ในที่นี้จะขอกล่าวตั้งแต่การตั้งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมันในศตวรรษที่ 9 ไปจนกระทั่งการรวมชาติให้เป็นอาณาจักรเยอรมันที่สองในปี 1871 ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นมหาอำนาจของโลกยุคสมัยใหม่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เยอรมันกลายเป็นเช่นทุกวันนี้
หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตก ซึ่งส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ล่มสลายก็มาจากการรุกรานของชนเผ่าป่าเถื่อนเยอรมันด้วย ได้มีการจัดตั้งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมัน(Das heilige Römisches Reich Deutscher Nation) ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ 1 เมื่อประมาณปี ค.ศ. 800 โดยชาลิมาญ (Charlemagne) ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าเยอรมันสาขาฟรังค์ (Frank) คลอบคลุมดินแดนของส่วนใหญ่ประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย และอิตาลีในปัจจุบัน อาณาจักรนี้ใช้ชื่อว่าอาณาจักรโรมันก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรโรมันเดิมแต่อย่างไร แท้จริงแล้วเป็นอาณาจักรของพวกชนเผ่าเยอรมันต่างๆนั่นเอง การที่ใช้ชื่อว่าอาณาจักรโรมันเพียงเพื่อต้องการให้แลดูว่าสืบทอดอำนาจจากอาณาจักรยิ่งใหญ่ในอดีต ดังที่จักรพรรดิของอาณาจักรโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์เรียกอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมันว่า “อาณาจักรของพวกคนเถื่อน” อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมันนี้เป็นการรวมตัวกันทางการเมืองอย่างหลวมๆของคนเถื่อนเยอรมันเป็นครั้งแรก เมืองต่างๆในอาณาจักรยังคงเป็นอิสระต่อกันเพียงแต่ว่ามีจักรพรรดิองค์เดียวกันเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่พวกเยอรมันเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์อีกด้วย ดังปรากฏพิธีการสวมมงกุฎกษัตริย์ที่ต้องให้พระสันตะปาปาแห่งโรมสวมให้
ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคกลางของยุโรปนั้น ไม่ค่อยมีเหตุการณ์น่าสนใจนัก บทบาทของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมันมีปรากฏอยู่บ้าง เช่น การนำกองทัพไปร่วมรบสงครามครูเสดหลายๆครั้ง การเป็นแนวชายแดนทางด้านตะวันออกของชาวคริสเตียนที่ต้านทานการบุกของพวกมองโกล และที่สำคัญที่สุดได้แก่ การที่ จักรพรรดิฟรี้ดริชที่สอง “บาบารอสซา” (Friedrich II Babarossa) นำกองทัพเยอรมันไปข่มขู่สันตปาปาที่กรุงโรมให้ขึ้นต่อเยอรมัน แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ โดนทรยศจากขุนนาง สันตะปาปาจึงทำการบรรพาชนียกรรม (excommunication) พระองค์ คือประกาศให้จักรพรรดิเป็นคนนอกศาสนา จนต้องจักรพรรดิต้องไปคุกเข่าขอขมาพระสันตะปาปาด้วยพระบาทเปล่าจนสันตะปาปายอมยกโทษให้
