adobe
ดู Blog ทั้งหมด

ปาว ภาณุพงษ์ ลาภเสถียร

เขียนโดย adobe
หลังจากที่ตัวเองได้มีโอกาสดูรายการอัจฉริยะข้ามคืน
รู้สึกประทับในตัวพี่ปาวมากค่ะ ต่อมาก้อได้ดูรายการถึงลูกถึงคน
รู้สึกว่าพี่ปาวสุดยอดมากๆ ก้อเลยหาข้อมูลของพี่ปาวดู
เปิดชีวิต "น้องปาว" อาสาสมัครช่วยผู้ประสบภัยบนท้องถนน
โดย : นสพ.คมชัดลึก

วันนี้ขอนำเสนอเรื่องราวชีวิตของ น้องปาว - ภาณุพงษ์ ลาภเสถียร นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ชั้นปี 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต วัย 22 ปี ผู้ได้รับรางวัลเยาวชนแห่งชาติประจำปี 2549 ให้สาธารณชนได้รับรู้ถึงความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจในการปั่นจักรยานคู่ใจไปทั่วกรุงเทพฯ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บบนท้องถนนมานานกว่า 4 ปี

น้องปาว ได้แรงบันดาลใจในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนท้องถนน จากการที่คุณพ่อได้ซื้อจักยานคันใหม่ให้เป็นของขวัญวันเกิด หลังจากนั้น น้องปาว จึงได้เข้าฝึกอบรมการปฐมพยาบาลที่วชิรพยาบาล และอ่านหนังสือเพิ่มเติมเอง ก่อนดัดแปลงรถจักรยานให้เป็น "จักรยานกู้ชีวิต" คันแรกของประเทศไทย โดยเงินทุนที่ได้รับมา น้องปาว นำมาตกแต่งรถ และนำไปซื้ออุปกรณ์การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ทุกวันหลังเลิกเรียน น้องปาว จะปั่นสองล้อคู่ชีพออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนท้องถนนทั่วกรุงเทพฯ ถ้าเจอคนที่ถูกรถชน น้องปาว จะช่วยเหลือและปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้กับทีมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทำงานมา 4 ปี น้องปาว บอกว่าไม่เหนื่อย แต่มีเรื่องกระทบใจบ้าง เพราะช่วงแรกโดนกระแสความไม่เข้าใจแรงมาก โดยเฉพาะช่วงปั่นรถจักรยานเข้ามหาวิทยาลัย ก็จะถูกมองเหมือนรถประหลาด บางคนก็หาว่าเราบ้า เพื่อนๆ ก็ไม่มีใครคบ ตอนนี้ก็มีปัญหาหนักใจคือ ประชาชนทั่วไปไม่ให้ความร่วมมือ ยิ่งเมื่อเห็นปั่นจักรยานมาก็ยังไม่หลบให้ แถมยังโทรไปร้องเรียนว่าเปิดเสียงไซเรนเสียงดัง

"...ความจริงแล้วตนก็อยากจะบอกว่าที่ต้องขี่ด้วยความเร็ว ต้องเปิดไซเรนขอทาง ก็เพราะต้องการไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หากไปที่เกิดเหตุช้าผู้ประสบเหตุอาจตายได้ บางครั้งต้องปั่นเร็วจนเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานล้มจนขาหักมาแล้ว แต่ตนเองก็ไม่เคยท้อ เพราะทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุร้าย ก็จะรู้สึกสุขใจ"


สำหรับอนาคต น้องปาว บอกว่า อยากเรียนต่อปริญญาโท เรียนด้วยทำงานไปด้วย หากเป็นไปได้อยากรับราชการ แม้เงินน้อยก็ไม่เป็นไร หาแค่พออยู่ได้ แต่ถ้าทำงานเอกชนได้เงินมากก็จริง แต่ก็จะไม่มีเวลาทำงานอาสาสมัคร


