คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #246 : [HayMiya] Otomo no ichijitsu (คิโยมิ)
Title : Otomo no ichijitsu (คิโยมิ)
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Hayama x Miyaji (โดนตามติดโดยคิโยมิ)
Notes : เกิดสนุกอยากลองแต่งโมเม้นของพวกหวงน้องหวงลูกกันดูเฉยๆ J
ปล. ใครจะไปสอบ กพ. เหมือนเรายกมือขึ้น 555
.....................................................................................
Otomo no ichijitsu (คิโยมิ)
“อรุณสวัสดิ์...วันนี้ตื่นเช้าจังนะ” เสียงทักเบาๆ ดังออกมาจากปากหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งที่ยืนทำอาหารเช้าอยู่ในครัวตามประสาแม่บ้านทั่วไป...ซึ่งจะดูปกติกว่านี้ไม่ภาพชายหนุ่มผมดำที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหารเป็นฉากประกอบด้วยอ่ะนะ
“ไง คิโยจัง ยูจัง” ทางคนที่ถูกมัดเองก็ทักผู้มาใหม่เช่นเดียวกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงร่าเริงสุดแสน
“อรุณสวัสดิ์ครับ...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองที่ถูกทักตอบกลับไปตามมารยาทพลางมองคนที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้อย่างปลงนิดๆ “...แล้วนี่พ่อป่วนอะไรแม่อีกล่ะครับเนี่ย?”
“ไม่มีอะไรมา แค่โดดเกาะน่ะ รำคาญเลยจับมัดซะเลย” มิยาจิ คิโยมิตอบสั้นๆ
“ตัวเธอลืมเพิ่มเติมแหน่ะ ว่าตื้บพ่อก่อนมัดด้วยอ่ะ” มิยาจิ ยูโตะเอ่ยเสริม
“ก็กวนโอ๊ยเองนี่หว่า” คิโยมิกรอกตาไปมา
“คิโยมิใจร้ายอ่าาาา” ยูโตะลากเสียงยาวอย่างน่าถีบสักทีสองทีเหลือหลาย
“เดี๋ยวแม่จับมาทำมื้อเช้าแทนนิ” คิโยมิแยกเขี้ยวใส่สามีตนที่ต่อให้ถูกจับมัดอยู่ก็ไม่วายส่งเสียงมากวนตนได้...หรือว่าเธอจะจับรายนี่มัดปากด้วยดีหว่า?
“น่าๆ อย่าทะเลาะกันสิครับ...ว่าแต่วันนี้มีอะไรกินครับ?” มิยาจิ คิโยชิลูกชายคนโตของบ้านรีบเอ่ยขัดก่อนที่ตนจะได้กำพร้าพ่อ (?)
“วันนี้แพนเค้ก” คิโยมิละจากการเถียงกับสามีตนเองตอบกลับไปเช่นนี้
“ยอมเปลี่ยนจากปลาย่างกับซุปมิโซะแล้วเหรอครับ?” มิยาจิ ยูยะลูกชายคนเล็กของบ้านถามเนื่องจากตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี่แม่ตนทำแต่ซุปมิโซะ ปลาย่างและข้าวสวยให้กินเป็นมื้อเช้าตลอดเพราะแม่เขาเกิดอยากกินปลาขึ้นมาเลยทำมันทุกวันเลย...เล่นให้กินซะหน้าพวกเขาจะกลายเป็นปลาแล้วเนี่ย
“หรืออยากกินอีกล่ะ?” คิโยมิส่งสีหน้าประมาณว่า ‘ถ้าอยากกิปลาต่อเดี๋ยวจัดให้เลย’ ให้ยูยะ
“ไม่ล่ะครับ” ยูยะส่ายหน้าวืดด้วยความที่ว่าไม่อยากกินปลาไปอีกวัน...แค่นี้ก็เริ่มเอียดแล้ว
“งั้นไม่ต้องพูดมาก รีบนั่งลงแล้วเตรียมกินมื้อเช้าได้แล้ว...อ๋อ แก้มัดให้พ่อเขาด้วยล่ะ” คิโยมิเอ่ยพร้อมเริ่มยกแพนเค้กสี่ชั้นสีเหลืองนวลน่าทานลงบนโต๊ะพร้อมก็น้ำผึ้ง แย้มและเนยให้เลือกทากันเองลงบนโต๊ะก่อนที่จะหันไปรินนมสองแก้วกับชงกาแฟอีกสองแก้วแล้วค่อยนำมาวางบนโต๊ะอีกที
“ครับ เดี๋ยวผม...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งทั้งสองเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อตนเพื่อจะแก้มัดเชือกให้ แต่...
“ไม่ต้องหรอกคิโยจัง ยูจัง...พ่อแกะออกแล้วล่ะ” ...ไม่ทันเดินไปนายมิยาจิ ยูโตะดันแก้เชือกออกได้เองแล้วชะงั้น
“อื้อ แกะออกได้เร็วเป็นสถิติใหม่เลยนะเนี่ย” คิโยมิเอ่ย
“ก็เล่นโดนมัดทุกวันนี้นา ต้องมีพัฒนาบ้างสิตัวเธอ” ยูโตะเอ่ยอย่างภูมิใจเหลือหลาย
“งั้นเดี๋ยวคราวหลังใช้โซ่มัดแทนดีกว่า” คิโยมิคิดว่าตนคงต้องหายวิธีกันไม่ให้สามีตนมาก่อกวนใหม่เสียแล้วสิ
“เออ...ผมว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้แล้วมากินมื้อเช้าก่อนเย็นดีกว่าครับ” ยูยะที่เห็นว่าพ่อแม่ตนอาจเถียงกันอีกนานรีบขัดทัพขึ้นมาเสียก่อน
“จะว่าไปก็จริง...นี่คุณ! อย่าใส่น้ำตาลในกาแฟเยอะขนาดนั้นสิ! กะเปลี่ยนให้เป็นน้ำเชื่อมหรือไงย่ะ!?” คิโยมิพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนหันไปแว๊ดใส่สามีตนที่แอบไปฉกน้ำตาลมาใส่แก้วกาแฟตัวเอง...ถึงสี่ก้อน
“ก็ตัวเธอใส่น้ำตาลให้น้อยไปอ่ะ!” ยูโตะทำหน้ามุ่ยราวเด็กถูกดุ
“น้อยแปะอะไรล่ะ! นี่ใส่ให้ตั้งสามก้อนแล้วนะ! นี่ยังใส่เพิ่มอีก...” คิโยมิคุมขมับ “...เดี๋ยวเบาหวานถามหาหรอก!”
“ไม่เป็นหรอกน่า” ยูโตะยักไหล่เล็กน้อย
“แล้วจะรอให้เป็นจริงๆ ก่อนหรือไงย่ะ!?” คิโยมิเขกหัวสีดำๆ ของสามีตนไปหนึ่งที
“...” เด็กหนุ่มทั้งสองมองพ่อแม่ตนทะเลาะกันด้วยสายตานิ่งๆ อย่างไม่รู้ว่าควรทำไงต่อดี
“เอาไงดีพี่?” ยูยะถามขึ้นมาคนแรก
“ไม่เอาไง...ปล่อยไปงั้นแหละ” มิยาจิไม่คิดว่าจะห้ามพ่อแม่ตนได้หรอกงานนี้
“ก็นะ...ว่าแต่ทำไม่วันนี้พี่ตื่นเช้าจัง ทั้งๆ ที่วันนี้วันหยุดแท้ๆ” ยูยะที่ตัดสินใจเมินการทะเลาะประจำวันของพ่อแม่ตนถามขึ้น
“มีนัดกับไอ้ไรจู...แล้วนายล่ะ” มิยาจิถามกลับ
“มีนัดกับไอ้กอริล่าบ้ากล้ามเหมือนกัน?” ยูยะเอ่ย
“ไรจู?” คิโยมิละจากการรังแก (?) สามีตนหันมามองยังลูกชายของตนอย่างสนใจ
“กอริล่าบ้ากล้าม?” ยูโตะเองก็ดูสนใจในชื่อแปลกๆ ที่ลูกตนเอ่ยเช่นกัน
“เออ...” เด็กหนุ่มทั้งสองที่ไม่คิดว่าพ่อแม่ตนจะหันมาสนใจบทสนทนาของพวกตนเมื่อครู่ เนื่องจากทุกทีทะเลาะกันทีไรไม่เคยสนใจรอบข้างสักทีเกิดอาการเหงื่อแตกนิดๆ “...คือ...ชื่อเพื่อนพวกผมน่ะครับ แฮะๆ”
...ใครจะกล้าพูดว่าที่พูดถึงนี่คือพูดถึงแฟนล่ะ...แถมผู้ชายด้วยกันอีกต่างหาก...