ต่อมา เริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ประมาณศตวรรษที่ 16 ช่วงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ขณะที่ชนชาติต่างๆในยุโรปเริ่มรวมกันเป็นประเทศ มีการปกครองรวมศูนย์อำนาจ อาทิ โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ และในยุคนี้นี่เองที่ชาติที่รวมเป็นประเทศแล้วได้มีการสำรวจทางทะเล ค้นคบดินแดนใหม่ๆ เช่น ทวีปอเมริกา อินเดีย กรุงศรีอยุธยา ญี่ปุ่น เป็นต้น การสำรวจทางทะเลนี่เองได้นำความมั่งคั่งสู่ประเทศเหล่านั้นในยุโรป แต่ว่าชนชาติเยอรมันยังคงล้าหลังอยู่ในยุคกลาง ปกครองด้วยระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudal) ไม่มีการรวมเป็นประเทศแต่อย่างใด รัฐต่างๆในอาณาจักรต่างแย่งชิงอำนาจกันเอง ดินแดนของชนชาวเยอรมันยังคงยากจนกว่าชาวยุโรปอื่นๆยิ่งนัก
การปฏิรูปศาสนาของมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) ทำให้เกิดความแตกแยกทั้งทางการเมืองและศาสนาไปทั่วยุโรป อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมันเองก็หนีไม่พ้น ช่วงนั้นจักรพรรดิของอาณาจักรมาจากแคว้นออสเตรีย (Österreich) พระองค์เป็นคาทอลิก (Katholik) บรรดาเจ้าครองนครทางเหนือซึ่งห่างไกลจากอำนาจของจักรพรรดิและจ้องจะแยกตัวเป็นอิสระจากอำนาจปกครองอยู่แล้ว ก็ได้ประกาศตนเป็นโปรเตสแตนท์ (Evangelisch) นำไปสู่การทำสงครามรบพุ่งกันเองในอาณาจักรเป็นเวลานานถึง 30 ปี หรือที่เรียกว่า “สงคราม 30 ปี” (der Deiβigjahres Krieg) แน่นอนว่าโดยปกติแล้ว สงครามไม่เคยให้อะไรกับมนุษยชาติ ดังนั้น ชาติเยอรมันยิ่งจนขึ้นลงอีก ขณะที่ยุโรปร่ำรวย
เมื่ออาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติเยอรมันแตกแยกกันทางศาสนาแล้ว จึงไม่แปลกที่จะแตกแยกทางการเมืองด้วย รัฐทางใต้ซึ่งเป็นคาทอลิกยังคงอยู่ใต้อำนาจเดิมคือ ออสเตรีย (Österreich) ขณะที่ทางเหนือซึ่งเป็นโปรเตสแตนท์เกิดรัฐมหาอำนาจใหม่ขึ้นมา คือ พรอยเซิน (Preuβen หรือว่า ปรัสเซีย ในภาษาอังกฤษ) เมื่ออาณาจักรเดียวมีสองขั้วอำนาจ รัฐจะสงบได้อย่างไร ดังนั้น ต่อมาช่วงศตวรรษที่ ๑๘ ด้วยเหตุจากการที่พรอยเซินภายใต้การนำของพระเจ้าฟรี้ดริชมหาราช (Friedrich II der Groβe) แย่งชิงแคว้นซิเลเซีย (Silesia) อันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุไปจากออสเตรียของจักรพรรดินีมาเรียเทเรซา (Maria Theresa) สงครามจึงอุบัติขึ้นอีกครั้งและมีชาติเข้าร่วมสงครามทั่วยุโรป
สงครามครั้งนี้คือสงคราม 7 ปี มีคู่สงครามฝ่ายหนึ่งคือ ออสเตรีย ฝรั่งเศส สวีเดน และรัสเซีย ซึ่งล้วนเป็นมหาอำนาจทั้งสิ้น กับอีกฝ่ายคือ พรอยเซิน ซึ่งเป็นรัฐเล็กและอังกฤษชาติมหาอำนาจที่มีกษัตริย์เป็นเจ้าครองแคว้นฮันโนเวอร์ในเยอรมนี เมื่อสงครามเริ่มต้นปรากฏว่าอังกฤษไม่ได้ส่งทหารมารบด้วยแต่อย่างใด จึงกลับกลายเป็นว่ารัฐเล็กๆอย่างพรอยเซินต้องรบกับ 4 ชาติมหาอำนาจจากทุกทิศทาง สงครามในช่วงแรกนั้นพรอยเซินโดนบุกจนถึงเมืองหลวง หลายครั้ง ฟรี้ดริชมหาราชยกทัพหนีไปโจมตีเมืองอื่น นั่นคือ พรอยเซินกำลังจะแพ้ แต่ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น นั่นคือ จักรพรรดินีของรัสเซียหรือที่เรียกว่าซาริน่า(Tsarina) ได้สวรรคตด้วยเหตุเสวยซุปเห็ดพิษ พระเจ้าซาร์องค์ใหม่นั้นนิยมในพรอยเซิน รัสเซียจึงถอนตัวจากสงคราม พรอยเซินมีกำลังใจจึงทำสงครามต่อไปจนกระทั่งชนะชาติมหาอำนาจที่เหลือ พรอยเซินจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นชาติมหาอำนาจใหม่
หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสไป ค.ศ. 1789 กาลกลับตาลปัตรว่านโปเลียน โบนาร์ปาต (Napolean Bounaparte) กลายเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรฝรั่งเศส และเริ่มทำสงครามรุกรานทั่วยุโรป รัฐเยอรมันเล็กๆทั้งหมดหลายร้อยรัฐแถบลุ่มแม่น้ำไรน์ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส เมื่อกองทัพฝรั่งเศสยกพลไปถึงพรอยเซิน พรอยเซินก็แพ้และยอมเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส ส่วนทางด้านออสเตรีย กองทัพฝรั่งเศสก็มีชัยเช่นกัน นโปเลียนประกาศยกเลิกอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชนชาติเยอรมัน จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 (Franz II) ของออสเตรียจึงต้องสละมงกุฎจักรพรรดิแห่งเยอรมัน ดำรงตำแหน่งเพียงจักรพรรดิของออสเตรีย และเข้าเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสอีกเช่นกัน ทั้งยังต้องยกพระราชธิดาให้เป็นมเหสีของนโปเลียน
เมื่อนโปเลียนยกทัพไปรัสเซียเมื่อปี ค.ศ.1812 ได้นำทหารเยอรมันไปเป็นจำนวนหลายแสนคนสู่รัสเซียด้วย ดังที่ทราบกันดีว่านโปเลียนแพ้ ทหาร 400,000 คนเหลือเพียง 10,000 คนกลับฝรั่งเศส นั่นก็แสดงว่าทหารเยอรมันได้ตายไปเป็นจำนวนหลายแสนคน และเมื่อปี 1814 ซึ่งนโปเลียนและฝรั่งเศสถูกยุโรปปราบปรามทั้งพรอยเซินและออสเตรียก็ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับชาติอื่นในยุโรปปราบนโปเลียนด้วย การที่นโปเลียนซึ่งเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศสข่มเหงชาวเยอรมันนั้น เป็นเหตุให้เกิดความเกลียดชังของเยอรมันที่มีต่อฝรั่งเศสไปจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองเป็นเวลาร้อยกว่าปี แต่ก็ไม่ปรากฏว่าปัจจุบันนั้น ลึกๆแล้วคนสองชาตินี้คิดต่อกันเช่นไร
การพยายามรวมชาติเยอรมันให้อยู่ในรัฐเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ.1848 ซึ่งมีการประชุมกันของกลุ่มนักศึกษาที่วิหารเพาล(Paulkirchen) ณ เมืองฟรังคฟวร์ท บนฝั่งแม่น้ำไมน์ (Frankfurt am Main) ในที่นี้มีการพยายามเสนอแนวคิดที่จะรวมชาติ 3 แนว แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะเลือกแบบไหนดังนี้
อาณาจักรเยอรมันขนาดใหญ่ประกอบด้วยรัฐเยอรมันบริเวณยุโรปกลาง รัฐที่พูดภาษาเยอรมันทั้งหมด รวมไปถึงอาณาจักรออสเตรียทั้งหมดด้วยอันรวมถึงดินแดนที่ไม่ได้พูดภาษาเยอรมัน เช่น เช็ก และ ฮังการี
อาณาจักรเยอรมันขนาดกลางประกอบด้วยบริเวณที่พูดภาษาเยอรมันทั้งหมด รวมทั้งออสเตรียด้วยแต่ไม่รวมบริเวณอื่นของออสเตรียที่พูดภาษาอื่น
อาณาจักรเยอรมันขนาดเล็กประกอบด้วยรัฐเยอรมันบริเวณยุโรปกลาง ไม่รวมอาณาจักรออสเตรียทั้งหมด
นอกจากนั้นกลุ่มนักศึกษายังได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับวิหารเพาล (Paulkirchenverfassung) ด้วยเพื่อใช้สำหรับอาณาจักรเยอรมันที่จะเกิดขึ้นใหม่โดยจะอันเชิญกษัตริย์ของพรอยเซินให้เป็นจักรพรรดิอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) แต่เมื่อเชิญพระองค์แล้ว พระองค์กลับปฏิเสธด้วยหตุที่พระองค์อยากจะมีพระราชอำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และไม่อยากเป็นศัตรูกับออสเตรีย ทั้งนักศึกษายังไม่ตัดสินใจให้แน่นอนว่าจะรวมชาติแบบไหน พระองค์จึงร่วมมือกับกษัตริย์แคว้นเยอรมันอื่นๆรวมทั้งออสเตรียด้วยทำการปราบปรามกลุ่มนักศึกษาให้ราบคาบ รัฐเยอรมันจึงยังไม่มีขึ้น
