คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : Chapter 21 :: มีสิทธิ์ซวย?
Chapter 21 :: มีสิทธิ์ซวย?
4.Talk
“อืม…”เสียงครางหวานมาพร้อมกับแรงสั่นน้อยๆจากอะไรบางอย่างในอ้อมกอด มันขยับขยุกขยิกแล้วเอาอะไรกลมๆมาซุกอยู่ที่หน้าอกของผม แถมยังรัดร่างของผมแน่นอีกต่างหาก ด้วยความรำคาญผมก็เลยต้องลืมตาขึ้นมาเพื่อดูว่าเจ้าสิ่งที่รบกวนการนอนของผมนั้นคืออะไร ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาแสงอ่อนๆที่ลอดผ่านม่านก็ส่องเข้าตา มองนาฬิกาก็พบว่ามันเป็นเวลาเจ็ดโมงนิดๆแล้ว แต่เมื่อก้มหน้าลงมามองดูสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดผมก็ต้องค้างเติ่งเพราะใบหน้าอ่อนใสกำลังซุกอยู่ที่แผ่นอก เรียวแขนเล็กกอดเอวผมไว้แน่น ดวงตาหลับพริ้ม ขนตาเป็นแพยาวสวย ริมฝีปากเล็กสีซีดและแก้มป่องๆของคนที่ผมเพิ่งจะมีอะไรด้วยเมื่อคืนนี้…
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พิจารณาใบหน้าของเขานับตั้งแต่จับเซนมาได้เกือบเดือน ว่าตอนที่จับมาใหม่ๆผอมแล้วนะ แต่ตอนนี้หมอนี่ผอมกว่าเมื่อก่อนมากจนเห็นกระดูกไหปลาร้าได้แบบชัดเจน ร่างบางๆขยับเล็กน้อยแต่ยังไม่ลืมตาขึ้นมามองดูผม คงเหนื่อย…ก็เมื่อคืนผมซัดไปหลายยกเลยนี่นา
พูดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้ว… เหมือนจะมีอะไรที่แปลกไป ทั้งตัวเขาและตัวผมเอง.. ทั้งที่ตั้งใจว่าจะทำด้วยความรุนแรง แต่พอเห็นน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้าของหมอนี่แล้วผมก็ทำไม่ลง ได้แต่บอกเขาว่าอย่าเกร็งเพราะกลัวเขาจะเจ็บ ทั้งที่คิดว่าเซนคงขัดขืนสุดกำลังแต่ผิดคาดเมื่อเขายอมอ่อนโอนตามผมอย่างง่ายดาย
อีกอย่างที่ปกติไป … คือ ‘หัวใจ’
“อื้อ~”เซนรวบเอวผมไว้แน่นทันทีที่ผมจะลุกจากเตียง ผมจำเป็นต้องนอนลงอยู่ในท่าเดิมหากแต่ดวงตากลับเอาแต่มองใบหน้าเนียนใสยามหลับใหลนั่น ร่างบอบบางมีเพียงผ้าห่มผืนบางที่ช่วยบดบังร่างกายเปลือยเปล่าของเขาให้พ้นจากสายตาของผม เช่นเดียวกับร่างของผมที่ถูกปิดทับด้วยผ้าห่มผืนเดียวกับเซน ผมสีดำของเขาตกลงมาปรกพวงแก้มขาวๆนั่นจนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปปัดมันออกเพื่อให้เห็นหน้าร่างบางนี่ชัดๆ
สิ่งที่เพิ่มเข้ามา…คือเสียงตึกตักของสิ่งมีชีวิตในอกด้านซ้ายที่มันไม่เคยเต้นดังขนาดนี้
5.Talk
“อือ..”ผมพึมพัมๆกับตัวเองขณะที่สองมือก็กอดไอ้สิ่งที่คิดว่าเป็นหมอนข้างแน่นพร้อมกับซุกใบหน้าลงไปกับมัน ความอบอุ่นแปลกๆไม่ได้เป็นที่สนใจของผมเพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองโคตรจะเหนื่อยเหมือนเพิ่งผ่านมาจากสงครามโลกครั้งที่ห้า เจ็บระบมไปทั้งตัว และสิ่งที่ต้องการก็คือนอน!
