ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [แปล] บันทึกการสงครามของคุโระ

    ลำดับตอนที่ #17 : บทที่สอง ตอนที่ 0 ลางบอกเหตุ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.69K
      7
      23 เม.ย. 57

    บทที่สอง หล่อหลอม

    ตอนที่ 0 ลางบอกเหตุ

    สามสิบปีก่อน..... ปีที่สี่ร้อยตามปฏิทินของจักรวรรดิ

    การต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิได้ทำให้จักรวรรดิเคเฟอุสถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย

    และด้วยความวุ่นวายนี้เอง ที่ทำให้ชนเผ่าป่าเถื่อนที่อาศัยอยู่ติดกับจักรวรรดิได้เข้ามารุกรานจักรวรรดิ

    เงินทุนที่ถูกส่งไปเพื่อใช้ทำสงครามก็ถูกเหล่าหัวเมืองทางเหนือรวมตัวกันใช้เป็นทุนในการก่อตั้งรัฐอิสระขึ้นมา

    ด้วยเหตุนั้นเอง จักรวรรดิเคเฟอุสจึงได้สูญเสียพื้นที่ที่ครอบครองอยู่ไปถึงหนึ่งในสาม และแม้แต่เมืองที่เหลืออยู่ก็ต้องโดนรุกรานจากชนเผ่าป่าเถื่อนอยู่ตลอด

    เมื่อประเทศจะตกอยู่ในอันตราย แทนที่เหล่าขุนนางจะรวมตัวกันหาวิธีแก้ไข พวกนั้นกลับทำไม่ได้แม้แต่หยุดสงครามกลางเมือง

    ด้วยปัญหานี้เอง ที่ทำให้จักรพรรดิลามัลที่ห้า ที่มีพระชนม์มายุเพียงแค่สิบแปดพรรษา ต้องหาบุคคลที่มีความสามารถมาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง

    หลังจากเมินต่อความเห็นของขุนนางเก่าๆ กองทัพทหารรับจ้างที่นำโดยจักรวรรดิลามัลที่ห้าก็นำชัยชนะกลับมา และประสบความสำเร็จในการขับไล่ชนเผ่าป่าเถื่อนออกไปยังเทือกเขาอาเลออสจนได้

    เหล่าหัวหน้ากองทหารรับจ้างที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนั้น ก็ได้ที่ดินแถบทางใต้ไปปกครอง โดยมีเป้าหมายในการปกป้องการรุกรานครั้งต่อไปด้วย

    ต่อจากนั้น จักรพรรดิลามัลที่ห้าก็ได้หยุดสงครามภายใน และก่อตั้งโรงเรียนการทหารขึ้นมาเพื่อสอนเหล่าขุนนางไร้ความสามารถ ที่มีดีแต่เพียงสายเลือดแต่ไร้ความสามารถในการนำทัพ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง


    ถึงอย่างนั้น จักรวรรดิก็ยังแบ่งเป็นพวกที่โจมตีจักรพรรดิลามัลที่ห้าในเรื่องที่ไม่สามารถหยุดหยั้งการกำเนิดของรัฐอิสระได้ ไปจนถึงพวกที่ชื่นชมจักรพรรดิที่สามารถหยุดสงครามได้อยู่ดี






    .....ทำตัวเหมือนสัตว์ที่เคยอ่านเจอในหนังสือสมัยก่อนเลยแฮะ... ชื่ออะไรกันนะ?

    เธอสูดลมหายใจเหม็นเหล้าของชายที่กำลังขยับสะโพกอย่างรวดเร็ว แล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเขา... ใบหน้าของจักรพรรดิลามัลที่ห้า

    "อําาาาา.... ฝ่าบาท! ...ฝ่าบาท!"

    เรานี่ก็มีฝีมือการแสดงไม่เลวเลยแฮะ

    ฟาร์น่าคิดขึ้นขณะที่คราง และใช้ขาของตนโอบเอวของจักรวรรดิลามัลที่ห้าเอาไว้

    ไม่ว่าจะดูแลตัวเองมากขนาดไหน แต่พออายุห้าสิบแล้วร่างกายมันก็เริ่มถดถอยอยู่ดี

    ถ้าให้ยกตัวอย่างล่ะก็... ก็อย่างเช่นหัวหน้ากองอัศวินรักษาพระองค์ที่สอง เคานต์เอลนาโต้ที่ว่ากันว่ามีร่างกายที่แข็งแรงเหนือกว่ากึ่งมนุษย์เสียอีก

    แต่ช่วงหลังๆมานี้ก็รับแต่หน้าที่กองหลัง ด้วยเหตุผลทางสุขภาพของเจ้าตัว

    ขนาดอัศวินที่ไม่ห่างการฝึกยังเป็นเสียขนาดนั้นเลย

    แล้วคนที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา อยู่ดีกินดี วันๆดื่มแต่เหล้าเป็นเวลาหลายปีจะเป็นยังไงนั้นจินตนาการได้ไม่ยาก


    .....สิง.....สิงโต....สิงโตทะเลใช่ไหมนะ?

    นั่นคือคำอธิบายรูปร่างของจักรพรรดิลามัลที่ห้า

    ด้วยผลจากการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะมาเป็นเวลานาน คอของจักรพรรดิลามัลนั้นเต็มไปด้วยเนื้อ หน้าท้องเองก็มีพุงขนาดใหญ่

    แถมหัวก็เริ่มล้าน มองเห็นหนังศีรษะอย่างถนัด


    เขาที่ซอยเอยอยู่นั้น... ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นจักรพรรดิจริงๆเลย

    "อะ...โอ...."

