ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter7 - แสงแห่งความหวัง ( Light of Hope )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 55
      0
      27 ก.ค. 56

              มืดจัง...  มองไม่เห็นอะไรเลย...

                    นี่ผม ตายแล้วใช่ไหมนี่?

                    เมื่อผมรู้สึกตัว สิ่งแรกที่รับรู้คือรอบๆตัวมีแต่ความมืดมิด  ความตายมันมืดสนิทอย่างนี้เลยเหรอ... ผมคิด

                    ซักพักสายตาของผมก็เริ่มปรับให้คุ้นชินกับความมืดรอบตัว ผมจึงเห็นว่าตอนนี้ตัวเองยืนอยู่บนลานหินโล่งๆ มีเส้นทางสามทางด้านหน้าให้เลือกเดิน ทุกเส้นทางล้วนทอดยาวไปสู่ความมืดมิด

                    บางสิ่งบางอย่างกระตุ้นให้ผมเดินไปทางซ้าย

                    ผมเริ่มออกก้าวเดิน ทีละก้าวๆ เมื่อเดินมาจึงตรงทางแยก ผมก็สังเกตเห็นบางอย่าง

                    มันเหมือนเป็นจุดสีขาวบนผืนผ้าสีดำ เป็นสิ่งเดียวที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด มันอยู่เหนือศรีษะผมไปหลายช่วงเลยทีเดียว  และมันอยู่เยื้องไปทางขวาของผม

                    ผมจึงลองไล่สายตาตามเส้นทางทางด้านขวานั้นไป เท่าที่เห็นมันค่อยๆลาดชันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะพาผมไปถึงจุดแสงนั้นได้อย่างแน่นอน  แต่ทว่าเมื่อเทียบกับเส้นทางที่ผมกำลังจะเดินไปนี้ มันช่างราบเรียบ ดูไร้ซึ่งอุปสรรค

                    บางสิ่งบางอย่างกระตุ้นผมให้เลือกเดินไปในเส้นทางที่เรียบง่ายนั้น แต่แสงสว่างนั่นเป็นสิ่งที่กำลังยั่วยวนจิตใจของผมอยู่ในตอนนี้

                หากยังพอเห็นแสงรำไร  จงก้าวเดินต่อไปเพื่อไขว่คว้าแสงสุดท้าย

                    ก้าวเท้ากลับหลังหัน  ใจแน่วแน่เดินไปตามเส้นทางนั้น เส้นทางที่สูงชันและเชื่อว่าแสงแห่งความหวังรอคอยอยู่

                    “โอ้ย!” ผมสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่งล้ม ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจนถึงหัวสมอง

                    เดี๋ยวนะ...  เราตายแล้วนี่ ทำไมเรายังรู้สึกเจ็บล่ะ?

                    ไม่ใช่เวลามาอ่อนแอ... ผมบอกตัวเอง ตั้งหลักได้ก็ลุกขึ้นแล้วเดินต่อไป

                    ความลาดชันของเส้นทางบอกให้รู้ว่าผมกำลังเดินขึ้นสูงเรื่อยๆ สองข้างทางไม่มีทิวทัศน์อะไรนอกจากความมืดมิด ผมลองนึกสนุกโยนก้อนหินที่คว้าแถวนั้นได้ก้อนหนึ่งไปในความมืดนั้น แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อมันหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้ซึ่งเสียงกระทบพื้น

                    ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่...

                    ไม่รู้ว่าเดินอีกนานแค่ไหน...

                    แต่จุดแสงนั่นก็ยังคงอยู่ด้านหน้าของผมไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าผมไม่ได้เข้าใกล้มันเลย เท้าทั้งสองข้างเริ่มหยุดเดิน ความลังเลบังเกิดขึ้น อีกนานเท่าไรกันนะจึงจะถึงจุดหมาย?

                    เมื่อลังเล จิตใจก็เริ่มท้อถอย ทำไมเราถึงต้องมาลำบากขึ้นมาทางนี้ด้วย ทำไมไม่เลือกเดินเส้นทางแรกที่แสนจะเรียบราบนั่น?

                    ในตอนนั้นเองสายตามองลงไปข้างล่าง  ผมก็เห็นเส้นทางแรกนั้นอยู่ข้างใต้ผมนี่เอง

                    วินาทีนั้นผมเกิดความคิดบ้าๆที่จะกระโดดลงไปข้างล่างนั่น อย่างน้อยตายไปแล้วคงไม่ตายซ้ำซ้อนหรอกนะ

                    จิตใจที่ท้อถอยจะพ่ายแพ้แก่อุปสรรค...