อาสาจักรยานกู้ชีวิต รถเล็กกับภารกิจใหญ่
       

"เริ่มคิดว่าชีวิตคนสำคัญมากกว่าความท้าทาย แล้วยิ่งใช้รถเก๋ง ยิ่งเปลืองน้ำมัน เพราะเราต้องตระเวนดูอุบัติเหตุ คืนหนึ่งค่าน้ำมันก็หลายร้อยบาทแล้ว เดินทางก็ไม่สะดวก เจอรถติดเข้าไปทีขยับแทบไม่ได้ ไปถึงที่เกิดเหตุก็ช้า ใช้รถเก๋งได้ประมาณ 6 เดือน ก็เอารถจักรยานที่มีมาดัดแปลง ติดตั้งอุปกรณ์ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานให้มากขึ้น ไปไหนมาไหนก็สะดวก ลัดเลาะซอกแซกไปได้ทุกที่ ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ถึงตอนนี้ใช้จักรยานมาปีกว่าแล้ว" ...


***************************************************************

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หลายคนเห็น แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะมองแล้วผ่านเลยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่เข้าไปช่วยเหลืออย่างจริงจัง

ด้วยเหตุนี้ หากใครมีโอกาสผ่านไปแถวสนามหลวง ถนนราชดำเนิน ย่านบางลำพู หรือแถวจรัญสนิทวงศ์ ในเวลามืดค่ำไปจนถึงย่ำเช้า

จึงอาจเคยเห็น *รถกระบะ* หรือ *รถจักรยานยนต์* ของเหล่าอาสาสมัครหน่วยแพทย์กู้ชีวิต วชิรพยาบาล สังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร มีป้ายเครื่องหมายคล้ายดอกจันสีน้ำเงิน ด้านบนเขียนอักษรย่อ *"S.M.A.R.T."* (Surgical.Medical.Ambulance.Rescue.Team) ติดอยู่ข้างรถให้เห็นชัดเด่นสะดุดตา แยกย้ายออกวิ่งตระเวนสอดส่องอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นแถบนั้น เพื่อช่วยเหลือปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บหรือนำส่งโรงพยาบาลช่วยชีวิตให้ทันท่วงที

แต่นอกจากรถสี่ล้อและสองล้ออย่างกระบะและจักรยานยนต์ ซึ่งอาศัยเครื่องยนต์ส่งแรงให้ขับเคลื่อนออกไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุแล้ว ที่มองข้ามไปไม่ได้เห็นจะเป็นรถ *"จักรยาน"* คันแรกและคันเดียว ที่เข้าร่วมอยู่ในทีมอาสาสมัครกู้ชีวิต

แม้จะไม่มีเครื่องยนต์ติด และรูปร่างหน้าตา สมรรถนะจะไม่ได้ผิดแปลกไปจากรถจักรยานคันอื่น แต่อาศัยเพียงแค่แรงปั่นจากสองขา ก็พาให้ "จักรยานกู้ชีวิต" ที่ท้ายรถพกพาเครื่องไม้เครื่องมือปฐมพยาบาลไว้เต็มพิกัดคันนี้ วิ่งฉิวออกไปทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้สบาย ไม่แพ้รถประเภทอื่นเป็นเวลาปีกว่ามาแล้ว ทำเอาผู้พบเห็นทึ่งมานักต่อนัก

ยิ่งชายหนุ่มขาปั่น เป็นหนุ่มน้อยอายุอานามแค่ 20 ปี ก็ยิ่งทำให้ต้องเหลียวหลังกลับมามองด้วยความทึ่งมากขึ้น

*ภานุพงษ์ ลาภเสถียร* หรือ "ปาว" นักศึกษาปี 2 คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต อาสาสมัครหน่วยแพทย์กู้ชีวิต เจ้าของรถจักรยานที่ออกวิ่งปฐมพยาบาลคนเจ็บทุกวัน บอกเล่าถึงแรงจูงใจจนมาเป็นจักรยานกู้ชีวิตว่า