“ไรจูกับกอริล่าบ้ากล้ามนี่เป็นชื่อคนเหรอ?” ยูโตะเอียงคอน้อยๆ
“เปล่าครับ แค่ฉายาที่พวกผมใช้เรียกเฉยๆ” ยูยะเอ่ยแก้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจว่านั้นเป็นชื่อจริงๆ ของคนที่ตนเอ่ยถึง
“ตั้งฉายาแบบเอาฮาเลยนะ” คิโยมิส่ายหน้าไปมา “แล้วนี่พวกลูกนัดกับเพื่อนไว้กี่โมงล่ะ?”
“แปดโมงครึ่งครับ” มิยาจิเป็นคนตอบคำถาม
“หื้อ?” คิโยมิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “งั้นแม่ว่าควรรีบๆ กินข้าวแล้วไปกันได้แล้วนะ”
“ทำไมล่ะครับ?” มิยาจิถามอย่างไม่เข้าใจพลางเหล่มองนาฬิกาติดผนัง...ที่บ่งบอกว่าตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดโมงเอง
“เพราะพ่อเขาเพิ่งนึกพิเรนท์ปรับนาฬิกาทั้งบ้านช้ากว่าเวลาจริงหนึ่งชั่วโมงไง” คิโยมิอธิบายพร้อมปิดหูเตรียมรับ...
“ห๊า!? แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้~~~~!!!” ...เสียงแว๊ดลั่นจากเด็กหนุ่มทั้งสอง
“ก็ไม่ถามนิ” คิโยมิเอามือลงพลางยักไหล่เล็กน้อย
“อย่างน้อยก็บอกกันสักนิดสิครับ!” เด็กหนุ่มทั้งสองโวยก่อนที่จะรีบคว้าแพนเค้กทั้งชิ้นมายัดเข้าปากแล้วรีบกระดกนมตามอย่างรีบเร่ง จากนั้นก็พากันวิ่งออกจากห้องไปในเวลาต่อมา “ผมไปก่อนนะครับ!!!”
“เออ ไปดีมาดี” คิโยมิเอ่ยสั้นๆ กลับไปแม้รู้ว่าพูดไปลูกชายตนทั้งสองคงไม่คิดจะฟังหรอกในเวลานี่
“ดูรีบกันจังเนอะ” ยูโตะหัวเราะออกมาเบาๆ
“แหงล่ะ ใกล้ถึงเวลานัดของพวกนั้นนิ” คิโยมิเอ่ย “ว่าแต่...คุณจะตามดูใครล่ะ?”
“ยูจังแล้วกัน ดูท่าน่าห่วงกว่าคิโยจังนะ” ยูโตะยิ้มร่า
“โอเค งั้นฉันตามคิโยชิเอง...” คิโยมิหัวเราะหึๆ “...ขอตามไปดูเดทกับแฟนสักวันคงไม่ว่ากันนะ...คิโยชิ”
ณ ชานชาลาที่ผู้คนพลุดพล่านของผู้ที่มาเที่ยววันหยุดในช่วงนี้ เวลานี้มีเด็กหนุ่มผมสีคาราเมลคนหนึ่งยืนพิงเสาด้วยสีหน้าดูเป็นกังวล ดวงตากลมโตสีเขียวเข้มจับจ้องไปยังนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งเด่นหราอยู่กลางสถานีอย่างไม่วางตา
...เลยเวลานัดมาห้านาทีแล้ว แปลกชะมัด...เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าเนี่ย?...
ฮายามะ โคทาโร่ผู้เล่นตัวจริงของทีมบาสราคุซันคิดอย่างวิตกนิดๆ เมื่อคนที่ตนกำลังรออยู่ขณะนี้จนปานนี้ยังมาไม่ถึง ทั้งๆ ที่ปกติรายนั้นมาก่อนตนเสมอแท้ๆ
“เฮ้! ฮายามะ!!!” ระหว่างที่คนผมสีคาราเมลกำลังคิดมากจนถึงขั้นใกล้คลั่ง (?) นั้น...บุคคลที่เจ้าตัวรออยู่ก็โผล่มาพอดี
“อ่ะ!” ฮายามะหันขวับไปยังต้นเสียงพร้อมกับ...พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏบนดวงหน้าซุกซนราวเด็กๆ “มิยาจิซัง~~~~!!!”
“เหวอ!” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งผู้มาใหม่สะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาตนราวซอมบี้ และเจ้าตัวก็ไม่รอช้ายกเท้าถีบคนหน้ายิ้มสีคาราเมลทันควัน
“แอ๊ก! ถีบทำไมอ่ะครับ!?” ฮายามะร้องโอดครวญ แต่ก็ยังไม่วายกระดึบๆ ไปเกาะมิยาจิอยู่ดี
“ก็ใครใช้ให้พุ่งเข้ามาล่ะ!?” มิยาจิ คิโยชิเอามือดันหัวสีคาราเมลตามสเต็ปปกติ
“ก็มันดีใจอ่ะ!” ฮายามะยิ้มร่าขณะพยายามมุดหาทางเข้าไปกอดอีกฝ่าย “ว่าแต่...ทำไมมิยาจิซังมาช้าจังล่ะครับวันนี้?”
“พอดีพ่อฉันนึกพิเรนท์ปรับนาฬิกายกบ้านให้ช้ากว่าความจริงหนึ่งชั่วโมงน่ะ” มิยาจิยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี่...ที่ทำเอาบางครั้งเขาอดคิดไม่ได้ว่าพ่อเขาโดนแม่ตื้บบ่อยเกินไปหรือเปล่าถึงได้เพี้ยนขนาดนี้เนี่ย
“อ๋อ~~~” ฮายามะลากเสียงยาวๆ เป็นเชิงเข้าใจ “งั้นช่างเถอะครับ...เราไปเที่ยวกันเถอะเนอะ?”
“ตามแต่นายเถอะ จะไปไหนก็ได้...แต่อย่าก่อเรื่องแล้วกัน” มิยาจิเอ่ย
“ไม่ก่อเรื่องหรอกครับ!” ฮายามะทำแก้มป่อง...พูดยังกับเขาชอบก่อเรื่องงั้นแหละ!
“ทำให้ได้อย่างพูดเถอะ” มิยาจิดีดเหม่งอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้นิดๆ
“ง่ะ! มิยาจิซังอ่ะ!” ฮายามะเริ่มงอแงใส่มิยาจิอย่างปกติ โดยไม่ได้สังเกตถึง...ร่างเงาที่ยืนอยู่ห่างๆ เลยแม้แต่น้อยและร่างนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก...
