คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #199 : [MibuFuri] Itaku
Title : Itaku
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Mibuchi x Furihata
Notes : S // สวัสดีจ้า! มาถึงหนึ่งในสองได้อันดับสี่ในการโหวตมาแล้วจ้า!!! คราวนี้ได้แก่...
มิบุจิ // เดี๋ยวๆ ฉันว่าเธออย่าพูดอะไรเพิ่มเติมเลยเถอะ
S // ไหงงั้นล่ะ!?
มิบุจิ // เอาตามจริงนะ...ฉันกลัวโดนแกล้งอ่ะ
S // บู้! รู้ทันเราอีก...แต่ถึงงั้นก็ไม่รอดหรอก!!! (เสกพายุใส่)
มิบุจิ // เอาแบบปกติหน่อยเถอะ!!! (โวยขณะที่หายเข้าไปในพายุ)
S // (มองมิบุจิที่โดนพัดไปจนลับตาอย่างสบายในเฉิบ)
.....................................................................................
Itaku
“เออ...ขอโทษนะครับ...” เสียงแผ่วดังขึ้นมาเบาๆ จากเด็กชายหน้าสวยผมดำคนหนึ่ง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าคู่สวยจับจ้องยังภาพตรงหน้าอย่างไม่ว่างตา “...นี่มัน...อะไรกันครับเนี่ย?”
...ให้ตายสิ...นี่เขาฝันไปหรือไงกัน?...
มิบุจิ เรโอะ เด็กชายวัยแปดขวบในยามนี่กล้าพูดเลยว่าไม่เข้าใจสักนิดที่พอกลับบ้านมาก็เจอ...พ่อแม่ของตนเองยืนอยู่กับเด็กชายแปลกหน้าผู้มีผมน้ำตาลที่ดูจะอ่อนกว่าตนสักปีสองปีซึ่งกำลังสั่นราวเจ้าอยู่เนี่ย...
...ไม่ว่ายังมิบุจิก็คิดว่าสิ่งที่เห็นในตอนนี้...ช่างชวนให้คิดว่าพ่อแม่เขาไปลักพาตัวเด็กมาจากที่ไหนสักทีดีแท้
“ถ้ากำลังคิดว่าพ่อแม่ลักพาตัวลูกชาวบ้านมาล่ะก็รีบปัดความคิดนั้นทิ้งให้ไวเลยนะ...” ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อดุลูกชายตนอย่างรู้ทัน “...เด็กคนนี้ชื่อฟุริฮาตะ โคกิเป็นลูกชายคนเล็กของเพื่อนสนิกพ่อ...พอดีเพื่อนพ่อเขาต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศเลยฝากพ่อให้ช่วยดูแลโคกิคุงน่ะ”
“โอเค เข้าใจครับ...” มิบุจิพยักหน้าอย่างเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องรับเด็กชายผมน้ำตาลมาดูแล “...ว่าแต่เมื่อกี้บอกว่าคนนี้คนเล็ก...แล้วคนโตล่ะครับ?”
...ถ้าบอกว่าพาลูกคนโตไปด้วยแล้วทิ้งคนเล็กไว้นี้มันออกจะแปลกๆ นะ...
“อ๋อ รายนั่นดันฉลาดเกินคนเลยสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศตั้งนานแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เหรอครับ...” มิบุจิพยักหน้ารับ “...แล้วนี่...รับฝากเขาจะอยู่กับเรานานเท่าไหร่ครับ?”
“ประมาณสิบปี” ชายหนุ่มตอบพร้อมอุดหูเตรียมรับ...
“ห๊า!?!” ...เสียงตะโกนแปดหลอดจากลูกชายตนเอง “นี่ฝากหรือมาอยู่เลยกันแน่ครับ!? ถึงจะมีความจำเป็นยังไงก็เถอะ แต่ทิ้งลูกตัวเองไว้กับคนอื่นแบบนี้มันเกินไปไหมครับ!?”
...ถ้าขนาดนี่ให้ครอบครัวเขารับมาเป็นลูกบุญธรรมเลยเถอะ!...
“ก็นะ...” ชายหนุ่มไม่เถียงว่าที่ลูกตนพูดน่ะจริงทุกประการเลย “...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก สองคนนั้นบินไปต่างประเทศแล้ว...ยังไงๆ ก็ช่วยดูแลโคกิคุงหน่อยนะเรโอะ”
“...เฮ้อ ครับ ได้ครับ” มิบุจิคุมขมับนิดๆ พลางมองพ่อแม่ตนเองที่แอบหนีออกจากบ้านไปทำงานที่บริษัทของตัวดองต่อตามที่ประธานบริษัทที่ดีส่วนใหญ่เขาทำกัน ซึ่งเด็กชายก็หาได้ใส่ใจพ่อแม่ตนเองนักเพราะเหตุการณ์ที่พ่อแม่ตนแว่บออกจากบ้านเสียดื้อๆ นี่เกิดขึ้นประจำ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าจึงจับจ้องไปยังอีกบุคคลที่อยู่กับตนในยามนี่แทน “เอาล่ะ...ยังไงเราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน มาสนิกกันไว้ดีกว่าเนอะ อ๋อ! แล้วฉันชื่อมิบุจิ เรโอะนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ค...ครับ...ฟุริฮาตะ โคกิครับ...ย...ยินดีที่ได้รู้จักครับมิบุจิซัง...” เด็กชายผมน้ำตาลเอ่ยเสียงสั่นๆ
“ไม่ต้องกลัวนักก็ได้ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่า...” มิบุจิพยายามทำหน้าใจดี (?) ใส่อีกฝ่าย “...และไม่ต้องเรียกเป็นทางการแบบนั้นก็ได้...เรียกว่าเรโอะเฉยๆ ก็ได้หรือไม่ก็เรียกพี่เรโอะแบบที่เพื่อนฉันเรียกก็ได้”
“พี่ (เน่ = พี่สาว) ? ไม่ใช่ พี่ (นี่ = พี่ชาย) เหรอครับ?” ฟุริฮาตะถามอย่างแปลกใจ
“ก็นะ...เพื่อนฉันมันชอบเรียกอย่างนี่น่ะ...” ...แถมพอบอกให้เรียกแบบอื่นก็ไม่ยอมอีกแหน่ะ ถึงเขาชอบทำตัวเหมือนผู้หญิงนิดๆ แต่ก็ยังแมนอยู่นะ!
“เออ งั้น...ผมควรเรียกคุณว่าอะไรล่ะครับ?” ฟุริฮาตะถามแบบไม่แน่ใจว่า...ควรเรียกพี่ชายหรือพี่สาวดี
“เรียกตามสะดวกเลยเถอะ ฉันไม่ว่าหรอก...” ...เพราะคงไม่มีใครแปลงชื่อชาวบ้านได้น่าถีบเท่าเพื่อนหัวสีคาราเมลของเขาอีกแล้วล่ะ...รายนั้นกว่าเขาจะทำให้มาเรียกเขาแบบปกติได้ตั้งนานแหน่ะ ถึงสุดท้ายจะมีคำว่าพี่สาวติดมาด้วยก็เถอะ...แต่โดนเรียกแบบนั้นมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่นะ แถมเขาก็ชินแล้วด้วย “...จะว่าไป...ขอเรียกนายว่าโคจังได้เปล่า?”
“อ...อา ครับ ได้ครับ อ...เออ งั้นผมขอเรียกคุณว่าพี่ (ชาย) เรโอะนะครับ” เด็กชายผมน้ำตาลเอ่ย
“ได้เลย!” มิบุจิพยักหน้ารับ “งั้นเราไปทำความรู้จักกันมากว่านี่เถอะเนอะ! โคจัง!”
“ค...ครับ!” ฟุริฮาตะขานรับทั้งที่สมองยังตามไม่ทันก่อนที่จะถูกเด็กชายผมดำลากไปเล่นในห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว
วันเวลาผ่านไป...นับจากวันที่เด็กชายนามฟุริฮาตะ โคกิได้มาอยู่ในบ้านมิบุจิมาจนถึงวันนี้ก็ผ่านไปเกือบสี่ปีแล้ว ซึ่งในตอนนี้เด็กชายเองก็สนิกกับคนในบ้านแทบจะไม่สั่นเป็นเจ้าเข้าอย่างในยามแรกที่มาอยู่บ้านหลังนี่แล้วด้วย ถึงแม้จะมีสะดุ้งบ้างก็เถอะ...
...ทางมิบุจิ เรโอะที่เป็นลูกชายแท้ๆ ของบ้านเองก็สนิกกับฟุริฮาตะมากเนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับรายนี่มากกว่าคนอื่น...ก็แหงล่ะ ในเมื่อมิบุจิคนพ่อคนแม่นั้นแทบจะไม่กลับมาบ้านเลยด้วยซ้ำในแต่ล่ะสัปดาห์ ดังนั้นหน้าที่ดูแลฟุริฮาตะจึงเป็นของมิบุจิโดยปริยาย และด้วยความที่ว่าฟุริฮาตะเป็นเด็กดี ใสซื่อ น่ารัก แถมน่าแกล้งอีกต่างหากทำให้มิบุจิยิ่งเอ็นดูอีกฝ่ายเข้าไปใหญ่
...บางคราวนั่นออกไปทางหวงเลยด้วยซ้ำ...ก็นะ ได้น้องชายน่ารักๆ มาแบบนี้ใครจะไม่หวงบ้างล่ะ?
...และด้วยความที่ว่าฟุริฮาตะ โคกิเป็นเช่นนี้เลยทำให้ในตอนนี้มิบุจิรู้สึกกลุ้มขึ้นมานิดๆ เพราะตนนั้นต้องเข้าเรียกที่โรงเรียนมัธยมต้น ในขณะที่ฟุริฮาตะยังอยู่โรงเรียนประถม...หรือก็คือตนไม่สามรถเกาะหนึบ (?) น้องชายไม่แท้ของตนได้แล้วนั่นเอง
“เฮ้ เป็นอะไรไปเรโอะ...ทำหน้ายังกับคนโดนหวยกิน...” เด็กหนุ่มผิวคล้ำโบกมือไปมาหน้าเด็กหนุ่มที่ดูราวสตรี (?) หากแต่...อีกฝ่ายที่ตนเองถามกลับเดินเอื่อยๆ นิ่งๆ ราวกับไม่ได้ยินเสียงถามของตนเมื่อครู่
“นั้นสิพี่เรโอะ...อุตสาห์ได้ขึ้นชั้นม.ต้นวันแรกร่าเริงหน่อยสิ!” เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลเอ่ยเสริมพร้อมกับ...ตบหลังคนที่เหม่ออยู่อย่างแรง
“โอ๊ย! เจ็บนะ!!! ทำอะไรของนายเนี่ย!? โคทาโร่จัง!!!” คนที่โดนตบหลังแทบหักแว๊ดลั่น...นี่มือหรือตีนวะ!? หนักชิบ!
“ก็พี่เรโอะทำหน้าเหมือนจะเฉาตายนิ! แอ๊ก! ตีทำไมอ่ะ!?” ฮายามะ โคทาโร่ตอบกลับอย่างร่าเริงก่อนที่จะโดนฝามือพิฆาตตบเข้าที่กลางหัวเต็มๆ
“ปากเสียเองนิ!” มิบุจิค้อนใส่คนที่ร่าเริงเกินเหตุตาเขียวปั๊ด
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งฆ่ากันกลางทางดิ...” เนบุยะ เอย์คิจิที่เห็นว่าเรื่องเริ่มจะวุ่นวายขึ้นทุกขณะรีบเอ่ยห้าม “...แล้ววันนี้นายเป็นอะไรของนายห๊า? ดูซึมๆ ชอบกล”
“...เปล่า ไม่มีอะไร” มิบุจิปฏิเสธ
“แต่ท่าทางนายดูยังไงก็มีวะ” เนบุยะส่งสีหน้าประมาณว่า ‘หน้านายมันฟ้องวะ’ ไปให้
“...” มิบุจินิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ “...คือ...ฉันกลุ้มใจเรื่องที่ต้องอยู่คนล่ะโรงเรียนกับโคจังน่ะ”
“โคจัง? อ๋อ เด็กคนที่บ้านนายรับฝากมาน่ะนะ?” เนบุยะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อื้อ” มิบุจิพยักหน้ารับ
“แล้วกลุ้มทำไมอ่ะ? คนที่ว่านั้นเกเรจนต้องคอยเฝ้าหรือไง?” ฮายามะถามอย่างอยากรู้...ก็นะ เขากับเอย์จังไม่เคยเจอคนที่ว่านิ ถึงพวกเขารู้ว่าคนที่บ้านของเพื่อนตนรับฝากมานั้นจะอยู่โรงเรียนเดียวกับพวกเขาแต่ก็ไม่เคยเจอหน้าสักครั้ง แถมพี่เรโอะเองก็ไม่ยอมให้เจอด้วย เห็นบอกว่าเดี๋ยวเพี้ยนตามพวกเขา (?) เอา
“เปล่า ไม่เกเรหรอก...เป็นเด็กดีน่ารักน่าเอ็นดูเลยล่ะ” มิบุจิตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ถ้างั้นจะกลุ้มทำไมล่ะ?” ฮายามะถามต่อ
“เพราะโคจังน่ะ...ดันเป็นพวกใสซื่อยิ่งกว่าอะไรน่ะสิ! ซื่อเสียจนฉันกลัวว่าจะโดนใครพาเสียคนเข้าน่ะ! เท่านั้นยังไม่พอ! ยังเป็นพวกพวกชอบช่วยเหลือคนอื่นจนลืมตัวเองอีก! โอ้ย! ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม! หวังว่าจะไม่ทำตัวเองเจ็บตัวอีกนะ...” มิบุจิเมื่อสบโอกาสก็เริ่มบ่นร่ายยาวให้เพื่อนทั้งสองของตนฟัง ส่วนทางคนที่ฟังเพื่อนตัวเองบ่นก็ทำได้เพียงพลางอดคิดไม่ได้ว่า...