ขณะเรียนอยู่ ม.6 โรงเรียนจิตรลดา เมื่อราว พ.ศ.2545 เกิดความคิดว่างานอาสาสมัครหน่วยแพทย์กู้ชีวิตน่าตื่นเต้น ท้าทาย จึงเข้าไปสมัคร อบรมทฤษฎีกับทางโรงพยาบาลวชิระวันหนึ่งก่อน จากนั้นออกปฏิบัติงานกับอาสาสมัครรุ่นพี่ ใช้รถเก๋งธรรมดาออกตระเวน มีกระเป๋ายาพกไปด้วย แต่มียาไม่เยอะนัก

พอไปถึงที่เกิดเหตุก็ได้แต่รายงานว่ามีผู้บาดเจ็บกี่คน ทำแผลบ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่ บางครั้งยังถูกบรรดาไทยมุงตำหนิเอาว่าเปิดไซเรนเสียงดังหนวกหู มาถึงก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต เลยคิดว่าที่ไทยมุงพูดก็มีส่วนจริง

"เริ่มคิดว่าชีวิตคนสำคัญมากกว่าความท้าทาย แล้วยิ่งใช้รถเก๋ง ยิ่งเปลืองน้ำมัน เพราะเราต้องตระเวนดูอุบัติเหตุ คืนหนึ่งค่าน้ำมันก็หลายร้อยบาทแล้ว เดินทางก็ไม่สะดวก เจอรถติดเข้าไปทีขยับแทบไม่ได้ ไปถึงที่เกิดเหตุก็ช้า ใช้รถเก๋งได้ประมาณ 6 เดือน ก็เอารถจักรยานที่มีมาดัดแปลง ติดตั้งอุปกรณ์ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานให้มากขึ้น ไปไหนมาไหนก็สะดวก ลัดเลาะซอกแซกไปได้ทุกที่ ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ถึงตอนนี้ใช้จักรยานมาปีกว่าแล้ว" ภานุพงษ์เล่า

เพื่อให้สมกับเป็นจักรยานที่ออกวิ่งตระเวนคอยช่วยเหลือผู้บาดเจ็บรายทาง ภานุพงษ์จึงลงทุนไปกับจักรยานกู้ชีวิตกว่า 3 หมื่นบาท หมดไปกับอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ใช้บ่อย เช่น ถุงมือ ผ้าก๊อซ สำลี แอลกอฮอล์ แอมโมเนีย ยาแดง พลาสเตอร์ปิดแผล ผ้าพันแผล ไซริง(syringe) ทั้งยังมีหูฟังชีพจร เครื่องช่วยหายใจ ที่ดามนิ้ว เฝือกคอ เฝือกแขน เฝือกขา ไว้ใช้กับผู้บาดเจ็บในกรณีที่กระดูกคอเคลื่อน แขนเดาะ ขาหัก อีกด้วย

"ที่ดามนิ้ว เฝือกแขน และเฝือกขา จะเอาไม้มาประกอบต่อเอง เพราะถ้าไปซื้อสำเร็จรูปจะพกไม่ได้ เกะกะ ก็เลื่อยไม้ให้เป็นท่อนเชื่อมต่อด้วยข้อพับ ทำแบบนี้สะดวกกว่าซื้อ เพราะเราพับเก็บเองได้ ประหยัดพื้นที่ และประหยัดเงินด้วย ราคาประมาณ 300-400 บาทเท่านั้น" ภานุพงษ์อธิบายพร้อมหยิบเฝือกออกมาโชว์

หรือจะเป็นยาสามัญประจำบ้านครบครัน ที่เมื่อเปิดกล่องพลาสติกซึ่งใช้เป็นกระเป๋ายาดู ก็พบกับยาเม็ด ยาน้ำ และยานวดหลายขนาน บรรเทารักษาอาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาแก้อักเสบ ปวดหัว ตัวร้อน ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อ ฟกช้ำดำเขียว เมารถ ท้องเสีย ฯลฯ เรียงรายอัดแน่นอยู่เต็มกระเป๋า