“เหมือนไอ้ยูโตะเลยวุ้ย...ชักกลัวคิโยชิจะไมเกรนขึ้นแล้วสิถ้าคบกับไอ้นี่เนี่ย” ...นางมิยาจิ คิโยมิที่แต่งตัวได้กระชากวัยมากในวันนี้ด้วยชุดกระโปรงแบบติดเทรน์ช่วงนี้ต่างจากเสื้อยืดกางเกงยีนต์ที่เจ้าตัวชอบใส่ประจำนั้นเอง “แถมรู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองกับไอ้ยูโตะเมื่อก่อนเลยแฮะ ถ้ามีวางมวยใส่กันด้วยนี่เหมือนเลย”
“เฮ้~~ น้องสาว~~~” ขณะที่คิโยมิกำลังแอบดูลูกชายของตนกับแฟนอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับมือข้างหนึ่งยืดมาหา...ซึ่งแน่นอนว่าสาวเจ้าหลบมือนั้นได้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะมาแตะต้องโดนร่างตน “หว่า~~~ อย่าทำท่าเหมือนรังเกียจกันสิ~~~”
“มีธุระอะไร?” คิโยมิมองคนที่มาทักตน...ที่เป็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งนิ่งๆ
“อย่าเย็นชานักสิน้องสาวววว” เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนั้นลากเสียงยาว
“น้องสาวแมวน้ำอะไร! ฉันรุ่นแม่พวกแกแล้วเว้ย!” คิโยมิแยกเขี้ยวใส่กลุ่มเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักให้เกียรติผู้ใหญ่เลย
“เฮ้ย! จริงดิ!?” กลุ่มวัยรุ่น...ลามไปถึงคนที่เดินผ่านไปมารอบข้างบางคนถึงกับอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทั้งสาวทั้งสวยขนาดนี้เป็นคนรุ่นแม่แล้ว
“เออ! เพราะงั้นไปไกลๆ เลย ไม่งั้นเดี๋ยว...” คิโยมิหักมือไปมาพลางเหล่มองลูกชายตนกับคนผมสีคาราเมลเดินห่างออกไปไกลจนแทบลับตาแล้ว
“เดี๋ยวอะไรครับพี่สาว?” เด็กหนุ่มคนเดิมเปลี่ยนคำเรียกให้ดูสุภาพขึ้น แต่ก็ยังไม่คลายท่าทีเหมือนหลีสาวของตนลงเลย
“เดี๋ยว...ตื้บให้จมดินเลยไงย่ะ!!!” คิโยมิไม่ว่าเปล่ายังลงมือลงเท้าด้วย และไม่ทันที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้จะได้ทันพูดอะไรเพิ่มเติมก็ลงไปนอนนับดาวกับพื้นกันหมดแล้ว “ให้ตายสิ...ดันเจอพวกตาถั่วซะได้”
...เออ...ตาพวกนั้นไม่ถั่วหรอกเจ๊ ว่าแต่เจ๊นี่โคตรโหดเลย...
เหล่าคนที่เดินผ่านไปมาซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอดคิดในใจเช่นนี้มิได้ แถมยังจงใจเว้นระยะห่างจากสาวเจ้าพอดูด้วยความที่กลัวว่าเจ๊แกจะไม่พอใจแล้วมาอัดตนเข้า ซึ่งคิโยมิก็ใช่ว่าจะไม่ทันสังเกตว่าผู้ตนรอบข้างเริ่มเว้นระยะห่างจากตนแต่เจ้าตัวก็หาได้ใส่ใจแล้วทำการเดินตามลูกชายคนโตของตนต่อไป
“มิยาจิซัง~~~ ทางนี้ครับทางนี้~~~” เสียงเอ่ยอย่างร่าเริงดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมสีคาราเมลที่กระโดดโลนเต้นราวเด็กได้เที่ยวสวนสนุก
“เออๆ รู้แล้ว! อย่าวิ่งสิฟะ! เดี๋ยวหน้าทิ่มอีกหรอก!” คนผมสีน้ำผึ้งดุอีกฝ่ายเล็กน้อยหลังจากที่อีกฝ่ายเพิ่งก้มหน้าทิ่มมายังมาวิ่งกึ้งกระโดดเสี่ยงต่อการล้มหน้าทิ่มรอบสอง “แล้วนี่ที่นายลากมาถึงนี่เพราะอยากมาสวนนกเหรอฟะ?”
“แหงสิครับ! เขาบอกว่าที่นี่นกเยอะนะ!” ฮายามะเอ่ยอย่างร่าเริงพลางวิ่งพล่านไปทั่วอย่างร่าเริง
“แต่เล่นให้มาเดินในกรงนกแบบนี้รู้สึกเหมือนกลายเป็นอาหารนกเลย...” ว่าตามจริงมิยาจิรู้สึกตงิกๆ ตั้งแต่เห็นว่าเจ้าหน้าที่เขาให้เข้ามาในกรงนกขนาดใหญ่หรือก็คือที่นี่แล้วล่ะ มันให้ความรู้สึกเหมือนฉากเอาคนมาบูชายันให้นกยักษ์ในหนังชอบกล และระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น...ก็มีนกตัวหนึ่งบินลงมาเกาะบ่ามิยาจิแล้วเอาจงองปากจิกพร้อมดึงผมมิยาจิ “...โอ๊ย! อะไรเนี่ย!? ฉันไม่ใช่อาหารแกนะเว้ย!”
“อ่ะ! มิยาจิซัง!” ฮายามะที่วิ่งนำหน้าก่อนหน้านี่เบลกเอี๊ยดแล้ววิ่งกลับมาหามิยาจิ “ไปชิ้วๆ คนกินมิยาจิซังได้มีแต่ฉันนะ!”
“พ่นบ้าอะไรออกมาฟะ!?” มิยาจิแยกเขี้ยวพร้อมแจกมะเหงกใส่คนพูดอะไรออกมาแบบไม่อายปากหน้าตาเฉย
“แอ๊ก! เจ็บนะฮ้าฟ!” ฮายามะกุมหัวตัวเองอย่างเจ็บๆ “โหดร้ายจังครับ...”
“หุบปาก! เงียบไปเลยไอ้ไรจู!!!” มิยาจิโวยลั่น
“ไม่ได้เป็นไรจูนะครับ!” ฮายามะเถียง...ซึ่งดูจะผิดเรื่องไปนิด
“มันใช่เรื่องที่ควรเถียงเหรอฟะ!?” มิยาจิคิ้วกระตุกนิดๆ ก่อนที่จะเดินหนีคนผมสีคาราเมลเสียดื้อๆ
“อ่ะ! รอด้วยสิครับ! มิยาจิซางงงงง!!!” ฮายามะเมื่อเห็นว่าโดนเมียงอน (?) ก็รีบตามง้อทันที “อย่างอนผมเลยนะคร้าบบบบบ!!!”
“ใครงอนแกห๊า!?” มิยาจิแว๊ดกลับ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองฮายามะอยู่ดี
“มิยาจิซังไงครับ” ฮายามะตอบกลับอย่างซื่อๆ
“ไม่ได้งอนเฟ้ย!” มิยาจิเอ่ย
“ไม่เชื่อครับ” ต่อให้บื้อยังไง ฮายามะก็รู้ว่าตนโดนงอนอยู่แน่ๆ
“ไม่เชื่อก็เรื่องของแก!” มิยาจิเร่งฝีเท้าขึ้น
“โอ๊ย! อ่ะ! มิยาจิซังเดี๋ยว...แอ๊ก!” ฮายามะวิ่งตาม แต่แล้ว...ดันสะดุดขาตัวเองล้มหนากระแทกพื้นซะงั้น
“อ้าวเฮ้ย!” มิยาจิหันขวับไปมองคนผมสีคาราเมลที่...ล้มหน้าคว่ำแน่นิ่งไปเสียแล้ว “นี่ล้มอีกแล้วเหรอฟะ!? เฮ้ๆ ตายยังเนี่ย?!”