    "อ๊าาาา ฝ่าบาท... ฝ่าบาทททท"

    จักรพรรดิลามัลส่งเสียงออกมาราวกับสัตว์ป่า แล้วปล่อยน้ำเชื้อของตนเองลึกเข้าไปในร่างกายของฟาร์น่า


    รู้สึกเข้าใจโสเภณีขึ้นมาเลยแฮะ...

    ฟาร์น่ารู้สึกสิ้นหวังกับตนเองเล็กน้อย แล้ว "แสดง" ต่อไป

    ไม่รู้ว่าพอใจแล้วหรือยังไง แต่จักรพรรดิลามัลที่ห้าก็เป็นฝ่ายถอนตัวไปเอง แล้วหยิบแก้วไวน์ที่วางอยู่ตรงหัวเตียงมาดื่ม

    จักรพรรดิดื่มไวน์ชั้นดีราวกับน้ำ แล้วปาแก้วทิ้งเมื่อไวน์ข้างในหมดไป

    ทั้งๆที่มีอะไรกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วแท้ๆ.... ไม่รู้เลยหรือเนี่ย? ว่าทั้งหมดน่ะ เป็น "การแสดง"

    เธอคิดขึ้นเมื่อมองแผ่นหลังของจักรพรรดิ


    เมื่อสิบห้าปีก่อน ฟาร์น่าได้กลายเป็นผู้หญิงของจักรพรรดิ

    แน่นอนว่าเธอไม่ได้ปรารถนามันเลย

    เธอมีคู่หมั้นที่ถูกเลี้ยงมาด้วยกันตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว

    และเธอก็รักเขามาก


    เธอพยายามปฏิเสธอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็โดนแย่งชิงความบริสุทธิ์ของตนเองไปด้วยพละกำลัง

    และเมื่อเธอพบว่าตนเองตั้งท้อง เธอก็ตกลงสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวัง

    บางที... ถ้านายกรัฐมนตรีอัลคอลไม่ยื่นมือมาช่วยเหลือแล้วล่ะก็.. เธออาจจะเลือกความตายไปแล้วก็ได้


    หลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของนายกรัฐมนตรี เธอก็ได้กลายเป็นนางสนมของจักรพรรดิอย่างเต็มตัว

    ลูกที่เกิดขึ้นมา.. ลูกที่เธอตั้งชื่อว่าอัลฟอร์ดด้วยอารมณ์อยากประชด.... เองก็ได้รับการยอมรับในฐานะลูกของจักรพรรดิ

    หลังคลอด เธอก็ได้ทำงานเป็นนางสนองพระโอษฐ์ในวัง

    เธอรับฟังคำปรึกษาของสาวๆในวัยรุ่น และให้ยืมกำลังบ้าง

    จนในที่สุด เธอก็ได้เป็นหัวหน้าของเหล่าหญิงสาวในวัง และมีลูกน้องมากมาย

    "...ฮิๆๆ"

    จักรพรรดิลามัลที่ห้าเช็ดไวน์ออกจากปากตนเอง แล้วหันมาหาฟาร์น่าอีกครั้ง


    .....ปล่อยให้นอนดีๆไม่ได้หรือไงนะ เธอคิดขึ้นทั้งๆที่บนใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

    แต่ในขณะที่จักรพรรดิกำลังจะเข้าหาเธออีกครั้งนั้นเอง

    เสียงเบาๆก็ดังขึ้นในห้องนอน

    มันเป็นแค่เสียงแก้วแตกธรรมดาๆ เท่านั้นเอง



    "อึก....ฮี้ฮี้ฮี้ฮี้"

    จักรพรรดิลามัลทที่ห้าส่งเสียงขึ้นมา แล้วกระโจนลงจากเตียง ทำท่าจะมุดลงไปใต้เตียง

    "ยะ....ยกโทษให้ด้วย!.... ยกโทษให้ด้วยเถอะ.... อะ...อัลฟอร์ด! เรา...เราไม่ได้อยากฆ่านายเลยนะ!"

    อัลฟอร์ดที่จักรพรรดิลามัลที่ห้าพูดถึง... คือน้องชายของเขาที่ถูกประหารในสงครามกลางเมืองเมื่อสามสิบปีก่อน

    ไม่รู้ว่าเป็นผลจากแอลกอฮอล์ หรือความรู้สึกผิดกันแน่

    แต่เขากำลังทำตัวเหมือนโดนวิญญาณของอัลฟอร์ดหลอกหลอนอยู่


    ฟาร์น่ามองลงไปยังจักรพรรดิด้วยหัวใจที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง

    ตัวจริงของจักรพรรดินั้นเป็นแค่พวกขี้ขลาดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ประหารน้องชายตัวเองเท่านั้นเอง

    แต่รู้สึกนายกรัฐมนตรีอัลคอลจะบอกว่าเมื่อสามสิบปีก่อนไม่เป็นถึงขนาดนี้นี่นะ


    "ฝ่าบาท... วางใจเถอะเพคะ"

    "อา..... ฟาร์น่า..!"