ที่เหลือก็หมดเงินไปกับการติดตั้งสัญญาณไฟและไซเรน ใช้เปิดขอทางเมื่อปั่นจักรยานไปยังที่เกิดเหตุ และหมดไปกับการปรับปรุงรถจักรยาน ซ่อมแซมล้อและยาง เพราะรถต้องแบกรับน้ำหนักถึงราว 60 กิโลกรัม แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับการออกวิ่งตระเวนแต่อย่างใด

เมื่อตระเตรียมตรวจตราความเรียบร้อยของกระเป๋ายา อุปกรณ์ต่างๆ และสภาพรถเรียบร้อยแล้ว ทั้งคน ทั้งจักรยาน แถมด้วยความมุ่งมั่น ก็พร้อมออกปฏิบัติภารกิจในยามค่ำคืน ร่วมกับบรรดาอาสาสมัครคนอื่นที่ยอมสละเวลาส่วนตัวมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคมส่วนรวม ประจำจุด 42 พื้นที่ สน.ชนะสงคราม มีจุดรวมตัวข้างแม่พระธรณีบีบมวยผม แต่หากวันไหนฟ้าฝนไม่เป็นใจ ก็โยกย้ายจุดนัดพบไปที่ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ข้างวิทยาลัยนาฏศิลป์แทน

ส่วนสาเหตุที่ออกปฏิบัติงานในเวลากลางคืน เพราะเป็นเวลาที่อาสาสมัครทุกคนเลิกงาน และหากเกิดอุบัติเหตุตอนกลางคืนแล้ว คนจะเห็นน้อยเนื่องจากความมืด จึงตกลงใจมาเป็นอาสาสมัครช่วยชีวิตผู้คนในช่วงเวลานี้

"เวลาทำงานของผมก็ประมาณ 4 ทุ่มไปจนถึงตี 5 ถ้าเป็นวันเสาร์จะอยู่ยาวถึง 10 โมงเช้า ส่วนอาสาสมัครคนอื่นหลังเลิกงานแล้วก็มาประจำจุด ออกตระเวนตั้งแต่ 1 ทุ่มจนถึงสายๆ คืนหนึ่งมากัน 10 กว่าคน แต่ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะมากันเยอะกว่านี้" ภานุพงษ์บอกถึงเวลาทำงาน

ด้านเส้นทางก็แยกย้ายกันออกตระเวน บางคนขี่รถจักรยานยนต์ตรวจตราอุบัติเหตุแถวจรัญสนิทวงศ์ พระราม 7 พระราม 8

ส่วนภานุพงษ์จะปั่นจักรยานไปตามถนนพระอาทิตย์ ถนนข้าวสาร บางลำพู ย่านสิบสามห้าง พระราม 8 ถนนราชดำเนิน และสนามหลวงคืนละหลายรอบ

ทั้งยังมีแวะเข้าตามตรอกออกตามซอกซอยเล็กๆ แถบนั้น ที่รถสี่ล้อเข้าไม่ถึงด้วย เผื่อเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่สบายกะทันหัน จะได้ช่วยปฐมพยาบาลให้ยาบรรเทาได้ทัน

สำหรับสถานที่ที่เกิดเหตุบ่อยคือสนามหลวง จะตีกันเยอะ หัวแตก เลือดอาบ ใช้อาวุธฟันแทงกันก็มี ส่วนใหญ่เป็นคนเร่ร่อนอาศัยนอนที่สนามหลวง หรือคนเมาจากที่อื่น พอเห็นท่าไม่ดีก็แจ้งตำรวจให้มาระงับเหตุ เสร็จแล้วค่อยเข้าไปทำแผล นอกจากนี้ก็มีแยกคอกวัวและแยกผ่านฟ้า ซึ่งจะเกิดอุบัติเหตุรถชนกันเป็นส่วนใหญ่