“อย่าแช่งสิครับ!” ฮายามะรีบลุกขึ้นมาก่อนที่จะโดนเข้าใจว่าตายจริงๆ
“ก็เล่นนอนนิ่งเลยนี่หว่า คิดว่าตายแล้วเสียอีก” มิยาจิเดินมานั่งลงย่องๆ ตรงหน้าฮายามะพลางเอาผ้าเช็ดหน้าอีกฝ่ายที่เลือดกำเดาเริ่มไหลจากการกระแทก
“มิยาจิซังอ่ะ!” ฮายามะโวยเล็กน้อยก่อนที่จะ...เริ่มงอแงใส่มิยาจิตามเดิม ทางมิยาจิก็แหย่บวกแกล้งฮายามะต่อราวกับว่าลืมเรื่องที่เถียงกันก่อนหน้านี่ไปแล้ว
“คิโยชิใจอ่อนไปแฮะ วันหลังต้องหัดสอนให้ใจแข็งกับคนอื่นมากกว่านี้แล้วสิ” ห่างออกไปสักเล็กน้อย หญิงสาวผมสีน้ำผึ้งที่แอบดูเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ส่ายหน้าไปมองอย่างปลงๆ ก่อนที่ส่ายตาดันไปสะดุดเข้าไปสิ่งหนึ่งเข้า “โอ๊ะ...นั้นมันอริเก่าของคิโยชินี่หว่า? ซวยแล้วไง”
...มายกฝูง (?) เลยแฮะ แบบนี้คิโยชิไม่น่าจะจัดการได้เองแหง ไอ้บ๊องหัวสีคาราเมลนั้นก็...
“เอาเป็นว่ารอดูก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยจัดการเก็บเรียงตัวเอาดีกว่า” คิโยมิหัวเราะเบาๆ ขณะที่มองดูเด็กหนุ่มทั้งสองที่ตนตามดูมานานแล้วนั้นรีบพากันเดินออกห่างจากกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว “โอ้ สังเกตได้เร็วดีแฮะ...แต่จะหลบไอ้พวกนั้นได้ตลอดหรือเปล่าวะเนี่ย? เอาเถอะ ดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วกัน”
“มิยาจิซังๆ” เสียงเรียกปานเด็กอนุบาลดังขึ้นจากปากคนผมสีคาราเมล
“มีอะไร?” มิยาจิถาม
“เมื่อกี้เราหนีอะไรกันเหรอครับ?” ฮายามะถามกลับอย่างสงสัย...เพราะเมื่อครู่นี้อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ลากตนหนีมานี่เฉยเลย
“ไม่มีอะไรแค่...” มิยาจิเอ่ยเพียงเท่านี้...
“อริเก่าอีกแล้วสินะครับ?” ...ฮายามะก็สามารถเดาประโยคต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เนื่องจากเจอเหตุการณ์ประมาณนี้ค่อนข้างบ่อยเลยล่ะ
“ตามนั้นแหละ” มิยาจิยักไหล่เล็กน้อย
“มิยาจิซังนี่อริเก่าเยอะจังนะครับ...แล้วคราวนี้เป็นอริเรื่องอะไรครับเนี่ย?” ฮายามะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไปมีศัตรูได้หลายทางไม่ว่าจะเผลอไปช่วยคนอื่นจนโดนเหม็นขี้หน้า อัดพวกที่มารังแกคนในชมรมหรืออะไรพวกนี้ตลอดและคราวนี้คงไม่ต่างจากทุกครั้งนักหรอก
“พวกที่เคยมาจีบฉันกับยูยะน่ะ” มิยาจิตอบกลับหน้าตาเฉย
“ห๊า!? พูดจริงเหรอครับ!?” ทางฮายามะเมื่อได้รับคำตอบดังนี้ก็ถึงกับอ้างปากค้างเพราะไม่คิดว่าคนรักตนจะได้คู่อริมาหนึ่งกลุ่มเพราะเรื่องแบบนี้ได้...
...ไปลองดักตีหัวพวกนั้นเล่นดีไหมวะ? กันพวกนั้นโผล่มาจีบมิยาจิซังอีก...
“จริงสิ และนายอย่าไปคิดดักตีหัวพวกนั้นเชียวเพราะมันเก่งใช่ย่อยเลย” มิยาจิเอ่ยเตือนอย่างรู้ทันในความคิดของคนผมสีคาราเมล
“ง่ะ! รู้ได้ไงครับว่าผมคิดอะไรอ่ะ?” ฮายามะทำหน้าหงอยลงทันควัน
“หน้านายมันฟ้อง” เอาตามจริงคือมิยาจิจับเค้าจากไอมาคุที่นานๆ ทีจะมีขึ้นรอบตัวฮายามะต่างหาก...แต่เขาไม่คิดบอกรายนี้หรอก “เอ้าๆ เลิกเล่นแล้วไปกันต่อได้แล้ว...นายอยากจะไปไหนล่ะคราวนี้?”
“ไม่รู้ครับ ยังไม่ได้นึก...ไปให้อาหารนกไหมครับ?” ฮายามะเสนอความเห็นขึ้นมา
“...ให้อาหารนกในนี้หวังว่าไม่โดนจิกตายนะ” มิยาจิไม่คิดว่าถ้าถืออาหารเดินว่อนในนี้จะไม่โดนพวกนกทั้งหลายรุมจนกลายเป็นมนุษย์นก (?) หรอกนะ
“ไม่โดนหรอกครับ ที่นี่ส่วนให้อาหารนกกับส่วนเยี่ยมชมแย่งโซนกันครับ” ฮายามะส่ายหน้าวืด
“เออ ดีแฮะ” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...อย่างน้อยคงไม่โดนนกรุมทึ้งอย่างที่เขากลัวล่ะ “งั้นไปกันเถอะ”
“รับทราบครับผม!” ฮายามะขานรับอย่างร่าเริงพลางลากมิยาจิไปยังโซนให้อาหารนกอย่างรวดเร็ว และเมื่อมาถึงมิยาจิก็ถึงกับคิ้วกระตุกเป็นจังหวะชะชะช่าเลยเพราะว่า...
“ไหงมันมารุมดึงผมฉันอีกแล้วเนี่ย!?” ...ดันโดนนกรุมและพยายามกินเส้นผมมิยาจิซะงั้น
“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ฮายามะมองนกแต่ล่ะหน่อที่หิวโหยกำลังพยายามกินผมคนรักตนอย่างงงๆ พลางพยายามเอานกออกจากหัวอีกฝ่าย
“มันคงเห็นว่าเป็นของกินน่ะครับ...ลองใส่หมวกไหมครับ? เผื่อนกมันจะเลิกเห็นคุณเป็นอาหาร” เจ้าหน้าที่ในสวนนกคนหนึ่งซึ่งกลัวเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งโดนรุมจิกตายหรืออย่างไรไม่ทราบยื่นหมวกแก๊ปใบหนึ่งให้
“...ขอบคุณครับ” มิยาจิรีบคว้าหมวกมากใส่กันนกทันที ก่อนที่จะโดนดึงผมจนหัวล้านก่อนวัยอันควร
“...ดูท่ามันจะเห็นสีผมมิยาจิซังเป็นของกินจริงๆ นะครับ” ฮายามะมองเหล่านกที่พอมิยาจิใส่หมวกแล้วก็บินออกห่างไปราวกับไม่สนใจอะไรในตัวคนผมสีน้ำผึ้งแล้ว
“ไม่ดูท่าล่ะ ใช่แหง” มิยาจิทำหน้าปลงสุดแสน โดยที่ไม่รู้ว่าคนที่แอบตามมาห่างๆ อยู่นั้น...
“อุ๊บ! โดนนกเข้าใจเป็นของกินเนี่ยนะ!?” ...กำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ “สงสัยกินสับปะรดมากไปจนกลิ่นออกแหงๆ หึๆ อุ๊บ! โอ๊ย! ขำเว้ย!”
...นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังแอบตามอยู่จะหัวเราะให้ลั่นเลยค่อยดู!...
