คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #238 : [MiyaYuu] Shitto
Title : Shitto
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Miyaji (Kiyoshi) x Miyaji (Yuuya)
Notes : หวังว่าจะไม่โดนแบน...มีฉากเสี่ยงแค่ไม่กี่บรรทัดเอง...
.....................................................................................
Shitto
จิ๊บ...จิ๊บ...จิ๊บ...
เสียงนกร้องขับขานต้อนรับเช้าวันใหม่ที่แสนสดใส ภายในห้องนอนของบ้านสุดแสนจะดูธรรมดาหลังหนึ่งเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งคนหนึ่งกำลังนอนม้วนราวกับเป็นโรตีอยู่บนเตียงของตนอย่างไม่มีท่าทีจะตื่นง่ายๆ ในยามเช้าแสนจะสงบเช่นนี้
“พี่! ตื่นได้แล้ว!!!” และความสงบสุขในยามเช้าก็ถูกทำลายลงเมื่อเด็กหนุ่มผมสั้นเต่อสีน้ำผึ้งคนหนึ่งถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาภายในห้องพร้อมพยายามลากคนที่นอนขดอยู่ลงจากเตียง “จะสายแล้วนะพี่!!!”
“ขออีกห้านาที...วันนี้ไม่มีซ้อมเช้าสักหน่อย...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งหรือมิยาจิ คิโยชิตัวจริงปีสามของชมรมบาสชูโตกุเอ่ยอย่างงัวเงีย
“แต่มีเรียนโว้ยยยย!!! ตื่นเลยนะไอ้พี่บ้า!!!” มิยาจิ ยูยะผู้เป็นน้องชายยังคงไม่ละความพยายามหาทางปลุกผู้เป็นพี่ต่อ จน... “หว่า!”
“หนวกหูน่า” ...คนที่ยังอยากนอนต่อรำคาญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบดึงตัวคนที่มาปลุกมากอดต่างหมอนข้างแล้วนอนด้วยกันเสียเลย
“ปล่อยนะพี่! และลุกเลยด้วย!” ยูยะแว๊ดลั่นพร้อมหาทางแงะมือพี่ตัวเองออก
“ไม่เอาอ่ะ...” มิยาจิยังคงไม่ยอมที่จะตื่นง่ายๆ
“...” เพราะความวุ่นวายจากการเถียงกันเองของสองมิยาจิ ทำให้ทั้งคู่ไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินเข้ามาในห้องและ... “ตื่นกันได้แล้วย่ะ!”
“เหวอ!!!” ...สะบัดเด็กหนุ่มทั้งสองออกจากผ้าห่มได้อย่างรวดเร็ว จนทั้งคู่ต่างร่วงตกเตียงในเวลาต่อมา “โอ๊ย...เจ็บนะแม่...”
“ก็ตั้งใจให้เจ็บน่ะสิ” หญิงสาวผมสีน้ำผึ้ง...มิยาจิ คิโยมิเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไปๆ ไปอาบน้ำแต่งตัวเลยคิโยชิ ส่วนยูยะรีบไปลากพ่อเขาออกจากห้องนอนลูกเลย รายนั้นเข้าไปป่วนอีกล่ะ”
“ครับ!” เด็กหนุ่มทั้งสองที่ไม่อยากลองดีกับแม่ตัวเองรีบพากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนทั้งทีโดยมิยาจิก็ไปล้างหน้าล้างตา ส่วนยูยะก็ไปลากพ่อตัวเองออกจากห้องตนก่อนที่จะไปทำอะไรเสียหายหรือเล่นอะไรแผลงๆ อีก
หลังจบจากยามเช้าที่วุ่นวายมาได้ ลูกชายของบ้านมิยาจิทั้งสองก็พากันรีบทานมื้อเช้าด้วยความเร็วแรงก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปโรงเรียนเพราะเห็นว่าใกล้สายกันแล้วจนในท้ายที่สุด...
“ฟู่ มาทันแบบหวุดหวิดเลย” ...ก็มาทันก่อนประตูโรงเรียนปิดอย่างเฉียดฉิวเลย
“ก็พี่นั้นแหละมัวแต่นอน” ยูยะบ่นขึ้นมาเบาๆ ขณะที่พากันเปลี่ยนรองเท้าเพื่อขึ้นห้องเรียน...โชคดีนะที่วันนี้คาบแรกเป็นโฮมรูมของทุกระดับชั้นและครูส่วนใหญ่ไม่เข้าสอนเนี่ย
“ก็มันอากาศดีนี่หว่า” มิยาจิทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ยูยะ~~~”
“หว่า!” ยูยะสะดุ้งโหยงเมื่อมีวัตถุเย็นๆ มาสัมผัสที่ต้นคอตนพร้อมกับเสียงเรียกชื่อตนที่คุ้นเคย ทำให้เจ้าตัวรีบถอยห่างและหันขวับไปยังตัวต้นเหตุตามสัญชาตญาณ “ทำบ้าอะไรวะอิยามิ!?”
“แกล้งนายไง” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเริงร่าพร้อมกระป๋องน้ำผลไม้เย็นเจี๊ยบในมือบ่งบอกได้อย่างดีว่าเมื่อครู่ที่มาสัมผัสยูยะคืออะไร
“ไอ้บ้าเอ้ย!” ยูยะทำการตบเกรียนเพื่อนตัวเองไปหนึ่งที
“เจ็บนะ! ถ้าฉันสมองเสื่อมนายต้องรับผิดชอบนะเฮ้ย!” อิยามิโวยใส่คนที่ตบหัวตน
“ไม่มีให้เสื่อมมากกว่านี้แล้วล่ะ” ยูยะเอ่ย
“ใจร้ายยยยย!!!” อิยามิทำเสียงโอดครวญอย่างน่าถีบคล้ายจะกวนบาทาอีกฝ่ายเล่น และก็ได้บาทาจากนายมิยาจิ ยูยะจริงๆ ในเวลาต่อมา
“เอ้าๆ หยุดเล่นกันก่อน ได้เวลาเข้าห้องเรียนแล้วนะเฮ้ย” มิยาจิส่ายหน้าไปมาอย่างขำๆกับคนอายุน้อยกว่าทั้งสอง “ว่าแต่แล้วยามาโตะล่ะ?”
“มันไปลอกการบ้านในห้องเรียนอยู่ครับ” อิยามิตอบ
“แล้วนายทำเสร็จแล้ว?” ยูยะถามอย่างสงสัย...ปกติไอ้เพื่อนเขาคนนี้กับยามาโตะมันมักจะไม่ทำการบ้านมาเป็นแพ็คคู่นี่หว่า?
“...ชิบ ลืม...ไม่ได้ทำเหมือนกันนี่หว่า!” อิยามิเริ่มโวยวายขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “ยูยะขอลอกหน่อย!!!”
“เรื่องสิ ไปลอกคนอื่นบ้างเถอะ” ยูยะเมินคำบ่นของเพื่อนตนแล้วเดินนำไปยังห้องเรียน
“ยูยะ~~~ ขอเถอะนะ~~~” อิยามิก็ตามไปพร้อมอ้อนขอลอกการบ้านของอีกฝ่าย
“ให้ตายสิน่า พวกนี่นิ” ทางมิยาจิที่ยืนมองภาพทั้งหมดได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ แล้วทำการเดินไปยังห้องเรียนของตน
การเรียนในภาคเช้าของมิยาจินั้นดำเนินไปตามปกติอย่างไม่มีอะไรที่ผิดแผลงไปจากเดิมแม้แต่น้อย จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาพักเที่ยง...
“มิยาจิซัง!” ...ก็มีเด็กหนุ่มสองคนที่นายมิยาจิ คิโยชิคุ้นหน้าคุ้นตาดีวิ่งมาหาตนซึ่งนั่งทานมื้อเที่ยงในห้องเรียนของปีสาม
“หื้อ? มีอะไรเหรออิยามิ? ยามาโตะ?” มิยาจิถามเด็กหนุ่มทั้งสองที่ถ่อสังขารมาหาตนด้วยท่าทางรีบเร่ง
“เห็นยูยะไหมครับ!?” อิยามิถามขึ้น
“เอ๊ะ? ไม่นิ...ทำไมเหรอ?” มิยาจิถาม
“หายไปไหนเนี้ยยยยย!?” ทว่าทางคนโดนถามกลับไม่ตอบแล้วร้องโหยหวน (?) ขึ้นมาเสียอย่างงั้น
“เฮ้ๆ นี่มีเรื่องอะไรกันเหรอ?” นายหัวแตง (?) ที่นั่งชมเหตุการณ์ทั้งหมดมาตลอดถามพร้อมตีแขนคนอายุน้อยกว่าเบาๆ เป็นการเรียกสติอีกฝ่าย
“ในห้องเล่นเกมกันครับ และพวกผมโดนลงโทษให้ไล่จับยูยะให้ได้ภายในสิบนาที” อิยามิเมื่อสติที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว (?) กลับเข้าร่างแล้วก็ตอบอีกฝ่ายกลับไป
“และยูยะดันหนีไปแอบแถวไหนก็ไม่รู้นี่สิ” เด็กหนุ่มอีกคนหรือยามาโตะเอ่ยเสริมคำพูดของเพื่อนตน
“คิดว่าอะไร...ตกใจหมด!” มิยาจิยกเท้าถีบอิยามิกับยามาโตะไปคนละที...ก็มันน่าไหมล่ะ! เล่นทำเอาตกอกตกใจกันไปหมดเพราะเเรื่องแค่นี้!?
“แค่เกมทำเป็นเรื่องใหญ่กันไปได้” คิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ก็แหม...” อิยามิทำหน้าเหมือนจะเถียงอะไรสักอย่างกลับไปทว่า...
ปัง!
...ไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นมาพร้อมกับร่างของนายมิยาจิ ยูยะที่ปรากฏขึ้นมาด้วยหน้าตาตื่นเหมือนหนีอะไรมาสักอย่าง
“เอ๊ะ? ยู...” ยามาโตะมองเพื่อนตนทำหน้าแปลกๆ พร้อมจะเอ่ยทัก...ทว่าไม่ทันที่จะเอ่ยจบประโยค ยูยะก็ดันวิ่งสวนเข้าไปหลบใต้โต๊ะผู้เป็นพี่ซะงั้น
“เหวอ! อะไรของนายเนี่ย!?” มิยาจิขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของน้องชายตน
“ไว้อธิบายทีหลังพี่! ช่วยๆ บังกันหน่อยเถอะ!” ยูยะเอ่ยอย่างร้อนรน
“เอ๊ะ? อ่ะๆ ได้ๆ” ทางเหล่าคนที่รู้นิสัยยูยะดีว่าที่พูดนี่คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก็พากันช่วยยืนบังยูยะที่แอบอยู่ใต้โต๊ะตามความประสงค์ของเจ้าตัว
“ยามาโตะ นายก็ช่วยไปดูหน้าห้องสิว่ามีผู้ชายใส่ที่คาดผมสีดำยืนอยู่หรือเปล่า” พอได้ที่กำบัง (?) แล้ว ยูยะก็เอ่ยขอให้เพื่อนตนที่ถึก (?) ในความคิดตนช่วยเดินไปดูบางอย่างให้ตน
“โอเค” ยามาโตะพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปที่หน้าห้องเพื่อมองหาคนที่เพื่อนตนว่าและ... “หว่า!”
“เฮ้ย! ยามาโตะ!” ...ทันทีที่ยามาโตะก้าวเท้าออกไปนอกห้องก็ทีหมัดของใครบางคนพุ่งเข้าใส่จนเจ้าตัวต้องรีบก้าวขาพาตัวเองหลบจนล้มก้นจ้ำเบ้า และเมื่อเห็นแบบนั้นอิยามิก็รีบวิ่งไปหาเพื่อนตัวเองทันทีแบบไม่สนใจเสียงโวยวายของเหล่านักเรียนปีสามในห้องนี่ที่ร้องด้วยความตกใจสักนิด “โอเคไหม!?”
“โอเค...แต่ก็เกือบนะ” ยามาโตะดันตัวขึ้นยืน “ไอ้บ้านั้นจะต่อยฉันทำไมวะ?”
“ไม่รู้สิ” มิยาจิเหล่มองน้องชายตัวดีที่ค่อยๆ ออกมาจากใต้โต๊ะเรียนของตน “นายไปมีเรื่องมาเหรอยูยะ?”
“ใช่ที่ไหนล่ะพี่! ไอ้นั้นเป็นใครยังไงก็ไม่รู้เลย!” ยูยะรีบแก้ความเข้าใจผิดของพี่ตนเอง “อยู่ๆ มันก็เดินมาแล้วพยายามลากผมไปที่ไหนนี่แหละ มันดูไม่น่าไว้ใจเลยหนีมาเนี่ย...แต่ไม่คิดว่ามันจะถึงขั้นจะต่อยคนอื่นแบบนี้นะ”
“อยู่ๆ ก็มาเหรอ?” ยามาโตะที่เดินกลับมารวมกลุ่มถาม
“เออ มันมาเอง” ยูยะพยักหน้ารับ
“ก่อนหน้านี้นายไปแอบที่ไหนมาเนี่ย?” อิยามิถามต่อ...คงไม่ได้ไปแอบแถวถิ่นเด็กซ่าที่ไหนมานะ?