ระหว่างที่ออกตระเวน หากมีวิทยุแจ้งเข้ามาว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น อาสาสมัครที่ขี่รถจักรยานยนต์ รวมถึงรถจักรยานของภานุพงษ์ ก็ต้องรีบไปยังที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด เพื่อตรวจสอบว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากเกิดจริงแล้วผู้บาดเจ็บมีอาการหนัก ก็แจ้งให้รถกระบะหรือรถพยาบาลรับไปส่งโรงพยาบาล เพราะถ้าให้รถใหญ่ออกตระเวนคงเปลืองน้ำมันไม่น้อย

"ถ้าไปแล้วพบว่าเกิดเหตุจริงๆ อาการไม่หนัก ผมก็ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปก่อน บางคนเลือดออกเล็กน้อย ก็ล้างแผล ใส่ยาแดง ปิดพลาสเตอร์ นวดให้หายปวด

หรือหากเกิดเหตุรถชน อาการมากกว่านี้ เช่น กระดูกคอเคลื่อน ก็ใส่เฝือกคอ แขนหัก ขาหัก ก็เอาเฝือกออกมาดาม บางคนหมดสติ หยุดหายใจ ก็ใช้เครื่องช่วยหายใจพยุงอาการไว้ แล้วแจ้งวิทยุให้รถกระบะหรือรถพยาบาลรับไปส่งโรงพยาบาลรัฐบาลใกล้ๆ อย่างศิริราช วชิระ หรือโรงพยาบาลกลาง เพราะเราไม่รู้ว่าคนเจ็บมีเงินหรือไม่ เลยเลือกส่งโรงพยาบาลรัฐ" ภานุพงษ์เล่า

ทั้งยังบอกต่อด้วยว่า ตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนถึงขณะนี้ เห็นผู้บาดเจ็บตั้งแต่ขั้นไม่เป็นอะไรมาก แค่ถลอกปอกเปิด ไปจนถึงขั้นอาการหนัก ช็อก หยุดหายใจ เลือดท่วม เกือบตายต่อหน้าต่อตาก็มี แต่ต้องควบคุมสติไว้ ปฐมพยาบาลเท่าที่จะทำได้ ยื้อชีวิตไว้ก่อน

ที่ผ่านมามีโอกาสช่วยเหลือคนเจ็บไปได้หลายร้อยคนแล้ว บางครั้งมีคนจอดรถลงมาทักทาย บอกว่าเคยช่วยเหลือมาก่อน แม้ภานุพงษ์จะจำไม่ได้ แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้งเมื่อมีคนนึกถึง

เห็นเป็นรถจักรยานธรรมดา อาศัยเพียงแค่ 2 ขาปั่น หลายคนจึงสงสัยถึงความเร็วของรถว่าจะถึงที่เกิดเหตุได้ทันรถใหญ่หรือไม่ เจ้าตัวบอกว่าไม่มีปัญหา แถมยังถึงที่เกิดเหตุเร็วกว่ารถพยาบาล หรือรถฉุกเฉินของหน่วยงานอื่นอยู่เสมอด้วย

"ผมขี่จักรยานไม่เร็ว ประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บางทีเกิดเหตุแต่รถพยาบาลหรือรถฉุกเฉินยังติดไฟแดงอยู่ ก็ซอกแซกลัดเลาะไปเรื่อยๆ ถึงที่เกิดเหตุได้เร็วกว่าค่อนข้างบ่อย ก็ช่วยปฐมพยาบาลไปก่อน แต่ถ้าพื้นที่กว้างจะถึงที่เกิดเหตุช้าลง จึงกำหนดไว้ว่าถ้าจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากจุดที่อยู่ตอนนั้นมากกว่า 5 กิโลเมตร ก็ไม่ไป เพราะส่วนใหญ่ใช้เวลาปั่น 5 กิโลเมตรไม่เกิน 7 นาทีก็ถึง" ภานุพงษ์พูดถึงข้อได้เปรียบของรถจักรยาน