    จักรพรรดิลามัลที่ห้าเข้ามาเกาะขาของฟาร์น่า

    ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ

    "เรา...เราจะทำยังไงดี.... ถึงจะดื่มเหล้ามากแค่ไหน... จะมีผู้หญิงมากแค่ไหน.. เงาของอัลฟอร์ดมันก็ไม่ยอมหายไป! มันบอกเราว่า.. ให้คืนประเทศนี้ให้กับมัน!"

    "นั่นสินะเพคะ..."

    เป็นคนที่หมดทางช่วยเหลือจริงๆนะ

    เธอคิดขึ้นแล้วนำนิ้วของตนเองแตะกับริมฝีปาก

    "ถ้างั้นก็... ลองเขียนจดหมายยกประเทศให้ท่านอัลฟอร์ดดีไหมเพคะ?"

    "ทะ..ทำแบบนั้นจะช่วยเราได้จริงๆหรือ?"

    "แน่นอนเพคะ"

    จะไปจริงได้ยังไงกัน

    เธอคิดขึ้นในใจ แต่ก็ยิ้มขึ้นเพื่อให้จักรพรรดิลามัลที่ห้าพอใจ

    "อะ...โอว์......"

    จักรพรรดิทำท่าเหมือนกับว่าได้รับความช่วยเหลือแล้ว

    ก่อนจะกระโจนออกจากห้องของฟาร์น่าไปทั้งๆที่ไม่ได้ใส่อะไรติดกายเลย

    เธอจัดผ้าปูเตียงใหม่ แล้วเอาใบหน้าของตนเองซุกกันหมอน

    "จนกว่าลูกฉันจะได้เมืองเป็นของตัวเอง.... อย่าพึ่งตายละกันนะ"

    เธอไม่เคยคิดจะให้ลูกของตนเองเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปเลย

    ลูกชายของเธอ.. อัลฟอร์ด จะมีอายุสิบห้าในปีนี้

    จริงๆเธอก็รักลูกคนนี้ไม่เบาอยู่

    "แต่จะคิดยังไง... ลูกฉันก็ไม่เหมาะกับการเป็นกษัตริย์นี่นา"

    เธอถอนหายใจ ก่อนจะปิดตาลง


    *


    ณ คาน๊อปส์ เมืองหลวงของราชอาณาจักรอัลโก้

    ว่ากันว่าราชาองค์แรกของอัลโก้นั้นหลงไหลในความงามของเทือกเขา ที่ให้เกิดเมืองหลวงขึ้นที่นี่

    ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้ามองลงมาจากข้างบน ความสวยงามของทรรศนียภาพนั้นก็ชวนให้เชื่อในตำนานอยู่ว่าจริงๆ

    แต่แน่นอนว่าราชาไม่กำหนดตำแหน่งที่ตั้งของเมืองหลวงด้วยเรื่องแค่นั้นหรอก

    เหตุผลที่ราชาตั้งเมืองหลวงขึ้นที่นี่ คงเป็นเพราะเหตุผลด้านภูมิประเทศที่เข้าตีได้ยากล่ะมั้ง?

    อิคนิส ฟอร์มัลเฮาท์คิดขึ้นขณะเดินดูเมืองคาน๊อปส์

    แล้วสายตาของเขาก็เบนไปยังที่ๆหนึ่ง.... ที่ฝึกของเหล่าทหารนั่นเอง

    เขามองพลทหารราบทั้งสี่พันคน มองพลทหารม้าทั้งพันคน... มองทหารทั้งหมดห้าพันคน แล้วกำหมัดแน่น

    เมื่อห้าเดือนก่อน.. เขาได้นำทัพไปบุกจักรวรรดิเคเฟอุสพร้อมกับราชโอรส

    แน่นอนว่าเขาก็อยากขยายอาณาเขตของตนเอง แต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเขาต้องการแสดงผลงานทางการทหารของราชโอรสให้เป็นที่ประจักษ์.. ไม่ให้เหล่า "นักบวช" มายุ่งอะไรด้วยได้

    ถ้าเทียบกับจักรวรรดิเคเฟอุสที่อยู่ติดกันแล้ว "นักบวช" ของราชอาณาจักรอัลโก้นั้นมีอำนาจมากกว่ากันมาก

    คำกล่าวอ้างที่ว่า "ราชา" นั้นได้ตำแหน่งมาจากเทพผู้สร้างทั้งหกนั้นสามารถทำให้ผู้คนยอมรับได้.. อย่างน้อยก็ในร้อยปีแรกน่ะนะ

    แต่หลังจากนั้น  องค์กรที่เรียกตัวเองว่า "โบสถ์" ก็เข้ามาในประเทศ

    และเมื่อมาถึงตอนนี้ "โบสถ์" ก็มีอำนาจเทียบเคียงกับกษัตริย์แล้ว

    "โบสถ์" ในตอนนี้นั้นมีกำลังทหารจำนวนสี่ในสิบของทหารทั้งหมดในราชอาณาจักรอยู่ใต้การปกครอง

    และยังได้ภาษีไปสองส่วนจากภาษีทั้งหมดที่เก็บได้ในฐานะ "เงินบริจาค" อีกต่างหาก


    ถ้าการรบครั้งนั้นมันไปได้ด้วยดีล่ะก็...... เขากัดฟันกรอด

    "แขนขวาของข้า.. แขนขวาของข้ามันกรีดร้องงงง"

    "....."