...นี่นายจะเป็นพี่หรือแม่รายนั้นฟะ!? ที่บ่นมาแต่ล่ะอย่างนี้ยังกับคุณแม่ที่กังวลกับการไปโรงเรียนวันแรกของลูกเลยนะเฟ้ย!...
“เออ...พี่เรโอะ...พักหายใจบ้างก็ได้นะ =_=” หลังฟังคำบ่นเพื่อนตนมาได้สักสามสิบนาที (โอ้ นานดีแฮะ // s) ฮายามะก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “และอีกอย่าง...เราจะไปสายแล้วนะ”
“หื้อ?” มิบุจิที่บ่นอย่างเมามันส์ (?) เมื่อครู่ชะงักเล็กน้อยแล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดูก่อนที่จะ.... “เฮ้ยยยยยยย!!! นี่มันจะสายแล้วนี่นา!? ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่าโคทาโร่จัง~~~~!?”
...ร้องออกมาดังลั่นกับเวลาบนหน้าปัดที่เข็มสั้นกำลังขยับเข้าใกล้เลขแปด เข็มยาวนั้นอยู่ที่เลขสิบเอ็ด
“จริงดิ!?” เนบุยะที่ฟังเพื่อนบ่นเพลินไปหน่อยยกนาฬิกาขึ้นดูอีกคนแล้วก็แทบลมจับ “ถ้าสายตั้งแต่วันแรกโดนอาจารย์เขาจ้องจับผิดเลยแหง! รีบใกล้เกียร์หมากันเร็ว!”
“ไม่บอกก็ทำย่ะ!” มิบุจิแว๊ดใส่เพื่อนตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะรีบวิ่งไปยังโรงเรียนอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มอีกสองคนที่กำลังจะไปโรงเรียนสายอยู่ร่อมร่อเหมือนกัน...จนในท้ายที่สุดทั้งสามก็มาถึงยังโรงเรียนได้ทันก่อนที่ประตูจะปิดแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเลย...
...ถึงแม้เด็กหนุ่มทั้งสามจะถูกดุเล็กน้อยจากครูเวรที่ทำหน้าที่ปิดประตูเนื่องจากทั้งสามดันวิ่งสไลท์เข้ามาจนเกือบโดนประตุหนีบ แต่ก็ไม่ได้คาดโทษอะไรทั้งสามมากนัก...ถือว่ารอดตัวไป
...จากนั้นจนตลอดทั้งวันก็ดำเนินไปตามปกติ จวบจนมาถึงตอนเย็น...เรื่องก็มาเมื่อถึงเวลาที่ทั้งสามจะเข้าชมรม
“ปีนี้พวกนายเข้าชมรมกันสองคนแล้วกัน...ฉันขอบาย” มิบุจิเอ่ยขึ้นมาเมื่อนำเพื่อนทั้งสองคนมาส่งถึงหน้าห้องชมรมบาสแล้ว
“ไหงงั้นล่ะพี่เรโอะ!?” ฮายามะเมื่อได้ยินดังนี้จากพี่สาว (?) ก็โวยขึ้นมา
“นั้นสิ! อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน!” เนบุยะท้วงขึ้นมาอีกคน...ก็แหงล่ะ! พวกเขาอยู่ชมรมเดียวกันมาตั้งแต่ป.หนึ่งมายันเมื่อปีก่อนเลยนะ! อยู่ๆ จะทิ้งให้เขาเข้าชมรมกับโคทาโร่มันแค่สองคนเนี่ยไม่เอาหรอก!
“ก็ฉันห่วงโคจังนิ...ให้อยู่บ้านคนเดียวน่าสงสารตายเลย” มิบุจิทำเมินเสียงโวยวายจากเพื่อนตน
“งั้นก็พามาที่ชมรมเลยสิ!” เนบุยะเอ่ย
“นั้นสิๆ” ฮายามะรีบสนับสนุนเนบุยะพลางโดดเกาะคนหน้าสวยเพื่อกันอีกฝ่ายหนี
“ไม่เอา เดี๋ยวติดเชื้อเพี้ยนจากพวกนาย” มิบุจิตอบกลับ...แบบเล่นซะคนโดนเอ่ยถึงแทบหน้าทิ่มเลย
“ไม่ติดหรอกน่า! และพวกฉันไม่ได้เพี้ยนเฟ้ย!” เนบุยะเถียงกลับ
“ไม่เพี้ยนงั้นบ้าเลยแล้วกัน!” มิบุจิเอ่ยพลางพยายามแงะคนที่เกาะตนเป็นปลิงออก
“ไม่บ้าเฟ้ย!” เนบุยะแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย
“นี่พวกนาย...” ระหว่างที่เถียงกันอย่างเมามันส์ (?) นั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสามหันไปมองยังต้นเสียงและพบว่า...ยามนี่มีเด็กหนุ่มคิ้วลูกอ๊อช (เลิกแซะฉันสักตอนเถอะ! ยัยคนไม่มีพัฒนาการด้านความสูง! // ฮานามิยะ , ไม่มีทาง! และความสูงเราพัฒนาอยู่นะ! // s) เด็กหนุ่มผมดำคนหนึ่งยืนอยู่ “...หลีกทางให้หน่อยได้ไหม? ยืนหน้าห้องชมรมแบบนี้มันเกะกะนะ”
“อุ้ย! โทษทีๆ” ทั้งสามที่เพิ่งสำนึกได้ว่ายืนขวางชาวบ้านเขาอยู่ก็จะรีบหลีกทางให้ แต่ทว่า...ไม่ทันที่จะได้ขยับตัวหรืออะไรก็ทั้งสามก็ถูกใครบางคนล็อกคอไว้
“งายยยยยย พวกนายมาสมัครชมรมเหรอ?” เสียงอันแฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ดังขึ้นทำให้คนฟังรู้สึกขนลุกขึ้นมาเสียดื้อๆ “งั้นมาลงชื่อเลย~~~~ ปีนี้ยิ่งมีคนสมัครเข้าชมรมน้อยอยู่~~~ ไม่ยอมให้หนีหรอก~~~~~”
“...” สามหน่อที่ถูกล็อกคอกับอีกหนึ่งหน่อที่ยืนดูอยู่นิ่งเงียบไปกับคำพูดที่ราวกับว่ากำลังจะจับพวกตนไปเชือดของคนที่โผล่มารวมวงสร้างความวายวอด (?) นี่
“เฮ้ๆ ...นายอย่าไปขู่เด็กใหม่สิอิมาโยชิ! นายน่ะตัวดีเลย! ที่ทำให้ไม่มีใครมาสมัครชมรมเนี่ย!” เสียงดังโป๊กดังขึ้นพร้อมกับแขนที่ล็อกคอเด็กหนุ่มทั้งสามถูกคลายออก “แค่เมื่อเช้าป่วนจนเด็กใหม่ทุกคนพยายามหาทางออกห่างนายยังไม่พอหรือไงห๊า!?”
“แหมๆ ป่วนอะไร~~~~ ฉันเปล่านะ~~~~~” เด็กหนุ่มหน้าตาเจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอกสวมแว่นที่ถูกเรียกว่าอิมาโยชิลากเสียงยาว
“เหรอ~~~~ แล้วที่นายไปดักไปแกล้งชาวบ้านเมื่อเช้ามันอะไรล่ะ?” คนที่เพิ่งเขกหัวชาวบ้านหมาดๆ ถามกลับ
“เขาเรียกว่าลองเชิงต่างหาก~~~~” อิมาโยชิทำเสียแอ้มแบ๊วจนน่าถีบ
“...นี่เขาอยู่ชมรมนี่เหรอครับ?” เด็กหนุ่มคิ้วหนา (ถามจริง...เป็นอะไรกับคิ้วฉันนักหนาเนี่ย!? // ฮานามิยะ) ทำหน้าเหมือนแหยงๆ “งั้นผมเปลี่ยนใจไม่เข้าชมรมล่ะ”
“อะไรกันเล่าฮานามิยะ~~~~ จะหนีไปไหน?” อิมาโยชิรีบพุ่งไปจับตัวฮานามิยะไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหนี
“ปล่อยผมนะ! ว่าแต่รู้ชื่อผมได้ไง!?” ฮานามิยะถามกลับ...จำได้ว่าเขาไม่เคยบอกชื่อกับรายนี่นะ!
“ฉันเคยเจอนายที่สนามสอบวัดความรู้ที่ ××× ไง” อิมาโยชิยักคิ้วกวนๆ
“เอ๊ะ? ที่นั่นมัน...อย่าบอกนะว่าคนที่ไปกวนกรรมการคุมสอบตอนนั้นคือคุณ!?” ฮานามิยะเริ่มทำหน้าเหมือนอยากเป็นลมขึ้นมา...จำได้ว่าในครั้งนั้นกรรมการคุมสอบนั่นวีนแตกไปเลยนะ
“ถูกเผง~~~” อมาโยชิลากเสียงยาว
“...เรโอะ...ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เดี๋ยวฉันอยู่ชมรมกลับบ้านเป็นเพื่อนนายแล้วกัน” เนบุยะเริ่มถอยห่างจากคนหน้าเจ้าเล่ห์ เนื่องจากสังหรณ์ว่า...อยู่ใกล้รายนี่ความวุ่นวายลอยมาหาชัวท์
“ฉันด้วยๆ” ฮายามะเอ่ย
“เฮ้ๆ อย่าเพิ่งหนีกันสิ...ไหนๆ ก็มาแล้วมาสมัครเข้าชมรมกันเถอะ!” อิมาโยชิที่ได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มแต่ล่ะคนที่รีบเปลี่ยนใจไม่เข้าชมรมก็ทำการลากกึ่งบังคับให้เด็กหนุ่มแต่ล่ะหน่อมาสมัครเข้าชมรมเสียดื้อๆ รวมทั้ง...ตัวมิบุจิที่ไม่ได้คิดจะเข้าชมรมมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย
“ดูท่า...ถ้านายไม่ให้น้องนายกลับบ้านไปก่อนก็ต้องให้มาเล่นที่ชมรมแทนแล้วล่ะ” เนบุยะที่ถูกบังคับให้ลงชื่อเข้าชมรมอย่างเอ๋อๆ เอ่ยขึ้นมา
“...นั่นสิเนอะ” มิบุจิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...
...ทางที่ดี...เขาควรโทรบอกให้โคจังกลับบ้านไปก่อนแล้วแฮะงานนี้...
“...นี่มันอะไรกันครับอิมาโยชิซัง?” เสียงเขียวๆ ดังออกจากปากคนหน้าสวย ในขณะที่มองสภาพภายในห้องเปลี่ยนชุดที่...เละสนิก
“อย่าทำเสียงเขียวสิมิบุจิ ฉันเปล่าทำนะคราวนี้...” อิมาโยชิรีบบอกปัดก่อนที่รุ่นน้องตนจะองค์ลง...ซึ่งน่ากลัวพอดูเลยล่ะ จากที่เขาเห็นหลังจากที่เขาฟัด (?) กับฮานามิยะจนห้องพังมาสามสี่รอบเนี่ย “...ฮายามะต่างหากที่ทำ”
“โคทาโร่จัง~~~~~” มิบุจิเปลี่ยนเป้าหมายในการอาฆาต (?) ไปที่คนผมสีคาราเมลที่ทำตัวหลีบอยู่แทน “นี่ทำอีท่าไหรห้องถึงเป็นแบบนี้ห๊า~~~~?”
“อ...เออ พอดีไล่จับแมลงน่ะพี่เรโอะ แฮะๆ” ฮายามะยิ่มแห้งๆ แล้วตอบไปตามตรง
“แค่จับแมลงทำไมต้องทำห้องพังราวระเบิดลงแบบนี้ด้วยย่ะ!?!” มิบุจิเขกเข้ากลางหัวสีคาราเมลเต็มแรง “มาช่วยกันเก็บเลยนะ! อิมาโยชิซัง มาโกะจังและเอย์จังก็มาช่วยกันเก็บข้าวเก็บของเลย!”
“เดี๋ยวๆ พวกฉันเกี่ยวอะไร?” ฮานามิยะถามขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมทีมผู้สาวแตกของตนเอ่ยถึง
“เพราะฉันไม่รู้ว่าของที่โคทาโร่จังคื้อออกมาอันไหนเป็นของใครไง!” มิบุจิค้อนใส่คนคิ้วลูกอ๊อช “ไม่ต้องพูดมาก...มาช่วยกันเก็บข้าวของเลย!”
“เออๆ รู้แล้วน่า...ไม่เห็นต้องดุเลย” ฮานามิยะทำหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจแต่ก็ยังยอมทำตามอีกฝ่าย เช่นเดียวกับอิมาโยชิกับเนบุยะที่รู้ดีว่าไม่ควรลองดีเรื่องนี้กับรายนี่ ยิ่งฮายามะที่เป็นตัวต้นเหตุนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง...รีบแว่บไปเก็บข้าวของตัวเองเข้าตู้ก่อนที่คนหน้าสวยจะสั่งอีก
“ให้ตายเถอะ แต่ล่ะคนนี้น้า” มิบุจิส่ายหน้าอย่างปลงๆ กับแต่ล่ะคนที่ตลอดครึ่งปีมานี่ก่อเรื่องได้ทุกวี่ทุกวันจนต้องบ่นมันซะแทบกลายเป็นแม่ของแต่ล่ะหน่อนี่อยู่แล้ว...
...คิดๆ ดูแล้วโชคดีจริงๆ ทีเขาเลือกที่จะไม่ให้โคจังมาที่ชมรมไม่งั้นได้บ้าตามเพื่อนสามบวกรุ่นพี่อีกหนึ่งนี่แน่...