“อื้อ…”ผมร้องอื้อในลำคอแขนก็คว้าเอาหมอนข้างที่ทำเหมือนจะขยับห่างออกจากตัวมากอดไว้แน่น มันสบายจะตายนี่นา อุ่นมากแถมยังใหญ่อีกต่างหาก
รู้สึกได้ถึงปลายผมหยาบๆที่แทงแก้มแต่ผมขี้เกียจจะยกมือขึ้นปัดมัน เดี๋ยวหลับๆไปก็ไม่รู้สึกเองแหละ แต่หมอนข้างของผมเหมือนกำลังหายใจเลยแฮะ กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงอย่างกับเป็นอกของคนยังไงยังงั้น
ลมร้อนเป่าวืดใส่ใบหน้าของผมเบาๆ …นี่หมอนข้างมันหายใจรดหน้าผมงั้นเหรอ?
ชักบ้าไปใหญ่แล้ว สงสัยผมง่วงมากจนประสาทหลอน
…นอนไปได้อีกไม่นานก็มีอะไรสากๆมาแตะที่แก้มของผมตามด้วยความรู้สึกระคายที่บริเวณแก้มหายไป ถ้าผมไม่โง่จนเกินไป…ผมคิดว่าไอ้สิ่งสากๆเมื่อกี้น่ะมันคือมนุษย์!!!
ฟึบ!
“เฮ้ย! ..คะ คุณ!?”ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเพราะดันมีมือของใครก็ไม่รู้มายุ่งกับกับแก้มผม! เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังใช้สายตาคมจ้องมองผมอยู่ …มันไม่ใช่ใครหรอกนอกจากนั่นไอ้คุณหัวหน้ามาเฟียน่ะ! เขายิ้มจางๆที่มุมปากตาก็เอาแต่มองผมที่รีบชักมือออกมาจากเอวของเขา ..หวา ! ผมกอดเอวเขาอะ! กอดตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย!?
………
หรือหมอนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นหมอนข้าง !!!???
ทำไมโง่แบบนี้เนี่ยไอ้เซนเอ๊ยยยย!
“ไง หลับสนิท~ เหนื่อยขนาดนั้นเชียว?”น้ำเสียงที่เอ่ยถามนี่วอนเบี้ยงล่างมากเลยเหอะ ยังจะมายิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์นั่นอีก!? โรคจิตจริงๆรึไงเนี่ย
หึ! เขาก็คงโรคจิตจริงๆนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนเขาจะ…
เมื่อคืน!?
เมื่อคืนเขา ปะ…ปะ ปล้ำ…เขาปล้ำผมนี่นา!!!
ผัวะ!
“ไปไกลๆเลยไอ้โรคจิต”เมื่อคิดได้ว่าเมื่อคืนเขาทำอะไรไว้กับผม ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อมือของผมก็ออกแรงผลักให้ร่างสูงถอยห่างออกจากตัวผมทันที แต่มันไม่ง่ายนักเพราะเก่งกลับกอดผมไว้แน่น เนื้อแนบเนื้อภายใต้ผ้าห่มผืนเดียว
เนื้อแนบเนื้อ!? … เฮือก! ผมกับเขาไม่ได้ใส่อะไรเลยนี่หว่า!!!
“ปล่อยผมนะ!”ผมดิ้นอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงของเขา เก่งรัดตัวของผมไว้แน่นจนผมไม่อาจสู้แรงของหมอนี่ไหว จนสุดท้ายก็ต้องค่อยๆหยุดดิ้นไปซะเอง ถึกชะมัด! ผมขัดขืนจนเหนื่อยแต่ไอ้บ้านี่กลับเอาแต่ยิ้มที่มุมปาก
สนุกสนักรึไง!?
“จะขัดขืนทำไมเล่า เมื่อคืนนายยังยอมฉันอยู่เลยแท้ๆ”คำพูดของเขาทำให้ผมชะงักนิ่งพร้อมกับความรู้สึกร้อนผาวที่ใบหน้าและอาการผิดปกติของหัวใจ มันเต้นตึกตักๆจนผมเองยังรับรู้ได้ถึงแรงที่สั่นรัว ตามหน้าวูบวาบเหมือนกำลังเขินอะไรสักอย่าง …
ถ้าจะบอกว่าเขินมันก็คงได้นะ เพราะผม…ผม …
ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อคืนนี้เก่งอ่อนโยนกับผมจนผมเคลิ้มตามจริงๆ
“อายรึไง? หน้าแดงเชียว”เขาเอ่ยพร้อมกับยกตัวผมขึ้นไปนอนอยู่บนตัวเขาโดยที่ผมหันหน้าขึ้นมองเพดาน เรียวแขนของเก่งโอบเอวผมไว้แน่น ลมหายใจร้อยๆรดอยู่ที่ต้นคอ สภาพตอนนี้พวกเราอยู่ในท่าล่อแหลมมากครับ!