สาวเจ้าผมสีน้ำผึ้งคิดในใจอย่างอดไม่ได้พลางอดนึกเสียดายไม่ได้ที่เมื่อกี้ตนมัวขำจนลืมถ่ายภาพเด็ดเก็บไว้ และในขณะนั้น...
“ฮัดเช้ย!” ...นายมิยาจิ คิโยชิก็จามออกมาราวกับรับรู้ว่าถูกพูดถึง
“เป็นหวัดเหรอครับมิยาจิซัง?” ฮายามะเอียงคอน้อยๆ
“ไม่ล่ะ น่าจะโดนนินทามากกว่า” มิยาจิไม่คิดว่าอยู่ๆ จะเป็นหวัดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้หรอก
“อย่างมิยาจิซังมีใครกล้านินทาด้วยเหรอครับ?” ฮายามะคิดว่าคนส่วนใหญ่เกรงใจรายนี้จนไม่กล้านินทาเสียอีก
“ฉันก็คนนะเว้ย ต้องมีคนนินทาถึงบ้างแหละและพูดแบบนี้ยังกับนายไม่เคยนินทาฉันในใจเนอะ” มิยาจิกรอกตาไปมา
“ไม่เคยนินทาครับ มีอย่างมากแค่คิดอยาก ××× มิยาจิซังระหว่างเรียนแค่นั้นแหละครับ...แอ๊ก!” ฮายามะตอบไปตามตรงตามประสาก่อนที่จะโดนถีบในเวลาต่อมาจากคนผมสีน้ำผึ้งที่ดวงหน้าเริ่มขึ้นสีแดงเสียแล้ว
“ไอ้บ้า! พูดอะไรอายปากบ้างเถอะ!!!” มิยาจิแยกเขี้ยวใส่
“อายทำไมอ่ะครับ? ก็พูดจริงนี่...โอ๊ย! เจ็บนะครับ! ถ้าสมองผมหลุดออกมารับผิดชอบยัดคืนให้ด้วยนะครับ!” ฮายามะร้องโอดครวญเมื่อโดนตีหัวเข้าอีกดอก
“อย่างนายไม่มีสมองให้หลุดแล้วเฟ้ย!” มิยาจิเอ่ย
“มิยาจิซังอ่ะ!” ฮายามะทำแก้มป่องพลางโดดเกาะหลังมิยาจิ
“เฮ้ย! จะเกาะทำไมเนี่ย!? ปล่อยเลยนะเฟ้ย! ฮายามะ!” มิยาจิพยายามแงะคนที่เกาะหลังตนออกตามเสต็ป
“ไม่เอาอ่ะครับ” ฮายามะงอแงใส่คนผมสีน้ำผึ้งแบบไม่อายชาวบ้านสักนิด
“...ทำไมเหมือนเห็นภาพของตัวเองทับขึ้นมาเลยหว่า?” คิโยมิส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ พลางเดินตามเด็กหนุ่มทั้งสองที่ออกอาการพ่อง้อแม่งอนกันเสียแล้วต่อ
ในเวลาช่วงสายของวันเด็กหนุ่มทั้งสองที่ไม่รู้ตัวว่ามีคนแอบตามพวกตนมาตลอดตั้งแต่เช้าพากันเดินออกจากสวนนกแล้วไปต่อที่...
“วันนี้แกเป็นอะไรกับสัตว์วะ? เมื่อกี้สัตว์ปีกคราวนี้สัตว์เลื่อยคลาน” ...สวนสัตว์เลื่อยนั้นเอง
“ไม่รู้อ่ะครับ อยากมาดูเฉยๆ อ่ะ” ฮายามะเอ่ยอย่างร่าเริงพลางวิ่งพล่านไปทั่ว
“อย่าวิ่งสิฟะ! เดี๋ยวไปชนกรงตัวอะไรหล่นหรอก!” มิยาจิที่นับวันยิ่งเหมือนผู้ปกครองของฮายามะโวยลั่นแล้วเดินไปล็อกคอคนผมสีคาราเมลเอาไว้กันไปก่อเรื่อง “เดินตามทางดีๆ เลยเฟ้ย อย่าคิดไปปีนอะไรเล่นเชียวล่ะ”
“มิยาจิซังขี้บ่นอ่ะ” ฮายามะทำปากจู๋
“จะไม่ให้บ่นได้ไงฟะ? เล่นซนไปทั่วเนี่ย” มิยาจิกรอกตาไปมา...ว่าตามจริงเมื่อกี้ฮายามะเกือบไปแงะกรงงูเล่นแล้วด้วยซ้ำ
“นิดๆ หน่อยๆ เองครับ” ฮายามะเอ่ยแก้ตัว
“ฉันว่าแบบนี้ไม่นิดนะ” มิยาจิว่าพร้อมรีบจับตัวฮายามะที่กำลังจะมุดวงแขนตนหนีอีกล่ะรอบ “แล้วนี่นายเป็นอะไรพยายามหนีจังเนี่ย?”
...ปกติล็อกคอยังไงมันก็แค่งอแงนี่หว่า?...
“ก็ที่มิยาจิซังทำตอนนี้มันเด่นนี้ครับ เดี๋ยวพวกนั้นเห็นหรอก” ฮายามะชี้ไปยังจุดๆ หนึ่ง
“พวกนั้น?” มิยาจิมองตามไปยังจุดที่คนรักตนชี้ไปและรู้สึกอยากเป็นลมขึ้นมาตงิดๆ เมื่อ...ไอ้พวกนั้นที่ว่าคืออริเก่าของตนที่เจอที่สวนนกนั้นเอง! “บังเอิญไปไหมฟะ?”
“ผมก็ว่างั้นแหละครับ” ฮายามะยอมรับว่าบังเอิญจริงๆ ที่มาเจออริเก่าของคนรักตนในที่นี่อีกเนี่ย แถมกลุ่มเดิมอีก “มิยาจิซังปล่อยผมได้แล้วครับ ไม่งั้นโดนเห็นจริงๆ แหง”
“เออๆ” มิยาจิขานรับห้วนๆ พลางปล่อยตัวลูกหมา (?) แสนซนของตน
“เรารีบไปจากตรงนี้กันเถอะครับ” ฮายามะรีบพามิยาจิเดินลึกเข้าไปด้านใน เนื่องจากถ้าพวกนั้นยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าออกเลยทำได้เพียงเดินเข้าไปต่อด้านในเท่านั้นและพอเดินเข้าไปลึกๆ จนถึงตรงจุดหนึ่งนายมิยาจิ คิโยชิก็เริ่มคิดว่าไม่น่ายอมให้คนรักตนลากมานี่เลยเมื่อ...
“งูหลุด! ช่วยด้วยจ้า!!!” ...งูเหลือมตัวน้องๆ ท่อประปาที่เป็นงูที่เขาให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปได้ด้วยนั้นดันหลุดออกมานี่สิ! เท่านั้นไม่พอพวกงู กิ้งก่า ซาลาแมนเด้อที่อยู่ในส่วนไว้ให้อาหารสัตว์ยังหลุดออกมาอีก!
“ซวยแล้วไง!” มิยาจิอยากเป็นลมสักตลบ...เขายังไม่อยากกลายเป็นอาหารงูนะเฟ้ย!
“ไม่ต้องห่วงครับมิยาจิซัง...ดูท่ามันไม่อยากเข้าใกล้เราเท่าไหร่นะครับ” ฮายามะมองงูน้อยใหญ่บวกสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ที่หลุดออกมาอย่างฉงนเล็กน้อยเมื่อไม่มีตัวใดเข้าพวกตนเลย ทั้งๆ ที่ทางอีกเริ่มโดนแต่ละตัวไล่กันแล้ว
“เออแฮะ ทำไมหว่า?” มิยาจิทำหน้างงไม่ต่างกัน โดยหารู้ไม่ว่าที่เหล่าสัตว์ทั้งหลายไม่เข้ามาหานั้น...