มิบุจิคิดอย่างขำๆ พลางเดินไปช่วยเก็บห้องเปลี่ยนชุดไปตามปกติจนเสร็จ แล้วจากนั้นก็เริ่มซ้อมกันตามโปรแกรมปกติที่ทำมาตลอด...ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ ไม่มีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่มเติม จนกระทั่งมาถึงพักเที่ยง...
“อ่ะ?” ...มิบุจิก็พบว่าตนเองลืมเอาข้าวกล่องมาเสียได้
“เป็นอะไรไปเหรอเรโอะ?” เนบุยะถาม
“ฉันลืมข้าวกล่องน่ะ...” มิบุจิตอบไปตามตรง
“เอ๋? งั้นก็แย่น่ะสิ...แบ่งของฉันไปกินหน่อยไหมพี่เรโอะ?” ฮายามะยื่นขนมปังห่อหนึ่งให้
“ก็ด...” มิบุจิยื่นมือจะไปรับขนมปังมา แต่แล้ว...
“พี่เรโอะ” ...เสียงเรียกเบาๆ ที่คุ้นหูดังขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มชะงักกึก ดวงตาคู่สวยรีบตวัดมองไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
“...โคจัง?” มิบุจิเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ พลางมองเด็กชายที่...หลบอยู่หลังประตูโรงยิมราวกับกลัวบุคคลทั้งหลายที่อยู่ภายในด้วยความฉงก “หากันเจอได้ไงเนี่ย?”
...โรงเรียนก็ไม่ใช่เล็กๆ นะ ยังอุตสาห์หาเจออีก...
“เดาเอาครับ” เด็กชายผมน้ำตาลตอบสั้นๆ
“ยังอุตสาห์มาถูกเนอะ” มิบุจิส่ายหน้าอย่างขำๆ พร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินไปหาอีกฝ่าย
...ไม่เคยมาที่นี่แท้ๆ ยังหาโรงยิมที่เขาอยู่ได้ทั้งๆ ที่โรงเรียนมีโรงยิมแยกเป็นสี่หลังแท้ๆ ...จะว่าหาเก่งหรือเดาเก่งดีเนี่ย?...
“แล้วนี่มาทำอะไรที่นี่เอ๋ย?” มิบุจิเอ่ยถาม
“ผมเอาข้างกล่องมาให้ครับ ผมเห็นว่าพี่ลืมไว้บนโต๊ะน่ะครับ” ฟุริฮาตะตอบกลับอย่างใสซื่อ...ซึ่งดูน่ารักจนมิบุจิอยากคว้ามากอดเลย
“อ๋อ ขอบใจม...” มิบุจิยิ่มร่าให้กับความน่ารักของน้องชายตน แต่แล้ว...
“นี่ๆ! นี่คือโคจังที่พี่เรโอะพูดถึงเหรอ?!” ...เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลก็พุ่งเข้ามาดูอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าเด็กชายผมสีน้ำตาลคือน้องชายของเพื่อนตนที่ไม่เคยได้พบตัวจริงๆ สักครั้ง ดวงตาสีเขียวเข้มเป็นประกายจ้องมองอย่างอยากรู้อยากเห็นตามประสาคนร่าเริง “น่ารักกันเลย!”
“เหวอ!” ฟุริฮาตะหลุดร้องออกมาเล็กน้อยเมื่อคนผมสีคาราเมลจะกอดตน...แต่มีหรือคนที่มีอาการหวงน้องอย่างมิบุจิจะยอมให้กอด มือเรียวจัดการเขกหัวสีคาราเมลด้วยความหมั่นไส้ทันที
“แอ๊ก! เจ็บนะพี่เรโอะ! ตีกันทำไมอ่ะ!?” ฮายามะร้องโอดครวญ...อูย~~~ คราวนี่ทำไมตีแรงจังวะ?
“ก็ใครใช้ทำให้โคจังกลัวล่ะ? อีกอย่างนายอยู่ห่างๆ น้องฉันเลย...เดี๋ยวเชื้อต๊องติดโคจังเอา” มิบุจิรีบกอดเด็กชายไว้เพื่อกันไม่ให้คนต๊อง (?) พุ่งเข้ามาอีก
“ไม่ได้ต๊องนะ!” ฮายามะโวยลั่น
“ใช่...หมอนี่เรียกว่าเชื้อชอบหาเรื่องใส่ตัวเองดีกว่า...” เด็กหนุ่มคิ้วลูกอ๊อดที่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาพักใหญ่ๆ แล้วส่ายหน้าด้วยความปลง “...ว่าแต่นี่น้องนาย? หน้าไม่ยักเหมือนเลย”
“ไม่ใช่น้องแท้ๆ มันน่ะ เป็นคนที่บ้านเรโอะมันฝากดูแลอยู่ คนฝากเองก็ไม่กลัวเรโอะมันจะทำลูกตัวเองเป็นตุ๊ดเลย...เฮ้ย! อันตรายนะเว้ย!!!” เด็กหนุ่มผิวคล้ำที่ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะกลายเป็นกอริล่า (เฮ้ยๆ เอาดีๆ เซ่! // เนบุยะ) รีบก้มหลบลูกบาสที่ถูกปามาหมายที่จะอัดหน้าตน
“ก็ใครว่าฉันก่อนล่ะ!? ฉันไม่ได้เป็นตุ๊ดนะยะ!!!” มิบุจิแยกเขี้ยวใส่เพื่อนตน
“แต่ดูยังไงก็ใช่นะ...” ฮานามิยะเอ่ยก่อนที่จะ...รีบหลบรองเท้าทีลอยมา “...เฮ้ย! โดนเนี่ยไปนอนนับดาวเลยเว้ย!”
“ปากเสียเองนิ!” มิบุจิเริ่มอยากบูรณะสมองเพื่อนแต่ล่ะหน่อของตนเองขึ้นมาตงิกๆ
“ฮะๆ ฮานามิยะก็ปากแบบนี้แหละน่า!” เด็กหนุ่มผมดำที่หน้าตาเจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอกหัวเราะร่า พลางมองรุ่นน้องแต่ล่ะหน่อของตนเถียงกันอย่างสนุกสนาน
“พูดไม่ดูตัวเองเลยนะครับ! ไอ้คุณจิ้งจอกเจ้าเล่ห์!” ฮายามะเถียงกลับทันควัน
“แหม คำนี่เหมาะกับฉันดีเนอะ~~~” อิมาโยชิลากเสียงยาว
“อ...เออ! หยุดทะเลาะกันเถอะครับ!” เด็กชายที่อยู่กลางวงล้อมของคนอายุมากกว่าที่ทะเลาะและเริ่มออกทะเลขึ้นทุกทีเอ่ยขึ้น “คุณลุงตรงนั้นเตรียมเอาถังปาหัวแล้วนะครับ!”
“หื้อ?” เด็กหนุ่มทั้งหลายหยุดเล่นกันโดยฉับพลันพร้อมหันไปยังจุดที่ฟุริฮาตะชี้ “อ้าวเฮ้ย! เล่นเตรียมฆ่ากันเลยเหรอ!? โค้ช!”
“ใครใช้ให้เล่นกันไม่เลิกล่ะ? และแค่นี้พวกนายไม่ตายง่ายๆ หรอก” ชายหนุ่มที่เตรียมถังเหล็กไว้หลายใบเตรียมโยนใส่ลูกศิษย์สุดแสนกวนของตนตอบกลับหน้าตาย
“ไม่ตายแต่ก็เจ็บนะครับ!” ฮานามิยะเดาได้เลยว่าถ้าโดนของในมือโค้ชหนุ่มปามาจริงๆ ล่ะก็...เลือดอาบแน่
“ถ้าโดนแล้วเจ็บก็จำบ้างสิ อย่ามาเล่นมาป่วนกันบ่อยนัก...” ชายหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย “...แล้วพวกนายรีบๆ มากินข้าวเลย จะได้เตรียมซ้อมในภาคบ่ายต่อ”
“ครับๆ” เด็กหนุ่มทั้งหลายขานรับ ทางโค้ชหนุ่มที่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจแล้วก็เดินจากไปเพื่อทำงานอย่างอื่นของตนต่อ
“วันนี้โค้ชโหดจังแฮะ...สงสัยหัวเสียเรื่องรายงานค่าซ่อมห้องเปลี่ยนชุดในคราวนี้แหง” เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเดินจากไปแล้วมิบุจิก็เริ่มบ่นขึ้นมาคนแรก
“จะหัวเสียทำไมอ่ะ? ก็เก็บแล้วนิ...” ฮายามะทำหน้ามุ่ย
“เออ เก็บแล้วแต่นายเล่นทำข้าวของพังด้วยนี่หว่า” เนบุยะพอเข้าใจอยู่ว่าถ้าเป็นเรื่องห้องเปลี่ยนชุดแล้ว...มันก็สมควรหัวเสียจริงๆ นั้นแหละ
“ใช่ ทั้งม้านั่ง ตัวล็อกล็อกเกอร์ กระจก ตะกร้าใส่ผ้า แม้แต่หลอดไฟนายก็ทำพังแบบนี้เนี่ยทำให้ต้องเสียงบซ่อมแซมบานเบอะแหง” ฮานามิยะไม่แปลกใจเลยถ้าโค้ชหนุ่มอยากจะเชือดคนทิ้งเพราะเหตุนี้
“น่าๆ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ยังไงก็แก้ไม่ได้แล้ว...ว่าแต่แล้วนายจะทำไงกับน้องนายล่ะมิบุจิ?” อิมาโยชิเอ่ยพลางชี้ที่เด็กชายที่ยืนงงๆ อยู่กับบทสนทนาของเด็กหนุ่มทั้งหลายเนื่องจากไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อเช้า
“...ก็ให้นั่งดูการซ้อมอยู่นี่แหละครับ ผมไม่อยากให้โคจังไปไหนมาไหนคนเดียวเท่าไหร่นักหรอกครับในช่วงบ่ายเนี่ย” มิบุจิตอบกลับทันที...ถึงแม้เขาไม่อยากให้โค้ชจังติดเชื้อ (?) จากพวกนี่ แต่เขาก็ไม่อยากให้โคจังกลับบ้านคนเดียวเช่นกัน...
...ก็เล่นมีข่าวคนร้ายลักพาตัวเด็กในช่วงอายุแปดถึงสิบห้าปีที่เดินคนเดียวไปทำมิดีมิร้ายแถวๆ นี่นิ แถมยังมักเลือกลงมือตอนช่วงเวลาบ่ายถึงเที่ยงคืนที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนร้ายโลกไหนเลือกลงมืออีกต่างหาก...แล้วแบบนี้เขาจะปล่อยให้กลับคนเดียวได้ไงล่ะ?...
“สมควรล่ะ ข่าวช่วงนี้ยิ่งน่ากลัวอยู่...” เนบุยะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่เพื่อนตนไม่อยากให้เด็กช้ากลับไปคนเดียวนัก ยิ่งตอนนี้ใกล้เวลาบ่ายซึ่งเป็นเวลาลงมือของคนร้ายด้วยแล้วด้วย
“นั้นสิเนอะ~~~” ฮายามะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนที่จะแว๊บไปเกาะฟุริฮาตะ “นี่ๆ ชิวาว่าคุง...มาเล่นกันเถอะเนอะ!”
“ชิวาว่า?” ฟุริฮาตะชี้ที่ตนเองเป็นเชิงถามว่าหมายถึงตนหรือ
“ไปเรียกโคจังแบบนั้นได้ไงห๊า!? โคทาโร่จัง!” มิบุจิยกเท้าถีบคนที่บังอาจเรียกน้องตนเป็นชิวาว่าอย่างรวดเร็ว
“แอ๊ก! เจ็บนะครับ! พี่เรโอะใจยักษ์ใจมาร!” ฮายามะที่โดนถีบกลิ้งโวยลั่นก่อนท่จะเด้งตัวลุกขึ้นยืนแล้วใส่เกียร์ไรจูเผ่นทันที เมื่อมิบุติเริ่มกระตุกยิ้มเหี้ยมออกมา
“นี่ปากหรือย่ะ!? กลับมานี่เลยนะโคทาโร่จัง! นี่ลืมอีกแล้วใช่ไหมที่บอกให้คิดก่อนพูดน่ะ!!!” มิบุจิวีนแตกพร้อมเริ่มไล่ล่าฮายามะ
“เฮ้ย! เรโอะ! โคทาโร่! อย่าวิ่งไล่กันสิวะ! เดี๋ยวโดนโค้ชเล่นหรอก!” เนบุยะที่เห็นเพื่อนตนทั้งสองวิ่งไปก็ทำการวิ่งตามไปห้าม...ที่จริงจะไม่ห้ามเลยถ้าไม่ติดว่าถ้าสองคนนี้ทะเลาะกันทีไรตอนโดนลงโทษโค้ชมักพวงเขาเข้าไปด้วยเนี่ย!
“...โชคดีแฮะ ที่นายไม่เพี้ยนตามพวกนั้น” ฮานามิยะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางลูบหัวเด็กชายเล่น “ว่าแต่พวกนั้นบอกนายไม่ใช่น้องแท้ๆ ของมิบุจิ...งั้นชื่ออะไรล่ะ?”