“พุ่มไม้ข้างอาคาร” ยูยะตอบ
“แบบนั้นไม่น่าไปเขม่งกับใครได้นะ” อิยามิที่เรียกได้ว่ารู้ข่าวในโรงเรียนเยอะพอสมควรเกาหัวตัวเองอย่างงุนงง เพราะในจุดที่เพื่อนผมสีน้ำผึ้งของตนไปแอบนั้นไม่ใช่ที่ที่มีพวกเด็กซ่าหรืออะไรอยู่เลย
“แล้วมันมาหาเรื่องยูยะทำไมวะ?” คิมุระขมวดคิ้วเป็นปม
“หรือหน้าตาไปกวนตรีนใครเข้า” มิยาจิเอ่ยขึ้นมาลอย
“ถามจริง...นี่ปากหรือพี่?” ยูยะค้อนใส่พี่ชายตนไปทีหนึ่ง
“ปากสิ เห็นเป็นอะไรล่ะ?” มิยาจิยักคิ้วกลับอย่างกวนๆ
“อย่าเพิ่งเล่นกันเซ่” คิมุระกรอกตาไปมา “แล้วนี่...อยู่ๆพวกนั้นก็มาหาเรื่องอย่างเดียว ไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ? ยูยะ?”
“เปล่าครับ ก็พูดอยู่” ยูยะตอบกลับไป
“พูดว่า?” มิยาจิเริ่มเป็นคนถามบ้าง
“ว่า...น้องชายมาทำอะไรสนุกกันดีกว่า...น่ะ...” ยูยะเอ่ยไปตามความจริงก่อนที่จะเริ่มเหงื่อตกนิดๆ เมื่อผู้เป็นพี่ตนนั้นเริ่มแสยะยิ้มเหี้ยมๆ ออกมา “...เออ...พี่...เป็นอะไรไปอ่ะ?”
“หื้อ? เปล่านิ...” มิยาจิตอบกลับไปโดยไม่คลายบรรยากาศชวนอึดอัดลงแม้แต่น้อย
“แน่ใจเหรอเนี่ย...” ยูยะเหงื่อตกยิ่งกว่าเดิม...อยู่ๆ พี่เขาเป็นอะไรไปวะ!? สยองเว้ย!!!
“...อาการบราค่อนออกสินะ” ยามาโตะมองภาพมิยาจิคนพี่แล้วสามารถหาคำนิยามสถานการณ์นี้ได้อย่างเดียวจริงๆ และเพราะคำพูดตรงไปตรงมานี่ทำให้... “โอ๊ย! เจ็บนะครับ!”
...โดนนายมิยาจิ คิโยชิที่ดันหูดีโยนยางลบใส่หน้าผากอย่างแรง
“ก็ใครเริ่มก่อนล่ะฟะ!? ไม่ได้เป็นโว้ย!” มิยาจิแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับที่บรรยากาศชวนอึดอัดลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“แต่ดูยังไงก็เป็นนะครับ...” ยามาโตะเถียงกลับ...รายนี่ถ้าไม่เรียกว่าบราค่อนเขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกยังไงแล้วล่ะ
“ไม่ได้เป็นเฟ้ย!” มิยาจิแย่งเขี้ยวใส่พร้อมทำท่าจะลุกไปจัดการคนที่ว่าตน
“โอ๊ะ! ได้เวลาเรียนแล้ว! ขอตัวละครับ!!!” ทางอิยามิที่เห็นท่าไม่ดีก็รีบจัดการลากยูยะวิ่งไปยังประตูทางออกพร้อมคว้าตัวยามาโตะเผ่นไปด้วยอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! เดี๋ยวเซ่!!!” มิยาจิโวยวาย...แต่ทางคนที่ใส่เกียร์หมาเผ่นไปแล้วก็ไม่สนใจเลยสักนิด “ให้ตายเถอะไอ้พวกนี่!!!”
“ก็เป็นแบบนี้กันตลอดนิ” คิมุระส่ายหน้าไปมาด้วยความอ่อนใจ “แล้วเรื่องน้องนายจะเอาไง?”
“จะเอาไงล่ะ? ตอนนี้คงได้แค่ดูๆ กันไปก่อนล่ะ” มิยาจิเอ่ย...จะบอกอาจารย์หรืออะไรพวกนี้ก็ไม่ได้เพราะดันไม่รู้จะอธิบายต้นสายปลายเหตุในรูปแบบไหนด้วย
“อา หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงนะ” คิมุระเอ่ย
“ฉันก็หวังว่างั้น” มิยาจิพยักหน้าก่อนที่จะรีบโซดมื้อเที่ยงของตนต่อให้เสร็จเพราะใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว
หลังเหตุการณ์ตอนเที่ยงผ่านพ้นไป ถึงแม้ว่ามิยาจิจะกังวลนิดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องชายตนทว่าจะโดดเรียนไปแอบสโตเกอร์ (?) น้องตัวเองก็ใช่เรื่อง เจ้าตัวเลยได้แต่นั่งเรียนไป...ทุกอย่างก็ยังปกติดี จนกระทั่ง...
“มิยาจิซัง!!!” ...เมื่อครูประจำคาบสุดท้ายเดินออกไป นายอิยามิกับนายยามาโตะก็วิ่งพรวดเข้ามาหามิยาจิซะงั้น “ยูยะๆๆๆๆ! ยูยะอยู่กับมิยาจิซังไหม!?”
“นี่ฉันเพิ่งเลิกเรียน ยูยะจะมาอยู่กับฉันได้ไงล่ะ?” มิยาจิถามกลับอย่างงุนงง “เกิดอะไรขึ้น? คงไม่ใช่เล่นเกมอีกนะ?”
...ถ้าใช่พ่อจะตีหัวเข้าให้...
“ใช่ที่ไหนล่ะครับ! ยูยะหายไปตั้งแต่คาบพละแล้วครับ! พวกผมหาไม่เจอเลย!” อิยามิเอ่ยอย่างร้อนรน
“ว่าไงนะ!?” คราวนี้มิยาจิถึงกับแทบลุกขึ้นเขย่าคอคนอายุน้อยกว่าทั้งสองเลย “ที่ไหน! ยูยะหายไปที่ไหนเมื่อไหร่บอกมา!”
“เฮ้ย! มิยาจิ! ใจเย็น!” คิมุระที่ทำหน้าที่ปานตัวห้ามทัพ (?) พยายามห้ามให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
“ไม่เย็นเว้ย! บอกมาซะ!” มิยาจิที่ยามนี้ใจร้อนจนอยู่เฉยไม่ได้คราวนี้คว้าคออิยามิมาเขย่าจริงๆ
“เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อสองชั่วโมงก่อนที่ห้องเก็บอุปกรณ์ชั้นหนึ่งครับ!” อิยามิด้วยความเป็นห่วงเพื่อนตัวเองบวกกลัวคนผมสีน้ำผึ้งเขย่าจนเวียนหัวตายตอบ
“เออ! ก็แค่นี้!” พอได้คำตอบมิยาจิก็ปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วออกตัววิ่งทันที
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิมิยาจิ! มิยาจิ!!!” คิมุระพยายามร้องเรียนเพื่อนของตนไม่ให้ทำอะไนบุ่มบ่าม...แต่อนิจา นายมิยาจิ คิโยชินั้นได้วิ่งไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกเลยแม้แต่น้อย
...อื้อ...มึนๆ แฮะ...
ความรู้สึกเวียนหัวอย่างไม่ทราบสาเหตุคือสิ่งแรกที่รับรู้ได้เมื่อสติของเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งเริ่มกลับมา เปลือกตาค่อยๆ ลืมขึ้นเผยดวงตาสีเดียวกับเรือนผมทำให้เจ้าตัวเริ่มจะสามารถมองเห็นสถานที่ที่ตนอยู่ในยามนี้พร้อมกับพยายามลุกขึ้นเมื่อมองสถานที่นี่ให้ชัดๆ หากแต่ก็ไม่อาจขยับได้ดั่งใจเมื่อแขนทั้งสองนั้นเหมือนจะมีเชือกหรืออะไรสักอย่างมัดไขว้หลังไว้
“ที่นี่...” ...ที่ไหนวะ? จำได้ว่าล่าสุดอยู่ที่ห้องเก็บอุปกรณ์ไม่ใช่เหรอ? แล้วไหงฉันถูกมัดอยู่ล่ะเว้ยเฮ้ย!?
“ตื่นแล้วเหรอ?”
“!!!” มิยาจิ ยูยะที่ได้สติกลับคืนมาเต็มร้อยในทันทีที่ได้ยินเสียงทักรีบทำการหันไปมองต้นเสียงและพบว่า...บุคคลที่ทักตนเมื่อครู่คือคนที่ไล่ตามตนเมื่อเที่ยง! “นี่แก...”
“อย่าทำหน้าดุสิ เสียดายหน้าตาสวยๆ นี่ออก” เด็กหนุ่มแปลกหน้าจนไปทางหน้าแปลก (?) ทำเสียงยี่ยวนใส่
“สวยกับผีสิ! แกเป็นใครวะ!? ต้องการอะไร!?” ยูยะแยกเขี้ยวใส่
“ต้องการอะไรเหรอ? ต้องการนายมั้ง” เด็กหนุ่มเดินมาตรงหน้ายูยะแล้วนั่งชันเข่าลงพร้อมเอานิ้วเชยคางยูยะให้เงยขึ้นมาสบตาตน
“อย่ามาล้อเล่นนะเว้ยไอ้บ้า!!!” ยูยะพยายามดิ้นหนี
“ก็ไม่ได้ล้อเล่นนิ” เด็กหนุ่มแสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจออกมา “ฉันอยากได้นาย...ทั้งหมดของนาย ไม่ว่าร่างกายหรืออะไรก็ตาม หึหึ”
“หลอนเว้ย!!! ยันเดเระหรือไง!?” ยูยะแว๊ดลั่นพร้อมใช้ขาที่ไม่ได้ถูกมัดดันตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วรีบดิ้นตัวออกห่าง
“ดื้อจริงๆ นะยูยะคุงงงงง” เด็กหนุ่มยังคงยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร “แต่...หนีไปก็เปล่าประโยชน์ นายหนีออกจากที่นี่ไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่ลองไม่รู้เฟ้ย!” ยูยะพยายามวิ่งฝ่าออกไป ทว่า...กลับเหมือนโดนอะไรสักอย่างรั้งเอาไว้เสียก่อน “อะไรเนี่ย!?”
“นายคิดว่าฉันจะไม่ล่ามแมวน้อยแสนดื้อแบบนายไว้หรือไงเอ๋ย” เด็กหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ “และ...ดูท่าเราได้เวลาลงโทษแมวน้อยแสนดื้อของเราซะแล้วววว”
“คิดจะทำอะไรมิทราบห๊า!?” ยูยะขู่ฟ่อพร้อมถอยห่างคนที่เริ่มย่านสามขุมเข้ามาใกล้อย่างไม่ไว้ใจ
“นั้นสินะ...” เด็กหนุ่มยิ้มร่าก่อนที่จะ...หยิบกระป๋องบางอย่างฉีดเข้าใส่หน้าคนผมสีน้ำผึ้งเต็มๆ “...คิดว่าไงล่ะ?”
“แค่ก! นี่มัน...อะไร...” ยูยะแค่นเสียงถามอีกฝ่ายขณะที่เรี่ยวแรงค่อยๆ จะหดหายไปเสียจนเริ่มที่จะยืนไม่อยู่
“แค่ยาสลบอย่างอ่อนน่ะ...อ๋อ ไม่ต้องห่วงนะ มันอ่อนมากเสียจนไม่ทำให้นายสลบอีกรอบหรอก อย่างมากก็แค่ไม่มีแรงน่ะ” ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมาขณะมองคนผมสีน้ำผึ้งที่ยืนไม่อยู่แล้วล้มลงไปกองกับพื้น “เอาล่ะ...ได้เวลาเล่นกันแล้วนะ นี่ฉันอุตสาห์ใจดีรอนายตื่นก่อนแล้วค่อยมาเล่นด้วยกันเลยนะเนี่ยยยยย”
“ไอ้!!!” ยูยะกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจพลางมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาแล้วนั่งลงข้างๆ ตนก่อนที่... “ฮ...เฮ้ย! ทำบ้าอะไรเนี่ย!?”
...เริ่มที่จะถอดกางเกงคนที่ไม่อาจขยับตัวได้ดั่งใจในตอนนี้ออกอย่างช้าๆ
“ทำอะไรเหรอ? ก็เรื่องสนุกไง...” เด็กหนุ่มยังคงรอยยิ้มไว้บนดวงหน้า พลางหยิบบางสิ่งขึ้นมา “...รับรองว่าสนุก...จนลืมไม่ลงเลยล่ะ”
“!!?” ยูยะมอง ‘ไวเบอเตอร์’ ในมืออีกฝ่ายแล้วใจตกไปอยู่ตาตุ่ม...ตอนนี้เขาพอเดาออกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ “ไม่นะ! หยุด!”
...ไอ้ร่างกายบ้า! ขยับสิเว้ย!!!...
“เปล่าประโยชน์น่า” เด็กหนุ่มยิ้มร่าพร้อมค่อยๆ ใช้นิ้วของตนยัด ‘ของเล่น’ ที่ตนนำมาเข้าไปในช่องทางเบื้องล่างของอีกฝ่าย
“อึก!” ยูยะสั่นสะท้านไปทั้งตัวกับวัตถุแปลกปลอมที่เข้ามาภายในร่างกายตน เจ้าตัวพยายามกัดฟันอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ “แก...ถ้าหลุดไปได้เมื่อไหร่...ไม่ได้ตายดีแน่...”