“ถ้าไอ้พวกนี่กล้าทำอะไรลูกฉันจับย่างเรียงตัวแน่...” ...เนื่องจากไออำมหิตที่ถูกส่งมาจากหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งอย่างชัดเจนนั้นเอง “...แล้วนี่จะซวยไปไหนเนี่ย? ก่อนหน้านกจิกหัวตอนนี้งูหลุด...ถ้าไอ้หัวสีคาราเมลนั้นคิดจะไปอควาเรี่ยมคงไม่ใช่กระจกในนั้นแตกอีกนะ”
“ฮัดเช้ย!” ราวกับรู้ถึงคำนินทา เด็กหนุ่มทั้งสองจามออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ใครนินทาวะ?” มิยาจิบ่นเล็กน้อย
“นั้นสิครับ...แถมนินทาแพ็คคู่เลยด้วย” ฮายามะที่อยู่ๆ ก็จามออกมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี่ไม่มีแม้อาการคัดจมูกเอ่ย
“คงไม่ใช่ว่านายไปก่อเรื่องแล้วอาคาชิโวยลามมาถึงฉันหรอกนะ?” มิยาจิลองเอ่ยขึ้นมาเล่นๆ
“เปล่าครับ ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรไว้สักหน่อยและอีกอย่าง...ถ้าผมก่อเรื่องอาคาชิคงมาจัดการลากผมไปสั่งสอนแบบเป็นตัวเป็นตนมากกว่านินทาถึงนะครับ” ฮายามะมั่นใจว่ากัปตันทีมหัวแดงของตนไม่ทางทำแค่นินทาแน่...มาพร้อมกรรไกรบิน (?) ชัวท์
“จะว่าไปก็จริง” มิยาจิเองก็ไม่คิดว่าคนที่เอ่ยถึงนี่จะแค่นินทาหรอก น่าจะมาเป็นตัวเป็นตนเลยมากกว่า
“ใช่ไหมล่ะครับ” ฮายามะหัวเราะออกมาเบาๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ “มิยาจิซัง...ผมว่าเรารีบไปเถอะครับ พวกนั้นมาอีกแล้ว”
“อีกแล้วเหรอ?” มิยาจิถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความที่รู้ว่าพวกนั้นที่พูดถึงนั้นหมายถึงใครกลุ่มไหน “งั้นเรารีบใช้จังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นกับงูนี่หนีเถอะ เร็วเข้า”
“อ่ะ!” ฮายามะหลุดร้องออกมาเล็กน้อยขณะที่โดนมิยาจิลากตัวไป ขณะเดียวกันดวงตาสีเขียวกลมโตก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเข้า...ซึ่งก็คือหญิงสาวคนหนึ่งที่หน้าละม้ายคล้ายมิยาจิอย่างมาก แถมมากจนน่าแปลกใจอีกด้วยกำลังส่งยิ้มเหี้ยมๆ ให้ตนอยู่จนทำให้เจ้าตัวอดคิดไม่ได้ว่า...
...ใครหว่า หน้าคล้ายมิยาจิซังจัง...
“ให้ตายสิ...พวกนี้ซวยกันชะมัดเลย” ทำบ่นอุบอิบดังออกขากปากหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งที่ทำการตามลูกชายตนกับคนรักของรายนั้นมาตลอดทั้งวันแล้วพบว่าคนที่ตนแอบตามนั้นพบเจอแต่ความซวยชนิดที่ไม่รู้จะหาใดเปรียบ ไม่ว่าโดนนกจิก งูหลุด รถแหกโค้ง ป้ายร่วงใส่ เกือบโดนคู่อริที่ดันโผล่ไปเที่ยวที่เดียวกันแทบทุกที่ในวันนี้เจอด้วย “จะว่าไปช่วงนี้คิโยชิก็ซวยแปลกๆ อยู่แล้วนี่หว่า...สงสัยต้องบอกให้ไปทำบุญบ้างแล้วสินะเนี่ย”
...หวังว่าจะไม่เจอความซวยอะไรกันอีกนะ...
“หยุดนะเว้ย! ส่งของมีค่ามาให้หมด! ไม่งั้นแทงไส้ไหลแน่!” ไม่ทันถึงสามวิหลังคิโยมิภาวนาในใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในบริเวณใกล้ๆ ทำให้หญิงสาวแทบคุมขมับเมื่อพบว่าตอนนี้เด็กหนุ่มสองคนที่ตนตามมาตลอดว่ากำลังโดนเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันถือมีดจ่ออยู่และจากประโยคที่ได้ยินก่อนหน้าก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่ากำลังโดนปล้นแหง
“ซวยอีกจนได้...” คิโยมิส่ายหน้าไปมา “...แล้วนี่...มันไอ้พวกขี้หลีเมื่อเช้านี่หว่า? มันเป็นโจรเหรอฟะ? รู้งี้ตื้บหนักกว่านั้นก็ดีสิ”
...เอาไงต่อดีฟะ?...
ดวงตาสีน้ำผึ้งของหญิงสาวจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างชั่งใจว่าจะไปช่วยหรือดูสถานการณ์ไปก่อนและในตอนนั้นเอง...
ปั๊ด! ตุบตั๊บๆ!
...นายมิยาจิ คิโยชิกับฮายามะ โคทาโร่ก็จัดการกลุ่มคนที่ริอาจทำตัวเป็นโจรอย่างชำนาญจนทำให้สาวเจ้าที่แอบมองอยู่อดคิดไม่ได้ว่า...เจอเรื่องแบบนี้บ่อยจนจัดการได้เองโดยไม่ตื่นตะนกอะไรเลยแม้แต่น้อย
“จัดการได้แฮะ แล้ว...” คิโยมิหรี่ตาลงเล็กน้อยพรอมกับที่มีเสียงคำรามของปืนดังขึ้น “...ถ้ามันมีปืน...จะทำไงนะ?”
สาวเจ้าติดตามสถานการณ์ของเด็กหนุ่มทั้งสองที่กำลังเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่ถือปืนคนหนึ่งนิ่งๆ หากแต่มือไม้ก็เตรียมที่จะขว้างปาสิ่งของใส่คนที่ถือปืนนั้นถ้าหากว่าจะยิงลูกชายของตนขึ้นมาจริงๆ ขณะนั้นเอง...สิ่งที่หญิงสาวไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น...
...กับการที่เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลเอาร่างตนขวางกั้นระหว่างคนที่ถือปืนกับมิยาจิเอาไว้อย่างอาจหาญ
“เอ๋? กล้าเอาตัวบังให้คิโยชิทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นปืนของจริงเหรอเนี่ย?” คิโยมิยกยิ้มอย่างพอใจพร้อม...ดีดตัวออกจากที่ซ่อนไปหาคนที่บังอาจเล็งปืนใส่ลูกชายตนอย่างรวดเร็ว... “แบบนี้...ค่อยน่ารับมาเป็นลูกเขยหน่อย”
...และก่อนที่ใครจะได้ตั้งสติหรืออะไรทัน สาวเจ้าก็โดดถีบขาคู่ใส่คนที่ถือวัตถุอันตรายไว้เสียสติบินไปอย่างรวดเร็ว
“เหวอ!” ทางเด็กหนุ่มทั้งสองที่ถูกช่วยไว้ถึงกับสะดุ้งโหยงกับการปรากฏตัวของหญิงสาวที่อยู่ๆ โผล่มาได้ไงไม่รู้
“เป็นอะไร? ร้องเสียงหลงเชียว” คิโยมิที่เดาได้อยู่แล้วว่าจะได้รับปฏิกิริยาแบบนี้กลับมาแกล้งถามกลับเสียงเรียบ
“เออ...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งเหงื่อตกนิดๆ คล้ายพูดไม่ออก
“ตกใจพี่สาวอ่ะครับ! เล่นโผล่มายักกับผีเลย!” ทางเด็กหนุ่มผมสีคาราเมลเอ่ยไปตามตรงแบบไม่คิดอะไรตามประสา
“เจ้าบ้า! พูดแบบนั้นได้ไง!?” คนผมสีน้ำผึ้งหรือมิยาจิ คิโยชิ...ลูกชายแท้ๆ ของสาวเจ้านั้นแหละเขกหัวสีคาราเมลแบบไม่อ้อมแรงสักนิด...