    เมื่อเขาหันไปทางค้นเสียง เขาก็พบสาวงามที่เดาอายุได้ยากนั่งอยู่พร้อมกับมือหนึ่งถือขวดเหล้าเอาไว้

    ถ้าให้เดาจากหน้าตาก็น่าจะอายุประมาณยี่สิบกว่า แต่เธอใส่ชุดที่เปิดหน้าอกมากขนาดๆที่โสเภณีในประเทศนี้ยังไม่ใส่กัน

    สีผมของเธอนั้นดำสนิท แววตาของเธอก็เปื่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

    แต่นัยน์ตาสีดำนั้นราวกับว่าจะสามารถส่องไปถึงวิญญาณของคนถูกจ้องได้

    "ท่านมหานักบวช ผมน่ะ...."

    "เรียกฉันว่า"ป้า" แล้วก็เรียกตัวเองว่า "ข้า" จะถูกโฉลกมากกว่าล่ะมั้ง?"

    ยังจะขุดเร่องยี่สิบปีก่อนมาอีก.... อิคนิสกัดฟันกรอด

    ปีนี้เขาอายุจะสามสิบแล้ว.. แต่มหานักบวชของ"โบสถ์สีดำ".... แต่หญิงสาวที่เขาเรียกว่าป้านั้นดูไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

    ทั้งๆที่ป้านั้นเป็นนักบวชที่มีตำแหน่งสูงสุดใน "โบสถ์สีดำ" แท้ๆ แต่เธอกลับไม่รังเกียจคนธรรมดา และเป็นพวกยอมใช้อำนาจเทพของตนแลกกับเหล้า

    ช่วงเขาอายุสิบกว่าๆ เขาเคยดูถูกการใช้ชีวิตของบุคคลข้างหน้าว่าเป็นการใช้ความสามารถอย่างสิ้นเปลือง

    แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มอิจฉาเธอขึ้นมาแล้ว

    "ถ้านายอยาก ฉันจะทำให้แขนขวางอกมาใหม่ก็ได้นา?"

    "ไม่เป็นไรหรอกป้า ข้าน่ะ เสียแขนขวาไปเพราะความไร้สามารถของตัวเอง แล้วก็..."

    "แล้วก็?"

    ป้าหรี่ตาลงมองเขา คาดหวังในคำตอบ

    "ทหารที่ตายไปก็ไม่กลับมาแท้ๆ... ข้าจะเอาแขนขวาของตัวเองกลับมาได้ยังไง!"

    "ฮะฮ่าๆๆๆ  มีอุดมการณ์จริงๆเลยนะ"

    หญิงสาวตรงหน้าหัวเราะให้กับคำตอบของเขา แล้วหมุนขวดเหล้าที่กอดอยู่เล่น

    "ถ้าไม่รีบลดอำนาจของ"โบสถ์" ล่ะก็ ประเทศนี้จบสิ้นแน่ๆนา"

    "เรื่องนั้นผมก็รู้อยู่"

    อยู่ๆผู้ที่เขาเรียกว่าป้าก็พูดขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด ทำให้อิคนิสต้องตอบอย่างสุภาพในฐานะแม่ทัพ

    "นายเองก็น่าจะรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้นี่นะ"

    "...ไม่ต้องเตือนก็ได้น่า"

    เมื่อนึกถึงสงครามเมื่อห้าเดือนก่อน เขาก็กำแขนเสื้อข้างขวาของตนเองแน่น

    เมื่อตนเองออกมาจากป้า ศัตรูก็เฝ้ารออยู่

    ด้วยรั้วของศัตรู พลทหารม้าของเขาก็ไร้ประโยชน์ไปในทันที

    พลทหารราบเองก็ถูกทหารฝ่ายศัตรูที่เฝ้ารออยู่ในป่าเล่นงานเอา

    ตอนแรกเขาว่าจะจัดการที่เดียวให้มัน

    แต่มันไม่สำเร็จง่ายๆ

    และในระหว่างที่เขากำลังลังเลกับการสั่งการนั่นเอง

    พวกพลธนูเอล์ฟก็บุกเข้าโจมตีค่ายของราชโอรส

    "อย่างน้อยถ้าผูกสัมพันธ์ฉันทร์มิตรกับจักรวรรดิได้ "โบสถ์" เองก็อาจจะโดนทอนอำนาจลงก็ได้"

    ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็แย่แน่ เขากอดอก

    แต่ตอนนี้เหตุการณ์มันยังเป็นเพียงการรบที่เขตแดน

    ถ้าไม่เริ่มสงครามกันจริงๆเรื่องต่างๆคงจัดการกันได้ยาก

    อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีใครฟังคำพูดของเขาแน่ๆ

    อิคนิสคิดขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา....


    *


    ปราสาทยูสเทียร์นั้นเป็นปราสาทเล็กๆที่ห่างจากเมืองหลวง อัลฟิลค์ ประมาณครึ่งวันรถม้าเดินทาง

    เพราะมันเป็นที่ๆสร้างขึ้นสำเร็จอยู่อาศัย ทำให้มันค่อนข้างอ่อนแอเมื่อถูกบุกโจมตี

    ถูกที่นี่จะเป็นอัศวินจากกองอัศวินรักษาพระองค์ที่หนึ่งประจำอยู่ร้อยนายเถอะ ถ้าโดนบุกขึ้นมาจริงๆล่ะก็ไม่ถึงครึ่งวันก็แตกแล้วล่ะมั้ง

    และความอ่อนแอทางการทหารก็ดี

    วัชพืชและมอสที่ขึ้นตามสิ่งปลูกสร้างก็ดี

    มันแสดงให้เห็นถึงความจืดจางของความรักที่พ่อมีให้ต่อแม่จริงๆ.....