“หว่าๆ กลัวจังนะ” เด็กหนุ่มดึงนิ้วตนออกมาจากช่องทางนั้นก่อนที่จะชูรีโมตเล็กๆ อันหนึ่งให้อีกฝ่ายดูก่อนที่จะ...กดปุ่มเลข 1 ในรีโมตนั้น
“อ๊า!” ยูยะหลุดร้แงครางออกมาเล็กน้อยเมื่อมีบางอย่างเริ่มสั่นภายในช่วงล่างของตน
“โอ๊ะ? ตัวสั่นเสียน่ารักเลยนะ” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจกับภาพตรงหน้าพร้อมกดปุ่มเพิ่มเป็นระดับ 2 “แต่นี่...เพิ่งระดับต่ำสุดเองนะ”
“อ...อา...” ยูยะหลุดร้องออกมาเล็กน้อยเมื่อแรงสั่นเพิ่มขึ้นกว่าเดิมก่อนที่จะกัดปากตัวเองเสียจนเลือดซิบเพื่อกลั้นไม่ให้ตนหลุดเสียงน่าอายออกมามากกว่านี้ ดวงหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความโกรธบวกกับอารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้น
“อย่ากลั้นเสียงสิ ไม่งั้นฉันก็อดฟังเสียงน่ารักๆ ของนายหมดสิ” เด็กหนุ่มเอ่ยก่อนที่จะกดปุ่มในรีโมตรอีดครั้ง...ซึ่งคราวนี้เจ้าตัวกดข้ามไปที่ระดับ 4
“อ๊า!!!” ยูยะหลุดร้องออกมาเสียงดังลั่นเมื่อแรงสั่นภายในช่องทางเบื้องล่างตนนั้นแรงขึ้นกว่าเดิมเสียจนทนไม่ไหว “ห...หยุดได้แล้ว! เอามันออกไป!!!”
“เรื่องอะไรล่ะ? กำลังสนุกเลย” เด็กหนุ่มเดินไปทิ้งนั่งลงเบื้องหน้ายูยะก่อนที่จะดึงเส้นผมสีน้ำผึ้งของอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับตน “สีหน้าทรมานของนายแบบนี้แหละ ที่ฉันอยากเห็นน่ะ”
“ไอ้...เวร...” ยูยะในยามนี้ได้เพียงกัดฟันพร้อมเอ่ยด่าอีกฝ่ายเท่านั้น
“ยังปากเก่งได้อีกเนอะ” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะใช้มือข้างที่ว่างค่อยๆ รูดซิปกางเกงลงแล้วควักบางสิ่งออกมาจ่อหน้ายูยะ “อมซะ”
“!? ไม่!!!” ยูยะที่ตอนนี้แทบเรียกได้ว่าไร้เรี่ยวแรงพยายามหันหน้าหนี ทว่า...
“นายไม่มีสิทธิ์ขัดขืนหรอกนะ” ...กลับถูกเด็กหนุ่มดึงผมให้หันกลับมาที่เดิมแล้วใช้จังหวะที่เจ้าตัวหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดปวดยัดแท่งร้อนๆ เข้ามาภายในโพรงปาก
“อือ...อื้อ...” ยูยะส่งเสียงอู้อี้ในลำคอด้วยความที่อยากคายสิ่งที่อยู่ในปากออกมาเสียเต็มแก่ หากแต่ติดที่ว่าทำไม่ได้เพราะมือที่กำผมตนอยู่
“เลียด้วยสิ...” เด็กหนุ่มเอ่ยค่อนไปทางสั่ง ส่วนยูยะนั้นได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ “...ไม่ยอมสินะ...ดื้อไม่เลิกจริงๆ”
“อุ๊บ!” เมื่อเห็นว่ายูยะไม่ยอมทำให้ตนง่ายๆ มือทั้งสองของเด็กหนุ่มจับศีรษะของยูยะดึงเข้าออกเป็นจังหวะ และเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง...น้ำร้อนๆ ไหลก็เข้ามาภายโพรงปากพร้อมกันนั้นมือที่จับเรือนผมสีน้ำผึ้งก่อนหน้านี้ก็คลายออก “แค่กๆ!”
“อย่าคายทิ้งสิ...แบบนี้ต้องทำอีกรอบน้าาาา” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายที่คายน้ำสีขาวที่ตนปล่อยออกมาทิ้งก่อนทำการกระชากผมอีกฝ่ายขึ้นมาให้มองหน้าตนอีกรอบ
“ม...ไม่...อย่า...” ความหวาดกลัวยามนี้ได้เริ่มเข้าเกาะกุมจิตใจของยูยะ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเริ่มมีหยาดน้ำไหลออกมา...
...ใครก็ได้...ช่วยด้วย...
“โธ่เว้ย!!! อยู่ที่ไหนกันวะ!?” เสียงโวยวายอย่างน่ากลัวดังออกมาปากของขาโหดประจำโรงเรียนมัธยมปลายชูโตกุอย่างมิยาจิ คิโยชิ ด้วยหน้าสวยขัดกับความโหดของเจ้าตัวแสดงถึงความเคร่งเครียดออกไปทางคลั่งหลังจากที่มีคนมาแจ้งเรียนที่น้องชายตนหายไปและหลังตามหามานานจนปานนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววแม้แต่น้อย
“มิยาจิซัง เย็นไว้ครับเย็นไว้” เด็กหนุ่มผมเขียวที่มาทำการช่วยหาเอ่ยปรามคนอายุมากกว่า
“จะเย็นยังไงไหวเล่า!?” มิยาจิในยามนี้กล้าพูดเลยว่าไม่อาจทำใจตัวเองให้เย็นลงได้แม้แต่น้อย
“มิยาจิเย็นไว้ โวยวายตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก” ชายวัยกลางคน...มาซาอากิผู้เป็นโค้ชของชมรมบาสที่ในยามนี้เคร่งเครียดไม่ต่างกันเอ่ย...
...ก็ใครมันจะไม่เครียดล่ะ เมื่ออยู่ๆ ไอ้ลูกศิษย์ตัวแสบของตนแต่ล่ะคนดันวิ่งมาบอกว่ามีคนหายไปเนี่ย...ที่จริงหากเป็นคนอื่นอาจคิดว่าแค่โดดเรียน หนีเที่ยวหรืออะไรพวกนี้ แต่พอคนหายไปดันเป็นมิยาจิ ยูยะที่เรียกได้เลยว่ามีความรับผิดชอบสูงนี่กล้าพูดเลยว่านอกจากเกิดเรื่องร้ายแรงเนี่ยอย่าหวังว่ารายนี้จะหายไปเฉยๆ เสียให้ยาก
...เพราะงั้นเลยทำเอากลุ้มจนผมแทบร่วงอยู่นี่ไง
“แต่...” มิยาจิทำท่าเหมือนจะเถียงกลับ ทว่าไม่ทันที่จะได้เอ่ยมากกว่านี้...
“อ่ะ อ้าว? คิโยจังทำอะไรอยู่อ่ะ? หน้าเครียดๆ” ...เสียงอันเริงร่าของใครบางคนก็ดังขัดบรรยากาศเครียดๆ ทำให้เหล่าเด็กหนุ่มที่รวมตัวกันอยู่หันไปมองยังต้นเสียง...และพบกับชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งปีนรั้วโรงเรียนเข้ามาหน้าตาเฉย พลางโบกมือให้มิยาจิก่อนที่จะโดดลงมาด้านในเขตโรงเรียน
“พ่อ!” มิยาจิเมื่อเห็นว่าใครทักตนเมื่อครู่ก็รีบพุ่งไปหาชายหนุ่มผมดำทันที...ถึงไม่รู้ว่าพ่อเขาจะโผล่มาที่โรงเรียนทำไมก็เถอะ แต่ก็มาได้จังหวะพอดีเลย!!! “ช่วยผมหายูยะหน่อย!”
“เอ๊ะ? ยูจังทำไมเหรอ?” คนโดนตะคุบตัวหรือนายมิยาจิ ยูโตะถามกลับอย่างเอ๋อๆ
“ยูยะหายตัวไปครับ!” มิยาจิตอบกลับไป
“...” พอได้ยินแบบนี้ยูโตะก็ขมวดคิ้วเป็นปมและด้วยความที่รู้นิสัยของลูกๆ ตนดีจึงรู้ได้ในทันทีว่าที่พูดมานี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมตวัดมองเหล่าเด็กหนุ่มจากชมรมบาสทั้งหลาย “...ขอโทษนะ...ใครเห็นยูจังเป็นคนสุดท้ายก่อนหายตัวไปไหม?”
“ผมครับ เห็นที่ห้องเก็บอุปกรณ์” อิยามิยกมือขึ้นเป็นการแสดงตัว
“นำทางไปที” ยูโตะเอ่ยง่ายๆ สั้นๆ แต่น้ำเสียงนั้นแสดงถึงการบังคับอย่างชัดเจน
“ค...ครับ” อิยามิขานรับก่อนที่จะรีบวิ่งนำทางไปเพราะกลัวว่าจะไม่ทันใจชายหนุ่มเข้า และแน่นอนเมื่ออิยามิเริ่มออกตัววิ่งก็วิ่งตามกันยกหมู่นั่นแหละ...จนในท้ายที่สุดทุกคนก็มาถึงยังห้องเก็บอุปกรณ์ที่ที่มีคนเห็นมิยาจิ ยูยะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหายตัวไป
“...” ยูโตะเดินเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์แล้วมองซ้ายมองขวาทำจมูกฟุตฟิต “กลิ่นนี่...”
“กลิน?” เหล่าคนในชมรมบาสต่างทวนอย่างไม่เข้าใจเพราะตั้งแต่เข้ามาภายในห้องนี่ตนไม่ได้กลิ่นอะไรที่ผิดปกติเลย ต่างจากมิยาจิที่ดูจะรู้ดีว่าที่พ่อตนพูดหมายถึงอะไร
“กลิ่นยาสลบ จางมาก...ดูท่าจะมีคนใช้ยาสลบอย่างแรงประมาณสามถึงสี่ชั่วโมงก่อน” ยูโตะจับคางตัวเองพลางวิเคราะห์จากกลิ่นที่ตนดมได้
“เฮ้ย! เวลานั้นมัน...” อิยามิกับยามาโตะอุทานออกมาเบาๆ
“มันทำไมครับ?” มิโดริมะถามรุ่นพี่ทั้งสองของตนที่มีท่าทีตกใจ
“มันเป็นเวลาที่ยูยะหายไปพอดีน่ะสิ!” ยามาโตะตอบด้วยความทึ่ง...มีอย่างที่ไหนคาดเดาเวลาจากกลิ่นที่เจือจางในอากาศขนาดนี้ได้ฟะ!?
“พ่อพอตามกลิ่นได้ไหมครับ?” มิยาจิที่รู้เรื่องจมูกที่ดีเกินเหตุของพ่อตัวเองอยู่แล้วถามขึ้น
“แน่นอน ระดับไหนแล้ว” ยูโตะยักไหล่น้อยๆ
“คนหรือหมาเนี่ย?” ทาคาโอะบ่นขึ้นมาเบาๆ
“คนนี่แหละ แต่คิโยมิชอบบอกว่าฉันจมูกดีเกินเหมือนหมาน่ะ” ยูโตะที่ดันหูดีได้ยินตอบเด็กหนุ่มกลับไป
“ยังได้ยินอีก!” ทาคาโอะสะดุ้งโหยงเนื่องจากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
“อย่ามัวเล่นสิฟะ!” คู่หูคู่ฮา (?) ของทาคาโอะหรือมิโดริมะสับกลางกะหม่อมอีกฝ่ายที่เล่นไม่ดูเวล่ำเวลาไปหนึ่งที
“เอ้าๆ อย่าทะเลาะกัน รีบไปหายูจังเถอะ...รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเลย” ยูโตะห้ามเด็กหนุ่มทั้งสอง
“ครับ” สองตัวจริงปีหนึ่งแห่งชูโตกุหยุดทะเลาะกันในทันใดก่อนที่จะรีบตามยูโตะที่เดินตามกลิ่นที่เจ้าตัวได้กลิ่นคนเดียวไป...เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงยังสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง
“ไกลโคตร!” พอมาถึงจุดหมายก็มีบางส่วนเริ่มบ่นขึ้นมากับความห่างระหว่างสถานที่แห่งนี้กับโรงเรียน
“กลิ่นมันมาถึงพื้นที่รกร้างแบบนี้จริงๆ เหรอเนี่ย?” ทาคาโอะบ่นเล็กน้อย...เขาควรทึ่งที่ไอ้คนที่ลักพาตัวรุ่นพี่เขาพารายนั้นมาถึงนี่ได้โดยไม่มีใครเห็นหรือว่าควรทึ่งที่พ่อรายนัั้นดันจมูกดียังกับหมาดมกลิ่นจนมาถึงนี่ได้ดีเนี่ย?
“...” ยูโตะไม่ตอบอะไร ขมวดคิ้วเป็นปมก่อนที่จะเบิกตากว้างและ...พุ่งไปยังโกดังร้างหลังหนึ่งแล้วทำการเตะประตูโกดังนั้นจนหลุดออกมาทั้งยวงทันที
“เกิดอะไรขึ้นพ่...” มิยาจิที่เห็นพ่อตัวเองพุ่งไปยังโกดังร้างก็รีบตามไปดูที่จะแทบเหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหินเมื่อภาพภายในโกดังที่ปรากฏเข้ามาสู่สายตานั้น... “...ยูยะ!!!”