“ว้า~ อยากอยู่กับนายต่ออีกสักหน่อยแต่ฉันมีงานน่ะสิ”เสียงบ่นเบาๆอยู่ที่ข้างหูของผม น่าแปลกเนอะที่ผมยอมนอนให้เขากอดโดยไม่ขัด คงเป็นเพราะอ้อมกอดที่อบอุ่นนี่ทำให้ผมไม่อยากที่จะเคลื่อนตัวหนีไปไหนล่ะมั้ง …
“อึ้ม! ฉันไปอาบน้ำดีกว่า”เอาผลักผมให้ลุกขึ้นมานั่งๆข้างตัวเองก่อนร่างสูงจะเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งที่ไม่มีอะไรสวมใส่อยู่อย่างรวดเร็ว ผมที่นั่งเอาผ้าห่มคลุมตัวอยู่บนเตียงได้แต่มองประตูห้องน้ำนั่นด้วยอาการเหม่อลอยและรู้สึกสับสนในตัวเอง …ผมแค่ไม่เข้าใจว่า ทำไมมันต้องเต้นรัวขนาดนี้นะ ..หัวใจ
ผมแค่สงสัยว่า…ทำไมเขาถึงอ่อนโยนกับผมทั้งที่เขาก็เป็นคนที่ทำร้ายผมเสมอมา
ผมแต่สับสนว่า…ทำไมผมต้องอ่อนโอนตามเขา ทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าจะตายด้านให้เขารังแก
คำถามเหล่านั้น ใครกันที่จะให้คำตอบผมได้ ?
“นี่… เหม่ออะไร”นั่งคิดหาคำตอบอยู่นานสองนานจู่ๆเตียงก็ยุบลงตามน้ำหนักของร่างสูงที่เดินมานั่งข้างๆผม เขาอยู่ในชุดไปรเวทที่ผมไม่ได้สังเกตว่าไปเปลี่ยนมาตอนไหน ผมซอยสไลต์ของเขามีหยดน้ำเกาะจนมันเลียบไปกับใบหน้า ถ้าให้บรรยายสภาพของเก่งตอนนี้ก็คงไม่พ้นคำว่าหล่อและดูดีหรอก
“เอาล่ะๆ นายไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวบอกให้คนเอาชุดขึ้นมาให้ ส่วนฉันจะไปทำธุระ”
“อ๊ะ!”
“เดี๋ยวกลับมานะครับ”
…. ????? ….
เมื่อกี้มันอะไร?
เขาจูบผมใช่มั้ย?
… เก่งจูบผมแล้วพูดคำว่า ‘ครับ’ …
พระเจ้า! ทำไมหน้าของผมมันร้อนฉ่าอย่างนี้ล่ะ!?
------------------
8.Talk
ผมเดินหอบกระเป๋าสระพายที่มีหนังสือเรียนสองสามเล่นขึ้นมาตามบันไดหนีไฟ …คือหอเขาช่วยลดโลกร้อนโดยการไม่ให้ใช้ลิฟท์จนถึงหกโมงเย็นน่ะ _ _ ผมก็เลยต้องออกแรงเดินบันไดแทน เมื่อวานหลังจากที่ผมหนีพ่อกับแม่พ้นแล้ว พอเรียนเสร็จตอนห้าโมงก็ไปเล่นกับพี่โตโน่แป๊บนึงก่อนที่มีเขาจะมาส่งผมที่หอ ด้อมๆมองๆหน้าห้องตัวอยู่นานกลัวว่าพ่อกับแม่จะมาดักรอแต่ก็ต้องโล่งใจเพราะคืนนั้นไม่มีใครมาเคาะประตูหรือยุ่งอะไรกับห้องของผมและเซน(ที่เมื่อคืนผมอยู่คนเดียว)เลย
และวันนี้~! ผมก็อุตส่าห์แหกตาตื่นตั้งแต่เช้าเมื่อรีบไปที่คณะเพราะกลัวว่าจะจ๊ะเอ๋กับพ่อและแม่ และตอนนี้ผมก็เรียนเสร็จแล้วเรียบร้อย กะจะกลับมาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเทสย่อยพรุ่งนี้สักหน่อย
ก็ผมคงได้อ่านหนังสือน่ะนะถ้าไม่ใช่เพราะ…
“ลูกจะกลับตอนบ่ายสามจริงๆเหรอแม่”เสียงทุ้มที่ผมโคตร โคตร โคตร จะคุ้นชินดังขึ้น เรียกเอาขาสั้นๆสองข้างที่กำลังก้าวเดินหมายจะกลับห้องชะงักค้างแล้วรีบจรลีย่องกลับหาที่ซ้อนหลังกำแพงทันที ร่างสองร่างของคนที่ผมรักมากถึงมากที่สุดกำลังยืนปรึกษาหารือ(หรืออีกนัยนึงคือนินทา)เรื่องผมอยู่หน้าห้องของผมเอง!