“ฟุ...ฟุริฮาตะ โคกิครับ” ฟุริฮาตะตอบคนอายุมากกว่า
“ฟุริฮาตะสินะ? ส่วนฉันฮานามิยะ มาโคโตะเป็นเพื่อนร่วมทีมของไอ้สามตัวที่วิ่งไปเมื่อกี้นี่ และนี่...” ฮานามิยะชี้ที่ตนเองก่อนที่จะเบนนิ้วไปยังคนหน้าจิ้งจอก “...หมอนี่ชื่ออิมาโยชิ โชอิจิเป็นรุ่นพี่พวกฉัน แต่ทางที่ดีอย่างเข้าใกล้เลยดีกว่านะ”
“อ้าวๆ ไหงพูดงั้นอ่ะฮานามิยะ~~~~” อิมาโยชิลากเสียงยาวแบบให้ชวนสยองเล่น “เดี๋ยวแกล้งซะนิ”
“ไม่ต้องเว้ย! ไอ้ปีศาจหน้ายิ้ม!” ฮานามิยะรีบลี้ภัยไปหลบหลังเด็กชายทันที...ถึงจะดูแปลกๆ ที่เอาเด็กมาเป็นโล่ แต่ถ้ามันทำให้เขารอดจากไอ้ปีศาจนี่ก็เอาล่ะวะ!
“...” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ พลางมองคนที่หลบหลังตนกับคนหน้าจิ้งจอกที่...เริ่มป่วนกันเองแล้ว ก่อนที่จะเบนสายตาไปยังพี่สาว (?) ไม่แท้ของตนที่กำลังล็อกคอคนผมสีคาราเมลอยู่อย่างปลงๆ ...
...ตกลงนี่...พี่เรโอะจะได้กินข้าวเที่ยงไหมเนี่ย?...
ในท้ายที่ทุกเหตุการณ์วุ่นวายในเวลาพักกลางวันก็จบลงด้วยการที่โค้ชหนุ่มเกิดความดันต่ำแล้วเอาถังโยนใส่หัวแต่ล่ะหน่อที่ก่อความวุ่นวายเข้าจริงๆ และฟุริฮาตะต้องทำหน้าที่ทำแผลให้คนที่โดนถังลอยเข้าหาไปโดยปริยายเนื่องจากว่าโค้ชหนุ่มเกิดเครียดจังหรือนึกคึกอะไรไม่รู้บอกว่าถ้าใครทำแผลให้ตัวป่วนพวกนี่จะให้ฝึกเพิ่มสองเท่า เลยไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยนอกจากเด็กชายที่ไม่เกี่ยวอะไรกับคนในชมรมอยู่เท่านั้น...
...หลังจากความวุ่นวายชวนปวดกบาลผ่านไปเด็กหนุ่มที่เล่นกันจนโดนถังปาหัวก็พากันมากินมื้อเที่ยงต่อจากที่ค้างไว้ตอนแรก และเมื่อทานเสร็จก็กลิ้งเล่นรออาหารย่อย (?) พลางเล่นกับฟุริฮาตะไป
...เมื่อถึงเวลาซ้อมทุกคนก็ไปซ้อมตามโปรแกรมที่ถูกจัดไว้ตามปกติ...จะมีที่ต่างจากปกตินิดหน่อยก็แค่มิบุจิไม่ยอมไปซ้อมดีๆ เพราะอาการติดน้องกำเริบจนถูกฮานามิยะลากไปนั่นแหละ
...ตลอดช่วงบ่ายฟุริฮาตะเองก็ทำเพียงนั่งดูเงียบๆ อย่างมีมารยาท...มากกว่าพวกปีสามบางคนอีก จนโค้ชหนุ่มอดพูดติดตลกกับเด็กชายไม่ได้ว่า ‘วันหลังสอนไอ้พวกนี่ให้เป็นผู้เป็นคนหน่อยก็ดีนะ’ อีกแหน่ะ
...พอการซ้อมในช่วงบ่ายจบลงทุกคนในโรงยิมก็พากกันแยกย้ายกลับบ้านด้วยความเร็วแสง เช่นเดียวกับพวกมิบุจิ...ที่พอโค้ชบอกให้แยกย้ายปุ๊บ ก็พากันวิ่งไปเปลี่ยนชุดก่อนหมู่เลย แถมพอเปลี่ยนชุดเสร็จมิบุจิยังจัดการอุ้มน้องชายตนแล้ววิ่งออกไปนอกรั้วโรงเรียนอย่างรวดเร็วราวกับว่ากลัวจะโดนจับไปซ้อมต่ออย่างไรอย่างงั้น
...และหลังจากนั้นเหล่าเด็กหนุ่มก็พากันเดินไปคุยไปตามประสา โดยที่มิบุจิก็ปล่อยตัวฟุริฮาตะลงกับพื้นให้เดินเองแล้วด้วยความที่ว่าโดนเด็กชายทักท้วงนั้นเอง
“วันนี้โค้ชโหดจังเนอะ~~~~” เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลลากเสียงยาว
“นั้นสิ...สงสัยวัยทองแหง” เนบุยะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฉันว่าที่เป็นแบบนี้เพราะโค้ชอยากแก้เผ็ดพวกเราที่ทำห้องเปลี่ยนชุดพังมากกว่า” มิบุจิเอ่ยเสียงแผ่วด้วยความเหนื่อย...ทั้งกายและใจเลย...
...เหนื่อยกายจากการซ้อม ส่วนเหนื่อยใจนี่...มาจากไอ้พวกในชมรมที่ดันมาเมาส์ให้เขาได้ยินว่าอยากจีบโคจังน่ะสิ!
...หยึ้ย! คิดแล้วปึ้ด! พวกแกลองมาสิย่ะ! แม่จะถีบส่งให้! ฉันไม่ยกโคจังให้ใครง่ายๆ หรอก!...
“ถ้าแบบนั้นก็ไปลงที่ฮายามะมันคนเดียวเด้! มาลงกับทั้งทีมทำไมวะ!?” ฮานามิยะบ่นอุบอิบ
“โค้ชชอบใช้กฏหมู่ก็รู้นิ...” อิมาโยชิยังมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนดวงหน้าตามปกติเอ่ยเหมือนไม่คิดอะไร แม้สีหน้าจะแสดงถึงความล้าเต็มทีก็ตาม “...แต่รู้สึกโค้ชจะยอมอ่อนให้ฟุริฮาตะคุงนะ...ตอนแรกฉันเห็นว่าโค้ชกะจะให้ฝึกมากกว่านี้ แต่ฟุริฮาตะคุงไปพูดอะไรไม่รู้โค้ชเลยยอมปล่อยมาเนี่ย”
“เอ๊ะ? จริงดิ?” เด็กหนุ่มทั้งหลายเบนสายตาไปยังคนที่เด็กสุดในกลุ่มขณะนี่
“นี่ไปพูดอะไรกับโค้ชเหรอโคจัง?” มิบุจิถามอย่างอยากรู้
“ผมแค่บอกคุณลุงเขาว่าทุกคนดูเหนื่อยจนใกล้เป็นลมแล้ว ถ้าซ้อมต่อมีหวังสลบกันจริงๆ แน่แค่นั้นเองครับ” ฟุริฮาตะตอบไปตามตรงด้วยความซื่อ
“งั้นถ้าให้เดา...โค้ชคงหงุดหงิดเรื่องงานบวกค่าซ่อมแซมห้องจนลืมดูสังขารแต่ล่ะคนแหงวันนี้เลยโหดนักเนี่ย...” ฮานามิยะถอนหายใจออกมาเบาๆ “...ยังดีที่ฟุริฮาตะยังเตือนสติโค้ชทันก่อนที่ใครจะเป็นลมไปก่อนจริงๆ นะเนี่ย”
“แบบนี่คงขอบคุณชิวาว่าคุงแฮะ แอ๊ก! เจ็บนะ! ทำไมวันนี้ขยันทำร้ายกันจังเลยอ่ะพี่เรโอะ!?” ฮายามะที่ถูกบาทางามๆ ถีบเข้าที่กลางหลังเต็มๆ โวยลั่น
“ก็บอกให้เลิกเรียกโคจังแบบนี้กี่รอบแล้วล่ะย่ะ!?” คนหน้าสวยค้อนใส่เด็กหนุ่มที่พูดไม่รู้จักจำ
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย! ชิวาว่าคุงก็ไม่ว่าอะไรสักหน่อย!” ฮายามะทำแก้มป่อง
“แต่ก็ไม่ควรย่ะ!” มิบุจิเขกเข้ากลางหัวสีคาราเมลเต็มแรง
“เฮ้ๆ อย่าทะเลาะกันอีกรอบสิ วันนี้เพิ่งโดนถังปาหัวมันทั้งหมู่ยังไม่เข็ดหรือไง” เนบุยะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองเด็กชายผมสีน้ำตาลที่ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนอย่างเห็นใจนิดๆ ที่อีกฝ่ายกลายเป็นประเด็นในการเถียงกันที่แสนจะไร้สาระของเพื่อนทั้งสองของตนไปแล้ว
“พูดไปก็เท่านั้น ปล่อยๆ ไปเถอะ” อิมาโยชิมองรุ่นน้องทั้งสองของตนทะเลาะกันอย่างขำๆ
“แต่ให้ทะเลาะไปเดินไปแบบนี้เดี๋ยวก็มีสะดุดหัวทิ่มกันหรอก” ฮานามิยะที่นานๆ ทีจะพูดแบบไม่ยัน... (ไม่ยันเว้ย! เอาดีๆ ให้ได้ตลอดบ้างเถอะยัยชิโกะ!!! // ฮานามิยะ , แหม ขี้บ่นจังนะตัวเธอ // s) ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“แต่ยังไงก็รับรองว่าพวกนี่ไม่ตายชัวท์ล่ะ” อิมาโยชิยักไหล่น้อยๆ ...อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่ามิบุจิกับฮายามะต่อให้ทะเลาะกันยังไงก็คงไม่มีทางถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสหรือตายง่ายๆ หรอก
“ปากคุณนี่ฟังแล้วชวนจิ้ดมากเลยนะครับขอบอก” ฮานามิยะค้อนใส่รุ่นพี่หน้าเจ้าเล่ห์จนน่าจับไปแสดงเป็นตัวโกงในหนัง (อ้าวๆ ไหงมาแซะฉันแทนล่ะ? // อิมาโยชิ , แซะฮานามิยะเยอะแล้ว ขอแกล้งนายบ้างเถอะ // s , ดีๆ แกล้งเยอะๆ เลย // ฮานามิยะ , ทีนี่สนับสนุนเชียวนะ // อิมาโยชิ)
“ปากนายก็พอๆ กันล่ะน่า” อิมาโยชิตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่จะ...แหย่ให้ฮานามิยะประสาเสียเล่นต่อ
“อย่าเพิ่งมาทะเลาะกันอีกคู่ดิ ทะเลาะกันให้เด็กดูมันม...อ้าวเฮ้ย! หายไปไหนแล้ว!?” เนบุยะถึงกับร้องลั่นหลังจากที่ล่ะสายตาจากเด็กชายไปเพียงไม่กี่นาทีแล้วพอเบนสายตากลับมาพบว่า...ร่างของน้องชายไม่แท้ของเพื่อนตนได้หายไปเสียแล้ว “เรโอะๆ! หยุดทะเลาะกับโคทาโร่มันก่อน! น้องนายหายนะเฟ้ย!”
“ห๊า!?” เมื่อได้ยินคำพูดของเนบุยะ มิบุจิก็เลิกเถียงกับคนผมสีคาราเมลแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ทันที...แต่ก็ไม่พบร่างของเด็กชายผมสีน้ำตาลที่คุ้นเคยเลย “โคจัง!? หายไปไหนล่ะเนี่ย!? โคจัง!!!”
“เฮ้ย! เดี๋ยว! อย่าวิ่งโร่ไปคนเดียวเซ่!” อิมาโยชิรีบคว้าคอเสื้อคนหน้าสวยไว้อย่างทันทวนที “เดี๋ยวหายไปอีกคนล่ะยุ่งเลย!”
“แต่ผมห่วงโคจังนี่ครับ!” มิบุจิเถียงกลับ...เพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างโคจังไม่มีทางเดินไปไหนเสียเฉยๆ โดยไม่บอกแน่และไม่มีทางเดินตามคนแปลกหน้าไปง่ายๆ ด้วย ดังนั้นการที่อีกฝ่ายหายไปย่อมหมายความว่าเกิดเรื่องหรือไม่ก็ความซวยลอยเข้าหาน้องเขาอีกแหง! “ไม่รู้ล่ะ! ผมจะไปหาโคจัง!”
...ยิ่งรายนั่นความซวยชอบวิ่งหาราวกับเจ้าตัวเป็นแม่เหล็กดึงดูดความซวยอยู่! ถ้าเกิดไม่รีบหาตัวให้เจอต้องแย่แน่!...
“เดี๋ยวเซ่! รอฉันด้วย!” อิมาโยชิมองรุ่นน้องตนที่ทิ้งเสื้อนอกไว้กับเขาแล้ววิ่งไปตามหาน้องชายตนหน้าด้านๆ ก่อนที่จะวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันไปด้วยสิ!” เนบุยะวิ่งตามไป
“รอด้วยคน!” ฮายามะเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองของตนวิ่งไปก็ตามไปอีกคน
“อ้าวเฮ้ย! อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวสิ! รอด้วย!!!” ฮานามิยะซึ่งถูกทิ้งไว้คนเดียวก็ทำการตามแต่ล่ะหน่อไปโดยหวังว่า...จะไม่มีเรื่องชวนจิตตกตามมาอย่างที่ตนกำลังสังหรณ์ในยามนี่ตามมาจริงๆ เป็นของแถม
“...หายไปไหนหมดอ่ะ?” น้ำเสียงสั่นๆ ดังออกมาจากปากเด็กชายผมสีน้ำตาลที่ยืนเพื่อลำพังท่ามกลางความเงียบงัน ดวงตาสีน้ำตาใสกวาดมองไปรอบๆ เพื่อตามหน้ากลุ่มของพี่สาว (?) ของตน
...ก้มผูกเชือกรองเท้าแป๊บเดียวไหงหายกันไปหมดเลยล่ะคร้าบบ หรือเขาเตี๊ยมากจนโดนมองข้ามหว่า?...
