สุดเท่านั้นแหล่ะ”

     

     

    เวลาต่อมา

    เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยมาจนเกือบเย็น คาคาชิและมิกิก็ออกมาจากบ้านหลังนั้น พร้อมกับวางแผนที่จะเริ่มสืบเรื่องบ้านหลังนี้ต่อไป

    “ฉันคิดว่า ฉันรู้ชื่อของแม่ของฉันนะ”

    “หืม?”

    “คายะ... นามสกุลอาจจะเป็น นามิคาเซะ”

    “....”

    “นามิคาเซะ คายะ”

    “บางทีอาจจะไปหาชื่อที่หอสมุดดูสินะ” เขาตอบ “เบาะแสเดียวที่เชื่อมโยงกับเธอโดยตรง”

    “ฉัน...ไม่เคยรู้จักแม่เลย ถ้าเกิดได้รู้ บางทีอาจจะตอบอะไรฉันได้บ้าง”

    นั่นสินะ คำตอบเกี่ยวกับเธอ หรืออะไรก็ตามที่กำลังตามมา

    “เรื่องนี้ เธอจะบอกนารูโตะไหม?”

    มิกิยิ้มแห้ง “ไว้ฉันสืบจนชัวร์ก่อนนะ”

    การสนทนาของพวกก็หยุดลงในเวลาต่อมาเมื่อมีเสียงของนารูโตะและซากุระตะโกนเรียกมาแต่ไกล ด้วยสีหน้าที่ร้อนรน

    “ครูคาคาชิ!! น้ามิกิ!! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

    เด็กทั้งสองคนวิ่งมาจนถึงครูทั้งสองพลางเหนื่อยหอบ

    “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” มิกิถามก่อน

    “คือว่างี้ค่ะ ครูมิกิ—“

    “มีคำสั่งอนุญาตให้ล่าค่าหัวซาสึเกะเฉยเลย ทั้งๆที่ป้าซึนาเดะยังไม่ฟื้น” นารูโตะตอบกลบเสียงซากุระ

    ผู้ใหญ่ทั้งสองรอฟัง ต่างตะลึงกับคำสั่งที่เกิดขึ้น

    “เมื่อเช้าฉันเพื่อเห็นว่ามีคนจากแคว้นสายฟ้ามาที่หมู่บ้าน หรือว่าเพราะพวกเขา”

    “ไรคาเงะมาด้วยตนเองเลยล่ะ” คาคาชิตอบ “ข่าวที่คิลเลอร์ บี โดนซาสึเกะสังหารคงไปถึงหูของไรคาเงะที่เป็นพี่ชายน่ะสิ เขาถึงมาที่นี่”

    “เจ้าซาสึเกะมันคิดบ้าอะไรของมันกันแน่เนี่ย ถึงได้ไล่ล่าสัตว์หาง” นารูโตะโกรธ

    “เดี๋ยวนะ ข่าวที่ว่าแปดหางโดนสังหายไม่ใช่ว่าแสงอุษาเหรอคะ”

    “แสงอุษาน่ะใช่ แต่เป็นซาสึเกะกับคนในทีมที่ใส่เสื้อคลุมนั้น” มิกิตอบ หลายวันมานี่พวกเธอได้ยินข่าวเรื่องนี้หนาหู

    “ว่าแต่ใครเป็นคนออกคำสั่งแทนท่านรุ่นที่ห้าล่ะ นารูโตะ” คาคาชิถาม

    “คนที่ชื่อ ชิมูระ ดันโซ เขาจะถึงมาเป็นโฮคาเงะรุ่นที่ 6 แทนด้วย”

    ดันโซงั้นเหรอ?

    “ผมจะไปคุยกับเขา เรื่องซาสึเกะ” นารูโตะร้อนใจรีบหันหลังกลับไป

    “เดี๋ยวก่อน นารูโตะ” คาคาชิห้าม “ถ้าเกิดคนที่ชื่อดันโซออกคำสั่งจริงๆล่ะก็ อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามทำอะไรเลย”

    “แต่...”

    “พวกเธอยังไม่รู้จักชายคนนั้นดีพอ”

    คาคาชิว่า ทำให้เด็กทั้งสองนิ่งสงบลงได้ แต่ไม่ใช่กับมิกิ เธอกลับมีไอเดียบางอย่าง

    “จะว่าไป ซาอิก็เคยทำงานกับเจ้าดันโซนี่”

    “ท่านดันโซสิ เดี๋ยวก็โดนดีหรอก เจ้าบ้า” ซากุระดุ

    “งั้นเราลองไปถามข้อมูลดีๆกับเจ้านั่นดีไหม”

    “อื้ม”

    พูดจบ ทั้งสองก็ออกวิ่งไปไม่ฟังเสียงของคาคาชิที่ห้ามเอาไว้

    “น่าจะปล่อยให้พวกเขาไปถามนะ”

    “จะบ้ารึไง เธอก็รู้ว่าดันโซน่ะเป็นคนยังไง”

    มิกิทำหน้าเรียบเฉย

     

    “เขากุมความลับมามากพอแล้ว”

    ------------------------------------------------------------------------------------

    เจอกันอาทิตย์หน้าค่า  ขอคอมเม้นซัก 10 คอมเม้นเป็นกำลังใจแต่งต่อนะคะ อาจจะมีตอนพิเศษมาด้วยน้าาา 


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×