    นั่นคือสิ่งที่ทำให้ทีเรียเกลียดปราสาทยูสเทียร์แห่งนี้มาก

    ถ้าพูดถึงเรื่องเกลียดแล้วก็... เธอเองก็เกลียดการเห็นแม่ที่นอนป่วยอยู่ในห้องนอนเหมือนกัน

    แม่ของเธอ... จักรพรรดินีแอสโทเรียนั้นมักมองวิวทิวทัศน์ข้างนอกเสมอเมื่อมีเวลาว่าง... ราวกับกำลังรอพ่อของตนเองมารับ

    และการที่เธอต้องมาเห็นสภาพเช่นนี้ของแม่ตัวเอง ทำให้เธอเกลียดปราสาทแห่งนี้มากขึ้นไปอีก

    "...ลองจัดงานเลี้ยงดูไหม?"

    "อยู่ๆพูดอะไรขึ้นมาน่ะคะ?"

    แอสโทเรียเบนสายตาจากหน้าต่างมายังทีเรีย แล้วพูดขึ้น

    "ลูกยังไม่มีคู่หมั้นนี่? ก็เลยคิดว่าลองจัดงานเลี้ยงดูดีไหม"

    "หนูยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งงานหรอกค่ะ"

    แถมการที่ตัวเองที่เกิดมาในราชวงศ์แล้ว.. ทำให้การแต่งงานกับคนที่ตนเองรักนั้นเป็นไปไม่ได้แน่ๆ

    "ก็เพราะแบบนั้นไง"

    "อา.... หมายถึงอย่างนั้นหรอกหรือคะ"

    เธอเข้าใจถึงจุดประสงค์ของมารดา แล้วทำท่าไหล่ตก

    ดูท่ามารดาของเธอกำลังบอกให้เธอเปิดงานเลี้ยงขึ้น.... เป็นเหมือนกับงานดูตัวนั่นเอง

    จนถึงบัดนี้ เธอหาข้ออ้างต่างๆปฏิเสธงานเลี้ยงประเภทนี้มาโดยตลอด

    เพราะถ้าต้องเจอกับขุนนางที่มีอำนาจมากๆแล้ว คุยไปคุยมาเรื่องมันจะมาตกที่การแต่งงานได้ง่ายมากๆ

    "แต่ถ้าจะต้องจัดงานเลี้ยงแล้วก็ต้องขอความช่วยเหลือของหัวหน้านางสนองพระโอษฐ์.. ฟาร์น่าด้วยนี่คะ?"

    ทีเรียเกลียดฟาร์น่า... เกลียดผู้หญิงที่แย่งพ่อไปจากแม่มาก และไม่อยากติดหนี้บุญคุณเธอด้วย

    "แม่ก็รู้อยู่ว่าลูกน่ะเกลียดหัวหน้านางสนองพระโอษฐ์ขนาดไหน... แต่เด็กคนนั้นน่ะมีประโยชน์จริงๆนะ"

    "เข้าใจแล้วค่ะ"

    แทนที่จะเรียกว่ามีประโยชน์ เรียกว่ามีความสามารถจะเหมาะกว่าล่ะมั้ง? เธอคิดขึ้นในใจ

    "ท่านแม่... หนูมีเพื่อนที่อยากเชิญมาด้วยน่ะค่ะ"

    "ตามใจลูกเถอะ"

    ไม่ได้เจอโครโน่นานแล้วนี่นะ..... ทีเรียยิ้มขึ้น


    *


    "รู้สึกเหมือนเมืองจะล้นออกไปนอกกำแพงเลยแฮะ"

    โครโน่พึมพัมขึ้นเมื่อมองไปรอบๆกำแพงที่ล้อมรอบเมืองฮาเชล

    มันเป็นกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นโดยการขุดหลุมลึกๆ  ก่อหินสูงๆ แล้วก็เทคอนกรีตไปตามรอยแยก

    ถึงก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยได้สังเกตุก็เถอะ แต่สิ่งปลูกสร้างในโลกนี้น่ะถูกสร้างขึ้นโดยคอนกรีตเป็นหลัก

    แถมมันยังไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ด้วย ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มจากยุคสมัยก่อนที่ไม่มีใครจำได้ในฐานะวิธีสร้างสะพานกับปราสาท

    "ถ้าสร้างหอพักทหารใหม่เสร็จแล้ว.. ต่อไปปรับปรุงหอที่มีอยู่ตอนนี้ดีกว่าแฮะ..."

