สวัสดีปีใหม่ ปีระกาขันค่ะผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ข้าพเจ้าขอนำเสนอเพลงใหม่สดๆร้อนๆ จากพี่เอ็ด วีสลีย์— เอ้ย เอ็ด ชีแรน (รักหรอกจึงหยอกเล่นน่า // แต่ก็เหมือนจริงๆนะพูดเลย) เพลงใหม่ที่ว่านี้มีชื่อว่า The Castle on the Hill จากอัลบั้ม Divide ที่พึ่งประกาศออกมานั่นเอง
พูดถึงตัวเพลงและอัลบั้ม อัลบั้มใหม่ที่ออกมามานี้ใช่ชื่อ Divide (หาร) ซึ่งสองอัลบั้มก่อนหน้านี้มีชื่อว่า Plus กับ Multiply ก็เป็นที่สังเกตว่าอัลบั้มต่อๆไป เอ็ดจะออกอัลบั้มเป็นชื่อสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์อะไรต่อ อาจจะเป็น Minus (ลบ), Equal (เท่ากับ), Root (ก็รูทอะ) หรือ Square (ยกกำลังสอง) ก็เป็นได้นะ เพลงที่เพิ่งออกมาสองเพลงแรกเมื่อบ่ายที่ผ่านมาก็ดีงามทั้งคู่เลย Shape of You ก็เน้นที่จังหวะโจ๊ะๆ สนุกๆ ติดหูแน่นอน แต่ฟังไปก็แอบนึกถึงเพลง Cheap Thrill เลยแหะ ตอนช่วงต้นๆของเพลงอะ ส่วนเพลง Castle on the Hill เพลงที่ข้าพเจ้าเลือกมาแปลในครั้งนี้ จังหวะอาจไม่ติดหูเท่าอีกเพลงนัก แต่ความหมายอย่างโดน
Castle on the Hill พูดถึงชีวิตในวัยเด็กของเอ็ด ชีแรนที่เมืองที่เขาโตมา ความทรงจำ และการเติบโตของทุกๆคนในชีวิตเขา ฟังเพลงนี้ให้อารมณ์แบบเพลง 7 Years เลยนะ ใครยังไม่เคยฟัง ก็คือเชิญชวนมาล้อมวงฟังดีกว่าค่ะทุกๆท่าน เพลงดีจริงอะไรจริง
ถ้าเราแปลอะไรผิดไปหรืออยากเสริมส่วนไหนก็คอมเม้นต์ด้านล่างมาได้เลยค่ะ
When I was six years old I broke my leg
I was running from my brother and his friends
And tasted the sweet perfume of the mountain grass as I rolled down
ตอนผมหกขวบผมทำขาหักแหละ
เพราะผมวิ่งไล่จับกับพี่และเพื่อนๆของพี่
กลิ่นหอมของหญ้าบนเนินที่ผมกลิ้งลงมายังคงไม่เลือนไป
*เนินเขาที่ว่าคือเนินเขาใน Framlingham เมืองที่พี่เอ็ดโตมานั่นแหละ จะเป็นนัยว่าเนี่ยนะชีวิตวัยเด็กผมก็มี่ทั้งดีทั้งแย่ล่ะนะ
**แต่ก็มีอีกความหมายคือผมเห็นนิมิตว่าจะไปรุ่งด้านดนตรี (เอ็ดเล่นดนตรีแต่เด็ก ดูได้จาก MV เพลง Photograph) ฝรั่งเขามีสำนวนว่า “Break a leg” ซึ่งอารมณ์ประมาณว่าเป็นการอวยพรให้โชคดี โดยเฉพาะใช้กับนักร้อง นักแสดงก่อนเริ่มการแสดง สาเหตุที่วงการบันเทิงชอบใช้คำนี้เป็นคำอวยพร เพราะเขาถือว่าคำว่า good luck เหมือนคำแช่ง
I was younger then
Take me back to when I found my heart and broke it here
Made friends and lost them through the years
ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย
ย้อนกลับไป ณ ที่ที่ผมพบรักแรกและใจสลายไปเพราะมัน
ที่ที่ผมทำความรู้จักกับเพื่อนมากมายและบอกลากับพวกเขา
*เอ็ดจะสื่อว่าอาชีพนักดนตรีของเขาทำให้เขาไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าๆนัก เพราะต้องเดินทาง ย้ายบ้าน ย้ายเมืองตลอด พอไม่ได้เจอกันนานๆ ก็มีหลงลืมไปบ้าง
And I've not seen the roaring fields in so long,
I know I've grown
But I can't wait to go home
ผมไม่ได้กลับบ้านเสียนานเลย
ผมรู้ว่าผมโตขึ้นแล้วนะ
แต่ผมก็รอไม่ได้แล้วที่จะได้กลับบ้าน
I'm on my way
Driving at 90 down those country lanes
Singing to
ผมกำลังกลับบ้านแล้วนะ
ขับรถมาตามถนนชนบท
ร้องเพลง "Tiny Dancer" ไปด้วย
* เพลง “Tiny Dancer” เป็นเพลงของเซอร์ เอลตัน จอห์นในปี 1971 พูดถึงความรู้สึกและความรักบริสุทธิ์ของเด็กสาวคนหนึ่ง เอ็ดน่าจะเปรียบเทียบรักแรกของเขากับสาวน้อยด้วยเพลงนี้แหละ
And I miss the way you make me feel, and it's real
We watched the sunset over the castle on the hill
ผมคิดถึงบางอย่างที่คุณทำให้ผมมีความสุข และใช่.. มันคือเรื่องจริง
ตอนนั้นเรานั่งดูพระอาทิตย์ตกข้ามปราสาทบนเนินเขา
*ปราสาทที่พูดถึงคือปราสาท Framlingham Castle อยู่ในเมืองที่เขาโตมา
Fifteen years old and smoking hand-rolled cigarettes
