สวัสดีค่ะ
โลฟี่นะ เป็นเจ้าของบล็อก fe 5 camp นี้
ถึงคนที่อ่านอยู่จะได้ไปค่ายหรือไม่หรืออยากจะเป็นวิศวกรรึเปล่า
โลฟี่ไม่รู้นะ แต่อยากให้อ่านไม่ว่าจะเป็นที่ไหนคณะไหนแต่ถ้าอยากจะเข้าจุฬาฯ รั้วจามจุรี
ก็ลองมารับฟังรับอ่านเรื่องราวเหล่านี้ละกัน
ค่าน fe นี้มีมา 5 รุ่นแล้วและคนที่ก่อตั้งก็คือพี่เคน
เอาเป็นว่าเราจะไม่พูดถึงเรื่องพี่ๆแล้วกันเพราะถ้าพูดไม่ครบแล้วมีใครเข้ามาอ่านเราโดนเล่นแน่ๆ
5555+
เราได้อยู่ห้องที่ใหญ่ที่สุด ไปตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อนเลย
กังวลมากๆ เพราะไม่รู้จะไปกินข้าวกับใคร นั่งกับใคร
คนอื่นเขามีเพื่อนกันหมด
แต่เราก็รอดมาได้เมื่อมาเจอเพื่อนๆที่ดีที่สุดในค่าย 4 คน
แม้จะเรียนหนักตั้งแต่ แปดโมงเช้า ถึง ห้าโมงครึ่ง
รู้บ้างไม่รู้บ้าง แรกๆเพื่อนๆรอบๆก็ไม่ได้คุย แต่แค่เดินไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน
เราก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้น บางทีเพื่อนจำชื่อเราได้แต่เรายังจำชื่อเพื่อนไม่ได้
เป็นเรื่องที่สนุกและมีความสุข
อีกเรื่องคณะวิศวะนั้นเป็นคณะที่มีแต่คนตัวสูงๆ เตี้ยๆก็มีแต่แบบตี๋ หล่อ ขาว น่ารัก
ก็สูงกว่าเราอยู่ดีล่ะ ผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย แต่ทุกคนน่ารักมากบางคนก็สวยซะ
เขาบอกว่าถ้าเดินสะดุดที่ลานเกียร์หรือลานกลางของคณะ จะได้แฟนเป็นหนุ่มวิศวะ
เราว่ามันก็ตลกดี เพราะเราซุ่มซ่ามสะดุดบ่อยมาก
5555
แต่วันนี้เป็นวันสุดท้าย แม้ข้อสอบจะโหด แต่เรื่องดีๆที่พวกพี่ๆค่ายทุกคนทำให้จะไม่ลืม
ครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงจุฬารู้สึกว่ายิ่งใหญ่
พี่ร้องสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจและความตั้งใจ
แอบคิดว่าสักวันเราจะยืนร้องเพลงแบบนี้ให้รุ่นน้องฟังบ้าง
ละครที่พวกพี่ทุ่มเทและตั้งใจแสดง ทำให้น้ำตาไหล
ไม่รู้ว่าพี่วิศวะเล่นละครเก่ง
แอบคิดแบบเพ้อๆ ถ้าเราเป็นกรในเรื่อง
ที่ต้องเลือกระหว่างวิศวะจุฬา กับแพทย์ุฬาจะเลือกสิ่งไหน
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นคนที่อยากจะเป็นวิศวะกรขนาดนั้นมาตั้งแต่แรก
ในตอนนั้นเราคิดว่าเราเครียดกว่าคนเล่นซะอีก เพราะเรายังเลือกไม่ได้
วันนี้ พี่ๆได้ทำพิธีผูกข้อมือ
แม้เราจะจำพี่ๆที่ผูกให้ 9 คนได้ไม่หมด
แต่เราก็ยังจำได้ว่าเคยมาค่ายนี้
มานั่งอยู่หน้าเทียนเล่มเหลืองกับเชือกสีขาวแดง
ได้ก้มหัว ให้พี่ๆสวมสร้อยน็อตให้
มันอาจจะไม่ได้มีอะไรก็แค่น็อตตัวหนึ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้น็อตตัวนี่มีค่า คือเหตการณ์ทุกก้าวทุกวินาที
ทุกรอยยิ้ม ทุกเสียงหัวเราะ ทุกมิตรภาพ ทุกๆอย่างในค่าย
ได้ทำให้น็อตธรรมดาๆตัวนี้มีความสำคัญ
เรายังจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงจุฬานั้นขนลุกมากแค่ไหน
เรายังจำได้ทุกครั้งที่ก้มหัวเคารพ"พ่อ" หรือมองตราพระเกี้ยว
มันให้ความรู้สึกว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน
ต้นจามมุรีห้าต้น
แสงแดดยามเย็น
เราที่เอามือป้องแดด และคว้าดวงอาทิตย์ดวงนั้นไว้ในมือ
กลิ่นธูปที่ล่องลอยเสียงสวดมนต์นำของเพื่อนๆที่แว่วเข้ามาในหู
และคำขอที่คล้ายกับคำสัญญาที่ดังก้องอยู่ีในใจ
กับเพื่อนๆอีกสี่คน
เด็กผู้หญิงห้าคนห้ารร.ต่างที่ต่างทาง
วันนี้ได้สัญญา่ว่า
จะกลัะบมาเจอกันที่นี่อีกครั้ง
และจะคืนปลอกปากกา ของเพื่อนอีกคน
ในฐานะ
"นิสิตวิศวะจุฬาฯ"
รักค่ายนี้ รักทุกคนที่นี่
THANK YOU
FE 5
โลฟี่นะ เป็นเจ้าของบล็อก fe 5 camp นี้