    ก่อนหน้านี่นั้น ผู้ช่วยทหารจะเป็นห้องเดี๋ยว ส่วนหัวหน้าหน่วยจะเป็นห้องคู่ และทหารธรรมดาจะอยู่ในห้องรวมหกคน

    โดยทั้งห้องคู่และห้องหกคนนั้นมีขนาดประมาณสี่เสื่อเท่าๆกัน

    ถึงพวกเขาจะใช้เตียงหลายชั้นเพื่อประหยัดพื้นที่ก็เถอะ ถ้าอยู่กันหกคนแล้ว ห้องสี่เสื่อนั้นไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้ส่วนตัวหรอก

    ถ้าคิดตามตำแหน่งมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่โครโน่ก็อยากให้ทหารปกติมีที่เหยียดแขนเหยียดขาและพื้นที่ผ่อนคลายได้บ้าง

    แน่นอนว่าการหางานในช่วงหน้าหนาวให้คนทำการเกษตรและการคืนภาษีที่เขาบอกเอเลน่าก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

    "...ท่านโครโน่คะ"

    "จะว่าไปแล้ววันนี้ก็วันหยุดของเธอนี่นะ"

    เมื่อเขาหันไป เขาก็พบกับเรย์ร่าในชุดลำลองปกติ

    ซึ่งชุดที่ว่า... ก็คือชุดที่เขาซื้อให้เธอที่ร้านของกลุ่มการค้าพิกซ์นั่นเอง

    "เดเนปกับแอนริเด็ตล่ะ?"

    "ทั้งคู่เรียนหนังสืออยู่กับอยู่กับคุณผู้ช่วยและหัวหน้าหน่วยคนอื่นๆค่ะ"
     
    "สองคนนั้นน่ะนะ..."

    "หลังได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วย ดูเหมือนจะคิดอะไรได้น่ะค่ะ"

    เรย์ร่าตอบโครโน่

    เขาเลื่อนขั้นเรย์ร่า เดเนป และแอนริเด็ตเป็นหัวหน้าหน่วยร้อยคนเมื่อไม่นานมานี้เอง

    ถึงเงินเดือนจะไม่เปลี่ยน ที่เปลี่ยนก็แค่ห้องพักที่เปลี่ยนจากหกคนเป็นสองคนเท่านั้นเอง

    แต่ดูเหมือนว่ามันก็เป็นการกระตุ้นที่ดีไม่เลว

    "ท่านโครโน่ค่ะ ถ้าจะอยู่ตรวจสอบต่อไป ขอฉันไปด้วยนะคะ"

    "เอาสิ"

    "ค่ะ!"

    เธอตอบอย่างดีใจ

    "ก่อนอื่นก็... นาที่พัฒนาอยู่แล้วกัน"

    จะเรียกว่านาดีไหมนะ? เขาคิดขึ้นตนเองแล้วมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองฝั่งใต้

    ถึงพื้นที่ฝั่งใต้ที่ถูกใช้เป็นที่ฝึกจะได้รับการดูแลอย่างดีก็เถอะ แต่พื้นที่ฝั่งใจ้ของเมืองนั้นมันก็เป็นที่ว่างดีๆนี่เอง

    ที่นั่นมีทั้งหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด ก้อนหินก็เรียงรายเกลื่อนกลาด... เป็นที่ๆชวนให้เหนื่อยเวลาพัฒนาจริงๆ

    "เรย์ร่า ระวังเท้าด้วย..!"

    "เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ท่านโครโน่?"

    เธอรับร่างกายของโครโน่ที่ลื่นโคลนล้มลงอย่างไม่มีปัญหา

    "เรย์ร่านี่... แรงเยอะรึเปล่า?"

    "ปกตินะคะ"

    หรือผมมันแรงน้อยเองหว่า....

    บนเตียงเองก็ต้านไม่ไหวเหมือนกัน....

    โครโน่สูญเสียความมั่นใจไปเล็กน้อย

    เมื่อเดินไปอีกเล็กน้อย จู่ๆเขาก็มองเห็นได้กว้างขึ้น

    "....พัฒนาไปถึงขนาดนี้แล้วแฮะ"

    "สุดยอดเลยค่ะ ท่านโครโน่"

    ถึงของที่ปลูกอยู่จะเป็นต้นไม้ที่นำมาทำกระดาษก็เถอะ แต่จู่ๆกลางพื้นที่รกรุงรังก็มีแปลงขนาดกว่าร้อยเมตรโผล่ขึ้นมา

    การที่เรย์ร่าจะตกใจก็ไม่แปลก

    "ตรงนั้นคือที่ๆกำลังพัฒนาหรือคะ?"

    "...น่าจะนะ"

    ข้างๆพื้นที่ที่ปลูกต้นไม้นั้นมีที่ดินที่กำลังดำเนินการเคลียร์พื้นที่อยู่

    มีคนประมาณสิบคนกำลังถางหญ้า เก็บก้อนหิน และใช้ม้าปรับหน้าดินอยู่

    "หืม... ท่านโครโน่ไม่ใช่หรือ?"

    "...โกลดี้"

    เมื่อหันไป เขาก็พบโกลดี้และลูกน้องยืนกอดเคียวอยู่

    "เคียวนั่นคือ?"

    "นี่เป็นเคียวที่ทำมาจากเหล็กแบบเดียวกับเกราะนะครับ ผมว่าถ้าใช้นี่มันน่าจะทำให้ปรับพื้นที่ได้เร็วขึ้น.... ขอตัวนะครับ!"

    เขามองแผ่นหลังของคนแคระด้วยรอยยิ้ม

    "จะดีหรือคะ?"

    "ไม่เป็นไรหรอก คำสั่งเตรียมพื้นที่นั่นมันก็คำสั่งผมด้วย"

    ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปซักปีหน้าก็น่าจะผลิตน้ำตาลได้มากกว่านี้ประมาณสิบเท่าแล้ว

    เขานึกขึ้นแล้วยิ้งไม่หยุด

    "เอาล่ะ.... ที่ต่อไปก็.... ที่นั่น...สินะ"

    "ที่ไหนหรือคะ?"