ตายล่ะหว่า TOT! พ่อกับแม่กลับมาทำไมเนี่ยยยย!? เมื่อวานอุตส่าห์หนีรอด T^T
“ก็แม่ไปถามเพื่อนมันมาแล้วว่าวันนี้มีเรียนถึงบ่ายสาม ปกติลูกเรามันก็ไม่ใช่คนกินเหล้าเมายาเที่ยวกลางคืนสักหน่อย มันก็คงจะกลับห้องน่ะแหละ”แม่อภิปรายเกี่ยวกับเรื่องของผมให้พ่อที่ยืนตีหน้างงใส่ฟัง ที่จริงผมจะกลับหอมานอนเล่นแหละครับแม่! แต่ผมจะกลายเป็นเด็กเลวเที่ยวกลางคืนก็เพราะพ่อกับแม่มาดักรอผมเนี่ยแหละ!!
ไม่ได้การแล้ว ตอนนี้เวลาบ่ายสามสิบนาที พี่โตโน่มีเรียนถึงเที่ยง ผมต้องโทรให้พี่เขามารับก่อนที่พ่อกับแม่จะตามมาเจอผมแล้วพานั่งจับเข่าคุยเรื่องหมั้นหมายเหม๊าะแหม๊ะอะไรนั่น
[มันไม่ใช่รักในนิยาย คอยเตือนตัวเข้าไว้ให้รับความจริง~ ถ้ามันต้องสิ้นสุดทุกสิ่ง.. แค่อยากให้รู้ที่จริง … ฮัลโหล] อะไรวะ! กำลังฟังเสียงรอสายเพลินๆ พี่โตโน่ไม่น่ารับเร็วเลย -*-
เอ่อ.. ไม่ใช่สิ พี่เค้ารับเร็วก็ดีแล้วต่างหาก = =
“พี่โตโน่ พี่โตโน่มารับริทที่หอหน่อย”ผมกระซิบกับโทรศัพท์เบาๆ หัวก็โผล่ออกไปชะเง้อมองดูพ่อกับแม่จากผนังโซนบันไดหนีไฟ
[นายก็กลับเข้าห้องไปอ่านหนังสือสิไอ้เตี้ย พรุ่งนี้มีเทสย่อยไม่ใช่เหรอ]โธ่~! ห่วงใยเรื่องการเรียนไม่ดูสถานการณ์เลยพี่!
“พ่อกับแม่ดักรอริทอยู่เนี่ย! พี่โตโน่รีบๆมาเลย อีกห้านาทีไม่มาริทงับคอพี่ขาดจริงๆด้วย”
ติ๊ด
ขู่แบบพองามเสร็จสรรพก็กดตัดสายทันที เวลานี้ไม่ใช้เวลามาอ้อนครับ ถ้าพี่โตโน่ไม่รีบมาผมนี่แหละที่จะซวย พอตกลงกับพี่โตโน่เรียบร้อยแล้วผมก็รีบวิ่งลงบันไดหนีไฟมาทะลุที่หลังหอ ปล่อยให้พ่อกับแม่ยืนรอรากงอกอยู่หน้าห้องน่ะแหละ ชีวิตผมสำคัญกว่า! การเรื่องหมั้นหอกเหวอะไรนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ริทคู่ควร~!