...นี่ถ้าเกิดแม่ฟิวส์ขาดขึ้นมา ถึงเป็นฉันก็ช่วยไม่ได้นะเว้ย!...
“คิโยชิ...ไม่ต้องกลัวว่าจะตื้บไอ้นี่จมดินหรอก ดูยังไม่ป่วนเท่าไอ้ยูโตะเลย” คิโยมิที่เดาสีหน้าอีกฝ่ายออกยักไหล่เล็กน้อยพลางเอ่ยเป็นเชิงว่าจะไม่ฆาตกรรมคนผมสีคาราเมลเร็วๆ นี่แน่ “ไม่ต้องกลัวเป็นม่ายหรอกน่า”
“พูดอะไรออกมานะครับ!? ผมไม่ได้...” มิยาจิเอ่ยแย้งแต่ทว่า...กลับเจอรอยยิ้มเหมือนคนกำลังสนุกที่ได้แกล้งคนจากหญิงสาวทำให้เจ้าตัวอดสะดุ้งนิดๆ ไม่ได้
“เหรอ~~~” คิโยมิลากเสียงยาว “แน่ใจ?”
“เออ...” มิยาจิทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆ ออกไปขัดทัพ ด้วยความที่ว่าเกิดอาการเถียงไม่ออกในชั่วขณะ
“อ่ะ! จะว่าไปนี่คุณ...” ฮายามะจ้องมองที่หญิงสาวตาแป๋วด้วยความรู้สึกเหมือนเคยเจอรายนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว สมองน้อยๆ พยายามประมวลผลว่าเคยเจอรายนี่ที่ไหนมา “...คนที่เจอที่สวนสัตว์เลื้อยคลานนี่!?”
“อ่ะ? เห็นด้วยเหรอ?” คิโยมิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความที่ว่าไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นตนด้วย...เห็นเปิ้นๆ คิดว่าจะไม่ทันสังเกตเลยแฮะ รู้งี้ซ่อนตัวแบบ ‘จริงๆ’ ไปดีกว่า
“เดี๋ยวๆ! นี่แม่ไปที่นั้นมาด้วยเหรอ!?” มิยาจิร้องลั่น...นี่อย่าบอกนะว่าแอบตามมาตั้งแต่ตอนนั้น่ะ!?
“ห๊า!? นี่แม่มิยาจิซังเหรอ!?” ฮายามะหลุดร้องออกมา “ไหงสาวจังอ่ะครับ!?”
...คิดว่ารุ่นเดียวกันเสียอีก!...
“แม่ฉันสาวแล้วผิดหรือไงห๊า!?” มิยาจิโวยใส่คนรักตนเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปโวยผู้เป็นแม่ของตนต่อ “แล้วนี่แม่ไหงแต่งตัววัยรุ่นจ้าแบบนี้ล่ะครับ!? อย่าบอกนะว่าตั้งใจตามผมมาน่ะ!?”
...ปกตินอกจากไปเที่ยวที่ไกลๆ แบบทีมีอันตรายเกิดได้ทุกเมื่อไม่ยักเห็นแม่เขาแต่งตัวอ่อยเหยื่อ (?) แบบนี่เลยนะ! แล้วนี่คิดยังไงแต่งแบบนี้ออกมาเนี่ย!? ตีลังกามองยังไงก็ตั้งใจตามมาเองชัดๆ!...
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม?” คิโยมิตอบกลับไปตามตรงแบบไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย “ก็แม่อยากรู้นี่นาว่าแฟนลูกนิสัยเป็นไง...และนี่เข้าใจเลือกพอดูนี่ ถึงดูป่วนไปหน่อยก็เถอะ”
“ขอโทษทีแล้วครับที่เลือกมันมาเนี่ย...” มิยาจิกรอกตาไปมาพลางนึกสงสัยในเรื่องหนึ่งขึ้นมา “...ว่าแต่...แม่ไม่ว่าผมเหรอ?”
“เรื่องอะไร?” คิโยมิถามกลับ
“ก็ที่ผมคบผู้ชายด้วยกันไงครับ” มิยาจิไม่เคยคิดเลยว่าแม่ตนจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ในระดับนี้...ถึงขนาดแอบตามดูทั้งวันได้เนี่ย
“...” คิโยมิแสยะยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะ...เอามือสับหัวสีน้ำผึ้งของคนอายุน้อยกว่าทันที “จะว่าหากิ้งก่าทะเลทรายอะไรห๊า?! แค่คบผู้ชายนี่คิดว่าแม่ยอมรับไม่ได้หรือไงห๊า!?”
...เออ...เอาตามปกติก็ควรเป็นงั้นนะครับ...
มิยาจิแอบเถียงในใจแบบไม่กล้าต่อปากคำกับสาวเจ้าด้วยความกลัวว่าจะโดนตื้บเอา ทว่า...
“คิดแบบนั้นจริงเหรอเนี่ย!?” ...คิโยมิกลับเดาสีหน้าเด็กหนุ่มออกแล้วสับหัวไปอีกล่ะรอบ “ขนาดมีไอ้ตัวป่วนระดับร่วมมือกันสร้างหายนะได้ทุกวี่ทุกวันอยู่รอบๆ ตัวเนี่ยคิดว่ามีอะไรที่แม่ทำใจยอมรับไม่ได้อีกเหรอ!?”
...เออ จริง...และแต่ละคนที่ว่านี่สร้างหายนะชนิดที่ว่ามนุษย์ปกติไม่น่าทำได้อีกต่างหาก แถมยังชวนให้ปลงโลกสุดแสนอีก...
เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งยอมรับว่าการที่แม่ตนอยู่กับพวกไม่ปกติ (?) บ่อยๆ ทำให้ยอมรับสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าปกติจริงๆ และ...คงไม่มีใครทำให้แม่เขาจิตตกได้เท่าไอ้พวกที่ว่านั้นแล้วล่ะ
“รอมีคนยกรถทั้งคันได้ด้วยมือเปล่าแบบไอ้เคียวมันอีกสักคนสิ...รับรองว่าจิตตกเพิ่มแน่” คิโยมิที่เดาสีหน้าลูกชายตนออกอีกตามเคยเอ่ย
“ถ้ามีอีกคนนี่หายนะของโลกของแท้แล้วครับ!” มิยาจิมั่นใจว่าถ้ามีคนอย่างนายเคียวที่แม่ตนพูดถึงอีกคนนี่ได้โลกแตกแน่ แรงรายนั้นน้อยๆ เสียเมื่อไหร่ นี่ยังไม่นับพวก ‘ไม่ปกติ’ คนอื่นนะเนี่ย ถึงจะไม่แรงช้างสารแบบคนที่เอ่ยถึงนี่แต่ก็มีความสามารถพอทำโลกแตกได้เหมือนกัน “แค่ลูกศิษย์แม่แต่ล่ะคนบวกกับพ่อยังป่วนไม่พอเหรอครับ?”