ส่วนใครที่เป็นห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุแล้วต้องมาปฐมพยาบาลตัวเองนั้น ภานุพงษ์รับประกันให้คลายความกังวลว่า ตั้งแต่ขี่รถจักรยานกู้ชีวิตคู่ใจคันนี้มาปีกว่า ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลยสักครั้ง มีเพียงถูกเฉี่ยวเล็กน้อยเนื่องจากส่วนท้ายของรถกว้าง แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก

ออกตระเวนช่วยเหลือผู้บาดเจ็บยามค่ำคืนจนถึงเช้าตรู่ของทุกวันทั้งที่มีเรียนตอนเช้า แต่ภานุพงษ์ก็ไม่เหนื่อย กลับมองว่าเป็น "งานอดิเรก" อย่างหนึ่ง ทำแล้วมีความสุข ทั้งยังมีเวลาอ่านหนังสือทบทวนเตรียมสอบ และเวลาพักผ่อนอีกด้วย

"ช่วงที่ไม่มีใครแจ้งอุบัติเหตุเข้ามา ก็ไปหาที่มีแสงสว่างอย่างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา นั่งทำการบ้าน ทำรายงาน อ่านหนังสือ ง่วงก็นอน ไม่คิดว่าการเป็นอาสาสมัครทำให้เสียการเรียนอะไร เพราะแค่เปลี่ยนสถานที่อ่านหนังสือจากห้องพักมาเป็นข้างนอกเท่านั้น เช้าก็แวะเข้าหอ อาบน้ำ ขี่รถจักรยานไปเรียน อยู่แถวนี้เหมือนอยู่บ้านไปแล้ว" ภานุพงษ์พูดยิ้มๆ

ดูท่าจะไม่มีอุปสรรคอย่างนี้ แต่แท้จริงต้องพบปัญหาเหมือนกัน อย่างบางครั้งกำลังปฐมพยาบาลคนเจ็บ ก็มีมือดีฉกยาไปเกือบหมด หรือบางคนท่าทางไม่เป็นอะไร แต่มาขอยาไปใช้ฟรี บอกว่าเป็นอาสาสมัครเดี๋ยวเบิกยาที่โรงพยาบาลใหม่ก็ได้ ต้องชี้แจงไปว่าเป็นอาสาสมัครก็จริง แต่ไม่ได้ค่าตอบแทน ทุกอย่างต้องควักเงินตัวเองทั้งหมด

"ของทุกอย่างเบิกจากโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะอาสาสมัครเยอะมาก หากให้ทุกคนเบิกได้ แต่บางคนไม่ได้ลงพื้นที่ก็จะเกิดปัญหา จึงต้องจ่ายค่าอุปกรณ์ ค่ายาเองทั้งหมด แบ่งเงินค่าขนมมาใช้ เดือนหนึ่งหมดไปประมาณ 2 พันกว่าบาท ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์และยาที่ใช้สิ้นเปลืองเช่น ถุงมือ สำลี ผ้าก๊อซ ยาแดง ยาแก้ปวดหัว แล้วยิ่งออกพื้นที่ทุกวัน ยาโดนความร้อน ก็ต้องเปลี่ยนทุก 3 เดือน ซื้อยาทีหนึ่งบิลยาวเหยียด" ภานุพงษ์เล่าถึงปัญหา แต่ก็ไม่ท้อ ยังเต็มใจทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครต่อ

"คิดจะทำอาสาสมัครช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมไปให้นานที่สุด วันไหนไม่ได้ทำรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง"

*ภานุพงษ์ทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ ก่อนขอตัวออกตระเวนปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมต่อไป*

--------------------------------------------------------------------------------
มติชน วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9656

คัดสำเนามาจาก http://www.carefor.org/th/content/view/524/56/






LINKอื่นๆ
http://www.thaimtb.com/cgi-bin/viewkatoo.pl?id=70452
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99_%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_10