เด็กชายพยายามคิดแบบติดตลกเพื่อคลายความกลัวลงพลางก้าวเดินไปตามทางเผื่อว่าจะบังเอิญเดินไปเจอกับเหล่าเด็กหนุ่มที่ตนพลัดหลงมา แต่แล้ว...
“นี่หนู...มาทำอะไรคนเดียวมืดๆ ค่ำๆ น่ะ?” ...ก็มีเสียงแหบๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น เรียกให้ฟุริฮาตะหันกลับไปมองยังต้นเสียง “เดินคนเดียวมันอันตรายนะ ให้ลุงไปส่งไหม?”
“ไม่ล่ะครับ...ผมรอพี่อยู่น่ะครับ” ฟุริฮาตะมองชายชราที่เดินมาหาตนอย่างไม่ไว้ใจนัก แต่ก็เอ่ยปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
“เหรอ...งั้นให้ลุงรอเป็นเพื่อนไหม?” ชายชราถามต่อ
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ...ผมรอคนเดียวได้ พี่ผมเขาไปไม่นานหรอกครับ” ฟุริฮาตะปฏิเสธอีกรอบ
“แต่ลุงกลัวเธอเหงาาาาา” ชายชราลากเสียงยาวชวนหลอน
“ไม่เหงาหรอกครับ แค่นี้สบายมาก” ฟุริฮาตะตอบก่อนไปก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อมีบางอย่างมาสัมพัสที่ก้นของตน
“เหรอ? แต่ลุงว่าตัวเธอสั่นๆ นะ...” ชายชราเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “...สนใจไปกินหนมกับลุงไปพลางก่อนไหม?”
“ม...ไม่!!!” ฟุริฮาตะที่รู้สึกได้ถึงอันตรายที่พุ่งเข้ามาหาตนรีบหาทางหนี แต่ว่ากลับถูกแขนของชายชราล็อกตัวไว้เสียก่อน “ปล่อยผมนะ!!!”
“ไม่ และเงียบๆ หน่อยสิหนู...เดี๋ยวมีคนคนมาเจอหรอก...” ชายชราลากตัวฟุริฮาตะไปหลบที่หลังพุ่มไม้ มือหยาบข้างหนึ่งปิดปากเด็กชายเอาไว้โดยที่มืออีกข้างหยิบผ้าเซ็ดหน้าออกมาแล้วยัดใส่ปากเด็กชายเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้อง “...อย่าดิ้นสิหนู แบบนี้ลุงจัดการลำบากนะ”
...แล้วเรื่องอะไรจะอยู่นิ่งๆ เป็นปลาตายเหล่า!...
ฟุริฮาตะโวยในใจพร้อมดิ้นให้แรงกว่าเดิมเผื่อว่าจะหลุดจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้
“ดื้อเหมือนกันนะเนี่ย” ชายชราเอาเทปแล็ตซีนออกมาจากไหนไม่รู้แล้วนำมามัดมือฟุริฮาตะอย่างรวดเร็ว “คงต้องลงโทษเด็กดื้อหน่อยแล้วเนอะ?”
“อื้อ!?” ฟุริฮาตะส่งเสียงร้องในลำคอเมื่อชายชรานั้น...เริ่มถอดเสื้อของตนออก!!!
“อา เด็กๆ นี่ผิวนุ่มนิ่มดีจังเลยเนอะ...” มือของชายชราเริ่มลูบไล้ไปตามผิวกายของเด็กชายก่อนที่จะจับตัวอีกฝ่ายให้ลงไปนอนกับพื้น “...น่าอร่อยจริงๆ นะเธอเนี่ย”
“อือ!!! อื้อๆๆๆๆ!” ฟุริฮาตะร้องออกมาอย่างหวาดกลัว ดวงตาสีน้ำตาลมนเริ่มคลอไปด้วยน้ำตา
“โอ๊ะๆ อย่าร้องสิหนู...” ชายชรายิ้มร่า “...เพราะแบบนี้...ลุงยิ่งอยากทำนะ”
“!!!” ฟุริฮาตะแทบหลุดร้องออกมาไม่เป็นภาษากับการกระทำของอีกฝ่ายที่...กระชากกางเกงของตนออกไปอย่างรวดเร็ว!
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวลุงจะพยายามทำให้หนูไม่เจ็บนะ” ชายชรามองเด็กชายที่ตัวสั่นงกๆ แล้วเอามือข้างหนึ่งกดข้อมือซึ่งถูกเทปพันเอาไว้ ส่วนอีกมือนั้นค่อยๆคืบคลานไปยังช่องทางเบื้องล่างที่ยามนี้ไร้สิ่งใดปกปิด
“อื้อ!?!?!” ฟุริฮาตะถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อมีบางอย่างถูกสอดเข้ามาในร่างตนพร้อมความรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก่อตัวขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
...จ...เจ็บ!...
...ม...ไม่เอานะ!...
...ใครก็ได้...ช่วยด้วย!...
...ช่วยผมด้วย...พี่เรโอะ...
...พี่เรโอะ!!!...
“นี่นายทำบ้าอะไรกับน้องฉันห๊า!? ไอ้ตาแก่ตัณหากลับ!!!” ในยามที่ความหวาดของเด็กชายกำลังจะไปถึงขีดสุดก็มีบาทางามๆ ของใครบางคนถีบชายชราออกไป เท่านั้นไม่พอคนที่ถีบชายชราเมื่อครู่ยังย่างสามขุมไปจัดการตื้บรายนั้นต่ออีกกระทงอีกด้วย
“เฮ้! ปลอดภัยดีไหม!?” เสียงตะโกนหลายเสียงดังขึ้นแบบที่เด็กชายซึ่งตื่นกลัวไม่อาจแยกได้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใครก่อนจะตามมาด้วยร่างของเด็กหนุ่มสี่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีวิ่งมาหา
“ยังไม่โดนอะไรใช่หรือเปล่า?!” เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลที่วิ่งมาถึงฟุริฮาตะคนแรกในหมู่สี่คนรีบแกะเทปและดึงผ้าออแจากปากเด็กชายทันที ทางเด็กชายเมื่อหลุดรอดจากวิกฤษมาได้ก็...ร้องโฮออกมาเลย “อ้าวเฮ้ย! น...นี่ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ!?”
“ไอ้บื้อ! ใครเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ก็ต้องขวัญเสียอยู่แล้วล่ะวะ!” เด็กหนุ่มผมดำคิ้วหนาค้อนใส่เพื่อนตนก่อนที่จะถอนเสื้อนอกคลุมร่างเด็กชายไว้
“นานๆ ทีพูดอะไรดีๆ เป็นเหมือนกันนิฮานามิยะ” หนุ่มแว่นหน้าจิ้งจอก (?) เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนแปลกใจ
“อิมาโยชิซัง...พูดงี้หาเรื่องกันใช่ไหมครับ?” ฮานามิยะคิ้วกระตุกนิดๆ พลางรู้สึกคันเท้ายิบๆ แต่ว่าจะถีบอีกฝ่ายก็ไม่ได้เนื่องจากรายนี่หลบได้ตลอดบวกกับ...ในยามนี่พวกตนนั้นควรปลอบเด็กชายที่กำลังขวัญเสียอยู่เป็นอันดับแรกมากกว่าที่จะทะเลาะกันเอง (แม่เจ้า...ฮานามิยะทำตัวเป็นคนดีได้ด้วย! // s , พูดงี้กวนกันหรือไงห๊า!? ยัยชิโกะ! กลับไปเขียนต่อไป๊! // ฮานามิยะ , จ้าาาาาา // s)
“เปล่าาาา” อิมาโยชิลากเสียงยาวอย่างน่าถีบ
“คุณนี่มัน...เฮ้อ ช่างเถอะ ตอนนี้ผมว่าควรให้ใครสักคนไปห้ามมิบุจิมันก่อนที่จะตื้บคนตายเข้าจริงๆ นะ” ฮานามิยับู้ใบ้ไปยังคนหน้าสวยที่กำลังตื้บคนอย่างเมามันส์ “แล้วนี่มีใครเรียกตำรวจมายังเนี่ย? ถ้ายังฉันจะได้โทร”
“ฉันโทรเรียกพี่ฉันมาน่ะ...” เนบุยะตอบ “...ส่วนเรโอะมัน...โคทาโร่นายไปห้ามแล้วกัน ฉันยังไม่อยากโดนลูกหลง”
“แหม ส่งฉันไปเป็นหน่วยกล้าตายเฉยเลยนะเอย์จัง” ฮายามะบ่นอุบ แต่ก็ยอมวิ่งไปห้ามมิบุจิที่กำลังกระทืบคนอยู่อย่างรวดเร็ว
“พี่นายเป็นตำรวจดิ?” อิมาโยชิเหล่มองคนผมสีคาราเมลที่วิ่งจากไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามกับเนบุยะ
“เออ ตำรวจสองนักธุรกิจหนึ่งน่ะครับ” เนบุยะเอ่ย
“พี่ชายอาชีพดีแบบนี้ต่อให้นายตกงานคงเกาะพี่นายกินได้สบายๆ เลยนะเนี่ย” อิมาโยชิแซวรุ่นน้องตนเล็ก
“แต่ผมไม่หน้าด้านขนาดเกาะพี่ตัวเองกินนะครับอิมาโยชิซัง” เนบุยะเถียงกลับด้วยน้ำเสียงคล้ายตบมุข เนื่องจากพอเดาสาเหตุที่รุ่นพี่ตนเล่นมุขเช่นนี้ออกมาในสถานการณ์เช่นนี้ได้นั่นเอง ยากนั้นทั้งสองก็พากันเล่นส่งมุขตบมุขไปโดยมีฮานามิยะมาร่วมวงด้วยเป็นครั้งคราว...
“โคจางงงงงง!!!” ...และในระหว่างที่เล่นส่งมุกรับมุกกันไปได้สักพักใหญ่ๆ จนทำให้เด็กชายหยุดร้องไห้ได้แล้ว มิบุจิที่ตื้บคนจนพอใจแล้วก็พุ่งเข้ามาหาฟุริฮาตะด้วยความเร็วแสง “แงงงงงง!!! ห่วงแทบตายแหน่ะะะะะ!!! อย่าหายไปไหนอีกนะ~~~~~!!!”
“ครับ ขอโทษครับ ผมไม่หายไปไหนแล้วล่ะครับพี่เรโอะย...อย่าร้องสิครับ...” ฟุริฮาตะที่เพิ่งหยุดร้องไห้มาหมาดๆ เริ่มเปลี่ยนบทจากคนถูกปลอบเป็นคนปลอบแทน
“...ดูท่าเรโอะมันจะหายจากโหมดคลั่งแล้วสินะ?” เนบุยะมองคนหน้าสวยที่งอแงใส่คนอายุน้อยกว่าด้วยความโล่งอก...อย่างน้อยก็กลับโหมดเดิม (?) ได้เร็วหน่อยล่ะ
“น่าจะแล้วแหละ...แต่พี่เรโอะโหมดคลั่งนี่น่ากลัวเสมอต้นเสมอปลายดีจริงๆ” ฮายามะเดินตามกลับมาในสภาพที่...ราวกับไปฟัดกับหมามา ตามเนื้อตามตัวเด็กหนุ่มผมสีคาราเมลยามนี้เต็มไปด้วยฝุ่นและรอยช้ำ ปากแตก หัวแตกจนเลือดไหลซิบอย่างน่ากลัว หากแต่บนดวงหน้าของเด็กหนุ่มยังคงป่ะดับด้วยรอยยิ้มดังเดิม
“เฮ้ๆ นี่มิบุจิตื้บนายไปด้วยเหรอเนี่ย?” อิมาโยชิถามอย่างแปลกใจ...ปกติมิบุจิต่อให้เดือดขนาดไหนเขาก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับไอ้พวกนี่หนักขนาดนี้เลยสักครั้ง
“พี่เรโอะโหมดคลั่งลงมือโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแบบนี้ตลอดแหละฮ้าฟ” ฮายามะตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก “แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่พี่เรโอะลงมือหนักขนาด...อัพเลเวลหรือไงหว่า?”
“ฉันว่าเพราะโกรธจัดมากกว่า...” ฮานามิยะเหล่ามองคนหน้าสวยที่ร้องไห้ให้เด็กปลอบอยู่พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความปลง แต่ก็เลือกที่จะปล่อยให้มิบุจิงอแงใส่เด็กชายต่อไปด้วยความที่ว่า...ไม่อย่างเจอโหมดชวนสยองของอีกฝ่ายให้จิตตกเล่นนั่นเอง...