“ก็นะ” คิโยมิยักไหล่น้อยๆ
“เออ...ขอโทษนะฮ้าฟ นี่พูดเรื่องอะไรกันอยู่อ่ะ?” ฮายามะที่เงียบมานานจนเกือบถูกลืมเอ่ยถามขึ้นมา
“อย่ารู้เลย” สองแม่ลูกมิยาจิเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“ไหงงั้นล่ะครับ!” ฮายามะโวยเล็กน้อย...ย้ำ ว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากมีผู้อาวุโสที่หน้าไม่ให้ยืนอยู่คนหนึ่งเลยทำให้คนผมสีคาราเมลไม่งอแงมากนัก
“ตามนั้น...อย่ารู้เลย มันดีต่อสุขภาพจิตนายที่สุด” มิยาจิเอ่ย
“ใช่...ตอนนี้อย่าเพิ่งรู้เลย...” คิโยมิยักไหล่น้อยๆ “...เดี๋ยวเจอตัวเป็นๆ ก็รู้ถึงกึ๋นเองแหละ”
“พูดอย่างกับจะเจอกันง่ายๆ นะครับ” มิยาจิไม่คิดว่าคนรักตนจะไปบังเอิญเจอลูกศิษย์แม่ตนได้ง่ายๆ หรอก ถ้าเป็นพ่อก็ว่าไปอย่าง
“อาจจะง่ายกว่าที่คิดนะ...” คิโยมิหัวเราะเบาๆ “...แฟนลูกมาจากทีมบาสราคุซันใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ครับ” มิยาจิพยักหน้ารับอย่างไม่แปลกใจสักนิดที่แม่ตนรู้ว่าฮายามะมาจากโรงเรียนไหน เนื่องจากแม่ชอบดูรายการกีฬาบาสอยู่และในช่วงวินเทอร์คัพที่ผ่านมานี่พ่อแม่เขาก็ดูถ่ายทอดสดด้วย ย่อมรู้อยู่แล้วว่าฮายามะเป็นนักกีฬาของโรงเรียนอะไร
“แล้วกัปตันทีมบาสราคุซันคืออาคาชิ เซย์จูโร่?” คิโยมิถามต่อ
“ครับ...แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะครับ” มิยาจิไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไอ้คำถามพวกนี่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พูดกันอยู่แน่
“พอดีว่ากัปตันทีมของแฟนลูกเนี่ยไปเป็นแฟนน้องไอ้เคียวมันน่ะ และมันยังเคยโดนรายนั้นเอากรรไกรจ้วงอีก...คงพอเดาออกแล้วนะที่ว่าอาจได้เจอตัวเป็นๆ เร็วๆ นี้หมายความว่าไง” คิโยมิหัวเราะเบาๆ ในขณะที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งถึงกับคุมขมับเมื่อได้ยินดังนี้
“...เออ...คนที่ชื่อเคียวอะไรนั้นน่ากลัวพอๆ กับอาคาชิเหรอครับมิยาจิซัง? ทำหน้าเหมือนไมเกรนขึ้นเลยอ่ะ” ฮายามะมองคนรักตนพลางเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“จะว่าน่ากลัวหรือปวดจิตดีล่ะ...เอาเป็นว่าเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยมากที่สุดในโลกก็แล้วกัน” มิยาจิที่ไม่รู้จะบรรยายความเพี้ยน (?) ของรายนั้นเหมือนกันและไม่รู้จะอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเชื่อด้วยเมื่อรู้ว่านายเคียวเป็นพี่ใคร...ซึ่งแน่นอนว่าต่างจากคนน้องลิบลับจนเขาไม่เคยคิดเอะใจว่าสองคนนั้นเป็นพี่น้องกันเลยด้วยซ้ำ
“ถ้ามิยาจิซังพูดขนาดนั้นผมว่าผมไม่บ้าไปมีเรื่องด้วยหรอกครับ” ฮายามะมั่นใจว่าคนอย่างมิยาจิ คิโยชิไม่มีทางอำตนเรื่องแบบนี้แน่นอน ดังนั้น...อย่าไม่มีเรื่องกับคนที่ว่านั้นเลยดีที่สุด
“นั้นถือเป็นความคิดที่ดี เพราะไอ้นั้นน่ะเกินขอบเขตมนุษย์ธรรมดาไปไกลแล้ว” คิโยมิหัวเราะเบาๆ “เอ้าๆ ฉันว่านี่ถึงเวลาที่เด็กควรกลับบ้านกันแล้วนะ รีบกลับบ้านไปดีนะกว่านะเจ้าไรจู”
“ผมไม่เด็กแล้วนะครับ! และผมชื่อโคทาโร่ต่างหากไม่ใช่ไรจู!” ฮายามะเถียงเล็กน้อย
“จ้าๆ เอาๆ กลับบ้านไปได้แล้ว บ้านอยู่เกียวโตไม่ใช่หรือไง?” คิโยมิกรอกตาไปมา...ทำไมพูดกับไอ้เด็กนี่นานๆ แล้วนึกไอ้ยูโตะมันทุกทีวะ? ดีนะไม่ป่วนเท่าเนี่ย
“ใช่ครับ แต่ยังไม่อยากกลับอ่ะครับ” ฮายามะทำหน้าหงอยเล็กน้อยเมื่อโดนแม่คนรักตนไล่รอบสอง
“ยังอยากเกาะคิโยชิอยู่หรือไง?” คิโยมิที่พอเดาความคิดของคนผมสีคาราเมลออกเอ่ยถามขึ้น
“ใช่ฮ้าฟ!” ฮายามะพยักหน้ารับก่อนที่จะโดนเด็กหนุ่มผมสีน้ำผึ้งถีบในเวลาต่อมา
“ตรงไปแล้วเฟ้ยไอ้บ้า!” มิยาจิแยกเขี้ยวใส่
“ก็มันจริงนี่ครับ!” ฮายามะโอดครวญแบบน่าโดดถีบใส่อีกสักรอบ
“เอ้าๆ หยุดทะเลาะกันได้แล้วทั้งสองคน” คิโยมิที่ขี้เกียจชมคู่รักทะเลาะกันรีบห้ามมวย...ที่จะมีแต่คนผมคาราเมลโดนตื้บฝ่ายเดียวเสียก่อน “และรีบกลับบ้านได้แล้วคิโยชิ แม่จะรีบกลับไปทำข้าวเย็น ส่วนไอ้นี่มันจะตามกลับบ้านปานวิญญาณตามติดหรือเปล่าช่างมันเถอะ”
“...เอางั้นก็ได้ครับ” มิยาจิที่ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยเถียงแม่ตนชนะสักดอกพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“ดีมาก...แล้วมื้อเย็นอยากกินอะไรล่ะ” คิโยมิถาม
“อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ปลาครับ” มิยาจิกล้าพูดเต็มปากเลยว่าตลอดที่กินแต่ปลาเป็นมื้อเช้ามาหลายสัปดาห์เขาก็เอียนปลาจะตายแล้ว! อย่าเอาปลามาหลอกหลอนเขาถึงมื้อเย็นเลยเถอะ!
“กลัวหน้าตัวเองกลายเป็นปลาหรือไง...แล้วนายล่ะไอ้หน้าทะเล้น?” คิโยมิหันไปหาคนผมสีคาราเมลที่...บัดนี้เกาะหลังลูกชายตนเสียแล้ว
“ถามผมเหรอครับ?” ฮายามะเอียงคอน้อยๆ
“มีกันสามคนคงถามแมวมั้ง!” คิโยมิตอบกลับแบบแกมกัดนิดๆ
“ง่ะ!” ฮายามะหงอยลงทันควันเมื่อถูกตอกกลับเช่นนี้ “งั้นของผม...แค่ไม่มีบล๊อกโครี่เป็นโอครับ”
“โอเค ตามนี้นะ” คิโยมิเอ่ยพร้อมกับลากเด็กหนุ่มทั้งสองกลับบ้านแบบไม่คิดเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้ทันพูดอะไรต่อทั้งสิ้น...เป็นดังการปิดม่านความวุ่นวายของคู่นี้ลงเนื่องจากคงไม่มีใครบ้ามาหาเรื่องเด็กหนุ่มทั้งสองทีตอนนี้อยู่ภายใต้การปกครอง (นับฉันไปด้วยเหรอ!? // ฮายามะ) ของคิโยมิแน่นอน
End & TBC.
ความคิดเห็น