                    แต่ผมถูกสอนไม่ให้แพ้...

                   

     

                    พลั่ก!!

                    “อุ้ก!!” ร่างน้อยๆของเด็กชายกระเด็นไปกองกับพื้น สภาพของเขาในตอนนี้เสื้อผ้ารุ่งริ่ง มีรอยแผลอยู่เต็มตัว

                    “ลุกขึ้น!” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเรียกเด็กคนนั้น แต่เขาก็ยังไม่ไหวติง

                    “ลุกขึ้น! เจ้าจะยอมแพ้แล้วรึ?” เสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจ

                    พริบตาเดียวเด็กชายลุกขึ้นกระโดดเข้าใส่ชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว ปลายดาบไม้ในมือชี้ไปที่คอของเขา

                    “ผมชนะแล้วต่างหาก...”

     

                    “ท่านพ่อ  ทำไมเราต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะกันด้วยล่ะครับ?” เด็กชายถามขึ้นหลังการฝึกในวันหนึ่ง โดยมีผู้ที่เป็นบิดาของเขานั่งพักอยู่ด้วยกันข้างๆ

                    “ใครก็ไม่อยากพ่ายแพ้กันทั้งนั้นน่ะแหละ เจ้าเองเวลาฝึกกับข้าก็ไม่ยอมแพ้เลยเหมือนกันไม่ใช่รึ” เขาตอบคำถามของเด็กน้อยพร้อมถามกลับไปด้วย

                    “ครับท่านพ่อ ข้าคิดว่าในเมื่อลงมือไปแล้วก็ควรพยายามให้เต็มที่ จะได้ไม่เสียใจทีหลังน่ะครับ” เด็กน้อยตอบ ก่อนจะหยุดนิ่งไปซักพักแล้วถามคำถามต่อ “แล้วถ้าวันหนึ่ง เราต่อสู้กับคนที่เราคิดว่าไม่มีทางชนะ  ท่านพ่อจะยอมแพ้มั้ยครับ?”

                    “ฮ่าๆๆๆ เจ้าคิดว่าจะมีคนแข็งแกร่งกว่าพ่อของเจ้าเชียวรึ”  เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังของพวกเขาทั้งสองคน ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา

                    “ลุงพอล!” เด็กน้อยปรี่เข้าไปกอดชายหนุ่มคนนั้นทันที ซึ่งเขาหันไปถามพ่อของเด็ก “ว่าไงล่ะริกาโด้ คำถามของลูกชายเจ้าจะไม่ให้คำตอบแก่เขาซักหน่อยรึ?”

                    เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวไว้เพียงสั้นๆ

                    “พ่ายศึกใดยอมได้  พ่ายใจตัวเองนั้นหนักหนากว่านัก”

     

     

                    นั่นสินะ... ท่านพ่อก็เคยสอนไว้นี่...

                    อย่ายอมแพ้ใจตัวเอง เอาชนะมันให้ได้

                    ร่างกายที่เหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจถูกปลุกให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เท้าทั้งสองเริ่มก้าวเดินต่อไป ทีละก้าวๆ

                    เวลาผ่านไปกับฝีเท้าที่ก้าวตามเส้นทางนั้น ในที่สุดผมก็รู้สึกว่าแสงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ความปิติยินดีแล่นเข้ามาในจิตใจ เรี่ยวแรงที่เหมือนหมดไปกลับเติมเต็มขึ้นมาอีกครั้ง ผมเริ่มออกวิ่ง  วิ่งไปหาแสงแห่งความหวังนั้น แม้ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด

     

                แต่เมื่อในใจมนุษย์ต้องการความหวัง เขาคนนั้นย่อมต้องการไขว่คว้ามัน ไขว่คว้าแสงสว่างแสงสุดท้ายของตัวเอง

     

                ในที่สุดผมก็เดินมาสุดทาง ตอนนี้เบื้องหน้าของผมคือหน้าผาชันเกือบเก้าสิบองศา  หินงอกหินย้อยที่แทรกในชั้นหินบ่งบอกว่าผมต้องปีนขึ้นไปหากยังต้องไปต่อ

                    ไปหาแสงสว่างนั่นที่ด้านบน...

                    ผมมองไปตามแนวหน้าผานั้น  ความสูงของมันประมาณสามสิบฟุตเห็นจะได้  ที่ระดับความสูงระดับนั้นตกลงมาไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต

                    เออ... เราก็ตายแล้วนี่หว่า  จะกลัวอะไร?