...หลังจากนั้นสักพักเสียงรถตำรวจก็ลอยแววมาและตามด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายกรูเข้ามายังสถานที่ที่เด็กหนุ่มทั้งหลายยืนอยู่ โดยที่คนที่วิ่งเข้าหากลุ่มเด็กหนุ่มก่อนใครเพื่อนเลยคือชายหนุ่มผมสีดำคนหนึ่งหรือก็คือหนึ่งในพี่ชายของเนบุยะที่มาดูว่าน้องตัวเองปลอดภัยหรือเปล่า (ตอนนั้นยังไม่เป็นกอริล่า พี่เลยยังห่วง // s , เป็นชายกล้ามงามมันผิดตรงไหน!? ว่ากันจริง! // เนบุยะ) พอเห็นว่าพวกเด็กหนุ่มนั้นดูไม่มีใครมีอะไรผิดปกตินอกจากคนผมสีคาราเมลที่คุ้นหน้าดีนั้นตามตัวเต็มไปด้วยบาดแผลกับเด็กชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อที่หลวมราวกับไปขโมยของใครมาใส่ ก็ทำการตรวจสถานที่ที่น้องตนบอกว่าเพื่อนตัวเองฆาตกรรม (?) คนร้ายโรคจิตที่เป็นข่าวอยู่ในระยะนี่
...แล้วนายตำรวจก็ถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อ...พบร่างชายชราที่นอนชักกระแด๊กๆ ใกล้ตายอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยนั่นเอง พอเห็นแบบนี้นายตำรวจเนบุยะก็พอรู้ได้ในทันทีว่าฝีมือใครเพราะเคยเห็นโหมดคลั่งของเพื่อนน้องชายตนมาหนหนึ่งแล้ว และเพราะเหตุนี้นายตำรวจหนุ่มจึงจำต้องหันไปอธิบายกับเพื่อนร่วมอาชีพของตนง่ายๆ ว่าสาเหตุที่คนร้ายบาดเจ็บมาจากการป้องกันตัวของผู้เสียหาย อย่าได้ตกใจอะไร เลยทำให้ปัญหาจบลงโดยที่ไมมีใครถามอะไรให้เหล่าเด็กหนุ่มหัวเสียเล่นนัก
...แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ต้องไปให้ปากคำที่โรงพักอยู่ดี
“ให้ตายเถอะ พวกนายนี่ซวยชะมัดที่มาป่ะกับคนร้ายเนี่ย...” นายตำรวจหนุ่มบ่นขณะจับเหล่าเด็กหนุ่มบวกเด็กชายอีกหนึ่งเข้าหลังรถเพื่อพาไปที่โรงพัก “...อ่ะ ไม่สิ...คนซวยน่าจะเป็นตาลุงนั้นมากกว่าที่โดนเรโอะตื้บเนี่ย”
“อย่าพูดงั้นสิครับอันเซย์ซัง...แบบรายนั้นต้องเรียกว่ารับกรรมที่ก่อไว้ต่างหากล่ะครับ” มิบุจิแย้งกลับ
“ก็นะ” เนบุยะ อันเซย์ยักไหล่เล็กน้อย...เขาไม่เถียงหรอกว่ารายนั่นสมควรโดนจริงๆ นั้นแหละ “แต่คนที่ซวยจริงๆ คือโคทาโร่ใช่ไหม? เละซะ”
“แหม...ก็มันเพลินไปหน่อย” มิบุจิทำเสียงอ้อมแอ้ม
“เฮ้! ไอ้เซย์! แกเลิกคุยแล้วรีบพาเด็กๆ ขึ้นรถเลย! ไม่งั้นถ้าเกิดสอบปากคำเสร็จช้าขึ้นมาแล้วพวกนี่กลับดึกที่บ้านจะเป็นห่วงเอา!” นายตำรวจอีกคนที่ดูแก่ เฮ้ย! อาวุโสพอสมควรเอ่ย
“หรือเอาจริงๆ คือคุณอยากกลับไปอ้อนเมียสินะครับไดสุเกะซัง” เซย์แซวอีกฝ่ายเล่น
“ไม่ต้องพูดมากเลย! รีบขึ้นรถได้แล้ว! ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ!...” ดวงตาสีน้ำเงินของนายตำรวจนามไดสึเกะค้อนใส่อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนที่มองข้ามชายหนุ่มมองไปไกลๆ “...แต่ดูท่าจะไม่ทันแล้ววะ ไอ้ม่วงมันมาแล้ว”
“ห๊า? นี่อย่าบอกนะว่า...” เซย์เริ่มเหงื่อแตกนิดๆ “...ไอ้คุณโทชิมันมา...น่ะครับ?”
“ถูก และกำลังวิ่งเป็นไททันมานี่ด้วย...” ไดสึเกะชี้ไปด้านหลังชายหนุ่มที่ยามนี้...มีชายหนุ่มผมม่วงคนหนึ่งวิ่งฝุ่นตลบมา “...อยากรอให้รายนั่นมาเกาะก็เชิญเลย”
“เรื่องสิครับ! ผมไปล่ะ! ฝากพวกเอย์มันทีนะครับไดสึเกะซัง!!!” ว่าแล้วนายเนบุยะ อันเซย์ก็ใส่เกียร์หมาวิ่งไปหนีไปอย่างรวดเร็ว
“...เออ...พี่เซย์เขาหนีใครครับเนี่ย?” เนบุยะมองพี่ตนที่วิ่งหนีไปก่อนที่สักพักจะมีชายหนุ่มผมม่วงที่ดูยังไงก็สูงเกินสองเมตรแน่วิ่งตัดหน้าไปอีกคน
“อ๋อ คนที่ตามจีบมันน่ะ” ไดสึเกะตอบหน้าตายในขณะที่เนบุยะถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองทันทีเมื่อได้คำตอบ
“ห๊า! จ...จีบเหรอ!? นี่พี่โดนผู้ชายด้วยกันจีบเหรอ!?”
...นี่เขาจะได้พี่เขยมาแทนพี่สะใภ้เหรอวะเนี่ย!?...
“เออดิ” ไดสึเกะหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าอึ้งๆ ของเนบุยะ “เอ้าๆ เรื่องของไอ้อันเซย์ช่างมันเถอะ มันเอาตัวรอดได้น่า...ตอนนี่สิ่งที่พวกนายควรทำคือรีบๆ ขึ้นรถแล้วไปให้ปากคำนะ ไม่งั้นที่บ้านได้ระงมโทรหาพวกนายกันทั้งหมู่เพราะกลับดึกกันแน่”
“ครับ~~~” เหล่าเมื่อนึกถึงความจริงข้อนี่ได้ก็ขานรับแล้วพากันยัดเข้าไปในรถ...แบบแทบจะกลายเปนปลากระป๋องกันเลยทีเดียว ทางไดสึเกะเองพอเห็นว่าขึ้นรถกันมาเรียบร้อยแล้วก็ทำการออกรถทันทีเพื่อจะได้จัดการงานให้เสร็จแล้วส่งเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวลูกทั้งหลายกลับบ้านใครบ้านมันเสียที
ในท้ายที่สุดนับจากวันที่ฟุริฮาตะเกือบโดนขืนใจ (ช่วยใช้คำอื่นได้เปล่าเนี่ย? มันหลอนนะ... // ฟุริฮาตะ , ได้ แต่เราขี้เกียจพิมพ์คำที่ยาวกว่านี้น่ะ // s) ...เหตุการณ์ในวันนั้นจบลงด้วยการที่คนร้ายโดนจับแล้ววันต่อมาโดนเหล่าญาติผู้เสียหายตื้บนั่น มิบุจิก็ทำการเกาะหนึบน้องชายไม่แท้ของตนยิ่งกว่าปลิง ไปรับไปส่งถึงที่ตลอด ยิ่งเมื่อฟุริฮาตะจบชั้นประถมแล้วมาเรียนที่เดียวกันยิ่งติดหนึบร้อนถึงพวกเนบุยะที่ต้องหาทางกำราบอาการติดน้องขั้นโคม่า (?) ของเพื่อนตนเองจนทำให้อยู่ในระดับปกติได้ในที่สุด (?)
หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับสุดสภาวะปกติ เพิ่มเติมมาหน่อยคืออาการติดอาการห่วงน้องของมิบุจิ แต่ก็ไม่มากเท่าในยามแรกที่เจ้าตัวแทบไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ฟุริฮาตะเลย...ราวกับความสงบก่อนที่คลื่นลูกใหญ่จะซัดมา เมื่อยามที่มิบุจิใกล้จบปีสามแล้วพ่อแม่ของเจ้าตัวมาบอกว่า...
“ห๊า!? นี่จะให้ผมไปเรียนที่ราคุซัน!?” ...อยากจะให้ไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายที่อยู่เกียวโตหรือก็คืออยู่ห่างจากสถานที่นี่สุดแสน “แล้วก็ส่งชื่อผมไปตามทุนนักกีฬาอีก! เล่นแบบนี้ทำไมไม่มาบอกมันตอนเปิดเรียนเลยล่ะครับ!?”
...โอ๊ย! อยากกินพาราสักกำ! นี่จะทำอะไรปรึษากันหน่อยไม่ได้หรือไง!?...
“แหม อย่าดุกันนักสิลูก...ก็แม่เห็นว่าที่นั้นดีสุดนี่นา แถมลูกหลานคนในแวงวงของที่ทำงานแม่ก็ไปที่นั้นหมดด้วย” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม
“แต่อย่างน้อยควรจะถามผมหน่อยครับว่าผมอยากไปไหม!” มิบึจิโวยลั่น
“น่าๆ ถึงไปอยู่นู้นลูกก็ไม่เหงาหรอกน่า สองหน่อนั้นก็ไปด้วย” ชายหนุ่มที่เห็นว่าลูกชายตนใกล้ปรอทแตกแล้วเอ่ยก่อนที่จะ...คว้าตัวภรรยาตนเผ่นออกนอกบ้านไปใตทันที
“นั้นใช่ประเด็นเหรอครับ!?” มิบุจิโวยไล่ตามหลังพ่อแม่ตนไปอย่างหัวเสีย
...สรุป...นอกจากเขาแล้วเอย์จังกับโคทาโร่จังก็จะโดนลากไปด้วยสินะ?...
“เออ...ใจเย็นๆ หน่อยสิครับพี่เรโอะ...” ฟุริฮาตะที่โดนทิ้งไว้กับคนที่ใกล้ระเบิดยิ้มแห้งๆ “...ไปเรียนโรงเรียนดังแบบนั้นคงไม่แย่เท่าไหร่หรอกครับ”
“ด้านการเรียนไม่แย่แต่ด้านระยะทางจากที่นี่ไปที่นู้นน่ะสิ” มิบุจิเมื่อเห็นรอยยิ้มแห้งๆ ของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอารมณ์ที่เดือดอยู่นั้นก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ “แบบนี้ฉันก็ดูแลโคจังไม่ได้อ่ะสิ”
“โธ่ ผมโตพอดูแลตัวเองได้แล้วนะครับพี่เรโอะ” ฟุริฮาตะบ่นขึ้นมาเบาๆ
“ก่อนบอกว่าดูแลตัวเองได้เนี่ยตื่นเช้าเองให้มันได้ก่อนเถอะ” มิบุจิที่ดันหูดีได้ยินที่อีกฝ่ายบ่นสวนกลับแบบแทบไม่ต้องผ่านสมองเลย
“ผมตื่นเองได้นะ! แค่...สายไปนิดเดียวเอง” ฟุริฮาตะทำเสียงอ้อมแอ้ม
“ฉันว่าอย่างโคจังนี่ไม่เรียกว่านิดนะ” มิบุจิไม่คิดว่าการตื่นสายจนถ้าไม่ปลุกจะได้วิ่งไปก่อนประตูโรงเรียนปิดนิดเดียวเนี่ยเรียกว่านิดได้หรอกนะ
“แฮะๆ” คนผมน้ำตาลหัวเราะเสียงแห้งเนื่องจากเถียงไม่ออก “เอาเป็นว่าหลังจากนี่ผมดูและตัวเองได้แน่ พี่เรโอะไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ”
“แต่ยังไงฉันก็อยากอยู่กับโคจังอ่ะ” มิบุจิทำหน้าหงอย
“ถึงงั้นพี่เรโอะก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ ผมได้รับใบแจ้งว่าทางราคุซันรับพี่เรโอะเข้าเรียนไปแล้วเมื่อเช้าครับ...” ฟุริฮาตะยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้คนหน้าสวย และแน่นอนว่ามิบุจิก็คว้าสิ่งนั้นมาดูทันที “...งานนี้ยังไงก็หนีไม่รอดแล้วล่ะครับ”
“...นั้นสิเนอะ” มิบุจิคุมขมับพลางถอนหายใจออกมาด้วยความปลงกับชะตากรรมของตัวเอง...และเนื่องจากทำอะไรไม่ได้มิบุจิจึงจำต้องยอมไปเรียนที่ราคุซันจริงๆ...