ถึงคนที่อ่านอยู่จะได้ไปค่ายหรือไม่หรืออยากจะเป็นวิศวกรรึเปล่า
โลฟี่ไม่รู้นะ แต่อยากให้อ่านไม่ว่าจะเป็นที่ไหนคณะไหนแต่ถ้าอยากจะเข้าจุฬาฯ รั้วจามจุรี
ก็ลองมารับฟังรับอ่านเรื่องราวเหล่านี้ละกัน
ค่าน fe นี้มีมา 5 รุ่นแล้วและคนที่ก่อตั้งก็คือพี่เคน
เอาเป็นว่าเราจะไม่พูดถึงเรื่องพี่ๆแล้วกันเพราะถ้าพูดไม่ครบแล้วมีใครเข้ามาอ่านเราโดนเล่นแน่ๆ
5555+
เราได้อยู่ห้องที่ใหญ่ที่สุด ไปตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อนเลย
กังวลมากๆ เพราะไม่รู้จะไปกินข้าวกับใคร นั่งกับใคร
คนอื่นเขามีเพื่อนกันหมด
แต่เราก็รอดมาได้เมื่อมาเจอเพื่อนๆที่ดีที่สุดในค่าย 4 คน
แม้จะเรียนหนักตั้งแต่ แปดโมงเช้า ถึง ห้าโมงครึ่ง
รู้บ้างไม่รู้บ้าง แรกๆเพื่อนๆรอบๆก็ไม่ได้คุย แต่แค่เดินไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน
เราก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้น บางทีเพื่อนจำชื่อเราได้แต่เรายังจำชื่อเพื่อนไม่ได้
เป็นเรื่องที่สนุกและมีความสุข
อีกเรื่องคณะวิศวะนั้นเป็นคณะที่มีแต่คนตัวสูงๆ เตี้ยๆก็มีแต่แบบตี๋ หล่อ ขาว น่ารัก
ก็สูงกว่าเราอยู่ดีล่ะ ผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย แต่ทุกคนน่ารักมากบางคนก็สวยซะ
เขาบอกว่าถ้าเดินสะดุดที่ลานเกียร์หรือลานกลางของคณะ จะได้แฟนเป็นหนุ่มวิศวะ
เราว่ามันก็ตลกดี เพราะเราซุ่มซ่ามสะดุดบ่อยมาก
5555
แต่วันนี้เป็นวันสุดท้าย แม้ข้อสอบจะโหด แต่เรื่องดีๆที่พวกพี่ๆค่ายทุกคนทำให้จะไม่ลืม
ครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงจุฬารู้สึกว่ายิ่งใหญ่
พี่ร้องสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจและความตั้งใจ
แอบคิดว่าสักวันเราจะยืนร้องเพลงแบบนี้ให้รุ่นน้องฟังบ้าง
ละครที่พวกพี่ทุ่มเทและตั้งใจแสดง ทำให้น้ำตาไหล
ไม่รู้ว่าพี่วิศวะเล่นละครเก่ง
แอบคิดแบบเพ้อๆ ถ้าเราเป็นกรในเรื่อง
ที่ต้องเลือกระหว่างวิศวะจุฬา กับแพทย์ุฬาจะเลือกสิ่งไหน
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นคนที่อยากจะเป็นวิศวะกรขนาดนั้นมาตั้งแต่แรก
ในตอนนั้นเราคิดว่าเราเครียดกว่าคนเล่นซะอีก เพราะเรายังเลือกไม่ได้
วันนี้ พี่ๆได้ทำพิธีผูกข้อมือ
แม้เราจะจำพี่ๆที่ผูกให้ 9 คนได้ไม่หมด
แต่เราก็ยังจำได้ว่าเคยมาค่ายนี้
มานั่งอยู่หน้าเทียนเล่มเหลืองกับเชือกสีขาวแดง
ได้ก้มหัว ให้พี่ๆสวมสร้อยน็อตให้
มันอาจจะไม่ได้มีอะไรก็แค่น็อตตัวหนึ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้น็อตตัวนี่มีค่า คือเหตการณ์ทุกก้าวทุกวินาที
ทุกรอยยิ้ม ทุกเสียงหัวเราะ ทุกมิตรภาพ ทุกๆอย่างในค่าย
ได้ทำให้น็อตธรรมดาๆตัวนี้มีความสำคัญ
เรายังจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงจุฬานั้นขนลุกมากแค่ไหน
เรายังจำได้ทุกครั้งที่ก้มหัวเคารพ"พ่อ" หรือมองตราพระเกี้ยว
มันให้ความรู้สึกว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน
ต้นจามมุรีห้าต้น
แสงแดดยามเย็น
เราที่เอามือป้องแดด และคว้าดวงอาทิตย์ดวงนั้นไว้ในมือ
กลิ่นธูปที่ล่องลอยเสียงสวดมนต์นำของเพื่อนๆที่แว่วเข้ามาในหู
และคำขอที่คล้ายกับคำสัญญาที่ดังก้องอยู่ีในใจ
กับเพื่อนๆอีกสี่คน
เด็กผู้หญิงห้าคนห้ารร.ต่างที่ต่างทาง
วันนี้ได้สัญญา่ว่า
จะกลัะบมาเจอกันที่นี่อีกครั้ง
และจะคืนปลอกปากกา ของเพื่อนอีกคน
ในฐานะ
"นิสิตวิศวะจุฬาฯ"
รักค่ายนี้ รักทุกคนที่นี่
THANK YOU
FE 5
ความคิดเห็น
ยังไงเก็บ สิ่งนี้ไว้ให้เป็นกำลังใจ นะครับ รู้สึกท้อวันไหน นึกถึงสิ่งนี้นะครับ
เเล้วจะทำให้เรา มีพลังที่จะฝ่าฟันน !!