ผมด้อมๆมองๆขึ้นไปด้านบนกลัวว่าพ่อกับแม่จะทะลึ่งเดินมายืนรับลมเล่นที่ช่องบันได แต่จ้องได้สักพักก็ไม่มีใครโผล่หัวออกมา ผมก็เลยตัดสินใจเดินไปนั่งรอพี่โตโน่ที่ม้าหินอ่อนใจกลางสวนที่มีต้นไม้ต้นใหญ่เป็นร่มเงาให้อยู่
คิดแล้วก็หงุดหงิด! ทำไมปัญหามันรุมเร้าผมเหมือนเป็นกองขยะที่มีแมลงวันตอมแบบนี้วะเนี่ย!? ไหนจะเรื่องไอ้เพื่อนตัวดีที่ถูกมาเฟียตัวไหนจับไปทำระยำอะไรก็ไม่รู้! ไหนจะเรื่องหมั้นบ้าบอคอแตกที่พ่อกับแม่ที่เคารพรักคิดจะจับผมคลุมถุงชนอีก! สุดท้ายก็เรื่องไอ้พี่โตโน่บ้าที่พักหลังๆชักประสาทหลอน ทำเหมือนว่าชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ค้างคาเว้ยครับค้างคา!!!
“พ่อ! นั่นมันริทนี่หว่า! ลงไปเร็วๆๆๆ มันอยู่ข้างล่าง”นั่งคิดอะไรเพลินๆได้ไม่เหมือนสามนาที เสียงหวีดแหลมของแม่ก็ดังขึ้นมาจากทางด้านบนกบาล ใบหน้าของแม่ก้มมองดูผมจากระเบียงช่องบันได ณ วินาทีไม่ต้องคิดอะไรมาก… โทรหาพี่โตโน่สิครับ TOT! จะให้ผมวิ่งไปไหนเล่าาา
[มันไม่ใช่รักในนิยาย คอยเตื.. โทรจิกจริง! กำลังไปๆ]
“พี่โตโน่ววว! รีบๆเลย เดี๋ยวนี้! มาเดี๋ยวนี้ พ่อกับแม่จะจับริทแล้ว มาเร็วๆสิวะ!! เร็วๆเลย เร็วๆ!!”ผมสั่งออกไปไม่เป็นภาษาเพราะกำลังใจเต้นตุบๆกับพ่อและแม่ที่กำลังวิ่งลงมาทางผม โฮๆๆๆ ห้องนอนนักศึกษาที่อยู่ชั้นสี่ไม่สามารถถ่วงเวลาพ่อกับแม่ได้นานเท่าไหร่หรอกนะคร้าบบบ! ไอ้คุณพี่โตโน่ช่วยรีบๆคลานสี่ขามาเร็วๆได้ม้ายยยยยยยยยยย!
[นายจะยืนบื้ออยู่กำลังเล่า! วิ่งมาที่หน้าหอสิ เร็ว!!!]จบคำนั้นผมก็เก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้วออกตัววิ่งเป็นหนูติดจั่นอ้อมไปทางด้านขวาของขอ วิ่งอย่างรวดเร็วเท่าที่สองขาสั้นๆของผมมันจะสับได้แหละครับ วิ่งมาเรื่อยๆก็โผล่มาที่หน้าหอ พี่โตโน่คร่อมมอไซต์รอผมอยู่แล้ว เห็นแบบนั้นผมไม่สนใจโลกแล้วครับ หอบกระเป๋าสะพายแล้วโดดขึ้นซ้อนหลังพี่โตโน่ทันที ที่แกก็ช่างรู้หน้าที่บิดคันเร่งซะเรียกหายมบาล แต่ตอนนี้ยมบาลหรือยมทูตอะไรผมก็ไม่เกี่ยงแล้วครับ ให้ผมรอดจากพ่อกับแม่ได้เป็นพอ!
“ไอ้ริท!!! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ!!! อย่าให้ฉันจับตัวแกได้นะ แม่จะตีก้นให้เข็ด”คำขู่ของคุณแม่ผู้น่ารักไม่ได้ทำให้ผมคิดจะวกกลับไปเลยครับ ผมเร่งพี่โตโน่ให้ขับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดีไม่ดีพ่ออาจจะบึ่งรถตามพวกเรามาด้วยซ้ำ! จะไปก็ไหนได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องห่างไกลพ่อกับแม่แค่นี้จบ!!!
“พ่อนายขับรถตามมั้ยเนี่ยยย”พี่โตโน่ตะโกนแข่งกับสายลมถาม
“ไม่แล้วล่ะ พี่ขับช้าๆได้แล้ว มันเสียว!”
“เสียวมากขนาดที่ว่านายต้องกอดฉันแน่นขนาดนั้นเลย?”คำพูดของพี่โตโน่ทำให้ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่า… ผมกอดเอวพี่เขาไว้ซะแน่นเลยครับ! ตายห่าT^T กูไม่น่าเผยไต๋เล้ยยย!