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1

มีน้ำใจจริง สมควรแก่การให้รางวัล นี่แหละคนดีที่โลกรอ

ความคิดเห็นที่ 2
คนดีๆ สังคมมักไม่เข้าใจ มองเอาแต่ได้อย่างเดียว
ถ้าสังคมไม่มีคนดีๆอย่างนี้ สังคมจะอยู่ได้อย่างไร
รางวัลเยาวชนแห่งชาติ เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเขามากๆ
และมูลนิธิต่างๆน่าจะชักชวนไปทำงานร่วมด้วย
เพื่อสนับสนุนคนดีให้ทำความดีต่อไป สังคมจะได้น่าอยู่มีน้ำใจต่อกันมากขึ้น
ความคิดเห็นที่ 3
คนดีมากๆๆๆๆ
ความคิดเห็นที่ 4
ชื่อเหมือนเราเลย
if-ef
if-ef 19 มิ.ย. 53 / 13:14

พี่ปาวตัวจิงน่ารักมากค่ะ

ความคิดเห็นที่ 6
พี่ปาวเก่งมากๆๆ

ทำความพูมใจมาให้ชาว ลาภเสถียร
ความคิดเห็นที่ 7
ดูจากรายการบัลลังก์คนดี

นับถือน้ำใจ สุดยอดมาก
ความคิดเห็นที่ 8
ผมรู้จักรพ่อของพี่ปาว
เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
และเป็นครุประจำชั้นของนักเรียน ม. 2/8
16/2/54
pdnf
pdnf 7 มี.ค. 54 / 17:25
ชอบมากกก ค่ะ :))
ความคิดเห็นที่ 10
พี่ปาวสู้ๆนะคะ คนกาฬสินธุ์เหมือนกัน
ความคิดเห็นที่ 11
ทำด้วยใจ สุดท้ายเหลือแต่ความดี สู้ต่อไป
ความคิดเห็นที่ 12
ปาวน่ารัก
ความคิดเห็นที่ 13
อยากเหมือนพี่ภาณุพงษ์ ที่ทำงานรับใช้ ใกล้เบื้องพระยุคล
ความคิดเห็นที่ 14
คนแบบนี้หายาก ดีจริงๆเพราะต้อง กินต้องใช้นะ อย่าลืมคิดถึงตัวเองด้วยละค่ะ อย่าช่วยคนอื่นจนตัวเราต้องลำบาก และก็อยากให้มีงบประมาณสนับสนุน บ้าง ปาวจะได้ไม่เดือดร้อนเงินตัวเองอีก
ความคิดเห็นที่ 15
0894966669 ปาวครับขอบคุณทุกคนครับไม่ว่างมาดูวันนี้ว่างครับ ว่างๆมาหากันได้นะครับจะพานั่งรถเล่นนะครับ
ความคิดเห็นที่ 16
เพิ่งได้มีโอกาสรู้จักว่าคุณปาวได้ช่วยเหลือคนมากมายยังไง ดีใจนะคะที่มีคนดีๆ ที่นึกถึงผู้อื่นอย่างคุณปาวในสังคม
ความคิดเห็นที่ 17
ผมพอจะได้รับทราบมาเมื่อหลายปีที่แล้ว
ยังนับถือความดีและน้ำใจที่มีต่อเพื่อนมนุษย์
ท่านเป็นคนดีแบบที่สังคมต้องการมาก
เพราะทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่มีแต่เรื่องของ
"ตัวเอง" กันเสียมาก
ท่านเป็นคนดี บุญบารมีจะส่งเสริมท่าน
ให้มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ขอร่วมเทอดทูนความดีของท่านด้วย
นะครับ
scify2020@hotmail.com
ความคิดเห็นที่ 18
มีน้ำใจมากๆค่ะ ขอให้พี่ปาวสู้ต่อไปนะค่ะ
เปาครับ
เปาครับ 24 มี.ค. 58 / 16:34
พี่ปาวครับผมชอบพี่มากๆครับผมอยากเป็นแบบพี่จัง แต่ผมไม่รู็ว่าพี่อยู่ไหนถ้าผมรู้ว่าพี่อยู่ไหนผมจะได้ไปหาถูก