...คือภาพของมิยาจิ ยูยะที่ถูกมัดอยู่โดยที่บนร่างนั้นถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งคล่อมอยู่ ดวงหน้าเปอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำสีขาวขุ่น นัยน์สีน้ำผึ้งที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจับจ้องมาอย่างหวาดกลัวและอ่อนแรง...และนั้นเป็นดังตัวเรียกสติให้มิยาจิรีบวิ่งไปหาน้องชายตนเอง
“นี่เธอ...ทำอะไรลูกฉันห๊า!?” ยูโตะที่เร็วกว่าลูกชายคนโตของตนมากรีบวิ่งผ่านไปกระชากคนที่คล่อมร่างยูยะแล้วเขวี้งออกไปราวกับโยนตุ๊กตาและลงมือจัดการคนที่บังอาจลักพาตัวลูกตนมา
“ยูยะ! เฮ้ย! นี่ไม่เป็นไรนะ!?” ทางมิยาจิ คิโยชิก็ทำการพยุยร่างของน้องชายตัวเองขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมาฉกตัวยูยะไปอีก
“พ...พี่...” ดวงตาที่แสนอ่อนแรงจับจ้องไปยังคนที่กอดอยู่ เสียงที่ออกมาจากริมฝีปากช่างแผ่วเบาเสียจนน่าใจหาย
“รีบแจ้งตำรวจกับรถพยาบาลเร็ว!” มาซาอากิที่ตามสองพ่อลูกมิยาจิเข้ามาและเจอเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้รีบเอ่ยสั่งเหล่าลูกศิษย์ของตนทันที
“ครับ!” เหล่าเด็กหนุ่มในชมรมบาสทั้งหลายขานรับอย่างพร้อมเพรียง ในขณะที่เหล่าตัวจริงของชมรมบาสบวกอิยามิและยามาโตะต่างวิ่งเข้าไปยูยะด้วยความเป็นห่วง
“เร็วด้วยล่ะ! ไม่งั้นเดี๋ยวฉันเผลอฆ่าทิ้งแน่...บอกไปว่ามิยาจิ ยูโตะฝากบอกมา...” ยูโตะด้วยน้ำเสียงเล่นๆ แต่ท่าทางนั้นกลับไม่มีวี่แววล้อเล่นแม้แต่น้อย...และคาดว่าหากช้าอาจมีคนตายจริงๆ ด้วย
“ค...ครับ!!!” เหล่าเด็กหนุ่มที่กลัวว่าจะมีคนตายพากันรีบขานรับไปและพากันช่วยกันเรียกตำรวจมาในที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด...แล้วราวกับทางเหล่าตำรวจรวมทั้งทางโรงพยาบาลนั้นจะรู้เรื่องนี้ดี ไม่กี่นาทีต่อมาเหล่ารถพยาบาลและเหล่าตำรวจก็พากันยกขโยงกันมาที่นี่พร้อมหาหน่วยกล้าตาย (?) ไปห้ามมิยาจิ ยูโตะที่ตื้บคนอย่างเมามันส์...
...แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าอาสาไปจนเมื่อมีบุรุษพยาบาลคนหนึ่งมาบอกมิยาจิว่าจะพายูยะไปส่งโรงพยาบาลและให้ช่วยหยุดยูโตะเพื่อไปโรงพยาบาลยกหมู่นั้นแหละ คนโดนตื้บเลยรอดตายมาได้อย่างใกล้ข้ามแม่น้ำปรโลกไป...หลังจากที่จบเรื่องคนร้ายแล้ว ยูยะก็ถูกส่งมารักษาต่อที่โรงพยาบาลโดยมียูโตะและมิยาจิอยู่ข้างๆ ตลอด ส่วนทางเหล่าคนในชมรมบาสก็ต่างถูกสอบปากคำไปตามระเบียบ
...ทางคนที่มายังโรงพยาบาลนั้นเมื่อเห็นสภาพที่ดีกว่าผ้าขี้ริ้วหน่อยเดียวของคนที่โดนนายยูโตะตื้บต่างพากันส่ายหน้ากันเป็นแถบๆ และรีบทำการรักษาก่อนที่จะตายจริงๆ เข้า ส่วนทางยูยะนั้นเมื่อได้รับการตรวจแล้วผู้ถูกโยนหน้าที่หมอเจ้าของไข้ให้ (?) ก็บอกแก่มิยาจิ ยูโตะและมิยาจิ คิโยชิว่ายูยะนั้นทางด้านร่างกายนั้นยังไม่ได้ถูกกระทำอะไรมากนัก แต่ทางด้านจิตใจ...หมอเองก็ไม่สามารถบอกได้จนกว่ายูยะจะตื่นขึ้นมา ยูยะจึงถูกส่งตัวไปยังห้องพักผู้ป่วยพร้อมกับที่ทางโรงพยาบาลก็โทรแจ้งข่างเรื่องนี้ให้มิยาจิ คิโยมิผู้เป็นแม่ของผู้เสียหายได้ทราบ
...ไม่นานเกินรอ...หลังจากที่ทางโรงพยาบาลแจ้งข่าวไปไม่ถึงสิบห้านาทีก็มิหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งคนหนึ่งพุ่งเข้ามาในโรงพยาบาลและแทบเขย่าคอหมอพยาบาลแถวนั้นเพื่อสอบถามถึงเรื่องลูกชายตนเลยทีเดียว
...ยังดีที่ทางโรงพยาบาลเหมือนรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเลยบอกให้ยามหน้าประตูนั้นพอเห็นสาวเจ้ามาให้บอกห้องพักของยูยะไปทันที สาวเจ้าเลยไม่ได้ทำให้ใครผวา (?) มากนักและรีบวิ่งไปยังห้องพักที่ว่า...เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วทั้งชั้นจากการวิ่งที่เกินคนไปสักนิดของสาวเจ้า...
“ยูโตะ! คิโยชิ!” ...และตามด้วยเสียงเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออกอย่างแรงพร้อมกับเสียงตะโกนแบบไม่เกรงใจใครของหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งดังขึ้น “ยูยะเป็นไงบ้าง!?”
“ไม่โดนอะไรมากหรอกตัวเธอ พอดีไปเจอตัวทันน่ะ” ยูโตะส่งยิ้มบางๆ ให้ภรรยาตน
“แต่ด้านสภาพจิตใจ...” มิยาจิเอ่ยต่อด้วยท่าทางหม่นหมอง
“ไม่ต้องพูดล่ะ แม่เข้าใจ...” มิยาจิ คิโยมิเดินไปตบบ่าลูกชายคนโตของตนทีหนึ่งเป็นการปลอบก่อนที่จะหันไปคุยกับผู้เป็นสามีตน “...ไอ้ตัวคนทำล่ะ?”
“เค้าตื้บไปแล้วอ่ะ ตายหรือเปล่าไม่รู้” ยูโตะตอบ
“มันรักษาอยู่ห้องไหน เดี๋ยวไปตื้บต่อ” คิโยมิเอ่ย
“แบบนั้นก็ตายสิครับแม่...แทนที่จะให้มันตาย ให้ทรมานอย่างช้าๆ ยังดีซะกว่า” มิยาจิห้ามปรามผู้เป็นแม่ตน...สำหรับเขาแล้วคนที่กล้าทำร้ายน้องชายเขาเนี่ยแค่ตายน่ะไม่สาสมหรอก
“เออ เนอะ” สามีภรรยามิยาจิพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของลูกชายคนโตของตน...โดยไม่สนใจนายตำรวจรายหนึ่งที่เดินมาถึงหน้าห้องแล้วได้ยินคำพูดชวนให้เจ้าหน้าที่หนุ่มอดไว้อาลัยแก่ตัวต้นเหตุไม่ได้สักนิด
“เออ...ขอโทษครับ” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นมาทำให้ทั้งสามหันไปมองยังต้นเสียง “ขอเชิญยูโตะซังช่วยมาให้ปากคำในฐานะคนตื้บชาวบ้าน เอ้ย! คนที่หาตัวลูกคุณเจอคนแรกด้วยนะครับ”
“โอเค!” ยูโตะลุกขึ้นยืนแล้วกระซิบกับภรรยาตนเบาๆ “ฝากคิโยจังกับยูจังด้วย”
“อื้ม” คิโยมิพยักหน้ารับในขณะที่ยูโตะเดินออกจากห้องไปพร้อมนายตำรวจ และเมื่อเสียงประตูห้องถูกปิดลงสาวเจ้าก็ยกมือไปขยี้หัวลูกชายคนโตของตนเบาๆ “เลิกทำหน้าซึมได้แล้วคิโยชิ...ไม่ใช่ความผิดลูกหรอกน่า”
“แต่ทางผมหาทางจัดการก่อนหน้านี้ ยูยะคง...” มิยาจิเม้มปากแน่น...หากว่าเขารีบไปจัดการเจ้านั้นตั้งแต่มันตามยูยะเมื่อเที่ยงหรือหากเขาเจอยูยะเร็วกว่านี้ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้้
“คิดมากไปได้น่า” คิโยมิกรอกตาไปมา...นี่ติดนิสัยคิดมากมาจากใครเนี่ย? ทั้งเธอทั้งยูโตะก็ไม่มีใครเป็นพวกคิดมากนะ อย่างมากก็แค่เจ้าคิดเจ้าแค้นเอง (?) “เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเขาคิดว่าจะเกิดขึ้นหรอกน่า อย่าโทษตัวเองเลย”
“แต่...” มิยาจิทำท่าจะเถียงกลับ ทว่า...
“ถ้าไม่เข้าใจอีก แม่จะจับไปฝึกที่โรงฝึกของแม่” ...กลับโดนแม่ตัวเองดักเอาไว้เสียก่อน
“...ครับ” มิยาจิที่รู้ดีว่าโรงฝึกที่แม่ตนสอนอยู่นั้นไม่ใช่ที่คนปกติเข้าไปอยู่ได้นานนักหรอกเพราะโหดบรรลัยมากจึงไม่อยากลองดีเสียเท่าไหร่นัก เลยพยักหน้ารับไป
“ดีมาก” คิโยมิยกมือลงจากหัวอีกฝ่ายแล้วตบหลังเบาๆ (แต่สำหรับคนปกติก็แรงอยู่ดี) ไปทีหนึ่ง “ส่วนเรื่องตั้งตัวต้นเหตุนั้น...เดี๋ยวแม่ให้ไอ้พวกไม่ปกตินั้นช่วยเอง”
“กะเอาแบบที่ต่อให้ไม่โดนจับก็อยู่แบบปกติไม่ได้เลยสินะครับ?” มิยาจิซึ่งทราบถึงฤทธิ์เดชของพวกไม่ปกติแต่ละคนที่แม่ตนว่ามาพอสมควรจากคำบอกเล่าถาม
“แน่นอน” คิโยมิเอ่ยพร้อมเดินออกไปหน้าห้อง “คุยกับพวกมันแป๊บ เดี๋ยวมา”
“ครับ” มิยาจิพยักหน้ารับขณะที่คิโยมิปิดประตูดังปังจนน่ากลัวว่าประตูจะพังชอบกล “เฮ้อ...ฉันขอโทษนะยูยะ...”
“ขอโทษบ้าอะไรเล่า ไอ้พี่บ้าเอ้ย...”
“!?” มิยาจิสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นพร้อมหันขวับไปยังต้นเสียง...ซึ่งคนบนเตียงนั้นลืมตาขึ้นมามองยังตนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ “ยูยะ! หมอ! ตามหมอที!!!”
“เฮ้! ใจเย็นก่อนพ...” ยูยะที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาดันตัวพยายามลุกอย่างอ่อนแรงพลางห้ามไม่ให้พี่ชายตนโวยวายใหญ่โต แต่...
“มาแล้ว!” ...ไม่ทันที่ยูยะจะเอ่ยจบประโยคดี หญิงสาวผมสีน้ำผึ้งที่ออกไปนอกห้องก่อนหน้าก็จัดการอุ้มชายในชุดแพทย์คนหนึ่งเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว คาดว่าเพราะได้ยินเสียงตะโกนของมิยาจิเมื่อครู่เลยไปจัดการอุ้มหมอมาให้ตามต้องการ
“เร็วปายยยยย!!!” ยูยะอุทานออกมาเสียงดังลั่น...นี่ไปลักพาตัวหมอ (?) มาภายในเวลาไม่ถึงสามนาทีได้ไงเนี่ย!?
“อุ้มมาเร็วดีครับแม่” มิยาจิยกนิ้วให้แม่ตัวเองที่ทำอะไรได้รวดเร็วทันใจเหลือเกิน
“เออ...ผมว่าคุณนายปล่อยผมก่อนเถอะครับ...แบบนี้ผมทำงานไม่ได้ อายด้วย” ทางคุณหมอที่ถูกพาตัวมาเอ่ยเสียงแผ่ว...ตัวเขาก็ไม่ใช่เล็กๆ นะ ทำไมอุ้มเขาได้กัน? ช่วยกรุณาให้เกียรติความเป็นผู้ชายของเขาทีเถอะ แบบนี้มันน่าอายนะ
“อา ได้ๆ” คิโยมิเอ่ยพร้อมกับ...จับหมอหนุ่มโยนไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่างข้างเตียงผู้ป่วย
“วางดีๆ ก็ได้ครับ!” หมอหนุ่มโวย
“ก็ดีแล้วไง ส่งให้ถึงที่เลย” คิโยมิยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“...เฮ้อ เอาเป็นว่ากรุณาออกไปหน้าห้องแป๊บนะครับ” นายหมอหนุ่มที่ไม่นรู้จะว่ายังไงกับสาวเจ้าดีเลือกที่จะเมินๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้ว และหันมาสนใจทำหน้าที่ของตนแทน
“โอเค” คิโยมิพยักหน้ารับพร้อม
‘หิ้ว’ ลูกชายคนโตของตนออกจากห้องไป
“ผมเดินเองได้ครับ!” มิยาจิที่โดนหิ้วโวยเล็กน้อย
ขณะที่คิโยมิปิดประตูห้องพักผู้ป่วยลง
“ได้แต่ช้ากว่าแม่นิ” คิโยมิยักไหล่น้อยๆ แล้วปล่อยเจ้าลูกชายตัวดีของตนลงพื้น
...ใครมันจะเกินคนแบบแม่ล่ะครับ! ผมน่ะมาตรฐานคนปกตินะครับ!!!...
มิยาจิไม่เถียงว่าแม่ตนนั้นหิ้วตนออกมาจากห้องนี่เร็วกว่าเขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาเองเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงขั้นหิ้วกันแบบนี้ก็ได้นะ! เขาไม่ใช่เด็กนะที่ยังจะทำอะไรแบบนี้ใส่น่ะ!!!
โครม!