                    ตัดสินใจได้ง่ายๆดังนั้นก็ลงมือปีนขึ้นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งลิงภูเขาที่ร่ำเรียนมาจากป่าข้างหมู่บ้าน (ฝอยซะ...:ผู้เขียน) ยี่สิบฟุตแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว  แต่ระยะทางที่เหลือนี่สิน่ากังวล หินที่งอกออกมาให้จับก็มีน้อยจุดลง บางจุดเปราะบางเกินไปที่จะรับน้ำหนักตัวผมได้โดยไม่หักลงมา

                    ผมกวาดตามองรอบตัว จึงเห็นเส้นทางขึ้นไปต่อ มันเยื้องไปทางขวาของผมห้าฟุต ผมจึงค่อยๆกระดืบตามแนวหน้าผมนั้นไปเรื่อยๆ จนผมพ้นแนวเส้นทางเดินที่ผมเดินมา

                    ถ้าผมร่วงจากตรงนี้ ผมได้ตั๋วเที่ยวเดียวทัวร์เหวดำมืดด้านล่างนั่นแหงๆ  ถึงตายแล้วผมก็ไม่อยากจะตกเหวซักเท่าไหร่หรอกนะ...

                    ไม่ใช่เวลามานั่งกลัว.. ผมคิด  สองมือจับหินงอกเหนือหัวแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปตามแนวนั้นเรื่อยๆ  เหลืออีกสิบฟุตเท่านั้น

                    ครึก!!

                    ผมมองขึ้นไปข้างบน แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง  หินน้ำแข็งขนาดใหญ่หักออกแล้วร่วงลงมาทางผมพอดิบพอดี  ด้วยสัญชาตญาณผมปล่อยมือข้างหนึ่งปล่อยร่างกายห้อยกลางอากาศทันที

                    หินก้อนนั้นเฉียดผ่านผมไปแค่นิ้วเดียวเท่านั้น มือข้างที่ว่างพยายามหาที่จับเพื่อปีนต่อไป แล้วผมก็เพิ่งสังเกตเห็นปัญหา

                    หินงอกที่ผมเกาะอยู่กำลังจะหลุดออกมาเพราะรับน้ำหนักผมไม่ไหว ซึ่งหากเป็นอย่างนี้มันจะหักออกมาแล้วผมก็จะร่วงลงไปกับมัน

                    เฮ้อ...  ทำไมประสบการณ์การปีนขึ้นที่สูงของผมไม่เคยจะราบรื่นซักทีเลยนะ?

                    เป็นอีกครั้งที่สัญชาตญาณไวกว่าความคิด ทันทีที่หินงอกหักสะบั้นลงมืออีกข้างคว้าหมับไปที่ก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งก่อนจะใช้เป็นจุดหมุนส่งร่างกายขึ้นไปข้างบน โดยมืออีกข้างคว้าขอบหน้าผาได้อย่างฉิวเฉียด  ผมกัดฟันเอื้อมมืออีกข้างไปจับขอบหน้าฟ้าก่อนออกแรงดันร่างขึ้นสู่ด้านบนได้เป็นที่สำเร็จ

                    แล้วผมก็ได้เห็นแสงสว่างนั่นชัดๆด้วยตาของผมเอง...

                    มันคือผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ส่องประกายแสงสว่างออกมา  ไอเย็นของมันมีมากกว่าผลึกรอบๆอย่างเทียบไม่ติด แม้แต่ตอนนี้มันก็ยังปล่อยไอเย็นออกมารอบๆไม่ยอมหยุด

                    ผมเดินเข้าไปหามันช้าๆ แสงสว่างในผลึกนั่นสว่างบ้างริบหรี่บ้าง เป็นจังหวะกระพริบๆไป เสี้ยววินาทีที่แสงสว่างนั่นริบหรี่ลง ผมคิดว่าผมเห็น...

                    “ในที่สุด ผู้สืบทอดเจ้านี่ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วสินะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น

                    ผมถอยหลังออกมาจากผลึกด้วยความตกใจ สายตามองหาผู้พูด แล้วผมก็เจอคนๆหนึ่ง เขายืนหลบอยู่ด้านหลังผลึกนั่น เมื่อเขารู้ว่าผมเห็นเขาก็ก้าวออกมาเผชิญหน้ากัน

                    คนๆนี้สูงเกือบเท่าผมเลยทีเดียว  ผมสีแสดที่ดูยุ่งเหยิงทำให้รู้สึกว่าเขาเพิ่งตื่นนอน แต่มันกลับตัดถึงแค่ติ่งหูเสมอกันหมดเหมือนตั้งใจทำ ใบหน้าเรียวรูปไข่ที่แต่งแต้มไปด้วยปากนิด จมูกหน่อย กลับแต่งต่างกับรอยยิ้มมึนๆ ที่ส่งยิ้มให้ผม