    เร์ยร่าถามโครโน่ เมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของเขา

    ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะระวังแล้วแท้ๆ แต่ขากลับโครโน่ก็ลื่นโคลนอีกรอบ เป็นต้องให้เรย์ร่ารับอีกครั้ง

    ".....ที่นี่น่ะ"

    "อย่างนี้นี่เอง.... แล้ว...?"

    ที่ๆโครโน่หยุดฝีเท้าลงนั้นตรงกับสถานที่ที่เธอคิดไว้ไม่ผิด

    ที่นี่คือที่ๆตอนเขามาส่งไอริส และเจอพวกคนจรจัด... ไม่สิ... เรียกว่าโจรจะดีกว่า... เข้าโจมตี

    ถึงรูปลักษณ์โดยรวมมันจะยังไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ที่นี่จะมีจำนวนน้อยลง

    "รอบนี้เป็นเคย์นสินะ"

    เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้วก้าวเท้าเข้าไปยังเขตสลัม เขาก็พบกับเคย์นที่ยืนอยู่ในเงาของสิ่งก่อสร้างข้างทางทันที

    เคย์นนั้นอยู่กับลูกน้องที่ท่าทางเป็นักเลงอีกตนด้วย

    "มาตรวจสอบน่ะ ตรวจสอบ"

    "แถวนี้มันยังอันตรายอยู่เลยนา..? ถึงจะไม่หนักหนามากก็เถอะ แต่ถึงกับมากับผู้หญิงเนี่ย..."

    "วางใจเถอะค่ะ ฉันจะปกป้องท่านโครโน่ด้วยชีวิตเองค่ะ"

    เรย์ร่าเดินออกมายืนข้างๆโครโน่และพูดกับเคย์น

    "ถ้ามองจากสายตาเคย์นแล้ว แถวนี้เป็นยังไงบ้าง?"

    "ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนก็ดีขึ้นอยู่ดี ตอบเดินตรวจฉันเองก็ตั้งใจตรวจอยู่.... ลูกน้องฉันก็กำชับไว้แล้วว่าอย่าไปรับสินบนใครเขา"

    "สินบน?"

    โครโน่เอียงคออย่างสงสัย ที่ให้เคย์นต้องพยักหน้าแล้วพูดต่ออย่างเสียไม่ได้

    "ทหารที่ดูแลที่ๆมันอันตรายน่ะ มันก็กุ๊ยดีๆนี่เอง.. ทั้งรับสินบนจากพวกโสเภณีหรือพวกโจร ปล่อยคนทำผิดหนีไปง่ายๆ หรือจงใจปล่อยข้อมูลบ้าง... เพราะงั้นถ้าจะมาตรวจสอบน่ะ ไว้คราวหน้าดีกว่า"

    "โอเค"

    เคย์นเบิกตากว้าง ตกใจที่โครโน่เชื่อฟังเขาอย่างผิดปกติ

    "จะดีเรอะ?"

    "ไอ้การตรวจนี่จู่ๆผมก็อยากทำขึ้นมาเฉยๆน่ะ ไม่เป็นไรหรอก ไปกันเถอะ เรย์ร่า"

    "ค่ะ"

    ทั้งคู่เดินออกจากเขตสลัม แล้วมุ่งหน้าไปยังย่านการค้าเป็นอันดับต่อไป

    แต่ระหว่างทาง จู่ๆเขาก็พบว่าเรย์ร่าหายไป

    เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็พบเธอกำลังหยุดยืนมองร้านของผู้ดูแลอยู่

    "นี่เรย์ร่า จู่ๆหายไปนี่ผมตกใจหมดเลยนะ"

    "ขะ..ขอประทานโทษด้วยค่ะ"

    "เอาเถอะ"

    เขาตอบแล้วไปยืนข้างๆหญิงสาว เงยหน้ามองร้านอาหารของผู้ดูแลด้วยกัน

    ดูเหมือนว่าผู้ดูแลจะกลับมาทำความสะอาดที่นี่ประมาณอาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง

    "งั้นก็ไปกันต่อเถอะ"

    "เอ่อ...."

    เรย์ร่ามองมือของโครโน่ที่ยื่นมาหาเธออย่างไม่เข้าใจ

    "....จูงมือกัน เผื่อหลงไง"

    "คะ...ค่ะ"

    จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้จูงมือกันเลยนะ ชายหนุ่มคิดขึ้นแล้วออกเดินอีกครั้ง

    หลังจากเดินดูย่านการค้าที่คึกคักแล้ว พวกเขาก็กลับมายังคฤหาสน์

    คฤหาสน์ในวันนี้เองก็เต็มไปด้วยเสียงค้อนจากโรงช่างของพวกคนแคระ และไอน้ำจากโรงงานกระดาษเหมือนเดิม

    และโครโน่ก็พบกับเฟย์ที่กำลังสอนวิชาดาบให้เด็กหนุ่มอยู่ตรงทางแยก

    "วันนี้ก็สอนเหรอเฟย์?"

    "ค่ะ ท่านโครโน่"

    เฟย์ตอบเขา

    "แล้วอีกสองคนล่ะ?"

