ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mighty Spear Chronicle - Tale of Brionac (สถานะ:จบครึ่งแรก)

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter8 - บริวโอแนคจุติ ( Brionac )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 124
      0
      3 ส.ค. 56

                    สัมผัสแรกเมื่อรู้สึกตัวคือเม็ดฝนที่ประพรมบนแผ่นหลังที่เปิดโล่ง กลิ่นชื้นของผืนดินกระตุ้นความคิดของผมให้รู้ว่าผมยังหายใจอยู่...

                    นอนนิ่งอยู่ซักพัก ก็ลองขยับมือและขาทั้งสองข้าง ก็พบว่ายังอยู่ครบไม่ได้ขาดหายไปแต่อย่างใด เมื่อสำรวจตัวเองอีกครั้งจึงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนคว่ำอยู่ โดยมีขาข้างหนึ่งแช่อยู่ในน้ำ

                    จากการสันนิษฐาน ผมน่าจะร่วงลงมาแล้วลอยมาตามคลองจนมาเกยตื้นซักที่สินะ ถ้าโชคดีก็ไม่ไกลจากเอสปาด้านัก หรือนั่นเรียกว่าโชคร้ายดีนะ...  ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน

                    ผมพลิกตัวนอนหงาย แล้วตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกแสบไปทั้งหลัง

                    เอ่อ... ถ้าจำไม่ผิดเราเพิ่งโดนฟันกลางหลังมานี่หว่า...

                    แต่ก่อนจะได้คิดอะไรเพิ่มเติม เสียงอันทรงพลังเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ดังจนเหมือนว่ามันพูดอยู่ข้างหูผม

                “ความปรารถนาของเจ้า มิได้มีเพียงแค่ได้ปกป้องคนที่รักสินะ ความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานของเจ้าแฝงอยู่ในทุกคำพูดและน้ำเสียงที่ส่งถึงข้า

                เจ้า... เพทริกส์ รากูเอล ผู้สืบทอดแห่งข้า

                จงอย่าได้ยอมแพ้  จงอย่าได้วางมือเป็นอันขาด

                จงจำไว้ วันใดที่เจ้าท้อถอย เจ้าจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สอง...”

     

                    เปรี้ยง!!  ครืน........

                    เสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนเลือนลั่น  ราวกับว่ามันผ่ามาต่อหน้าผม แสงสว่างวาบขึ้นบดบังทุกสายตาในบริเวณนั้น

                    “นี่มัน...  มันเกิดบ้าอะไรขึ้นอีกเนี่ย” ลอร์ดปิแอร์พูดขึ้นมาในขณะที่ยกมือป้องหน้าไว้

                    เมื่อแสงสว่างหายไป เป็นเอเลนิสที่อุทานออกมาคนแรก “หอกนั่น... มันตกมาจากฟากฟ้า?”

                    ผมลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง จ้องมองสิ่งที่ปักบนเนินดินใกล้สะพานไม้ไผ่

                    มันคือหอกสีฟ้าครามที่ผมเคยเจอมาก่อนนั่นเอง!

                    “พันธสัญญาถูกลิขิตขึ้นแล้ว...!!” เสียงที่บอกไม่ได้ว่าเป็นหญิงหรือชายดังขึ้น “เจ้าเป็นผู้ครองครองบริวโอแน็คโดยสมบูรณ์แล้ว จงหยิบมันขึ้นมา ใช้พลังของมันทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ!” เมื่อผมหันไปตามเสียงนั่นก็เห็นอีริคปรากฎตัวขึ้น

                    ปิแอร์ก็ตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น “หอกเล่มนั้น ต้องไม่ใช่เรื่องปกติแน่ๆ อย่างไรก็ตามก็ต้องตรวจสอบเอาไว้ก่อน...  ทหาร ไปเอาหอกนั่นมา!” เขาออกคำสั่ง ทหารประมาณสิบนายก็รีบรุดเดินทางไปที่ตั้งของหอกเล่มนั้นทันที

                    ผมลุกขึ้นมองหอกนั้นด้วยสายตาที่เหมือนถูกดึงดูดไปหามัน เหมือนครั้งแรกที่เราได้พบกัน ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องทำก็มีแค่