Running from the law through the backfields
And getting drunk with my friends
พอผมสิบห้า ผมก็เริ่มสูบบุหรี่ม้วนเอง
แถมยังเคยวิ่งหนีตำรวจด้วยแหละ
แล้วผมก็ไปสังสรรค์เมามายไปกับเกลอทั้งหลาย
*เขาบอกในเนื้อเพลงว่าสูบบุหรี่ใช่มั้ย แต่ต้องวิ่งหนีตำรวจด้วย บุหรี่ธรรมดาคงไม่ถึงกับโดนจับหรอกเนอะ ก็เลยมีคนบอกว่าไม่น่าใช่บุหรี่ธรรมดาแล้วม้างง น่าจะเป็นกัญชามากกว่าแหละ ถึงวิ่งซะป่าราบเลย
Had my first kiss on a Friday night,
I don't reckon that I did it right
จูบครั้งแรกของผมตอนคืนวันศุกร์
ผมไม่คิดว่าผมทำถูกวิธีนะ
But I was younger then,
Take me back to when we found weekend jobs,
When we got paid, we'd buy cheap spirits and drink them straight
ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย
ย้อนกลับไปตอนที่เราทำงานพิเศษช่วงวันหยุด
พอได้เงินปุป เราก็เอาไปซื้อเหล้าถูกๆ แล้วจัดไปจนเมา
Me and my friends have not thrown up in so long,
Oh how we've grown
But I can't wait to go home
ผมกับเพื่อนๆไม่ได้เมาหัวราน้ำกันตั้งนานแล้วสินะ
ดูสิ พวกเราเป็นผู้ใหญ่กันแล้วนะ
แต่ผมก็รอไม่ได้แล้วที่จะได้กลับบ้าน
*พอเราโตขึ้น การปาร์ตี้สังสรรค์เฮฮาแบบตอนเด็กๆก็ลดลงตามไปด้วยเพราะมีภาระงานมากมาย และความรับผิดชอบและความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น คงแทบไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะมานั่งแฮงค์โอเวอร์กันแล้ว หรือถ้าพวกเขามีโอกาสมานั่งดื่มกันจริงๆ คงเป็นการดื่มตามโอกาสสำคัญๆ ไม่ใช่แค่ดื่มเหล้าถูกๆที่พวกเขาเคยดื่มตอนเป็นวัยรุ่นอีกแล้ว
I'm on my way
Driving at 90 down those country lanes
Singing to "Tiny Dancer"
ผมกำลังกลับบ้านแล้วนะ
ขับรถมาตามถนนชนบท
ร้องเพลง "Tiny Dancer" ไปด้วย
And I miss the way you make me feel, and it's real
We watched the sunset over the castle on the hill
Over the castle on the hill
Over the castle on the hill
ผมคิดถึงบางอย่างที่คุณทำให้ผมมีความสุข และใช่.. มันคือเรื่องจริง
ตอนนั้นเรานั่งดูพระอาทิตย์ตกข้ามเนินปราสาท
พระอาทิตย์ตกข้ามปราสาทบนเนินเขา
พระอาทิตย์ตกข้ามปราสาทบนเนินเขา
One friend left to sell clothes
One works down by the coast
One had two kids but lives alone
One's brother overdosed
One's already on his second wife
One's just barely getting by
But these people raised me
And I can't wait to go home
เพื่อนคนหนึ่งก็ไปขายเสื้อผ้า
อีกคนก็ทำงานตามชายฝั่ง
ส่วนอีกคนมีลูกตั้งสองคนแล้ว แต่ยังอยู่ตัวคนเดียว
พี่คนนั้นก็เพิ่งเฉียดตาย
คนโน้นก็มีภรรยาคนที่สองเรียบร้อยแล้ว
ขณะอีกคนเพิ่งได้ยินข่าวมา
แต่คนเหล่านี้ก็โตมากับผม
และผมก็รอไม่ได้แล้วที่จะได้กลับบ้าน
*ท่อนนี้จะสื่อว่า เพื่อนๆที่โตด้วยกันมาก็จะมีจุดๆหนึ่งที่ทุกคนก็จะแยกย้ายไปตามทางของตน ทุกๆคนล้วนมีชีวิตที่แตกต่างกันไป แต่ยังไงแล้วเอ็ดก็อยากเจอพวกเขาอีกครั้ง เพราะพวกเขานี่แหละที่เป้นส่วนหนึ่งของความทรงจำวัยเยาว์
And I'm on my way, I still remember
Those old country lanes
และตอนนี้ผมกำลังกลับบ้าน
ผมยังจำถนนชนบทเก่าๆนั่นได้
When we did not know the answers
And I miss the way you make me feel, it's real
We watched the sunset over the castle on the hill
Over the castle on the hill
Over the castle on the hill
ผมคิดถึงบางอย่างที่คุณทำให้ผมมีความสุข และใช่.. มันคือเรื่องจริง
ตอนนั้นเรานั่งดูพระอาทิตย์ตกข้ามปราสาท
พระอาทิตย์ตกข้ามปราสาท
พระอาทิตย์ตกข้ามปราสาท
ที่มาเนื้อเพลง+ความหมาย
ความคิดเห็น
อ่านแล้วรู้สึกอินฟินกว่าเดิมเยอะ
But these people raised me
And I can't wait to go home
ช่วงที่เอ็ดร้อง and i เอ็ดเชื่อเสียง ออกเป็น die .. แบบ น้ำตาไหลเลย