...และแน่นอนว่าเมื่อรู้ว่าเหลือเวลาที่จะเกาะหนึบฟุริฮาตะอีกไม่มาก อาการติดน้องขั้นโคม่าของมิบุจิเลยกลับคืนมา...เล่นซะไม่มีใครเข้าใกล้ฟุริฮาตะได้เลยจนกระทั่งมิบุจิเรียนจบไป
...พอมาถึงช่วงปิดเทอมมิบุจิก็ทำการรำลาราวกับกำลังจะไปตาย...แถมบ่นยาวๆ ติดต่อกันทุกวันๆ ชนิดที่ว่าถ้าไม่ใจเย็นหรือใจดีหน่อยคงโดนถีบตกตึกไม่ให้มาบ่นได้อีกตั้งแต่วันที่สองแล้ว
...จนกระทั่งถึงวันใกล้เปิดเรียนที่มิบุจิต้องไปเกียวโต เจ้าตัวก็ไม่วายมาเกาะมากอดฟุริฮาตะอีก...กว่ามิบุจิจะยอมขึ้นชินคันเซ็นดีๆ คือตอนที่เนบุยะ (ที่กลายเป็นกอริล่า... // s , อย่ามัวแซะฉันให้เปลื้องกระดาษแล้วไปเขียนต่อไป! // เนบุยะ) จับลากขึ้นรถไฟนั้นแหละ
...พอมาถึงเกียวโตในช่วงแรกๆ มิบุจิก็แทบคลั่งราวคนติดยาเมื่อไม่มีใครให้กอดให้ฟัดเล่น ร้อนถึงเนบุยะกับฮายามะที่หลอนดับสภาพเพื่อนตัวเองแต่ก็จำต้องทนไม่งั้นมีแววว่ารายนี้จะหนีกลับไปกอดน้องตัวเองที่บ้านแหง จนเมื่อผ่านไปได้สักสามวัน...มิบุจิก็เริ่มทำใจได้เล็กน้อย ย้ำ ว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั่น เพราะเจ้าตัวไม่ถึงขั้นเหมือนลงแดงแต่ก็ยังโอดครวญถึงฟุริฮาตะอยู่
...จนแล้วจนรอด จากที่ตอนแรกเนบุยะกับฮายามะกะจะให้มิบุจิกับฟุริฮาตะอยู่ห่างๆ และงดไม่ให้คุยกันสักพักเผื่อว่าเพื่อนตนจะหายจากอาการติดนั้นอย่างรุนแรง (ทำไมอ่านไปอ่านมามันเหมือนกับฉันติดเชื้อซอมบี้ยังไงไม่รู้เนี่ย? // มิบุจิ , คิดไปเองมั้ง~ // s) ก็ยอมให้เรโอะคุยโทรศัพท์กับฟุริฮาตะ...เท่านั่นแหละ เด็กหนุ่มถึงกับคืนชีพทันที แถมยังหันไปงอแงใส่คนปลายสายแทนที่จะทำตัวให้คนอื่นสยองเล่นอีก ซึ่งก็ถือว่าดีอ่ะนะ
...จากนั้นเป็นต้นมา...ฮายามะกับเนบุยะก็จัดการเปลี่ยนคำขอจากไม่ให้โทรมาหามิบุจิมาเป็นขอให้ฟุริฮาตะโทรมาคุยกับมิบุจิทุกเย็นแทน เพื่อความปลอดภัยต่อสภาพจิตใจ (?) ของชาวบ้านชาวช่องและแน่นอนว่าวิธีนี้ได้ผลดีเกินคาด เพราะอย่างนอกมิบุจิก็ยอมเรียนตามปกติไม่ได้หาทางหนีกลับไปโตเกียวบ่อยนัก
...ราวกับช่วงที่สงบสุขก่อนที่ความวุ่นวายจะบังเกิดขึ้นรอบสองเมื่อ...ยามที่ฟุริฮาตะ โคกิจะเรียนจบชั้นมัธยมต้นนั้นเอง ส่วนสาเหตุของความวุ่นวายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แค่มิบุจิอยากให้อีกฝ่ายมาเรียนกับตนแต่ตัวฟุริฮาตะกลับบอกว่าไม่อยากรบกวนเรื่องค่าใช้จ่ายทางบ้านมิบุจิมากกว่านี้เลยเลือกโรงเรียนใกล้ๆ กับบ้านแทน
...ถึงแม้ว่ามิบุจิจะงอแงด้วยความขัดใจไปบ้าง แต่สุดท้ายก็...ยอมน้องตัวเองตามประสาคนติดน้องอยู่ดี
...หลังจากนั้นทุกอย่างก็เริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง โดยภายหลังมิบุจิก็รู้ว่าฟุริฮาตะได้เลือกเข้าชมรมบาสเหมือนกับตนด้วย ซึ่งนั้นหมายควมมว่าพวกเขาทั้งสองอาจได้แข่งกันเองสักครั้งก็ได้...และแน่นอนว่าถ้าเป็นงั้นจริงๆ ต่อให้เป็นน้องหรืออะไรมิบุจิก็ไม่คิดจะอ้อมมือหรอก ทางฟุริฮาตะเองก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเช่นกัน
...ว่าตามจริง...ตอนแรกมิบุจิไม่คิดว่าทีมที่น้องชายไม่แท้ของตนสังกัดอยู่จะมาเจอกันได้ด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าการแข่งในศึกแรกทีมอีกฝ่ายตกรอบไปก่อนได้เจอเขา ใครจะคิดว่าพอถึงศึกวินเทอร์คัพทีมนั้นจะก้าวมาถึงยังจุดที่พวกเขาได้แข่งกันเองในรอบชิงล่ะ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ได้ทำให้มิบุจิกลุ้มหรือกังวลอะไรเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ...ฟุริฮาตะ โคกิโดนส่งลงมาในสนามช่วงหนึ่งแล้วดันโดนให้ไปประกบกัปตันจอมโหดของตนอย่างอาคาชิ เซย์จูโร่น่ะสิ!!!
“นี่ทำอะไรลงปายยยยย!!!” เหล่าสามราชันไร้มงกุฏที่รู้จักฟุริฮาตะร้องลั่นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลถูกจับไปให้เผชิญหน้ากับมัจุราชสีแดง! โดยเฉพาะมิบุจิ...ที่แทบจะเป็นลมไปเลยด้วยซ้ำ...
...ตายๆ ตายแน่ๆ โคจังจะไหวไหมเนี่ย?! ขนาดเขาอยู่กับเซย์จังตั้งนานยังอดสยองไม่ได้เลย!...
“อ...เออ เซย์จังเขาเรียกให้ไปส่งลูกแหน่ะ...” มิบุจิเอ่ยเรียกรุ่นน้องตนเพื่อหวังว่าจะดึงอีกฝ่ายออกจากฟุริฮาตะที่สั่นราวเจ้าเข้าได้มากที่...แค่สักนิดก็ยังดี
“อื้อ” อาคาชิพยักหน้าเล็กน้อยก่อนท่จะเดินกลับไปประจำตำแหน่งตน เช่นเดียวกับฟุริฮาตะที่เดินตามไป แต่ว่า...
โครม!
...ด้วยความประมาณหรืออะไรไม่รู้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลจึงสะดุ้งขาตัวเองล้มหน้าทิ่มทันที...เล่นซะคนผมแดงอดหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาจุด จุด จุดไม่ได้
“ว้าย! ไม่เป็นไรนะโคจัง?!” ทางมิบุจิเองเมื่อเห็นฟุริฮาตะล้มก็ถึงกับหลุดมาดแล้วรีบไปประคองตัวอีกฝ่ายขึ้นมาทันท้
“ม...ไม่เป็นไรครับ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งให้คนหน้าสวย
“...เออ...เดี๋ยวนะ นี่พวกนายสองคนรู้จักกันเหรอ?” ฮิวงะถามขึ้นอย่างงงงวย หากแต่เด็กหนุ่มทั้งสองมัวแต่คุยกันเองเลยไม่ทันได้สนใจฮิวงะ เจ้าตัวเลยเหลือบสายตาไปยังเด็กหนุ่มร่างโตเพื่อเอาคำตอบแทน เช่นเดียวกับดวงตาสองสีของคนผมแดงที่เหลือบมองมาด้วยความที่ว่าอยากได้คำตอบเช่นกัน
“เออ...จะว่าไงดีล่ะ เอาเป็นว่าสองคนนี้ตัวติดหนึบกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วกัน” เนบุยะที่ไม่รู้ควรจะตอบยังไงให้สั้นที่สุดเอ่ยไปเช่นนี้ในขณะที่ฟุริฮาตะเริ่มกล่อมให้คนหน้าสวยที่เริ่มงอแงใส่ตนกลับไปประจำที่ตนเอง และต่อมากรรมาการก็ทำการเรียกให้นักกีฬาที่เล่นกันแบบไม่ดูเวล่ำเวลามาแข่งกันต่อทุกอย่างจึงถูกดึงให้กลับสู่สภาวะปกติ...การแข่งขันดำเนินไปแบบจัดเต็ม ไม่มีอ้อมมือใดๆ ทั้งสิ้นหลังจากที่มิบุจิดึงอาการติดน้องไปซ่อนในหลีบ (?) ได้แล้ว
...จากนั้นการแข่งก็เริ่มทวีความตึงเครียดขึ้นมาเมื่อยามคะแนนเริ่มที่จะสูสีกันจนต้องทำการชิงแต้มกันไปมาแบบไม่มีใครยอมใคร...แต่ท้ายที่สุดทีมราคชันก็แพ้ให้แก่เซย์รินด้วยคะแนนที่ห่างกันนิดเดียว
“ว้า แพ้ทีมโคจังซะแล่ว...แย่จังแฮะ...” มิบุจิถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมเลื้อย (?) ไปอ้อนฟุริฮาตะ “...แต่ก็เป็นการแข่งที่ดีนะโคจัง”
“นั้นสินะครับ” ฟุริฮาตะยิ้มบางๆ ออกมา “พี่เรโอะเองก็พยายามได้ดีนะครับ”
“แหม พอได้ยินโคจังชมแล้วชื่นใจจังเลย” มิบุจิเอาหน้าถูกไล่คนผมน้ำตาลตามปกติ
“หนักนะครับพี่เรโอะ...” ฟุริฮาตะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “อ๋อ จริงสิ...ผมลืมบอกไปอย่างหนึ่งนะครับ”
“มีอะไรเหรอ?” มิบุจิถามขึ้น
“คือว่า...ทางบ้านผมจะมารับผมกลับไปแล้วล่ะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“เอ๋!?” มิบุจิหลุดร้องออกมาอย่างตกใจ “จริงดิ!?”
“จริงครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้าอย่างไม่แปลกใจกับท่าทีของอีกฝ่ายนัก...ก็ขนาดเขาพอได้ข่าวยังตกใจเลย เล่นปล่อยไว้กับคนอื่นเกือบสิบปีแบบนี่แล้วอยู่ๆ บอกว่าจะมารับกลับเนี่ย
“ว้า แบบนี้ก็กลับบ้านไปกอดโคจังแบบปกติไม่ได้แล้วสิ...” มิบุจิกอดฟุริฮาตะพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง หากแต่...ดวงหน้านั้นกลับฉายแววเศร้าออกมา “...แต่ก็ดีใจด้วยนะโคจัง”
...ถึงแม้ในใจเขา...จะไม่ได้ยินดีด้วยเลยก็ตาม...
“พี่เรโอะๆ ตายยังอ่ะ?” เสียงเบาๆ ดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมสีคาราเมลพลางเอานิ้วของตนจิ้มๆ ร่างของคนหน้าสวยซึ่งนั่งอยู่มุมห้องโดยมีไอทะมึนแผ่ออกมาจากร่างจนผู้ผ่านไปผ่านมาอดรู้สึกหนาวกับรายนี่เสียไม่ได้
“ยัง...” เด็กหนุ่มหน้าสวยตอบกลับอย่างลอยๆ
“นี่นายยังหงอยไม่เลิกจากที่น้องนายกลับไปบ้านตัวเองอีกเหรอ” นายกอริ... (เรียกฉันด้วยชื่อปกติเถอะ...ถึงชินแล้วก็อดปริ๊ดไม่ได้นะนั้น // เนบุยะ) มองเพื่อนของตนพลางถอนหายใจออกาเบาๆ...
...เพราะนับจากวันที่รายนี่รู้ว่าน้องชายที่ตนดูแลมาเกือบสิบปีต้องกลับไปอยู่บ้านตัวเองแล้วนั้นก็มีอาการซึมกระทื่อราวคนหมดอาลัยตายอยาก แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมาเกือบเดือนแล้วรายนี่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาเป็นปกติได้ในเร็วๆ นี่เลย...แถมมีแววอาการติดน้องระยะสุดท้าย (?) จะกำเริบหนักกวาาเก่าด้วย
“อื้อ...” มิบุจิตอบกลับเสียงแผ่ว
“เฮ้ๆ ร่าเริงหน่อยเซ่...ถึงปกตินายจะขี้บ่นจนน่ารำคาญแต่แบบนี้มันชวนหลอนมากกว่านะเว้ย” เด็กหนุ่มผมเงินที่ปกติไม่ค่อยเอ่ยบ่นอะไรกับรายนี่นักเบ้หน้านิดๆ
“นี่ มิบุจิซัง...” เด็กหนุ่มผมแดงผู้เป็นกัปตันทีมบาสราคุซันมองลูกทีมของตนนิ่งๆ “...ผมว่าแทนที่จะมาหงอยแบบนี้...ผมว่าสู้ลองทำตามใจตัวเองสักครั้งดีกว่านะครับ”
“ทำตามใจตัวเองเหรอ? หมายความว่าไง?” มิบุจิถามกลับ
“คุณเองก็น่าจะรู้นะครับ...ว่าผมหมายถึงอะไร” อาคาชิขยับยิ้มเล็กน้อย
“...” มบุจินิ่งเงียบไป...ใช่ เขารู้ดีว่าที่กัปตันทีมตนพูดนั้นหมายความว่าไงและ...
...ตัวเขาก็รู้ดีว่าที่เขารู้สึกไม่เป็นอันทำอะไรแบบนี้มันเพราะอะไรด้วย...ซึ่งแน่นอนว่าสาเหตุเพราะแค่หวงน้องหรือติดน้องอย่างที่ทุกคนเข้าใจด้วย
“ผมว่าทางที่ดีรีบไปดีกว่านะครับ...นั้นน่ะจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณมากกว่านะ” อาคาชิเอ่ยพลางส่งสายตาประมาณว่า ‘ถ้าไม่รีบจัดการเรื่องตัวเองให้เสร็จเดี๋ยวโดนดีแน่’ ไปให้
“...โอเค งั้น...ฉันขอลาชมรมหนึ่งวันนะเซย์จัง!” มิบุจิทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะขานรับแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องทันที เนื่องจากเข้าใจสายตาที่แฝงด้วยคำขู่บวกกับความหมายแฝงในคำพูดของคนผมแดง
“...นี่อาคาชิ...ที่นายพูดกับเรโอะมันหมายความว่าไงฟะ?” มายุสุมิถามพลางมองคนที่วิ่งจากไปอย่างงงๆ
“ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่ช่วยมิบุจิซังไม่ทำอะไรบื้อๆ จนตัวเองหงอยตายแค่นั้นเองครับ” อาคาชิยักไหล่เล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไปทิ้งให้เด็กหนุ่มอีกสามคนที่อยู่ในห้องยืนงงกันต่อไป
ส่วนทางด้านมิบุจินั้น...หลังจากที่วิ่งออกจากห้องชมรมแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบไปที่สถานีรถไฟชินคันเซ็นแล้วทำการเดินทางไปโตเกียว เมื่อรถไฟพามาถึงยังจุดหมาย เจ้าตัวก็ทำการวิ่งสี่คูณร้อยไปยังจุดหมายต่อไป...หรือก็คือที่อยู่ตามแผนที่ที่ตนเคยได้รับจากคนที่ตนมาหา
สิบนาทีต่อมามิบุจิก็มาถึงบ้านหลังเดี่ยวหลังหนึ่ง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าคู่สวยมองป้ายหน้าบ้านสลับกับแผนที่ในมือถือตนและเมื่อเห็นว่ามาถูกที่ก็ทำการกดกริ่งหน้าบ้านอย่างไม่ลังเล
...ขอล่ะ...อยู่บ้านทีเถอะ!!!...