“หื้อ?” ระหว่างที่มิยาจิแอบนินทาแม่ตัวเองในใจ (?) เสียงเหมือนอะไรสักอย่างหนักๆ ตกพื้นก็ดังขึ้นมา ทำให้นายมิยาจิ คิโยชิถึงกับสะดุ้งโหยง ในขณะที่คิโยมิเพียงแค่ขมวดคิ้วน้อยๆ เท่านั้นพร้อมกับเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง
“เกิดอะไรขึ้น?” คิโยมิถามเมื่อ...สิ่งแรกที่ปรากฏเข้าสู่สายตาของหญิงสาวคือภาพมีคนที่นอนตาย (?) อยู่กับพื้นนั้นเอง
“อะไรวะ?” มิยาจิที่ยื่นหน้าเข้ามาดูภายในห้องอีกคนถามอย่างุนงง
“เออ...ขอโทษครับ เส้นกระตุกน่ะ แฮะๆ” ยูยะส่งยิ้มแห้งๆ ให้พี่กับแม่ตนแล้วเหล่มองหมอที่นอนตาย (?) อยู่กับพื้น
“เฮ้ยๆ หมอตายไหมเนี่ย?” คิโยมิถามขึ้นพลางคิดว่าตนควรหาไม้ไปเขี่ยหรือไม่
“ยังครับ...” หมอหนุ่มที่กลัวว่าจะโดนเข้าใจว่าตายจริงๆ รีบลุกขึ้นมา เผยให้เห็นแก้มที่ขึ้นรอยช้ำอย่างชัดเจน “...มือหนักชะมัดเลย”
“ยูยะบุ๋นสุดในบ้านนะ...” คิโยมิเอ่ยแย้งขึ้นมา
“...” หมอหนุ่มคิ้วกระตุก...สาบานว่านี่บุ๋นแล้ว? ต่อยคนแทบสลบเนี่ยนะ? แต่เอาเถอะ ขนาดคนแม่ยังอุ้มเขามาหน้าตาเฉย คนลูกแค่ต่อยแค่นี้อาจเรียกว่าบุ๋นของบ้านนี่จริงๆ ก็ได้ ใครจะรู้ “...เอาเป็นว่าไม่มีอะไรครับ ออกไปรอด้านนอกนะครับ...ได้ยินเสียงโครมครามอะไรอย่าแปลกใจ เพราะหมออาจโดนคนไข้ถีบเฉยๆ เฮอะๆ”
“อา...” มิยาจิกับคิโยมิมองหน้าหมอที่ทำท่าเหมือนปวดจิตก่อนที่จะพากันออกจากห้อง...และจากนั้นไม่นานก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นจากภายในห้องตามคาด...
...และหลังจากเสียงดังขึ้นมาประมาณสักยี่สิบนาที...สุดท้ายหมอหนุ่มก็ยกธงขาวยอมแพ้และขอให้มิยาจิกับคิโยมิเข้ามาภายในห้องเผื่อว่าจะช่วยไม่ให้หมอที่แทบจะโดนซ้อมปานตาย (?) ไม่ให้โดนเตะต่อยไปมากกว่านี้ได้
...แต่ทว่าทันทีที่แม่และพี่ของคนป่วยเข้ามา ยูยะกลับไม่มีอาการเตะต่อยหมออีกเลย จนทำให้ในที่สุดหมอหนุ่มก็สามารถตรวจร่างกายยูยะได้สำเร็จพร้อมกับสรุปอาการได้สั้นๆ ว่า...
“สรุปเพราะเหตุการณ์บ้าๆ นี่มันทำยูยะออกอาการกลัวคนนิดๆ สินะ?” ...เป็นเช่นนี้แล
“ครับ...แถมกลัวแบบเส้นกระตุกอัดชาวบ้านด้วย” หมอหนุ่มที่สภาพราวไปรบกับใครมาเอ่ย
“เออ...หมอครับ ไปรักษาตัวเองก่อนไหม?” มิยาจิมองสภาพหมอหนุ่มแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ ...นี่ถ้ารายนี้ใจแข็งไม่ตามแม่กับเขามาช่วยเนี่ยสภาพจะเป็นไงนะ?
“ไว้ทีหลังแล้วกันครับ” คนเป็นหมอที่ในตอนนี้ต้องรายงานเรื่องสภาพทางใจของคนไข้ของตนก่อนตามหน้าที่เอ่ย “ตอนนี้หมอแนะนำว่าหากยังรักษาไม่หายจากอาการนี่ควรให้ผู้ป่วยอยู่ติดๆ กับคนที่เจ้าตัวไว้ใจจะได้ไม่เผลอเส้นกระตุกอัดชาวบ้านนะครับ”
“ครับ” ยูยะที่เป็นดังตัวต้นเหตุทำให้คนอื่นเจ็บตัวขานรับไปเสียงแผ่ว
“งั้นหมอขอตัวไปทำแผลตัวเองก่อนนะครับ” พอหมดหน้าที่แล้วหมอหนุ่มก็เดินอย่างอ่อนแรงออกจากห้องไป
“...” คิโยมิมองตามร่างอีกฝ่ายไปจนกระทั่งประตูห้องพักถูกปิดลง สาวเจ้าจึงเลื่อนสายตากลับมายังคนบนเตียงแทน “ยังดีนะที่มีอาการแค่นี้น่ะ”
“แต่ผมว่านี่ก็เรื่องใหญ่อยู่นะครับแม่” ยูยะทำหน้าปุเลี่ยนๆ ...ถ้าเขาเผลอต่อยชาวบ้านไปทั่วเวลาไม่อยู่กับพี่เนี่ยตอนเรียนมันก็ลำบากน่ะสิ ที่สำคัญแบบนี้แปลว่าเขาจะซ้อมบาสไม่ได้อีกนานเลยด้วย
“ใหญ่มากด้วย” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่หรอก แม่ว่าหากลูกไปอยู่ที่มีคนเยอะๆ นานๆ เข้าเดี๋ยวก็ปรับตัวได้เองแหละ” คิโยมิรู้ว่าหลังจากผ่านเรื่องแบบนี้คงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับเป็นปกติได้ แต่เธอเชื่อว่าพวกหัวดื้ออย่างลูกเธอคงผ่านมันไปได้แน่นอน...แต่จะนานเท่าไหนนี่อีกเรื่องนะ “เดี๋ยวแม่จะโทรตามคนในชมรมกับพวกเพื่อนลูกมาให้ ดูว่ามีใครบ้างที่ลูกไม่เส้นกระตุกใส่”
“เดี๋ยว...เฮ้ย! ไปเร็วแท้!” ยูยะแว๊ดลั่นเมื่ออยู่ๆ แม่ตนดันวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเสียจนแทบมองไม่ทัน
“แม่ก็แบบนี้ตลอดนิ ยังดีที่คราวนี้ไม่ทำอะไรชวนหัวใจวาย” มิยาจิถอนหายใจอีกล่ะรอบ
“นั้นสินะ” ยูยะไม่เถียงว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ “และพี่...ผมว่าพี่เลิกทำหน้าเหมือนมีใครตายสักทีเถอะ เห็นแล้วอยากเขกหัว”
“ยังปากดีอีกนะนายเนี่ย” มิยาจิค้อนใส่น้องตัวเองไปทีหนึ่ง
“ก็นะ” ยูยะยักไหล่น้อยๆ “ถึงผมรู้ว่าพี่เป็นพวกคิดมากมาแต่ไหนแต่ไรแต่ผมว่าพี่เลิกโทษตัวเองได้แล้ว...นี่ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้นแหละ นอกจากไอ้บ้านั้น”
“แต่...” มิยาจิพยายามจะเถียงกลับ แต่...
“ถ้าเถียงผมจะให้พ่อป่วนพี่” ...กลับโดนยูยะดักทางเอาไว้เสียก่อน
“...” คราวนี้มิยาจิถึงกับนิ่งเงียบไป...งานนี้เขามั่นใจเลยว่าถ้ายูยะขอ พ่อคงทำตามให้แน่และเขาก็จะปวดหัวจนแทบประสาทกิน เพราะพ่อเขาน่ะป่วนแต่ละทีไม่เคยปกติสักครั้ง!!!
“งั้นผมถือว่าพี่เข้าใจนะ” ยูยะยิ้มอย่างมีชัย “ว่าแต่...ถามหน่อยผมโดนจับตัวไปกี่ชั่วโมงเนี่ย? ถึงจะหาตัวผมเจอกกันน่ะ”
“ราวๆ สี่ถึงห้าชั่วโมง และคงนานกว่านี้หากไม่บังเอิญเจอพ่อเดินผ่านมาพอดีน่ะ” มิยาจิตอบ
“...พ่อไปทำอะไรแถวโรงเรียนล่ะนั้น?” ยูยะถาม...ที่ทำงานพ่อเขากับโรงเรียนที่พวกเขาเรียนมันไปคนละทางนี่นา?
“ไม่รู้” มิยาจิส่ายหน้าวืด
“พอดีโดนใช้ไปออกนอกพื้นที่นิดหน่อยน่ะ และบังเอิญมันอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนลูกพอดีเลยแวะหา”
“ชะแว๊กกกกก!!!” เด็กหนุ่มทั้งสองหลุดร้องออกมาเสียงดังลั่นกับเสียงที่อยู่ๆ ดังขึ้นภายในห้องที่มีเพียงพวกตนสองคนก่อนที่จะหันไปยังต้นเสียง...และพบกับชายหนุ่มผมดำห้อยหัวลงมาจากฝ้าเพดานของห้อง “พ่อ! อย่าโผล่มางี้สิ! ไม่สิ! อย่างัดเพดานโรงพยาบาลแบบนี้สิพ่อ!!!”
“นิดๆ หน่อยๆ น่า” ยูโตะเอ่ยพลางโดดลงมาจากฝ้าเพดาน
“นิดหน่อยกับแมวสิครับ! ทำไมไม่เข้ามาทางประตูดีๆ!?” มิยาจิโวยใส่พ่อตนที่มีประตูแต่กลับไม่ใช้
“ถ้าแบบนั้นพวกลูกก็ไม่ตื่นเต้นอ่ะดิ” ยูโตะเอ่ย
“ไม่ต้องหาความตื่นเต้นมาให้ก็ได้คร้าบบบบบ” สองพี่น้องมิยาจิแทบอยากร้องเป็นทุกภาษาบนโลกให้พ่อตนมีสามัญสำนึกแบบคนปกติธรรมดาเสียจริงๆ แต่ติดตรงที่ว่าพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่ฟังนี่สิ...เพราะงั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็เลยต้องรับกรรมจากพ่อตัวเองต่อไป
ทั้งสองโดนพ่อตัวเองป่วนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่งคิโยมิกลับมาพร้อมกับพวกเพื่อนและพวกคนในชมรมบาสชูโตกุที่ลากมามืดๆ ค่ำๆ แบบนี้ได้ไงก็ไม่รู้แล้วจัดการทดสอบทันทีว่าลูกชายคนเล็กตนจะไม่มีปฏิกิริยาเส้นกระตุกใส่ใครบ้าง...ซึ่งผลที่ได้คือคนที่รอดจากการโดนอัดได้แต่เหล่าตัวตั้งต้นของชมรมบาส อิยามิกับยามาโตะที่เป็นเพื่อนสนิท และมาซาอากิผู้เป็นโค้ชเท่านั้น
ส่วนที่เหลือนั้นก็ต่างได้คนล่ะแผลสองแผลจากอาการเส้นกระตุกของยูยะโดยทั่วหน้า
“ดูท่าจะรอดกันแค่นี้นะ” คิโยมิเอ่ยขึ้นหลังทดสอบเรียบร้อยหมดแล้ว
“ยุ่งยากพอดู” มาซาอากิถอนหายใจออกมาเบาๆ กับอาการของลูกศิษย์ตน...แต่ยังดีที่ไม่ถึงขั้นผวาชาวบ้านไปเลยล่ะนะ
“แล้วแบบนี้จะไปโรงเรียนยังไงล่ะเนี่ย?” ยามาโตะถามขึ้นเนื่องจากนึกภาพเพื่อนตนที่ดันเผลออัดทุกคนที่เข้าใกล้ไปโรงเรียนไม่ออกเลย
“ไม่ต้องห่วง ถ้าหากอยู่ใกล้ๆ คนที่ไว้ใจยูยะจะไม่เส้นกระตุกน่ะ” คิโยมิเอ่ยพร้อมถีบเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่โดนยูยะปล่อยหมัดตรงเข้าที่ท้องไปยืนข้างยูยะ
“...” ทางคนโดนถีบมาตัวสั่นน้อยๆ ด้วยความกลัวว่าจะโดนหมัดอีกรอบ...แต่จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็ไม่ทำอะไรตน เจ้าตัวถึงหายใจได้ทั่วท้องหน่อย “...หากมีคนที่ไว้ใจในระยะสายตาจะไม่แสดงอาการสินะครับ?”
“ตามนั้น” คิโยมิยักไหล่น้อย”
“งั้นแบบนี้ให้เขาแอบตามติดยูจังดีไหมตัวเธอ?” ยูโตะถามขึ้น
“คุณน่ะไม่ต้องเลย” คิโยมิปฏิเสธทันควัน
“อย่าเลยครับพ่อ ขอล่ะ” สองพี่น้องมิยาจิเอ่ยห้ามอย่างพร้อมเพรียง
“แต่พ่อห่วงอ่ะ” ยูโตะทำแก้มป่อง
“รู้ว่าห่วง แต่ไม่ต้องมากนักก็ได้” คิโยมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...เธอเองก็ห่วงไม่ต่างกัน แต่จะทำให้ดูเป็นเรื่องใหญ่โตมันก็ใช่เรื่องที่ไหนล่ะ “แล้วนี่หลังจากโดนสอบปากคำแล้วเป็นไง?”