                    “เธอเป็นใคร?” ผมถามออกไป ดูจากลักษณะภายนอกน่าจะเป็นผู้หญิงนะ  แต่เธอกลับทำสีหน้างงเล็กน้อย

                    “เธอ?  สมัยนี้เขาเรียกบุรุษเพศกันแบบนี้เองรึ”

                    เพล้ง...  เศษเสี้ยวนับล้านส่วนปลิวว่อนกระจายออกไปรอบใบหน้าผม  นี่เธอเป็นผู้ชายเหรอเนี่ย? หน้าหวานมาก...

                    เธอ(หรือเขา) คงเห็นผมเงียบไปนานจึงกล่าวขึ้นอีกว่า “จะเรียกข้าว่าอย่างไรก็เรื่องของเจ้า ข้าชื่ออีริค เป็นผู้พิทักษ์หอกมนตราทั้งแปด อันรวมไปถึงเจ้านี่ด้วย” เธอชี้นิ้วไปที่ผลึกน้ำแข็งนั่น

                    ผมกำลังงงกับสิ่งที่เธอพูด “ผู้พิทักษ์? แล้วเธอ..เอ้ย! นายมีธุระอะไรกับผม?”

                    อีริคขมวดคิ้วอย่างสงสัยอีกครั้งเมื่อผมเปลี่ยนคำเรียกเขา ก่อนจะกลับไปทำหน้ามึนๆแบบเดิม “ไม่ใช่สิ่งนี้รึที่ดึงดูดเจ้าให้มาที่นี่” เขาหันหลังให้ผม ฉับพลันแสงสว่างนั้นก็สว่างจ้าจนทำให้ผมเห็นแต่สีขาว ก่อนแสงนั้นจะสงบลงไป เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในผลึกนั้น

                    หอกสีฟ้าคราม สลักลวดลายอันวิจิตรไว้ทั้งเล่ม ด้ามหอกมีไพลินเม็ดเขื่องติดอยู่ ใบหอกตวัดคดเคี้ยวไปมาเหมือนรูปมังกร  และสิ่งที่ผมสังเกตคือตอนนี้หอกเล่มนี้ถูกแช่แข็งอยู่

                    ผมหันไปทางหนุ่มหน้าหวาน “หอกนั่น...”

                    “บริวโอแน็ค” เขาตอบเสียงเอื่อย “เจ้านั่นมันหลับใหลมานานมากนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะเลือกเจ้าเป็นผู้สืบทอดของมัน”

                    “ผู้สืบทอด?” ผมถาม สมองในตอนนี้ยังปะติดปะต่ออะไรไม่ค่อยได้ “แต่... ทำไมล่ะ? ทำไมมันจึงเลือกผม?”

                    “ข้าไม่รู้” อีริคตอบสั้นๆ “หอกทุกเล่มมีจิตใจของมันเอง การที่มันเลือกเจ้ามันอาจจะเป็นเพราะเจ้ามีรอยแผลที่ถูกเลือกก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะมันคือผู้เลือก แล้วเจ้าเป็นผู้ถูกเลือก มันก็แค่นั้น”  เขาอธิบายยาวเหยียด

                    “แต่ว่า...” ผมกำลังใช้ความคิด ถ้าเหตุผลที่ว่านั้นมันเป็นจริง  งั้นผมก็ไม่ต่างอะไรกับคนโชคดีมากๆคนหนึ่งในโลกเลยสิ “ผมกำลังสู้กับพวกจักรวรรดิ ผมกำลังปกป้องเพื่อนพ้องของผม ผมพลาดท่าถูกพวกมันฟันกลางหลัง แล้วผมก็...”

                    “จะบอกว่านี่คือความฝันใช่ไหม? เราอยู่ภายใต้เงาระหว่างโลกของเจ้ากับโลกแห่งความตาย เมื่อใดที่ผู้สืบทอดปรากฏตัวขึ้น เขาผู้นั้นจะถูกชักนำมาโดยหอกมนตราเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้พวกมันรู้ได้ว่าเจ้าคือผู้สืบทอดของพวกมันคือรอยแผลที่ถูกเลือก” อีริคขัดขึ้น “บนร่างกายเจ้าต้องมีบาดแผลซักจุดนี่แหละที่เป็นบาดแผลที่ถูกเลือก”

                    ผมหลับตาคิด นี่ผมกำลังได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออยู่  หอกเวทมนตร์ตรงหน้านี้กำลังจะเป็นของผม แต่ผมต้องการมันจริงๆหรือ