                    ไปหยิบมันมาให้ได้

                    โชคดีมีดาบเล่มหนึ่งตกอยู่แถวนั้น ผมคว้ามันได้ก็กระโจนสองครั้งขึ้นริมตลิ่งทันที ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อทหารคนหนึ่งสังเกตเห็นผมเข้าก็ปรี่เข้ามาเงื้อดาบหมายฟาดสุดกำลัง แต่ผมไม่ยอมเสียเวลากระโดดอ้อมหลังของเขาหมุนหมวกของเขาให้ครอบใบหน้าโดยสมบูรณ์ แล้วถีบตกคลองไป จังหวะนั้นปิแอร์ก็สังเกตเห็นผมเช่นกัน

                    “ทะ... ทำไมมันถึงยังรอดอยู่ ฆ่ามัน!! ฆ่ามันให้ได้!!” ปิแอร์ร้องตะโกนลั่น

                    ธนูนับร้อยพุ่งผ่านอากาศมาทางผม แต่ขณะนั้นก็บังเกิดสายลมเย็นพัดพาลูกธนูเหล่านั้นไปตกที่อื่นทั้งหมด ผมวิ่งสุดฝีเท้าในที่สุดก็ถึงจุดที่หอกปักอยู่จนได้

                    สิ่งที่ยืนยันได้ว่าหอกเล่มนี้เป็นเล่มเดียวกับที่ผมเคยเจอคือไอเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวหอกอย่างต่อเนื่อง ผมก้าวไปหามันแล้วดึงมันขึ้นมา

                    “นี่คือ...บริวโอแน็ค?” สัมผัสแรกที่ได้จับหอกเล่มนั้นไม่หลงเหลือความเย็นอยู่เลยสักนิดเดียว เมื่อได้ลองกวัดแกว่งดูก็พบว่ามันเหมาะมือกว่าที่คิด

                    ปิแอร์ที่เห็นเหตุการณ์อยู่ทุกอย่างไม่พอใจร้องสั่งการลั่น “ก็แค่หอกเล่มเดียว จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้? ฆ่ามัน!!  ฆ่าพวกกบฏที่คิดต่อต้านองค์ราชาให้หมดสิ้น!!

                    “ตอนนี้แหละ จงปลดปล่อยพลังของมันออกมา!” อีริคตะโกนสั่งมา คำสั่งของเขาทำให้ผมงง ไม่สนใจทหารที่ล้อมเข้ามา

                    “ปลดปล่อย... พลัง?”

                    “เจ้าคือผู้สืบทอด เจ้ามีรอยแผลที่ถูกเลือก เจ้าทำได้... จงสื่อจิตใจถึงมัน มันจะตอบรับเจ้า!” หนุ่มหน้าหวานตะโกนมาอีกรอบ

                    เมื่อไม่เห็นทางเลือกอื่น ผมหลับตาตั้งสมาธิคิดถึงแต่หอกที่ถืออยู่อย่างเดียว พวกทหารที่เห็นผมหลับตาก็นึกว่ายอมแพ้ก็พุ่งเข้าหมายสังหารให้จบสิ้นไป

     

                    “จงโบกสะบัด!     จงกู่ก้อง!                        คำรามคลั่ง!

    ประดุจดั่ง           ผืนแผ่นดิน          ล่มสลาย

    จงนำพา             ความหนาวเหน็บ  และความตาย

    ดลบันดาล          ความฉิบหาย       แก่อริราญ!

     

     

                    ถ้อยคำถูกเปล่งออกมาจากจิตสำนึกทันทีที่ได้สัมผัสถึงสิ่งที่อยู่ในหอกเล่มนั้น  ผมยกหอกโบกสะบัดขึ้นฟ้าหนึ่งครั้ง  กาลเวลาก็เหมือนหยุดนิ่งลง ทุกสิ่งรอบตัวของผมราวกับถูกแช่แข็งท่ามกลางกาลเวลาที่หยุดนิ่ง แต่ทว่ามีบางสิ่งที่ไม่ได้หยุดนิ่งไปกับสิ่งรอบตัวเหล่านี้...

                    “เพทริกส์ รากูเอล...” ท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง  เสียงอันทรงพลังได้ดังขึ้น

                    “ผู้ครอบครองหอกมนตรา  ผู้มีรอยแผลที่ถูกเลือก...” เสียงนั้นยังคงพูดต่อไป

                    “จิตวิญญาณแห่งการกอบกู้ได้ลุกโชนขึ้นในจิตใจของเจ้า มันถูกส่งตรงไปถึงข้า...”