“ก็พี่ขับเร็วนี่หว่า เป็นใครใครก็ต้องหาที่ยึดเกาะ ไม่เคยเรียนเรื่องปฏิกิริยาตอบสนองของมนุษย์รึไง ที่เค้าบอกว่าคนเรามักจะ…”
“พอๆ พอเลย ไม่ต้องมาสอนฉันเรื่องพวกนั้น เก็บไว้ในสมองนายน่ะแหละ”พี่โตโน่พูดแทรกขณะที่ผมกำลังสอนเขาเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบสนองของมนุษย์ - - อะไรวะ อุตส่าห์จะเอาความรู้ยัดเข้าหัวให้ ดันปฏิเสธซะอีก เดี๋ยวตีหัวแบะเลย
“แล้วพี่จะพาริทไปไหนอะ”ผมถามเพราะตอนนี้พี่โตโน่พาผมเลี้ยวเข้าทางเปลี่ยว แม้ว่ามันจะเพิ่งบ่ายสามกว่าๆแต่ทางนี้ไม่มีคนผ่านมาเลยแฮะ ผมจะโดนปล้ำรึเปล่าวะเนี่ย? (เขาจะปล้ำแกหรือแกจะปล้ำเขา เอาให้แน่ - -)
“ไปบ้านไอ้กราฟ ไอ้แบงค์กับไอ้ซิงรออยู่นั่นแล้ว”คำตอบของพี่โตโน่ทำให้ผมถึงบางอ้อ รู้แล้วทำไมมันเปลี่ยวๆ = = ทางเข้าบ้านไอ้พี่กราฟนี่เอง
“ไปทำไมอะ”ผมแกล้งถามออกไปทั้งที่รู้ว่าคงไม่พ้นเรื่องไอ้เซน พี่โตโน่เลิกคิ้วส่งให้ทางกระจกข้างแบบกวนทีนๆ - -
“ก็เรื่องเพื่อนนายน่ะสิ ไอ้กราฟมันบอกว่าเพื่อนนายอะ มีสิทธิ์ซวย”
“มีสิทธิ์ซวย???”
“ไปถึงก็ถามมันเองล่ะกัน”
มีสิทธิ์ซวย??? ทำไมพี่โตโน่ไม่ใช้คำให้มันดูดีกว่านี้หน่อยวะ -_____________-
-------------------------
“ก็ไอ้คนที่จับเพื่อนนายไปมันเป็นลูกน้องมาเฟีย พี่ก็เลยถามพ่อดูว่าที่พวกมาเฟียมาจับคนไปเนี่ยมีจุดประสงค์อะไร พ่อเลยบอกว่า…”พี่กราฟกล่าวหลังจากที่ผมเอ่ยถามออกไปว่ามีสิทธิ์ซวยในความหมายของพี่แกคืออะไร พวกเราห้าคนนั่งรวมกันอยู่ในห้องไฮโซๆของพี่กราฟ ห้องที่มันมีเครื่องแสตนลายนิ้วมืออะไรนั่นแหละฮะ
“ว่า?”
“มันสันนิษฐานได้แค่สองสามอย่าง คือหนึ่งจับไปเรียกค่าไถ่ ซึ่งอันนี้ตัดออกไปได้เลยเพราะลูกน้องมาเฟียที่ไม่มีข้อมูลปรากฏอยู่ในเอกสารข้อมูลลับนั้นต้องอยู่ในแก๊งค์ที่มีอิทธิพลและมีเงินพอสมควร มันคงไม่มีเหตุผลอะไรต้องจับเพื่อนนายไปไถเงินชาวบ้านหรอก”ข้อสันนิษฐานข้อที่หนึ่งถูกเฉลยโดยพี่กราฟที่เป็นลูกของตำรวจ ผมนั่งฟังเงียบๆหัวสมองก็คิดตามไปด้วยเช่นเดียวกับพี่โน่ พี่ซิงที่นั่งนิ่งเงียบ และไอ้พี่แบงค์ที่นั่งขมวดคิ้วไปกระดกโค้กไป
เห็นหมอนี่กับกระป๋องโค้กแล้วหงุดหงิดจริงๆ - - +
“ข้อที่สองคือจับไปเพราะความแค้นส่วนตัว แต่เท่าที่ได้ยินนายเล่าให้ฟังว่าเพื่อนนายไม่มีศัตรูที่ไหนข้อนี้ก็เลยถูกตัดออกไปเหมือนกัน”อืม..พี่กราฟอธิบายเป็นเชิงวิชาการดีแฮะ ทำให้ผมเข้าใจได้ไม่ยากเลย
“ข้อสาม อันนี้อาจจะดูบ้าๆบอๆไม่หน่อย แต่มีสิทธิ์เป็นไปได้มากที่สุด…”แล้วพี่แกจะทิ้งช่วงหายใจทำไมนานนักหนาวะ - - รู้บ้างมั้ยเนี่ยว่าคนฟังมันลุ้น!
