pongchanok1
ดู Blog ทั้งหมด

ความแตกต่างของวิธีการขูดรีดต่างแดนของสเปน โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 - 17

เขียนโดย pongchanok1
สเปนมีวิธีการขูดรีดจากดินแดนที่ตนเองบุกเบิกคือการกดขี่คนพื้นเมืองผ่านการสร้างอาณานิคมแบบสังคมปิด กล่าวคือสเปนปกครองอาณานิคมละตินอเมริกาโดยกดขี่ให้คนพื้นเมืองในละตินอเมริกาเป็นชนชั้นล่างสุดทางสังคม
สิ่งที่สเปนสนใจมากที่สุดคือแร่
เงินและทองจากเหมืองในเม็กซิโกและเปรูโดยใช้แรงงานคนพื้นเมืองในละตินอเมริกา และต่อมาทาสจากแอฟริการะหว่างปี 1500 และ 1600 ประมาณ 1.5 แสนกิโลกรัมของทองและ 7.4 ล้านกิโลกรัมของเงินมาถึงสเปนจากอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เมืองแร่เงินและทองในละตินอเมริ
กาเป็นแร่ดิบที่มีการปนเปื้อนของโลหะอื่นอยู่มากทำให้ไม่สามารถใช้กรรมวิธีที่การถลุงแร่ที่ใช้ในยุโรปได้จึงต้องใช้วิธีใหม่ ปัญหาคือวิธีการถลุงแบบใหม่นี้จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมากในการถลุงแร่เพียงแค่ไม่กี่กิโลกรัม ดังนั้นเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต ราชสำนักสเปนจึงให้นำการเกณฑ์แรงงานชาวพื้นเมืองมาใช้กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในละตินอเมริกา (ซึ่งรวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างอื่นด้วยไม่ได้จำกัดเพียงแค่เหมืองแร่เท่านั้น) กล่าวคือชาวสเปนขูดรีดดินแดนที่ตนเองบุกเบิกผ่านการทำเหมืองแร่ที่ต้องใช้แรงงานคนพื้นเมืองจำนวนมากผ่านการเกณฑ์แรงงานเพื่อลดต้นทุนการผลิตด้วยการใช้แรงงานหนักโดยไม่จ่ายค่าจ้างแรงงาน
โปรตุเกสมีวิธีการขูดรีดที่
แตกต่างกับสเปน เนื่องจากดินแดนที่โปรตุเกสยึดครอง ยกเว้นมะละกา เช่น บราซิล เป็นต้น ล้วนเป็นดินแดนที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่โปรตุเกสสนใจ แตกต่างจากอาณานิคมของสเปนที่อุดมไปด้วยแร่โลหะมีค่า นอกจากนี้บราซิลไม่มีแหล่งอารยธรรมขนาดใหญ่และมีประชากรเบาบางมากทำให้โปรตุเกสมองว่าไม่คุ้มที่จะหาแรงงานฟรี (แรงงานที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง) ทำให้ในช่วงแรกโปรตุเกสไม่ให้ความสนใจกับอาณานิคม จนกระทั่งโปรตุเกสสามารถจับทาสแอฟริกาและผูกขาดการค้าทาสแอฟริกาได้ ประกอบกับราคาน้ำตาลในยุโรปปรับตัวสูงขึ้นทำให้โปรตุเกสหันมาสนใจบราซิลในฐานะพื้นที่เพาะปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาลขนาดใหญ่ กล่าวคือ โปรตุเกสขูดรีดดินแดนที่ตนเองบุกเบิกผ่านการทำพื้นที่เพาะปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาลขนาดใหญ่ โดยการใช้แรงงานทาสแอฟริกา
เนเธอร์แลนด์มีวิธีการขูดรีดที่
แตกต่างทั้งจากของสเปน และโปรตุเกส กล่าวคือ ในศตวรรษที่ 16 เนเธอร์แลนด์ประกาศเอกราชจากสเปนได้สำเร็จแต่ไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศทำให้ชาติอื่นๆ ในยุโรปเพ่งเล่งที่จะผนวกเนเธอร์แลนด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง นอกจากนี้การแพ้ยุทธนาวีอาร์มาดาสของสเปน (รวมถึงโปรตุเกสที่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสเปนในเวลานั้น) ในปีค.ศ. 1588 ทำให้บทบาทการเป็นมหาอำนาจทางทะเลของสเปนและโปรตุเกสสิ้นสุดลง โดยคู่สงครามของสเปนและโปรตุเกสคืออังกฤษและเนเธอร์แลนด์ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางทะเลแทน โดยอังกฤษครอบครองเส้นทางเดินเรือไประหว่างทวีปอเมริกาบางส่วนแทนสเปน และเนเธอร์แลนด์ครอบครองเส้นทางการค้ากับตะวันออกไกลแทนโปรตุเกสรวมถึงเป็นผู้ผูกขาดการค้าทาสแทนโปรตุเกส กล่าวคือดินแดนที่เนเธอร์แลนด์ได้ครอบครองในศตวรรษที่ 16 นั้นส่วนใหญ่ได้รับการบุกเบิกโดยโปรตุเกสอยู่ก่อนแล้ว (การยึดมะละกาจากโปรตุเกส) ประกอบกับการไม่ได้ยอมรับให้เนเธอร์แลนด์มีสถานะเป็นประเทศทำให้เสี่ยงต่อการถูกประเทศเพื่อนบ้านผนวกทำให้เนเธอร์แลนด์มีต้นทุนสูงในการส่งกองทัพปกป้องอาณานิคมโพ้นทะเล ทำให้การยึดอาณานิคมไม่สร้างผลกำไรให้แก่เนเธอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม เนเธอร์แลนด์แสวงหาผลกำไรจากตะวันออกไกล โดยการเข้าไปตั้งสถานีการค้าตามชายฝั่งอันเป้นที่ตั้งของแหล่งผลิตสินค้านั้นๆ เช่น การตั้งสถานีการค้าของบริษัท VOC ที่นะงะซะกิ หรือที่กรุงศรีอยุธยา เป็นต้น โดยสถานีการค้าเหล่านี้ใช้สนธิสัญญาผูกขาดการค้ากับดินแดนที่ไปตั้งสถานีการค้าทำให้เนเธอร์แลนด์สามารถเอาเปรียบดินแดนนั้นได้ผ่านการซื้อสินค้าโพ้นทะเลในราคาถูก
ดังนั้นสเปนใช้การขูดรีดดิ
นแดนผ่านการเกณฑ์แรงงานคนพื้นเมืองเพื่อลดต้นทุนการผลิตและส่งออกแร่เงินและทองคำโดยไม่จ่ายค่าจ้างแรงงาน ส่วนโปรตุเกสใช้การขูดรีดดินแดนผ่านการล่าทาสในแอฟริกาเพื่อมาผลิตน้ำตาลในบราซิล และเนเธอร์แลนด์ใช้การขูดรีดดินแดนผ่านการตั้งสถานีการค้าเพื่อการค้าแบบผูกขาดที่เนเธอร์แลนด์สามารถเอาเปรียบคู่ค้าได้

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น