                “...และเจ้า ก็จะได้รับพลังแห่งการปลดปล่อยจากข้าเป็นการแลกเปลี่ยน”

     

                    สิ้นเสียงนั้น กาลเวลาก็กลับมาเคลื่อนที่อีกครั้ง ทหารทั้งหลายที่กระโจนเข้ามาต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

                    ร่างกายของพวกเขามีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุม มันหนามากขึ้นเรื่อยๆและในที่สุดมันก็แช่แข็งพวกเขาอย่างรวดเร็ว ร่างของทหารนับสิบนายแข็งค้างอยู่กลางอากาศรอบตัวผม

                    บรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดมัวลง ท้องฟ้าที่มีเมฆสีเทาอยู่ประปรายก็ถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำไปทั่วทั้งเขตเอสปาด้า  ท่ามกลางความปั่นป่วนของสภาพอากาศ  บางสิ่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่จุดศูนย์กลางความวิบัตินั้น

                    ร่างอันใหญ่โตของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งปรากฏตัวขึ้น รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมือนราชสีห์ที่ขยายขนาดมาสักพันเท่า แต่สิ่งที่ทำให้ร่างนี้ดูเด่นขึ้นก็คือหางของมันถูกแทนที่ด้วยคมเคียวเล่มใหญ่

                    “บะ...บ้าน่า  เทพสงครามโยมุนฮาร์  แค่เชื่อมต่อครั้งแรกท่านก็ให้การยอมรับเขาคนนั้นแล้วรึ” อีริคตะลึงในสิ่งที่เห็น แต่ก็คงไม่เท่ากับทุกคนที่มองสิ่งนั้นกันตาค้าง ไม่เว้นแม้แต่แรกนัสที่สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ได้จากระยะไกลก็ยังอึ้งในสิ่งที่เห็น

                    ร่างนั้นพุ่งผ่านกองทัพทหารไปด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองตามทันได้ พริบตาเดียวรอยฟันก็บังเกิดขึ้นกลางกลุ่มทหารพวกนั้น เฉือนร่างผู้ที่โดนให้กลายเป็นสองท่อนก่อนจะสลายเป็นฝุ่นไปเพราะร่างกายไม่อาจทนทานพลังที่มหาศาลขนาดนี้ได้ไหว  ส่วนทหารที่ไม่ได้อยู่ในแนวสังหารนั้นอันรวมถึงปิแอร์ล้วนถูกแรงกระแทกจนบาดเจ็บสาหัสกันไปตามๆกัน

                   

     

    “เพสซี่...” เอเลนิสมองสิ่งที่ชายหนุ่มกระทำอยู่นั้นมาโดยตลอด ตอนแรกเธอก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงยังไม่ตาย แต่ก็โล่งอกที่เขาปลอดภัย ต่อมาเมื่อเห็นเขาสัมผัสหอกนั้นแล้วก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดนั้นขึ้น เธอก็ยิ่งสงสัย

                    เขาคนนั้น เป็นใครกันแน่นะ...?                                

                    ลอร์ดหนุ่มลุกขึ้นปัดเศษฟางออกจากตัว สายตายังคงไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้เห็นและสิ่งที่ตนเองประสบ ชุดเกราะสีแดงของเขาปรากฏรอยถูกกระแทกอย่างรุนแรง “นรก!  หอกนั่นมันคืออะไรกันแน่?”

                    ไม่ทันจะได้รับคำตอบ ลอร์ดหนุ่มก็ต้องรีบชักดาบขึ้นป้องกันปลายหอกที่เสือกแทงเข้ามา เขาปัดปลายหอกไปแล้วแทงดาบใส่เด็กหนุ่มบ้าง แต่เขาก็ใช้ด้ามของมันปัดกลับไปได้

                    ในตอนแรกที่ผมปลดปล่อยพลังของมันออกมา ร่างกายก็รู้สึกเหมือนว่าได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างจากข้างในออกมา เมื่อเห็นร่างของผู้ที่พรากทุกอย่างของผมกระเด็นไปในกองฟาง ผมจึงไม่รอให้เสียโอกาสคว้าหอกพุ่งเข้าแทงทันที

                    นักเวทคนหนึ่งเห็นผู้บังคับบัญชาของตนกำลังตกอยู่ในอันตรายก็รีบร่ายเวทโจมตีเด็กหนุ่มทันที เวทมนตร์ที่ถูกร่ายจบพร้อมที่จะปล่อยออกไปได้ทุกเมื่อที่มีโอกาสถูกหน่วงไว้ที่ปลายคทาเวทย์จนมันเปล่งแสงออกมา

                    สวบ!