“อะไรของมึงวะ? เร็วๆอย่าลีลา”พี่ซิงที่นั่งอยู่ด้านขวามือของผมเหมือนจะทนไม่ไหวก็เลยจัดการตบกบาลพี่กราฟไปหนึ่งครั้งพอสะใจแล้วคาดคั้นให้พี่แกบอกมาเร็วๆ ผมจะรักพี่ซิงก็ตอนนี้แหละ = = !
“ห่า! เจ็บนะเว้ย ตบมาได้… เออๆ บอกแล้วๆไม่ต้องเงี้ยมือเตรียมตบกูอีกรอบ! ..ก็คือการจับไปกักตัวไว้เพื่อความสะใจน่ะสิ มากกว่าครึ่งของมาเฟียมักจะมีความคิดที่ว่าอยากได้ก็ต้องได้ ไม่แน่ไอ้มาเฟียนี่อาจจะคิดอยากได้เพื่อนนายก็เลยสั่งให้ลูกน้องมาจับตัวเซนไปก็ได้”ตอนแรกพี่กราฟทำท่าจะด่าไอ้พี่ซิงอีกยาว แต่แค่พี่ซิงเงี้ยมมือขึ้นจะฟาดหัวพี่กราฟอีกรอบพี่แกก็รีบวกกลับเข้าเรื่องเดิมก่อนเจ็บตัวซ้ำสอง และข้อสันนิษฐานข้อที่สามของพี่กราฟก็ทำให้ผมชักจะเครียดจริงๆซะแล้ว ถ้าเกิดไอ้เซนถูกจับไปเพราะจุดประสงค์ข้อนี้จริงๆ…มันก็ซวยบรมโคตรเลยน่ะสิ!
“แต่นายจำที่พี่บอกไปทางโทรศัพท์ได้มั้ย มาเฟียมีทั้งร้ายและดี เขาอาจจะเห็นว่าเพื่อนนายน่ารักดีก็เลยจับไปนั่งดูเป็นอาหารตาเฉยๆก็ได้”คงเป็นเพราะผมทำหน้าเครียดจนพี่กราฟสังเกตได้ พี่แกก็เลยขุดเอาเรื่องที่พวกเราคุยกันทางมือถือเมื่อวันก่อนขึ้นมาปลอบผม ผมกำลังจะรู้สึกดีกับคำปลอบนั่นแล้วนะ ถ้าไม่มีประโยคต่อไปของพี่แบงค์ - -
“แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของหัวหน้ามาเฟียมักจะเป็นพวกซาดิสต์หรือไม่ก็โรคจิต เปอร์เซ็นต์ที่เพื่อนนายจะถูกปล่อยตัวออกมาโดยไร้ซึ่งบาดแผลมีอยู่สิบย์จุดห้าเปอร์เซ็นต์”นั่นแหละครับ! ประโยคตัดกำลังใจอย่างดี!!! ว่าเสร็จก็กระดกเอาไอ้ของเหลวสีดำๆเข้าปากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นานๆจะพูดทีแต่พอพูดนี่รับรู้ได้เลยว่าคนคนนี้ปากไม่เป็นมงคล! ว่างมากรึไงวะมานั่งแช่งคนอื่นเค้าเนี่ย!?
“…ไอ้แบงค์มันก็เดามั่วไปงั้นแหละ นายไม่ต้องคิดมาก เพื่อนนายไม่เป็นไร เชื่อฉัน โอเคมั้ย?”พี่โตโน่หันไปแยกเขี้ยวให้พี่แบงค์หนึ่งครั้งก่อนหันกลับมาลูบหัวผมเบาๆพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใจจริงผมก็อยากจะคิดเหมือนที่พี่เค้าบอกอยู่หรอกนะ แต่ถ้ามันเป็นแบบที่พี่แบงค์กับพี่กราฟว่าจริงๆล่ะ?