“ก็ดี ไอ้ตัวคนทำมีแววโดนส่งไปสถานพินิจด้วย” ยูโตะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ผลน่าพอใจอยู่แฮะ” คิโยมิพยักหน้ารับเชิงเข้าใจ “แต่ถ้าสุดท้ายมันรอดจากคดี ค่อยจัดการอีกทีแล้วกันเนอะ”
“ตามนั้นเลยจ้าเมียจ๋า” ยูโตะเอ่ยสนับสนุน
“จัดการแบบไม่ให้รอดเลยยิ่งดีครับ” มิยาจิสนับสนุนอีกคน
“อย่าทำท่าเหมือนวางแผนจะเชือดคนสิครับ!!!” ยูยะโวยเล็กน้อย...หลอนนะเว้ย!!!
“ช่วยไม่ได้ ทำตัวเองนี่หว่า!” คนบ้านมิยาจิทั้งสามเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน...ทำเอาคนที่โดนตอบกลับมาเช่นนี้ถึงกับคุมขมับ ในขณะที่คนอื่นๆ ที่ยืนฟังอยู่นั่นได้แต่แอบสวดให้คนร้ายก่อนหน้านี้ในใจที่ดูท่าต่อให้รอดจากข้อกฎหมายก็คงไม่รอดจากครอบครัวนี่แล้วล่ะ
วันเวลาผ่านไปนับเดือน ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุลักพาตัวยูยะนั้นทุกคนภายในชมรมบาสนั้นแทบเรียกได้ว่าจับตามองเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งคนนี้ชนิดไม่ให้คลาดสายตาเลยทีเดียว...แถมยังไม่ยอมให้คนที่ไม่น่าไว้ใจเข้าใกล้อีกต่างหาก
ทางด้านมิยาจิ ยูยะนั้นด้วยความช่วยเหลือของไม่กี่คนที่เจ้าตัวไม่เส้นกระตุกใส่ทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆ ปรับตัวอยู่ในคนหมู่มากได้อีกครั้ง ถึงแม้ยังมีเผลอเตะเผลอต่อยคนที่มาใกล้ตนตอนอยู่คนเดียวบ้าง แต่ก็ไม่หนักเท่าช่วงแรกๆ...ซึ่งนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับยูยะ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้เผลอทำใครโดนหามเข้าห้องพยาบาลบ่อยเท่าช่วงแรกๆ ที่กลับมาเรียนแล้ว
“ยูย้าาาาาาา” เสียงเรียกยาวๆ อย่างกวนๆ ดังขึ้นภายในห้องเรียนที่นั่งเรียนแต่ละคนเริ่มลุกจากที่เพราะอาจารย์เพิ่งปล่อยให้พักทานมื้อเที่ยง
“อะไรวะ?” ยูยะถามเพื่อนตัวดีของตนที่ลากเสียงน่าถีบใส่ตน
“ไปกินข้าวกัน! วันนี้พวกปีสามไม่ว่างมากินด้วยกันเลยต้องไปกับไอ้คู่หูคู่ฮานะ!” อิยามิเอ่ยพร้อมส่งยิ้มกวนๆ ให้
“เลิกเรียกมิโดริมะกับทาคาโอะมันแบบนั้นสักทีเถอะ มันฟังแปลกๆ นะเฮ้ย” ยูยะกรอกตาไปมากับคำเรียกคู่หูปีหนึ่งของชมรมตน...ซึ่งไปๆ มาๆ มันจะกลายเป็นฉายาของสองคนนั้นจริงๆ เพราะไอ้เพื่อนสองตัวนี่แล้วเนี่ย
“น่าๆ ไปกันๆ” ยามาโตะที่กลัวโดนถีบแพ๊คคู่กับอิยามิรีบเปลี่ยนเรื่องทันควันพร้อมลากเพื่อนทั้งสองไปยังดาดฟ้าที่เป็นที่นัดหมายทันที
“ยูยะซัง! อิยามิซัง! ยามาโตะซัง! ทางนี้ๆ!” พอมาถึงยังดาดฟ้าเด็กหนุ่มผมดำก็โบกมือให้อย่างร่าเริงในทันที
“ไม่ตะโกนก็ได้เว้ย! เห็นอยู่!” ยูยะสวนกลับไปพลางเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างๆ เด็กหนุ่มผมดำและเด็กหนุ่มผมเขียวที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“แหมๆ ก็ผมกลัวว่าจะไม่เห็นพวกผมนี่ครับ” ทางคาโอะตอบกลับไปอย่างชิวล์ๆ ตามสไตร์ทของเจ้าตัว
“ไม่ต้องมากวนโอ้ยเลย” ยูยะค้อนใส่คนอายุน้อยกว่าไปทีหนึ่ง
“หมอนี่ก็แบบนี้แหละครับ” มิโดริยามะส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ กับคู่หูตัวเองนิดๆ พลางเขกหัวดำ ของคนข้างๆ ไปทีหนึ่งก่อนจะหันมาคุยกับคนผมสีน้ำผึ้งต่อ “แล้วนี่อาการเป็นไงบ้างแล้วครับยูยะซัง?”
“เผลออัดคนตอนอยู่คนเดียวน้อยลงแล้วล่ะ” ยูยะตอบ
“ถือว่าพัฒนาไปในทางที่ดีนะครับ” มิโดริมะพยักหน้ารับเชิงเข้าใจ
“ก็นะ” ยูยะยักไหล่น้อยๆ ...เขาไม่เถียงว่ามันไปในทางที่ดีจริงๆ นั้นแหละ
“อ๋อ จริงสิยูยะซัง...” ทาคาโอะผงกหัวขึ้นมาหลังจากโดนเขกหัวจนหน้าทิ่ม “...วันนี้เห็นโค้ชบอกว่าจะเดินทางไปซ้อมแข่งกับไคโจวที่คานากาวะด้วยล่ะครับ...ยูยะจะไปหรือเปล่าครับ? โค้ชบอกว่าสำหรับยูยะซังไม่ต้องไปก็ได้นะครับ”
“ไปอยู่แล้วเฟ้ย” ยูยะตอบกลับแทบทันที
“แต่มันต้องขึ้นรถไฟไปนะเว้ย! ไหวเหรอฟะ!?” ยามาโตะขมวดคิ้วเป็นปม...อาการกลัวคนนิดๆ ของหมอนี่ยังไม่หายดีเลย จะไปขึ้นรถไฟที่คนเยอะๆ แบบนั้นไหวเหรอฟะ!?
“ไหวๆ” ยูยะเอ่ย “ถือว่าเป็นการหักดิบอาการฉันกลายๆ แล้วกัน”
“หักดิบแบบนั้นไม่ดีนะครับ” มิโดริมะส่ายหน้าไปมา...ถึงใจจริงอยากห้ามไปให้รายนี้ไป แต่ก็รู้ดีว่าต่อให้ห้ามไปก็เท่านั้นนี่สิ
“น่า” ยูยะยักไหล่น้อย “สรุปยังไงฉันก็จะไปด้วย ห้ามฉันไม่ได้หรอก”
“ก็คิดว่าเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะครับ” มิโดริมะถอนหายใจออกมาเบาๆ
หลังจากที่จบบทสนทนาเรื่องการซ้อมแข่งในวันนี้ลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มทั้งสี่ก็รีบทานมื้อเที่ยงก่อนที่จะแยกกันกลับห้องเรียนตัวเองเพื่อที่จะเรียนในภาคบ่ายเป็นอย่างต่อไป...ซึ่งในตอนเรียนก็ไม่มีอะไรมากมายนัก จนกระทั่งเมื่อถึงยามเย็นที่เป็นเวลาที่ต้องเดินทางไปซ้อมแข่งกับไคโจว...
“นี่นายจะไปด้วยเหรอ!?” ...ความวุ่นวายก็บังเกิดขึ้นเมื่อนายมิยาจิ คิโยชิรู้เรื่องที่น้องชายตัวเองจะไปด้วย
“ก็ใช่น่ะสิพี่” ยูยะกรอกไปมากับท่าทีของพี่ตน...ก็เข้าใจนะว่าห่วง แต่ไม่ต้องมากนักก็ได้นะ
“นายจะไหวเหรอ!? ช่วงนี้คนบนรถไฟเยอะนะเฟ้ย!” มิยาจิถามอย่างไม่สบายใจนัก
“ไหวพี่ ไม่ต้องห่วงน่า” ยูยะตอบกลับไป
“น่าๆ อยู่กันกันเยอะคงไม่มีอะไรหรอกน่ามิยาจิ” คิมุระที่เข้าใจในความกังวลของเพื่อนตนดีตบบ่าปลอบ
“ก็หวังว่างั้นเถอะ” มิยาจิทำหน้ามุ่ย
“อย่าเครียดดิพี่ เดี๋ยวแก่เร็วหรอก” ยูยะเอ่ยติดตลก หวังว่าจะคลายเครียดให้พี่ตนได้สักนิด
“ไม่แก่เฟ้ย!” มิยาจิแยกเขี้ยวใส่คนที่ว่าตนไปทีหนึ่ง
“เอ้าๆ เลิกเล่นกันก่อน...ตอนนี้ได้เวลาไปแล้วนะ” คนแก่ เอ้ย! ผู้เป็นโค้ชที่เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นพยายามเอ่ยห้ามปรามก่อนที่จะมองยังยูยะ “แล้วนี่ถ้าไม่ไหวยังไงก็บอกคนอื่นด้วย อย่าฝืนเชียวล่ะ”
“คร้าบบบบ” ยูยะขานรับไป
“มิยาจิ นายก็ดูแลน้องตัวเองด้วยล่ะ” มาซาอากิหันไปสั่งอีกคนต่อ
“รับทราบครับ” มิยาจิขานรับแทบจะในทันที...เรื่องนี้ต่อให้ไม่สั่ง เขาก็ทำอยู่แล้วล่ะ
“ดีมาก งั้นเริ่มเดินทางกัน...เสียเวลาคนอื่นเขา” เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ตนยอมเข้าใจได้ง่ายๆ แล้วจึงจัดการลากแต่ล่ะหน่อออกเดินทางในทันที...ซึ่งในการเดินทางไปไคโจวช่วงแรกๆ ก็ดูจะไม่มีอะไรมากนัก จนกระทั่งมาถึงช่วงที่ต้องขึ้นรถไฟ...
“ให้ตายสิ...คนเยอะชะมัด” ...มิยาจิก็เริ่มบ่นออกมาเมื่อรถไฟนั้นคนแน่จนต้องอัดเป็นปลากระป๋อง...นี่เขาควรไล่น้องตัวเองกลับบ้านมันตอนนี้เลยดีหรือเปล่าเนี่ย?
“ยูยะ...นายไหวนะ?” อิยามิถามเพื่อนตนที่ตอนนี้เกาะแขนตนราวปลิง
“ไหว” ยูยะตอบง่ายๆ สั้นๆ
“แต่นายเกาะฉันแน่นจนแทบแขนหักแล้วนะเฮ้ย” อิยามิเอ่ยด้วยน้ำเสียงโอดครวญคล้ายกวนประสาทเล็กน้อย...มันเล่นเกาะไม่คำนึงแรงตัวเองเลยนี่หว่า เขายิ่งเบาะบาง (?) อยู่
“ประโยคหลังไม่ต้องพูดก็ได้เฟ้ย” ยูยะแยกเขี้ยวใส่อิยามิ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเกาะเป็นปลิงอยู่ดี
“เอ้าๆ อย่าทะเลาะกัน” คิมุระถอนหายใจอย่างปลงๆ ...นี่นับวันทำไมเขายิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นกรรมการห้ามมวยกันล่ะเนี่ย?
“ยูยะ...นายมาเกาะฉันแทนก็ได้ เดี๋ยวอิยามิมันแขนหักเอา ความสูงก็ไม่ค่อยจะมีแล้วมาแขนเดี้ยงอีกเดี๋ยวมันหาแฟนไม่ได้พอดี” มิยาจิส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจกับความหัวดื้อของน้องตัวเองเอ่ยขึ้นเนื่องจากตนดูออกว่ายูยะเริ่มออกอาการสั่นนิดๆ แล้วเมื่ออยู่ท่ามกลางคนมากๆ แถมอัดเป็นปลากระป๋องอย่างนี้
“มิยาจิซัง พูดแบบนี้ถีบผมเลยดีกว่าไหมครับ?” อิยามิแทบจะไปกระซิกกับพื้นด้วยคำพูดของรุ่นพี่ตน...เขาสูงตามมาตรฐานผู้ชายอยู่นะครับ! ไม่ได้เตี๊ย!
“เอาไหมล่ะ?” มิยาจิทำท่าเหมือนจะถีบจริงๆ
“ล้อเล่นครับ ไม่เอาหรอก” อิยามิที่ไม่บ้าพอที่จะอยากโดนคนโหดประจำชมรมถีบส่ายหน้าวืด
“แต่อยากถีบ มาให้ถีบทีหนึ่งสิ” มิยาจิเอ่ยอย่างติดตลกนิดๆ
“ล้อเล่นใช่ไหมครับ! ยูยะช่วยแหน่!” อิยามิเปลี่ยนเป็นฝ่ายเกาะยูยะหนึบแทน
“ไม่ช่วยวะ” ยูยะที่อยากแกล้งเพื่อนตัวเองหรืออย่างไรก็ไม่ทราบเอ่ย
“ยูยะใจร้าย!!!” อิยามิเริ่มงอแงใส่ยูยะตามสเต็ป
“อย่าเพิ่งเล่น...เหวอ!” โอสึโบะที่เพิ่งมามีบทในตอนนี้ (ก็เธอเล่นไม่ให้ฉันออกนิ! // โอสึโบะ , ไม่ได้ไม่ให้ออก...แต่เราลืมนายต่างหาก // S , นั้นยิ่งหนักเลยเว้ย!!! // โอสึโบะ) ถอยหายในอย่างเหนื่อยใจที่เพื่อนตนดันไปแกล้งรุ่นน้องเสียแล้ว และในขณะที่ปลงอยู่นั้นเอง...ก็ดันมีคนเข้ามาภายในขบวนรถไฟเพิ่มจนอัดเป็นปลากระป๋องยิ่งกว่าเดิม เท่านั้นไม่พอ...