                    นักเวทคนนั้นอ้าปากค้าง ไม่ทันได้สั่งให้เวทมนตร์ทำงานพลังเวทในตัวก็ถูกดูดออกไปหมดสิ้นพร้อมกับลมหายใจที่สงบลง

                    “เจ้าจะทำอะไรน่ะ น่าสนุกดีนะ” เสียงหวานๆดังขึ้นข้างหลังของนักเวทคนนั้น เมื่อร่างของนักเวททรุดลงไปก็เผยให้เห็นอีริคยืนม้วนผมตัวเองเล่น ดาบเรเปียร์ในมือมีคราบเลือดเพียงน้อยนิดที่แสดงให้เห็นถึงการเสียบทะลุจุดตายอย่างแม่นยำ

                    “ไม่จำเป็นก็ไม่อยากฆ่ามนุษย์ซักเท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่า... มันน่าสนุกดีนี่” ปากก็พูดไปอย่างนั้น ขยับร่างอีกครั้งนักเวทอีกคนที่กำลังยืนร่ายเวทก็ถูกเสียบข้างหลังไปอีกคน ทหารอัศวินคนอื่นๆที่โชคร้ายก็ล้วนถูกแทงทะลุเกราะในจุดรอยต่อด้วยฝีมือที่เฉียบคม

                    “เจ้าคนในชุดผ้าคลุมก็ดูมีฝีมือเหมือนกันแฮะ ไม่สิ เด็กนั่นดูไม่ค่อยชินกับอาวุธหอกซักเท่าไหร่นัก” หลังจัดการกับพวกทหารเสร็จ อีริคก็จัดแจงกระโดดขึ้นไปนั่งไขว่ห้างบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งพร้อมคุ้กกี้ที่หยิบมาจากไหนก็ไม่มีใครทราบบนมือ สายตามองไปที่การต่อสู้ของทั้งสองคน

                   

                    ชิ้ง! ชิ้ง! ผัวะ!

                    กรามซ้ายของผมรู้สึกชาอย่างรุนแรงเมื่อได้สัมผัสกับหมัดของลอร์ดแห่งบูรพา หอกไม่ใช่อาวุธที่ผมถนัดซักเท่าไหร่

                    แต่อย่างน้อย ด้วยพลังและฝีมือที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันก็ทำให้ผมยืนสู้กับเขามาได้นานพอสมควร จนเมื่อเขาถอยออกไปแล้วร่ายเวทใส่ดาบตัวเอง

                    “เพลิงมังกรพิโรธ!!” เขาตะโกนลั่น ทันใดนั้นดาบในมือเขาก็ลุกเป็นไฟ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าฟาดฟันกับผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมพบว่าแรงปะทะจากเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติพอสมควร

                    “อั้ก!!” ผมกัดฟันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อพลาดท่าถูกฟันเข้าที่กลางหน้าอก โชคดีที่เบี่ยงหลบออกมาทันจึงโดนเฉี่ยวๆเท่านั้น แต่ความร้อนที่มากับใบดาบลวกผิวหนังผมไปเป็นแถบเลยทีเดียว

                    หอกไม่ใช่อาวุธที่ผมถนัดจริงๆน่ะแหละ ผมถนัดดาบมากกว่า... ผมคิด

                    พริบตานั้นหอกในมือก็หดสั้นลง กลายเป็นดาบสีฟ้าครามน้ำหนักกำลังเหมาะมือ ผมยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

                    ทำอย่างนี้ได้ตั้งแต่แรกก็ไม่บอก.... (มันบอกได้ก็บอกไปนานแล้วโว้ย : ผู้เขียน)

                    “สามดาบแห่งริออท!” ผมตะโกนลั่น สะบัดข้อมือพร้อมแกว่งดาบคลื่นดาบสามสายก็พุ่งทะลวงชุดเกราะสีแดงสดนั่นแตกกระจาย ลอร์ดหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัวจึงโดนคลื่นดาบหนึ่งกระแทกเข้าเต็มๆ

                    ตูม!!

                    ร่างของเขากระเด็นไปติดในเล้าหมูเก่าๆ ดาบในมือปักอยู่ข้างๆ

                    “เชอะ...” ปิแอร์แค่นเสียง “อย่ามาอวดกำแหงให้มาก  พ่ายแพ้ให้กับสวะอย่างเจ้า มันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง!!!” พูดจบก็หยิบคริสตัลสีฟ้ามา เกิดแสงสว่างวาบขึ้น แล้วร่างเขาก็หายไป

                    ผลึกฉุกเฉิน... ผมไม่แปลกใจซักเท่าไหร่ที่คนระดับอย่างเขาจะมีใช้  มันเป็นของวิเศษของพวกนักเวทที่ทำให้ผู้ใช้รอดจากสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้ พ่อก็เคยมีอยู่อันหนึ่ง แล้วใช้มันกับผมในวันที่เอสปาด้าถูกโจมตี

                    “ในที่สุด ผมก็ชนะแล้วนะ พ่อ... พี่แรกนัส...” สติผมเริ่มหลุดลอย ความเหนื่อยและความง่วงเข้าครอบงำ ในที่สุดผมก็สลบไปเพราะความอ่อนเพลียและพิษบาดแผล

     

     

     

     

                    ....