ต่อมา การรวมชาติเยอรมันเริ่มจะเป็นจริง เมื่อบุรุษผู้หนึ่งนามว่าออตโต้ ฟอน บิสมาร์ก (Otto von Bismarck) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของแคว้นพรอยเซินในสมัยกษัตริย์วิลเฮล์มที่ 1 บิสมาร์กได้ดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวในการรวมเยอรมันอันโด่งดังที่เรียกว่า “นโยบายเลือดและเหล็ก (Blut und Eisen)” นั่นคือชาติเยอรมันจะรวมกันได้ภายใต้การนำของพรอยเซินก็ต่อเมื่อพรอยเซินพัฒนาอุตสาหกรรม และใช้การทำสงครามนำไปสู่การรวมชาติ เริ่มแรกพรอยเซินได้ทำการจัดตั้งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ (Nord Deutscher Bund) ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของพรอยเซิน ดำเนินนโยบายทางการทูตด้วยการเป็นมิตรกับรัสเซียทำให้ปราศจากศัตรูทางตะวันออก ยุให้อังกฤษและฝรั่งเศสแข่งขันกันล่าอาณานิคมจนผิดใจกันและเป็นมิตรกับอังกฤษ ส่งผลให้ปราศจากศัตรูทางเหนือ เมื่อวิธีการการทูตพร้อมสมบูรณ์แล้ว สงครามเพื่อการรวมชาติจึงเริ่มขึ้น
สงครามครั้งที่ 1 เกิดขึ้นกับเดนมาร์กซึ่งครอบครองแคว้นชเลสวิก-โฮลชไตน์(Schleswig-Holstein) อันเป็นดินแดนที่ชาวเยอรมันอาศัยอยู่ สงครามครั้งนี้ไม่ยากอย่างใดเพราะเดนมาร์กไม่ใช่มหาอำนาจ ต่อมา พรอยเซินจึงทำสงครามกับออสเตรียเพื่อกันออสเตรียไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับอาณาจักรเยอรมันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากว่า เดิมออสเตรียก็เป็นผู้นำของบรรดารัฐเยอรมันมาก่อน เมื่อมีพรอยเซินเกิดขึ้นอีก ออสเตรียซึ่งมีความยิ่งใหญ่ในอดีตก็ไม่มีทางที่จะยอมให้อดีตลูกไล่มาเป็นนายตัวเอง ประกอบกับออสเตรียก็มีดินแดนทางตะวันออกเป็นเขตอิทธิพลอยู่แล้ว หากออสเตรียถูกกันออกไปคงจะไปแสวงหาอำนาจจากด้านโน้น เมื่อสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องจากที่พรอยเซินจะชนะเพราะพรอยเซินกำลังมาแรงและออสเตรียเกิดความวุ่นวายไม่ประเทศซ้ำยังปฏิวัติอุตสาหกรรมอย่างเชื่องช้า สุดท้ายพรอยเซินก็ชนะแต่ก็ไม่บุกไปจนถึงกรุงเวียนนา (Wien) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของออสเตรียเพื่อแสดงน้ำใจว่าเป็นคนชาติเดียวกันและซื้อใจออสเตรียเอาไว้ไม่ให้ออสเตรียบุกตลบหลังเมื่อพรอยเซินจะทำสงครามกับฝรั่งเศส
สงครามครั้งสุดท้ายเพื่อการรวมชาติฝรั่งเศสคือสงครามพรอยเซินกับฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1871 กองทัพพรอยเซินทำการ บุกอย่างรวดเร็วจนชนะอย่างง่ายดาย สามารถจับจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 หลานของนโปเลียนที่ 1 ไว้ได้ เป็นการเสียเกียรติแก่ฝรั่งเศสอย่างยิ่ง จนรัฐบาลฝรั่งเศสต้องไถ่ตัวไปและปลดจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ประกาศประเทศเป็นสาธารณรัฐที่ 3 กองทัพพรอยเซินบุกถึงกรุงปารีส ฝรั่งเศสยอมแพ้อย่างรวดเร็วและไม่มีเงื่อนไข พรอยเซินได้แคว้นอัลซาส (Elsaβ) และลอเรน (Lothringen) ที่พูดภาษาเยอรมันไว้ในอาณาจักร บิสมาร์กประกาศสถาปนาอาณาจักรเยอรมันที่ 2 โดยมีจักพรรดิวิลเฮล์มที่ 1 เป็นจักรพรรดิของอาณาจักร ณ ห้องกระจกของพระราชวังแวซายส์ อาณาจักรเยอรมันสถาปนาบนแผ่นดินของฝรั่งเศส นับแต่นั้น รัฐเยอรมันสมัยใหม่ก็เกิดขึ้น
ความคิดเห็น
อยากรุ้ประวัติศาสตร์เยอรมันที่เก่ากว่านี้ สมัยสร้างประสาทดีสนีย์ จะหาดูได้ที่ไหนเนี่ย....