                    “ถ้าผมเป็นผู้สืบทอดจริง แล้วยังไงล่ะ? ผมตายไปแล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเลือกผม” ผมพูดขึ้น

                    “และนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ ถ้าเจ้าเป็นผู้สืบทอด หอกนั่นจะช่วยฟื้นคืนเจ้าจากความตาย” หนุ่มหน้าหวานพูด สายตาจริงจังกว่าเมื่อกี้อย่างเทียบไม่ติด “ว่าไงล่ะ การตัดสินใจของเจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว  ถ้าเจ้าเลือกที่จะเป็นผู้สืบทอด จงเอ่ยนามของเจ้า บอกความต้องการของเจ้า หอกนั่นจะดลบันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เจ้าได้ตามที่ต้องการ แต่ถ้าไม่...”

                    โดยไม่ต้องบอกต่อ ผมก็พอเข้าใจความหมายโดยนัยได้  สรุปก็คือหอกนั่นเรียกผมมาที่นี่เพื่อมัดมือชกให้ตัวเองได้ออกไปโลดแล่นกับผมบนโลกภายนอกสินะ

                    คำถามเดิมที่ถามตัวเอง ผมต้องการมันจริงๆหรือ? ผมจะเอามันไปเพื่ออะไร ในเมื่อผมพ่ายแพ้แล้ว...

                    เอเลนิส...               

                    ชื่อนี้แวบเข้ามาในหัวสมองของผม  ความทรงจำก่อนหน้านี้ประดังเข้ามาในหัวสมอง ทั้งความโหดร้าย มิตรภาพ เพื่อนสนิท คนที่รัก การแก้แค้น

                    และความอ่อนแอ...

                    วินาทีที่ตัดสินใจได้ มือทั้งสองข้างของผมสัมผัสผลึกน้ำแข็งนั่นโดยไม่ฟังคำทัดทานของอีริค  ไอเย็นแผ่ยะเยือกมาตามมือทั้งสองข้างและเริ่มกัดกินความรู้สึกของผม

                    “บริวโอแน็ค...” ผมเอ่ย “สิ่งที่รอคอยผมอยู่ข้างนอก  ไม่ใช่การแก้แค้น หรือการทวงคืน ผมไม่ต้องการพลังไปเอาชนะใครอีกแล้ว แต่สิ่งที่ผมต้องการและรอคอยอยู่ข้างนอกคือสิ่งที่ผมต้องปกป้อง!  ผมเคยอ่อนแอ ผมเคยกลัว  ผมเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องคนที่ผมรักได้เลยซักคน...” ความในใจพรั่งพรูออกมา  ไอความเย็นแช่แข็งร่างของผมไปครึ่งหนึ่งแล้ว “...ผมจึงต้องขอโอกาสอีกครั้ง  โอกาสที่ผมจะได้ปกป้องคนที่ผมรัก  ด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยพลังและความอ่อนแอของผม  รวมกับพลังของนาย...”

                    ความหนาวเหน็บกัดกินร่างของผมจากเท้าจนถึงคออย่างรวดเร็ว อีริคเห็นไม่ได้การจึงตะโกนบอก

                    “จงเอ่ยนามของเจ้า!  ผู้เป็นผู้สืบทอดของมัน เร็วเข้า!

                    ผมพยายามรวบรวมคำพูด ร่างกายของผมกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของผลึกน้ำแข็งนี่ในไม่ช้า ซึ่งมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆแน่ถ้าผมไม่รีบ หรือมันไม่ยอมรับคำขอของผม...

                    “จงเป็นพลังให้แก่ผม  จงร่วมสู้ไปกับผม  จงยอมรับผมคนนี้เป็นผู้สืบทอดของนาย  สุภาพบุรุษเอสปาด้า บุตรแห่งริกาโด้ผู้กอบกู้  เพทริกส์ รากูเอล!

     

                    ความหนาวเหน็บเข้าปกคลุมทั้งร่าง ทั่วทั้งร่างรู้สึกร้อนดั่งไฟเผาทั้งๆที่ถูกแช่แข็งอยู่ ความรู้สึกสุดท้ายที่ผมจำได้คือแสงสว่างจ้า...

    จบกันไปแบบไม่ค้างอีกหนึ่งตอนเนอะ  ตอนต่อไปจะตามมาแบบความเร็วแสง โปรดเตรียมตัวให้พร้อมเน่อ ><

     

    ปล. ช่วงนี้รีไรต์ตอนเก่าๆเกือบทุกตอน แอบเข้าไปดูกันบ้างเน่อ ><

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×