“ครับ ใครครับ?” ไม่ถึงสามนาทีหลังกดกริ่งก็มีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งโผล่ออกมาจากประตูบ้าน
“แฮ่กๆ ค...โคจังอยู่ไหมครับ?” มิบุจิที่ยังปรับลมหายใจตัวเองไม่ได้ถามแบบปนหอบนิดๆ
“โคจัง? อ๋อ โคกิน่ะเหรอ?” ชายหนุ่มเอียงคอน้อยๆ
“ค...ครับ...” มิบุจิพยักหน้ารับ
“อยู่สิอยู่ เข้ามาก่อนสิ...อย่าเพิ่งขาดใจขาดหน้าบ้านฉันนะ”
...เออ...นั้นปากหรือครับนั่น?...
มิบุจิแอบบ่นในใจเล็กน้อยแต่ด้วยความที่อีกฝ่ายอายุมากกว่าบวกกับความเหนื่อยทำให้เจ้าตัวไม่ได้เถียงอะไรกลับไป
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันตามโคกิมาให้” ชายหนุ่มเมื่อเห็นว่ามิบุจิจะไม่เป็นลมล้มหัวฟาดพื้นตาย (?) แล้วเอ่ยก่อนที่จะรีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วแบบไม่รอฟังคำตอบรับของเด็กหนุ่มหน้าสวยเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจากไปประมาณสามถึงห้านาทีก่อนที่จะกลับมา...พร้อมเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่ง
“อ่ะ! โคจางงงงงงงง!!!” ทันทีที่เห็นร่างของคนคุ้นเคยเดินเข้ามาภายในห้อง มิบุจิก็ลืมความเหนื่อยทั้งหมดแล้วพุ่งเข้ากอดในบังดล...ก็ถึงแม้จะคุยโทรศัพท์ด้วยกันทุกวันอยู่แต่มันก็ยังคิดถึงอ่ะ!
“เอ๊ะ? พี่เรโอะ? ทำไมมาอยู่นี่ได้ล่ะครับ? วันนี้ที่ราคุซันมีซ้อมไม่ใช่เหรอ?” ทางเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลหรือฟุริฮาตะ โคกิถึงกับเอ๋อกินเมื่อคนที่ไม่น่ามาที่นี่ได้ในวันนี้อยู่ๆ ก็โผล่มาดื้อๆ
“มีแต่อยากมาหาโคจังจ้า!” มิบุจิตอบอย่างร่าเริง...ต่างจากสภาพปานซอมบี้ก่อนที่จะมาที่นี่ลิบลับ
“ไม่กลัวอาคาชิเอากรรไกรปักหัวหรือไงครับ?” ฟุริฮาตะถาม...เขาไม่คิดว่าคนอย่างอาคาชิ เซย์จูโร่จะยอมให้คนในทีมตัวเองโดดซ้อมง่ายๆ หรอก
“ไม่กลัวเพราะเซย์จังไล่ฉันมาเองแหละ” มิบุจิตอบด้วยรอยยิ้มพลางเอาหน้าถูกไล่อีกแบบที่ไม่ได้ทำมานาน เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่บ้านตนแล้วเลยคิดอยากโผล่มาป่วนเมื่อไหร่ก็ได้แบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว
“อาคาชิไล่มา?” ฟุริฮาตะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อื้อ...” มิบุจิยิ้มร่า “...เพราะงั้นวันนี้ฉันมีสิทธิทำตามใจตัวเองได้วันหนึ่งนะ”
“เลยมาอ้อนสินะครับ?” ฟุริฮาตะที่ดูเคยชินกับเรื่องนี้พอดูเอ่ย
“นั้นส่วนหนึ่ง...” มิบุจิลากเสียงยาว
“ส่วนหนึ่ง? แล้วอีกส่วนล่ะครับ?” ฟุริฮาตะเอียงน้อยๆ อย่างน่ารักสมเป็นชิวาว่า (?)
“จะมาสู่ขอโคจังอ่ะ” มิบุจิตอบกลับแบบ...หน้าด้านที่สุดในชีวิต
“แค่ก!” เมื่อได้ยินคำตอบของมิบุจิ ฟุริฮาตะก็ถึงกับลำสักลมหายใจตัวเองทันที เช่นเดียวกับชายหนุ่มทีโดนมองข้าม...รายนี่น่ะถึงกับช็อกค้างไปเลย “น...นี่...พูดเล่น...ใช่ไหมครับ?”
“คิดว่าอย่างฉันจะพูดเล่นไหมล่ะ?” มิบุจิถามกลับด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าเหมือนเดิม
“ไม่ครับ...” ...ยิ่งยิ้มแบบนี้เนี่ย...เอาจริงชัวท์
“ก็ตามนั้นอ่ะนะ” มิบุจิหัวเราะร่า “ว่าไงโคจัง...สนใจรับฉันเป็นเจ้าบ่าวไหม?”
“เออ...เดี๋ยวนะ กรุณาอย่ามองข้ามหัวกันได้เปล่า...” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหรือลูกชายคนโตของบ้านนี่นามฟุริฮาตะ เคียวเอ่ยขัดขึ้นมา “...แล้วนี่จะสู่ขงสู่ของอะไรเอาไว้หลังเรียนจบกันก่อนดีกว่าไหม?”
“เอางั้นก็ได้ครับ...งั้นตอนนี้เปลี่ยนเป็นขอเป็นแฟนก่อนแล้วกัน” มิบุจิตอบกลับหน้าด้านๆ
“อ้าว คิดว่าเป็นแฟนกันอยู่แล้วซะอีก...” เคียวเอียงคอน้อยๆ “...นี่ใจร้อนขนาดมาสู่ขอก่อนขอเป็นแฟนเหรอเนี่ย...สมองเรียงลำดับผิดหรือแค่แกล้งน้องฉันเล่นเนี่ย?”
“ผมเอาจริงครับ แต่พอดีใจร้อนไปหน่อยเลยลืมคิดเรื่องนั้นแค่นั้นแหละครับ” มิบุจิส่งยิ้มร่าให้พี่ชายที่แท้จริงของฟุริฮาตะ
“งั้นเหรอ~~~” เคียวลากเสียงยาว “งั้นเอาไงโคกิ? จะคบกับหมอนี่ไหม? ถ้าไม่เดี๋ยวพี่ช่วยจับโยนออกนอกบ้าน”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าโคจังไม่ชอบผมก็ไม่ตามตื้อเป็นคนโรคจิตแบบละครหลังข่าวหรอกครับ” มิบุจิรีบเอ่ยก่อนถูกถีบส่งออกนอกบ้าน
“แค่เผื่อไว้...” เคียวยักไหล่ “...ว่าไงโคกิ...รีบตัดสินใจก่อนที่ไอ้เพื่อนสองตัวของพี่จะมานะ ไม่งั้นทั้งนายทั้งหมอนี่โดนป่วนแน่”
“แต่ก็ไม่มีใครป่วนเท่าพี่ตอนปกติหรอกครับ...” ฟุริฮาตะเถียงกลับ...ถ้าไม่ใช่เพราะสมองตามไม่ทันที่พี่เรโอะมาสู่ขอเขาหน้าด้านๆ ปานนี้คงป่วนพี่เรโอะเละไปแล้วแหง “...แล้วเรื่องแฟนนี่มัน...ให้ตัดสินใจเร็วไปไหมครับเนี่ย?”
“ก็พี่เห็นนายบ่นเพ้อถึงหมอนี่ตอนหลับนี่นา...เลยคิดว่าความจริงนายก็ชอบหมอนี่แต่กังวลเรื่องที่บ้านน่ะ” เคียวเถียงกลับด้วยท่าทางกวนจนน่าถีบเสียทีสองที
“แล้วพี่จะบอกพี่เรโอะทำไมครับ!?” ชิวาว่าน้อยค้อนใส่ชายหนุ่ม
“บอกเพื่อจะได้ไม่มัวโอ้เอ้กันไง...ถึงได้น้องเขยมาสักคนพี่ก็ไม่ว่าหรอกนะ ที่ต่างประเทศมีถมไป” เคียวยิ้มร่า...สำหรับเขาแค่รักน้องเขาจริงก็โอล่ะ
“พี่!!!”ฟุริฮาตะหน้าแดงก่ำขึ้นมาเมื่อความจริงอันน่าอายหลุดออกมาจากพี่ชายตน
“เอ๋~~~ นี่โคจังคิดถึงกันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...ดีใจจัง^^” มิบุจิยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วเอาหน้าถูกไล่คนผมน้ำตาล
“...อืม...ดูท่ามีแววจะได้ไปงานแต่งน้องนายแฮะ” ระหว่างที่กำลังเล่นปนเถียง (?) กันอยู่นั่นก็เสียงทุ้มๆ ที่ไม่คุ้นหู ทำให้ทั้งสามชะงักกึก
“ถ้าน้องแกแต่งกับหมอนี่เมื่อไหร่อย่าลืมสั่งเครื่องดื่มร้านฉันนะยะ! รับรองว่าเด็ด!” เสียงหวานๆ ติดห้าวอีกเสียงดังขึ้นทำให้ทุกคนภายในห้องรีบหันขวับไปยังต้นเสียง
“อ้าวเฮ้ย! พวกแกเข้ามาทางไหน!?” เคียวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่มาเป็นชายหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวกับหญิงสาวผมดำที่ต้องตนรู้จักดี
“พังประตูบ้านแกเข้ามา” ชายหญิงทั้งสองเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน...เล่นซะนายเคียวแทบหน้าทิ่มเลย
“จะพังทำแป๊ะอะไร!? เคาะดีๆ ก็ได้!” เคียวถามกลับด้วยท่าทีเหมือนโมโหแต่ก็หาได้มีความจริงจังแม้แต่น้อย
“แก้แค้นที่คราวก่อนนายทำกำแพงรั้วบ้านฉันถล่มไงย่ะ!” หญิงสาวแค่นเสียงใส่
“นอกจากนี่ยังเผลอทำกำแพงบ้านฉันทะลุเมื่อวันก่อนด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนคนง่วงนอน
“อันนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจนะเว้ย!” เคียวกลับ แต่ว่า....
“ไม่สน!” ...ก็โดนอีกสองคนตอกกลับมาทันทีเช่นกัน
“...” มิบุจิมองคนอายุมากกว่าทั้งสามที่เล่นกันอย่างสนุกสนาน (?) ก่อนที่เลิกสนใจแล้วหันมาเกาะมาอ้อนฟุริฮาตะต่อ “โคจางงงง ตกลงว่างายยยยย? คบกับฉันได้เปล่าอ่ะ?”
“เออ...คือ...ผม...” ฟุริฮาตะเมื่อยู่ๆ อีกฝ่ายวกกลับมาถามเรื่องนี้ก็ออกอาการสะดุ้งเล็กน้อย “...ผม...ไม่แน่ใจครับ”
“ไม่แน่ใจอะไร? ไม่แน่ใจว่าควรคบฉันหรือเปล่าใช่ไหมล่ะ?” มิบุจิที่รู้ทันความคิดของอีกฝ่ายยกมือขยี้เรือนผมสีน้ำตาลนุ่มเบาๆ “ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง...พ่อแม่ฉันไม่คิดว่าฉันจะเอาผู้หญิงมาเป็นแฟนตั้งนานแล้ว ส่วนทางโคจังนี่ก็ดูไม่น่ามีปัญหาอะไร ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโคจังล้วนๆ”
“...” ฟุริฮาตะหลบตาสายของคนหน้าสวย “แต่ผม...ก็ไม่แน่ใจอยู่ดีล่ะครับ”
...ว่าตัวผมนั่นชอบพี่เรโอะแบบนั้นหรือเปล่าและ...เหมาะสมกับคนดีๆ แบบพี่เรโอะจริงๆ หรือเปล่า...
“งั้นเอางี้ไหมโคจัง...ถ้าโคจังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธตรงๆ เลยฉันจะตามจีบโคจังไปเรื่อยๆ จนกว่าโคจังจะรับรักหรือไม่ก็ไล่ถีบฉันเลยล่ะ...” มิบุจิซึ่งรู้ถึงความกังวลของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลเสนอความคิดเห็นขึ้นมา “...จะเอาให้หน้าด้านยิ่งกว่าเซย์จังตอนจีบมายุซังเลย...แบบนี้ไหม?”
“...ตามนั้นก็ได้ครับ” ฟุริฮาตะที่เห็นว่าต่อให้บอกว่าไม่อีกฝ่ายก็จะหาทางที่จะได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากตน...แต่เขาจะรับรักไปเลยหรือปฏิเสธพี่เรโอะก็ทำไม่ลงด้วยสิ...
...ดังนั้นวิธีนี้...อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงๆ นั้นแหละ
“ตกลงตามนี่นะ” มิบุจิยิ้มบางๆ ออกมาพลางอ้อนคนผมน้ำตาลต่อไป...เขามั่นใจว่าเขามีดีพอที่จะทำให้โคจังมารักเขาแน่...
...หวังว่านายจะยอมให้คำตอบฉันเร็วๆ นะ...โคจัง...
End
Cr. かお
http://www.pixiv.net/
ความคิดเห็น