“เฮ้ย! ยูยะ!” ...นายมิยาจิ ยูยะดันโดนคลื่นมนุษย์ที่อัดไปอัดมาอีท่าไหนไม่รู้พัดไปเสียได้ ส่วนทางด้านอิยามินั่นก็โดนชาวบ้านเหยียบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ซวยล่ะสิ” ยามาโตะบ่นขึ้นมาเบาๆ พลางช่วยเพื่อนตัวเองขึ้นจากตรีนชาวบ้านก่อนโดนเหยียบตายขึ้นมาจริงๆ
“เฮ้ย มิยาจินายช...” คิมุระที่เห็นท่าไม่ดีเพราะในตอนนี้นั้นยูยะไม่น่าจะสามารถอยู่คนเดียวได้ในที่คนเยอะๆ เช่นนี้หันไปจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนตน...ทว่าเมื่อหันไปในจุดที่มิยาจิ คิโยชิเคยยืนอยู่ก็ไร้ร่องรอยของเจ้าตัวไปเสียแล้ว “...หายไปไหนอีกคนวะ!?”
“หาทางตามยูยะซังไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วครับ” ทาคาโอะที่สายตาดีที่สุดในกลุ่มเอ่ย
“...ความบราค่อนของมิยาจิซังน่ากลัวจริงๆ” อิยามิที่โดนดึงขึ้นจากดงตรีนได้สำเร็จแล้วบ่นขึ้นมาเบาๆ เพราะก่อนหน้านี้เขานี่แหละโดนรุ่นพี่ผมสีน้ำผึ้งเหยียบไปทีหนึ่ง
“ถ้ามิยาจิซังได้ยินล่ะก็โดนถีบไม่พลาดแน่ครับ” มิโดริมะทำหน้าปลงๆ กับคนที่พูดอะไรแบบไม่กลัวตายออกมาเช่นนี้พลางภาวนาให้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับยูยะก่อนที่มิยาจิจะตามตัวเจอ
...ซวยแล้วไง...เอาไงวะทีงี้?...
มิยาจิ ยูยะที่พัดหลงกับหมู่เกิดอาการเหงื่อแตกซิกๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาสีน้ำผึ้งมองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางกลับไปรวกลุ่มกับคนอื่นๆ ทว่ากลับไม่เห็นวี่แววใครเลย หน่ำซ้ำ...
“นี่ๆ เธอ...มีเบอร์ไหม? ขอหน่อยสิ” ...ดันโดนตัวผู้ด้วยกันจีบอีก! จะซวยไปไหนวะเนี่ย!? หรือเขาควรไปทำบุญเจ็ดวัดเก้าวัดเผื่อจะหายซวยบ้างเนี่ย!?
“ไม่ให้!” ยูยะกัดฟันตอบกลับไป
“น่า นิดๆ หน่อยๆ น่า” ชายคนเดิมไม่มีท่าทีจะยอมเลิกรา แถมยังแอบเนียนเอามือโอบเอวยูยะด้วย
“เอามือออกไปนะเฟ้ย!” ยูยะแค่นเสียงใส่อีกฝ่ายโดยพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้เสียงของตนสั่น เนื่องจากพอโดนแบบนี้แล้วภาพเหตุการณ์ในเดือนก่อนที่ตนประสบพอเจอมาก็แว่บกลับเข้ามาภายในหัว...ทำเอาเจ้าตัวอดรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ม...” ชายหนุ่มทำท่าจะปฏิเสธคำขอของยูยะ แต่ทว่า...
“โทษทีนะ...” ...ก่อนที่จะได้ทันพูดหรือทำอะไรมากกว่านี้ก็มีเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งคนหนึ่งเดินแทรกฝูงชนมาเบื้องหน้าชายหนุ่มเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่เย็นยะเยือกจนน่าขนลุก ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมก็วาวโรจน์อย่างน่ากลัวเพิ่มความสยองให้เด็กหนุ่มขึ้นอีกระดับ “...ช่วยอย่าเอามือของแกมาแตะต้องคนของฉันได้หรือเปล่า?”
“เฮือก!” ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกพร้อมรีบปล่อยมือจากยูยะทันที ทางมิยาจิเองก็รีบคว้าน้องชายตนเองกลับมาทันควัน...แต่ถึงได้ยูยะคืนแล้ว มิยาจิก็ยังไม่ลดแรงกดดันทางสายตาหรือบรรยากาศรอบๆ ตัวลงเลยแม้แต่น้อย
“ไปกันยูยะ” มิยาจิลากยูยะออกจากจุดนี้โดยทันทีก่อนที่ตนจะเผลอต่อยใครเข้าให้
“อ...อื้ม” ยูยะพยักหน้าแล้วปล่อยให้พี่ตนลากตนฝ่าฝูงชนไป จนกระทั่งในที่สุดก็กลับมาเจอกกับกลุ่มพรรคพวกตนที่ยืนรออยู่
“อ้าว? เจอตัวแล้วเหรอมิยาจิ?” โอสึโบะทักมิยาจิ
“อา” มิยาจิพยักหน้ารับด้วยท่าทีนิ่งๆ ...หากแต่กลับทำให้รู้สึกหนาวส้นหลังกันเสียดื้อๆ
“เออ...มิยาจิซัง ไหงทำหน้าเหมือนอยากฆ่าคนแบบนั้นล่ะครับ?” ทาคาโอะที่ทำหน้าที่ราวหน่วยกล้าตายถามขึ้น
“พอดีเจอเรื่องหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก” มิยาจิเอ่ยปัดๆ ไปพลางพายูยะไปอยู่กลางวงคนในชมรมตนจะได้ไม่หลงไปไหนอีก
...สาบานนะว่าไม่มีจริงๆ น่ะ!?...
คนในบาสชูโตกุแทบอย่างกรีดร้องถามคนผมสีน้ำผึ้งจริงๆ หากไม่ติดว่าสถานที่ในยามนี้ไม่อำนวยต่อการโวยวายนักบวกกับหากถามไปจริงๆ อาจโดนถีบ แต่ล่ะคนจึงได้แต่เก็บข้อสงสัยไว้ในใจ
ปรี๊ด!!!
เสียงนกหวีดดังขึ้นบ่งถึงการสิ้นสุุดการซ้อมแข่งระหว่างสองโรงเรียนดังขึ้น นักกีฬาของทั้งสองฝั่งต่างทำความเคารพกับตามระเบียบการแข่งขันปกติ...และมันจะปกติมาก หากไม่ติดว่า...
“เออ...มิโดริมัจจิ...รุ่นพี่มิโดริมัจจิเป็นอะไรไปอ่ะ? ดูน่ากลัวแปลกๆ” ...เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทางฝั่งนักกีฬาโรงเรียนชูโตกุเมื้อสิ้นสุดการแข่งขันนั่นรีบเดินไปหาน้องชายตัวเองที่นั่งรออยู่ทันที...นี่ยังไม่นับที่ระหว่างแข่งมีปล่อยไอมาคุออกมาให้สยองเล่นอีกนะ
“เอาตามจริง...ไม่รู้เหมือนกัน” มิโดริมะส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงว่าตนนั้นไม่รู้จริงๆ
“วันนี้มันน่ากลัววะ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเหลือบเขียวมองยังคนผมสีน้ำผึ้งที่ตามติดน้องตัวเองเป็นปลิงต่างจากในยามปกติมากเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินไปหาคนที่ดูผิดแปลกจากปกติ “เฮ้...มิยาจิ...”
“อะไร?” มิยาจิถามกลับ...โดยสายตาไม่ได้เหลือบหรือมองคนถามเลย
“นายเป็นอะไรน่ะ? ประจำเดือนไม่มาหรือไง?” โมริยาม โยชิทากะตัวจริงชมรมบาสปีสามของไคโจวถามอย่างกวนนิดๆ
“จะบ้าหรือไงวะ!?” แค่คำถามเดียวมิยาจิถึงกับหันไปแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย...และเอามือจับแขนยูยะเอาไว้แทนราวกับกลัวว่าน้องตัวเองจะหาย
“ก็เห็นทำหน้าหงุดหงิดนี่นา แถมน่ากลัวกว่าปกติด้วย...ถึงไม่เท่าคิโยมิซังตอนองค์ลงก็เถอะ” โมริยามะยักไหล่น้อยๆ
“คิดว่าอย่างฉันจะเท่าแม่ได้?” มิยาจิกรอกตาไปมา
“ไม่อ่ะ และไม่คิดว่าจะมีใครเท่าด้วย” โมริยามะกล้าพูดเลยว่าคงไม่มีใครองค์ลงแล้วน่ากลัวได้เท่ากับมิยาจิ คิโยมิได้หรอก “แล้วตกลงเป็นอะไรไปกันแน่? นายดูแปลกๆ นะ...เหมือนคนหึงอะไรพวกนี่เลย”
“สาบานว่าปาก? ไม่ใช่เฟ้ย!!!” มิยาจิคิ้วกระตุกยิกๆ พลางรู้สึกอยากถีบอีกฝ่ายเหลือหลาย
“เออ...จะคุยอะไรกันก็ช่างเถอะ แต่ปล่อยผมได้ยังพี่?” ยูยะที่ถูกเกาะหนึบเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน
“ยัง” มิยาจิเอ่ย
“เมื่อไหร่จะปล่อยล่ะ?” ยูยะถามต่อ
“เมื่อถึงบ้านมั้ง” มิยาจิตอบทันทีแบบไม่เสียเวลาคิดสักนิด
“นั้นก็เกินไปล่ะพี่” ยูยะกรอกตาไปมา...แค่เหตุการณ์บนรถไฟนั้นทำเอาพี่เขากลัวเขาหายหรือไง? หรือระแวงจะเกิดเรื่องแบบเมื่อเดือนก่อนฟะ?
“...มิยาจิ...นี่อาการบราค่อนนายออกเหรอ?” โมริยามะมองสองพี่น้องมิยาจิสลับไปมาก่อนที่จะถามเช่นนี้ออกมา
“ใช่ที่ไหนล่ะ! ไม่ได้เป็นโว้ย!” มิยาจิโวยลั่น
“เหรอออออ” โมริยามะลากเสียงยาวคล้ายไม่เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย
“นายอยากโดนฉันถีบใช่ไหม?” มิยาจิแยกเขี้ยวใส่
“เปล่าสักหน่อย” โมริยามะถอยออกมาเล็กน้อยเผื่ออีกฝ่ายอยากไล่ถีบตนจริงจะได้หนีได้ทัน “เอาเป็นว่าในทีนี่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดกับน้องนายง่ายๆ หรอกน่า สบายใจได้”
“นายรู้?” มิยาจิเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ข่าวเรื่องนี้ด้วย
“จากพี่น่ะ...” โมริยามะเอ่ย
“อ๋อ” มิยาจิที่รู้ว่าพี่ของอีกฝ่ายคือหนึ่งในลูกศิษย์ที่ไม่ปกติของแม่ตนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“จะยังไงก็ช่างเถอะ ปล่อยผมได้หรือยังเนี่ยพี่? คงไม่ได้คิดจะเกาะหนึบแบบนี้จนถึงบ้านจริงๆ หรอกใช่ไหม?” ยูยะถามขึ้นมา
“โทษที แต่บังเอิญคิดงั้นจริงๆ” มิยาจิยักคิ้วกวนๆ ให้น้องตน “ว่าแล้วขอกลับก่อนนะ...ไม่อยากกลับดึกนักน่ะ”
“ไปเลยๆ” ทางคนของชมรมบาสชูโตกุกับไคโจวต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันด้วยความที่ทนบรรยากาศอึดอัดจากมิยาจิ คิโยชิไม่ไหวกันแล้ว
“งั้นลาล่ะ...ไปก่อนนะครับโค้ช” มิยาจิหันไปเอ่ยกับโค้ชตน
“เชิญ” มาซาอากิเอ่ยกึ้งไล่อีกฝ่าย ทางมิยาจิเมื่อได้รับอนุญาตก็รีบพายูยะกลับบ้านทันทีราวกับกลัวว่าบ้านมันจะย้ายตัวหนีได้อย่างไรอย่างนั้น...และพอมาถึงบ้าน...
“พี่...ตกลงวันนี้เป็นอะไรห๊า? ดูแปลกๆ นะ” ...ยูยะก็ถามเช่นนี้ขึ้นมา
“เปล่านิ คิดไปเองมั้ง” มิยาจิเอ่ยบ่ายเบี่ยงไป พร้อมหลบสายตาอีกฝ่าย
“คิดไปเองกับผีสิ คนอื่นๆ เขาก็ดูออก” ยูยะแย้ง...เล่นทำตัวแปลกไปจากเดิมขนาดนี้ถ้าดูไม่ออกก็แปลกล่ะ! ถึงรู้ว่าพี่ห่วงเขามากขนาดไหนแต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนถึงขนาดปล่อยรังสีอาฆาตออกมาอย่างชัดเจนขนาดนี้นะ! “ตกลงเป็นอะไรไป? ทำท่ายังกับคนหึงแฟนงั้นแหละ”
“...” มิยาจินิ่งเงียบไป
“พี่...” ยูยะจ้องผู้เป็นพี่ตนอย่างคาดคั้น “...ตกลงเป็นอะไรไกันแน่?”
“...ไม่มีอะไร” มินาจิทำท่าเลิ่กลั่กพร้อมกับ...รีบเผ่นขึ้นห้องตัวเองในทันที
“เดี๋ยวสิ! พี่!!!” ยูยะพยายามเรียกรั้ง หากแต่นั้นกลับทำให้มิยาจิรีบเร่งฝีเท้าหนีเข้าห้องตัวเองไป
ปัง!