    "....โดนคุณชิออนเอาไปแล้วเจ้าค่ะ"

    เธอเลี่ยงสายตาโครโน่ แล้วตอบอย่างเหงาๆชอบกล

    "ก็ทั้งคู่ดูจะอยากเรียนหนังสือมากกว่านี่ ช่วยไม่ได้หร้อกก"

    "ตะ...แต่วิชาดาบเองก็สำคัญนะเจ้าคะ!"

    "การเรียนเองก็สำคัญนะ"

    "อึก... ยุคของดาบจบลงแล้วหรือเจ้าคะ"

    เฟย์จับดาบของตนด้วยมือสั่นๆหลังได้ยินคำตอบของโครโน่

    "แต่ผมว่าการใช้ดาบเล่มเดียวหาเลี้ยงตัวเองได้เนี่ย เป็นความโรแมนติกของผู้ชายเลยนะ"

    เด็กหนุ่มพูดขึ้นโดยไม่หยุดฝึกดาบ

    "ท่านโครโน่เองก็ทำความดีความชอบในสนามรบจนได้เป็นเจ้าเมืองนี่?"

    "ชะ...ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านโครโน่เองก็เจริญมาได้เพราะดาบนี่เจ้าคะ!"

    หญิงสาวเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

    "ถึงผมจะทำความดีความชอบในสนามรบก็เถอะ แต่เวลาส่วนใหญ่ตอนนี้ก็ใช้ไปกับการบริหารเมืองนี้ทั้งนั้น คนเรามีชีวิตอยู่กับดาบอย่างเดียวไม่ได้หรอกนา"

    "ผม... ตั้งใจเรียนดีกว่า"

    "ทะ..ท่านโครโน่... โหดร้ายเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!"

    เฟย์ตระโกนขึ้นด้วยน้ำตานองหน้า


    เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็ปล่อยเฟย์ไว้แล้วหนีออกมาจากที่นั้น

    จากนั้น เขาก็ไปดูชั้นเรียนที่ชิออนเปิดในคฤหาสน์

    นอกจากเด็กๆแล้ว คุณมิโน ลิซาโดะ เดเนป แอนริเด็ต หัวหน้าหน่วนร้อยคนเลโอ แล้วก็ฮอลส์ก็ยังมาเรียนเหมือนกัน

    ดูเคร่งเครียดกันจริงๆแฮะ


    *


    คืนนั้น เขาก็สอนหนังสือเรย์ร่าเหมือนปกติ

    ช่วงนี้เขาสอนเธอซักประมาณสัปดาห์ละห้าหกครั้งได้ล่ะมั้ง

    ตอนนี้เธอเริ่มหารเลขคล่องแล้ว เขาจึงเริ่มให้เธอฝึกบวกลบคูณหารปกกัน

    "...วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า"

    "ค่ะ ท่านโครโน่"

    เรย์ร่าพูดแล้วก็ปิดสมุดโน้ต... สมุดที่ทำขึ้นด้วยกระดาษจากโรงกระดาษ แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้า

    ทั้งๆที่ตอนเจอกันครั้งแรกเธอยังดูขาดสารอาหารอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้ร่างกายของเธอนั้นมีเสน่ห์มาก

    โดยเฉพาะตรงหน้าท้อง.... โครโน่คิด

    "...เรย์ร่า"

    "มีอะไรหรือคะ?"

    โครโน่ดึงตัวหญิงสาวมากอด แล้วแย่งชิงริมฝีปากของเธอทั้งๆที่มือยังเล่นหูของเรย์ร่าอยู่

    เมื่อเห็นดังนั้น เรย์ร่าก็หรี่ตาลง แล้วดันร่างกายของตนไปยังโครโน่บ้าง






    หลังเสร็จกิจ ทั้งคู่ก็สนุกสนานกับการจูบกันต่อไป

    .....ถึงไฟมันดูจะติดอีกครั้งได้ทุกเมื่อก็เถอะ

    แต่เขาไม่เหลือแรงแล้ว...

    เมื่อคิดได้ดังขึ้น โครโน่ก็ถอยห่างออกจากเรย์ร่า แล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างพอใจ

    เมื่อมองไปข้างๆ เขาก็พบใบหน้าของเรย์ร่าที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ซักอย่าง

    "มีอะไรหรือ?"

    "กำลังเป็นห่วงว่าทั้งๆที่ได้รับความรักจากท่านโครโน่มาหลายต่อหลายครั้งแล้วแท้ๆ... แต่ยังไม่มีทีท่าจะท้องเลยน่ะค่ะ"

    "ไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้นะ"

    เขากอดหญิงสาว แล้วเอื่อมตัวเข้าไปจูบอีกครั้ง

    "ผมไม่ได้มีอะไรกับเรย์ร่าเพื่อมีลูกอย่างเดียวนี่นะ"

    "เอ่อ...?"

    ไม่เข้าใจหรอกเรอะ

    เขาได้แต่หัวเราะแห้งๆอยู่คนเดียว











    มุมบ่นของผู้แปล (ไม่ต้องอ่านก็ได้ครับ จะพยายามไม่สปอยมาก)

    แก้เชื่อของไอ้ท่านเคานต์พิกซ์ เป็นพิสเคย์ครับ

    ดันไปซ้ำกับชื่อกลุ่มการค้า (ตอนแปลผมไม่รู้ตัวจริงๆนะเออ)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×