                    “ลุงพอล! เร็วเข้าสิ!” เสียงเล็กๆดังขึ้น

                    “ข้ารู้แล้วๆ” เสียงคนแก่บ่นพึมพำ แต่เมื่อเห็นบาดแผลบนร่างกายของเด็กหนุ่ม คำพูดพวกนั้นหายไปในทันใด

                    “นี่มัน... นี่มันแย่มากๆ” ลุงพอลหันไปสั่งการ “แรกนัสไปเอาไฟน์วิสกี้มา  ฟิโอน่าต้มน้ำมาให้เร็วที่สุด  อย่าลืมหยิบหนังสือนั่นมาด้วย”

                    “รับทราบครับ/ค่ะ” สองพี่ชายและพี่สาวต่างกระวีกระวาดไปจัดการตามหน้าที่ของตนเองทันทีเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ร้ายแรงเพียงใด

                    “ทะ... ทำไมถึงได้...” เทรสอึ้งกับบาดแผลบนร่างกายของเพื่อนสนิท รอยฟันที่กลางหลังที่ลึกจนเผยให้เห็นจนถึงกระดูก เลือดที่ไหลซึมบ่งบอกว่ามันผ่านมานานแล้วนับจากเหตุการณ์นั้น

                    “ข้าแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่” ลุงพอลกล่าวกับตัวเอง แต่มันก็เป็นเรื่องจริงไปแล้ว เพราะชายหนุ่มตรงหน้าเขาตอนนี้ยังคงหายใจอยู่ แต่รวยรินมาก

                    “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องนี้นะ! เราต้องรีบช่วยเขา!” เด็กสาวเร่ง

                    “และนั่นคือสิ่งที่ข้าพยายามทำอยู่สาวน้อย การรีบเร่งจะทำให้ยิ่งช้า” ลุงพอลกล่าว หันไปหาเทรส “เทรส เจ้าไปหยิบหนังสือนั่นมาก่อน ส่วนเจ้าหนู  เจ้ามาช่วยข้าถอดเสื้อเขา”

                    “ได้ค่ะ” สาวน้อยรับคำอย่างว่าง่าย เธอพยุงร่างของเขาให้ชายชราถอดเสื้อ... ไม่สิ ต้องเรียกว่ากระชากออกมากกว่า เพราะมันเหลือแค่ส่วนหน้าเท่านั้น ร่ายกายที่ไร้อาภรณ์ปกปิดเผยให้เห็นถึงร่ายกายที่สมส่วนมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสมกับผู้ฝึกอาวุธ เด็กสาวหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อได้เห็นเรือนร่างของชายหนุ่มชัดๆ แต่นั่นไม่เท่ากับความตะลึงที่เห็นสิ่งนั้น

     

                    “เอเลนิส...” ฟิโอน่าเรียกเด็กสาว ตอนนี้เธอสองคนกำลังมองสิ่งนั้นของเพทริกส์กันอยู่สองคน ซึ่งถึงแม้ว่าร่างของเขาจะถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลเกือบทั้งตัว แต่ก็ยังเห็นสิ่งนั้นได้ชัดเจน

                    “เรื่องนี้ชั้นขอให้เป็นความลับนะ  เพสซี่ต้องทุกข์ทรมานกับมันมานานมากแล้ว ชั้นว่าเขาคงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ถ้าใครรู้ถึงเรื่องนั้นของเขา” เธอพูดกับเด็กสาว

                    “เป็นข้าก็คงรู้สึกเหมือนเขาน่ะแหละ” เด็กสาวตอบ แววตาเธอช่างเศร้าสร้อย...

     

    ค้าง ค้าง ค้างเข้าไป 55555+   //หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

    ตอนต่อไปอาจจะนานซักนิดนึงนะขอรับ แต่ไม่น่าจะเกินวันเสาร์แน่นอน ><

    แล้วจะได้รู้ว่า “สิ่งนั้น” มันคืออะไร  (อย่าคิดลึกนะ 5555+)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×