“นับนึงหนึ่งสาม ไม่ยิ้มนี่ฉันจิ้มตานายแตกจริงๆนะ”พี่โตโน่ตีแก้มผมเบาๆตามมาด้วยคำขู่ที่ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าพี่เค้าเป็นห่วงผม ผมค่อยๆเผยยิ้มส่งให้เขา ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมาดึงแก้มผมเล่น บนใบหน้าคมมีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏให้ผมเห็น ...แค่นั้นมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงได้แล้วล่ะ
ป้าบ!
“เอามือมึงไปไกลๆน้องริทของกูเลยไอ้ตาตี่”พี่ซิงตบหัวพี่โตโน่ด้วยมือขวาส่วนมือซ้ายของพี่เขานั้นเลื่อนมากอดคอผมพร้อมกับดึงให้เอนลงไปนอนทับตัวพี่เขาแล้วเรียบร้อย
ผมไม่เป็นของเขาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?
“ของมึงตอนไหนไอ้เวร อย่ามั่วเดี๋ยวกูต่อยหมอบ! ไปไกลๆเลยไป”พี่โตโน่ดึงมือผมให้ลุกจากตัวพี่ซิงแล้วส่งสายตาอาฆาตไปให้เพื่อนตัวเองเหมือนจะงับหัวให้ได้ - -;; ผมหัวเราะเบาๆกับสองเพื่อนรักที่กัดกันจะเป็นจะตายได้ทุกวัน พี่กราฟส่ายหัวน้อยๆเหมือนระอากับไอ้สองคนนี้มากมาย พี่แบงค์ก็ยังไม่สนใจสิ่งรอบข้างเอาแต่นอนหลับตากระดกโค้กเข้าปากทำเหมือนตัวเองอยู่ตัวคนเดียวบนโลก
ขอแช่งให้โค้กติดคอมันตาย!
“แล้วพวกเราจะทำยังไงอะพี่กราฟ?”ผมเลิกสนใจเรื่องไร้สาระพวกนั้นแล้วไปถามพี่กราฟ พี่แกมองหน้าผมสักพักก่อนถอนหายใจยาวพรืด
“ไม่รู้สิ พ่อไม่ว่างว่ะ ติดคดีใหญ่ แจ้งตำรวจก็ไม่ได้ จะให้ออกโรงเองก็กะไรอยู่ มืดแปดด้าน”ผลสรุปเล่นเอาผมคอตก พี่โตโน่ตบบ่าผมเบาๆสองสามทีเป็นเชิงให้กำลังใจ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตอนนี้ผมละทิ้งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องหมั้นที่เป็นปัญหาโอ่งแตก เรื่องพี่โตโน่ที่เริ่มเข้าที่เข้าทาง เรื่องเรียนหมอที่ตอนนี้ผมไม่ได้จริงจังกับมันเลย ในหัวมีแต่เรื่องไอ้เซน ไอ้เซน และไอ้เซน ไอ้เพื่อนตัวดีที่ดันเกิดมาน่ารักทำให้พวกมมาเฟียจับมันไปทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
“เอาไว้ทีหลังได้ป่ะ? ตอนนี้อยากไปข้างนอกว่ะ ไปเดินเปิดท้ายกันเหอะ พวกมึงต้องไปด้วย ไม่มีข้อแม้! ลุกแล้วเดินตามกูมาซะดีๆ”จู่ๆพี่โตโน่ก็ลุกพรวดขึ้นแล้วบิดหลังดังกรอบๆ แถมยังหันไปสั่งเพื่อนตัวเองตามด้วยคว้าข้อมือของผมให้เดินตามโดยไม่สนใจเสียงโอดโอยของพี่ซิงกับพี่กราฟเลยสักนิด!
แต่… คนอย่างพี่โตโน่เนี่ยนะจะเดินเปิดท้าย? ปกติบ่นแต่อยากกลับไปนอนที่หอ ไหงวันนี้ชวนไปเดินเปิดท้ายวะ??? หรือเค้ากะจะทำให้ผมหายเครียด? อืม…คงแบบนั้นล่ะมั้ง~!
เอ่อ.. แต่คือว่า … พี่โตโน่ลืมไปรึเปล่าครับว่านี่มันเพิ่งจะสี่โมงเย็น = [] =!!!???
ร้านมันยังตั้งไม่เสร็จเลยนะพี่ !!!!!!!!!!
To Be Continue …. Chapter 22
ความคิดเห็น