มิยาจิรีบปิดประตูห้องแล้วทรุดตัวเอาหลังพิงบานประตูเอาไว้...เขาพลาดแล้ว พลาดที่ดันแสดงอาการออกไปมาเกินไป “เฮ้อ...ก็จะให้บอกไปได้ไงกันล่ะ...”
...จะให้บอกได้ไงกัน? ...กับความรักที่เกินพี่น้องเนี่ยนะ? ให้ตายเขาก็บอกไปไม่ได้หรอก...
มิยาจินั่นรู้ตัวดีว่าตนนั้นคิดเกินเลยกับน้องชายตนเองมากกว่าคำว่าพี่น้องและมันก็รุนแรงขึ้นตั้งแต่เหตุการณ์ที่เขาเกือบเสียยูยะไปให้กับไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้นั้นเมื่อเดือนก่อน...ความรู้สึกมันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากแต่เขาต้องพยายามเก็บไว้ จนกระทั่งวันนี้ความรู้สึก ‘หวง’ นั้นก็ประทุขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้เมื่อดันบังเอิญไปเห็นว่ามีคนมาลวมลามยูยะบนรถไฟนั้นและเพราะเหตุนี้ไงเขาเลยถูกยูยะสงสัยเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงคิดปกปิดความรู้สึกนี่ต่อไป...
...เขากลัว...กลัวว่าจะถูกปฏิเสธ...
...ถ้ามันต้องเป็นเช่นนั้นเขายอมเก็บสิ่งนี้ไว้ในใจเขาดีกว่า...
...เก็บมันเอาไว้...จวบจนวันสุดท้ายในชีวิตตน...
เช้าวันต่อมาที่แสนสดใสแต่บรรกาศภายในบ้านมิยาจิกลับมาคุเสียจนน่าอึดอัด ส่วนสาเหตุก็มาจากลูกชายทั้งสองของบ้านที่เอาแต่จ้องหน้ากันเงียบๆ ระหว่างที่ทานมื้อเช้าต่างจากยามปกติที่มักเอะอะโวยวายจนเป็นเรื่องปกติ
“...นายจะจ้องฉันจนทะลุเลยหรือไงเนี่ย?” มิยาจิ คิโยชิลูกชายคนโตของบนที่ทนบรรยากาศอึดอัดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นมาคนแรก
“จะจ้องจนกว่าพี่จะยอมพูดอะไรออกมานั้นแหละ” ยูยะตอบกลับหน้าตาเฉย
“ก็บอกว่าไม่มีอะไรไงเล่า” มิยาจิที่รู้ว่าน้องตนหมายถึงอะไรเอ่ย
“ไม่เชื่อ” ยูยะสวนกลับทันควัน “เมื่อวานพี่แสดงชัดเกินกว่าจะเชื่อว่าไม่มีอะไรจริงๆ นะ”
“...” ...ชิบหายล่ะตัวฉัน
“ตกลงว่า...บอกได้ยัง?” ยูยะพยายามรุกถาม
“...ไม่มีอะไร” มิยาจิยังคงพยายามปากแข็ง สมองพยายามประมวลหาข้อแก้ตัวไปด้วย
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เชื่อ” ยูยะกรอกตาไปมา...ท่าทางมิพิรุธขนาดเด็กประถมยังรู้แบบนี้คิดว่าเขาจะยังบ้าเชื่อคำพูดนั้นอีกเหรอ? “แต่ไม่เป็นไร...เดี๋ยวให้อิยามิกับยามาโตะช่วยเอา”
“อย่าเชียวนะ!” มิยาจิที่รู้ว่าสองคนที่ยูยะพูดนั้นหากร่วมมือกันหาหายนะ (?) ให้คนอื่นนั้นจะแสบขนาดไหนรีบห้าม...หาสองคนนั้นช่วยยูยะเขามีหวังหลุดความลับออกไปจริงๆ แน่!
“งั้นบอกมาซะดีๆ” ยูยะเอ่ยเสียงเข้ม
“...นี่พวกลูกช่วยเห็นหัวพ่อกับแม่กันหน่อยสิ! เถียงกันยังกับสามีแอบมีอีหนูแล้วภรรยาจับได้เชียว!” ระหว่างที่สองพี่น้องมิยาจิกำลังทำสงครามประสาทใส่กันอยู่นั้น คิโยมิก็เกิดรำคาญหรืออย่างไรไม่ทราบเอ่ยขึ้นมา
“ไม่มีตัวเทียบอื่นหรือไงแม่!?” เด็กหนุ่มทั้งสองแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดแม่ตน...นี่ไม่มีคำที่ดีกว่านี้หรือไงครับ!?
“มี แต่ไม่ใช้” คิโยมิยักไหล่น้อยๆ พลางเหล่มองลูกชายคนโตของตน “และอย่าว่าแม่กับพ่อไม่รู้นะคิโยชิ”
“!!!” มิยาจิตัวแข็งทื่อไปเนื่องจากไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่ตนนั้นจะรู้เรื่องนี้เข้า...นี่ยังดีนะที่แม่ดูท่าจะไม่เคืองหรืออะไรที่เขาคิดเกินเลยกับน้องตัวเอง เพราะหากแม่ไม่ชอบใจคงเลือกที่จะลากคอเขาไม่จับเข่าคุยนานแล้ว
“รู้อะไรอ่ะ?” ยูยะที่ไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียวถามขึ้น
“ไม่บอก” คิโยมิสวนกลับทันควัน ทำเอายูยะได้แต่ทำหน้ามุ่ยเนื่องจากรู้ดีว่าแม่ตนนั้นถ้าหากไม่อยากบอก ต่อให้ง้าวปากยังไงก็ไม่มีทางได้คำตอบแน่
“งั้นให้พ่อบอกดีไหม?” ยูโตะที่งลูกชายทั้งสองของตนสลับไปสลับมาถามขึ้นเสียงใส
“อย่า!” มิยาจิที่กลัวว่าพ่อตนจะพูดอะไรมากกว่านี้จึงทำการเอาขนมปังยัดปากอีกฝ่ายทันที
“แอ๊ก! คิโยจังใจร้าย! ยัดมาได้!!!” ยูโตะที่รีบกลืนขนมปังได้อย่างรวดเร็วโวยวายราวเด็กๆ ใส่ลูกชายคนโตของตน
“ก็พูดไม่คิดเองนิ” คิโยมิส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจพลางเอาขนมปังอีกชิ้นยัดปากสามีตัวเองให้อยู่เงียบๆ “เอ้าๆ เลิกเถียงกันแล้วรีบๆ กินข้าวเช้ากันเลยทั้งคู่ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายกันหรอก”
“คร้าบบบบบ” เด็กหนุ่มทั้งสองขานรับพลางรีบทานมื้อเช้าและออกจากบ้านอย่างรวดเร็วก่อนโดนโยนออกนอกบ้านกันแทน
“พี่...” หลังจากที่เดินออกมาด้วยกันได้สักพัก ยูยะก็เอ่ยขึ้นมา “...ตกลงบอกผมไม่ได้จริงๆ ดิ?”
“ไม่เชิงว่าไม่ได้ แต่มันน่าอายเลยไม่บอกน่ะ” มิยาจิที่รู้ว่าหากเงียบอย่างเดียวยูยะคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่จึงทางหาเอ่ยให้อีกฝ่ายหมดความสนใจในเรื่องนี้ไป
“น่าอายยังไงเล่า?” ยูยะรุกถามต่อ
“ไม่บอก” มิยาจิเอ่ยตอบกลับทันควัน
“โธ่” ยูยะทำหน้ามุ่ยอย่างขัดใจกับคำตอบที่ได้รับ ตรงข้ามกับคนเป็นพี่ที่ดูจะพอใจกับท่าทางของยูยะมากพร้อมกับภาวนาในใจให้อีกฝ่ายหมดความสนใจเรื่องที่ตนมีท่าทีแปลกๆ เมื่อวานไปให้หมดเสีย
“มิยาจิซัง!”
“หื้อ?” สองพี่น้องมิยาจิพากันหันไปมองต้นเรียกที่เรียกเมื่อครู่อย่างพร้อมเพรียง...และพบเด็กสาวคนหนึ่งกำลังยืนมองพวกตนอย่างกล้าๆ กลัวๆ อยู่ “ใครอ่ะ?”
“เออ คือ...ฉันมีเรื่องจะคุยกับมิยาจิซังน่ะค่ะ...หมายถึงคนพี่นะคะ” เด็กสาวเอ่ยด้วยท่าทางหวั่นๆ
“โอเค งั้นเชิญคุยกันเลย เดี๋ยวฉันไปก่อนล่ะ” ยูยะมองเด็กสาวสลับกับพี่ชายตนเอง...เขาพอเดาออกแล้วว่าจุดประสงค์ของเด็กสาวคืออะไร เพราะงั้นตามมารยาทควรหลีกทางให้คุยกันสองคนก่อนแฮะ
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิยูยะ!!!” มิยาจิเรียกรั้งน้องชายตน...แต่ไม่ทัน นายมิยาจิ ยูยะใกล้เกียร์หมาหนีไปไหนก็ไม่รู้แล้ว “ชิ! มีอะไรก็พูดมา”
...ตอนนี้เขาไม่อยากให้ยูยะไปไหนมาไหนคนเดียวนะเฮ้ย!...
“คือ...ฉันชอบมิยาจิซังค่ะ! คบกับฉันเถอะนะคะ!” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามที่จะไม่ให้สั่น
“...” มิยาจินิ่งไปด้วยความเอ๋อ...อื้ม ปกติเคยโดนสารภาพรักแต่ในโรงเรียน นี่เล่นมาสารภาพรักระหว่างทางไปโรงเรียนเลยแฮะ “...ขอโทษนะ ฉันคงรับความรู้สึกนั้นไม่ได้หรอก”
“ท...ทำไมล่ะคะ?” เด็กสาวถามเสียงสั่นๆ ด้วยน้ำตาคลอเบ้าคล้ายจะร้องไห้
“เพราะฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว...เพราะงั้นคนรับรักเธอไม่ได้หรอก...” ...ถึงเขาจะไปชอบคนนั้น...เขาไม่อาจจะสมหวังได้ตลอดชีวิตเลยก็ตาม
“งั้นเหรอค่ะ...” เด็กสาวก้มหน้างุด
“อย่าเศร้าน่า ยังไงในอนาคตฉันว่าเดี๋ยวเธอได้เจอคนที่ดีกว่าฉันแน่” มิยาจิที่รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำผู้หญิงเสียใจพยายามปลอบในแบบของตน
“ค่ะ ขอบคุณสำหรับคำปลอบค่ะ” เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนที่จะเดินจากไปอย่างเงียบๆ
“อา ต่อไปต้องรีบตามหายูยะ...” มิยาจิมองหญิงสาวที่เดินจากไปเล็กน้อยก่อนที่จะคิดทางที่จะตามน้องตัวเองให้ทัน...ปานนี้เดินไปถึงไหนแล้วล่ะเนี่ย?
“พี่...พี่ชอบใครงั้นเหรอ?” ระหว่างที่มิยาจิกำลังคิดอยู่นั้นเอง...เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งที่ก่อนหน้านี้มิยาจิเข้าใจว่าล่วงหน้าไปก่อนแล้วก็โผล่มาจากมุมตึก
“เหวอ!” มิยาจิสะดุ้งเล็กน้อย “นายแอบอยู่ตรงนี้ตลอดเลยเหรอ!?”
“อา” ยูยะพยักหน้ารับ “แล้วคนที่พี่บอกว่าชอบน่ะ...ใครเหรอ?”
“...ขอไม่บอกนะ” มิยาจิได้แต่ยิ้มแห้งๆ ด้วยความที่ไม่คิดว่าน้องชายตนจะแอบฟังมาตั้งแต่ต้น...ใครจะกล้าบอกว่าคนที่ชอบนั้นน่ะคือนายล่ะ!
“เฮ้อ ทำไมพี่ชอบปิดบังเสียจริง” ยูยะขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
“เป็นอะไรไปยู...อุ๊บ!” มิยาจิที่กำลังจะเอ่ยถามเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ยูยะนั้นก็กระชากคอเสื้อตนและ...ประทับจูบลงมาที่ริมฝีปากก่อนที่จะผละออกไปอย่างรวดเร็ว
“พี่เป็นของผมนะ ไม่ยกให้ใครหรอก” ยูยะเอ่ยเสียงเข้มก่อนที่จะเมินหน้าหนีไปด้วยท่าทางเหมือนหัวเสียสุดแสน “ไปล่ะ”
“...อะ...เอ๋?” มิยาจิหลุดร้องออกมาอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ดวงหน้าขึ้นสีแดงวาบด้วยความเขินแายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
...น...นี่มันอะไรวะ? ...ยูยะหึงเขาใช่ไหมเนี่ย?...
ถึงแม้มิยาจิไม่แน่ใจนักว่าคำที่พูดที่น้องชายตนว่านั้นเป็นอย่างที่คิดไหม แต่พอได้ยินแบบนี้แล้ว...มันทำให้อดเอายิ้มออกมาเสียไม่ได้...
...แบบนี้แสดงว่าเขายังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม? ที่จะได้เคียงข้างนาย ยูยะ...
...และถ้าเป็นแบบนั้นจริง...เขาเองก็จะไม่ปล่อยมือจากยูยะเหมือนกัน...
...เตรียมตัวไว้ได้เลย...คราวนี้ใครมาขวางหรือแย่งยูยะไปพ่อจะเชือดให้เรียบเลย...
END
จบอย่างงงๆ เนื่องจากหมดมุข WWW
ความคิดเห็น