ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [แปล] บันทึกการสงครามของคุโระ

    ลำดับตอนที่ #27 : บทที่สอง ตอนที่ 10 กองไฟ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      8
      13 ก.ค. 57

    บทที่สอง หล่อหลอม

    ตอนที่ 10 กองไฟ

    เย็นวันที่หกหลังจากสงครามเริ่มต้นขึ้น

    แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียแม่ทัพไปมากมาย กำลังพลก็ถูกลดเหลือเพียงแปดพันสองร้อยกว่าๆคน

    กองทัพของจักรวรรดิก็มาถึงช่องแคบที่อยู่ต่อจากแนวหุบเขาจนได้

    ตอนนี้เสบียงที่เริ่มจะหดหายไปนั้นถูกมอบให้หน่วยอัศวินที่เก้าดูแลอยู่ ถึงแม้ว่าหัวหน้าหน่วยอย่างริโอะจะหนีงานไปเข้าร่วมการบุกตอนกลางคืนก็ตาม

    ยังไงหน่วยอัศวินที่หกก็ไม่ได้ง่อยเปลี้ยขนาดหัวหน้าไม่อยู่แล้วจะทำอะไรไม่ได้หรอกครับ.... อัศวินเฒ่ารองหัวหน้าที่ยังมีผมเผ้าครบครันพูดไว้

    ตอนรับเสบียงมาดูแล โครโน่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนคำพูดกับคนผู้นี้นิดหน่อย ไม่ใช่เวลานานอะไรหรอก เพียงแค่ไม่กี่สิบนาทีเท่านั้น

    แต่เขาก็รู้สึกได้เลยว่าอัศวินเฒ่าผู้นี้นั้นเอ็นดูและเป็นห่วงริโอะขนาดไหน.... จนถึงกับกลัวนิดๆเลยล่ะ

    ถ้าหักหลังท่านริโอะล่ะก็ ตายนะครับ.... อัศวินเฒ่าตบบ่าชายหนุ่ม แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาของเขาไม่ยิ้มไปด้วย



    จากข้อมูลของอัศวินเฒ่าผู้นั้นแล้ว เส้นทางของราชอาณาจักรอัลโก้นั้น ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงเท่าไหร่ ทางต่างๆก็ยิ่งถูกบีบบังคับไปพร้อมๆกันภูมิประเทศที่ค่อยๆสูงขึ้น

    รอบๆพวกเขานั้นเป็นทิวทัศน์ที่ชวนให้มาปีนเขาในฤดูใบไม้ผลิเสียจริงๆ... แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว

    ใบไม้ที่งอกขึ้นมาเหนือพื้นนั้นต่างก็ต่างเหี่ยวแห้งแล้ว ใบไม้ก็พบร่วงอยู่ตามพื้นเต็มไปหมด

    แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกถึงพื้นที่ราบก็กำลังใกล้เข้ามา

    ที่รู้สึกได้ก็คงเป็นเพราะเขาสนใจสิ่งรอบข้างเกินควร...กลัวว่าศัตรูจะบุกมาน่ะนะ

    ภาพศัตรูที่โผล่ออกมาจากก่อนหินใหญ่ๆ หรือเนินเตี้ยๆรอบๆนั้นจินตนาการได้ไม่ยากเลย

    ถ้าเขาเป็นศัตรู เขาก็คงจะทำแบบนั้นเหมือนกัน

    ระหว่างที่โครโน่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเอง ผู้ช่วยของเขาก็ดำเนินงานทำที่พักของวันนี้ คนที่ว่างๆอยู่ก็ไปช่วยผู้ดูแล

    ถึงลูกน้องใหม่ของเขาจะไม่มีฝีมือมากนัก แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรมาก ไม่ถึงกับต้องยืมมือคนเก่าแก่มาช่วย

    "ถ้ามีชีวิตรอดกลับไป ก่อนอื่นก็ยื่นคำขอให้กรมทหารเรื่องขอให้เขตเอรากิสมีอำนาจแยกตัวไปปฏิบัติการเดี่ยวๆได้..."

    "ท่านโครโน่ทำยุ่งยากแบบนี้อีกแล้ว"

    "อย่าบอกนะว่าจะให้ทำไอ้นั่นอีกอ่ะ?"

    เดเนปแลพแอนริเด็ตเดินเข้ามาเขา

    ไอ้นั่นนี่คือแผนซุ่มยิงสินะ

    "แต่ไอ้นั่นมันก็ลดจำนวนศัตรูได้เยอะอยู่นะ ลดกำลังใจอีกฝ่ายก็ได้ด้วย"

    "แต่กำลังใจฝ่ายเราก็ลดเหมือนกันนา"

    หืม?

    โครโน่เริ่มไม่เข้าใจสิ่งที่สองแฝดพูด

    ""ลูกน้องพวกเราโดนสั่งให้ทรมานศัตรูจนตาย หรือว่าโดนสั่งให้ทำลายศพศัตรูนี่ลูกน้องพวกเราก็หลอนขึ้นมาเหมือนกันนะ""

    "แล้วพวกเธอไม่เป็นไรเหรอ?"

    แฝดสองมองหน้ากันแล้วหันมายิ้มให้เขา

    "ก็นะ พวกเราเองก็ไม่ได้มีอดีตที่ดีอะไรซักเท่าไหร่หรอก"

    "แค่ขยับไปตามคำสั่งโดยไม่คิดมากน่ะ ไม่มีปัญหา"

    จะว่าไปแล้ว ถ้าเขาลังเลที่จะทำร้ายคนอื่น ลูกน้องเขาก็เป็นเหมือนกันสินะ

    ดูเหมือนว่าทางฝั่งนี้ก็ต้องทำการเตรียมใจอยู่เหมือนกัน

    "แต่ยังไงมันก็เป็นแผนที่ได้ผลนา..."

    "งั้นก็ต้องหาพวกที่ไม่คิดมากแบบพวกชั้นอ่ะนะ"

    "ไม่งั้นเดี๋ยวทางนี้จะพากันจิตตกไปด้วย"

    นั่นสินะ... หลังจากนี้ถ้าใช้แผนซุ่มยิงจากป่านี่ต้องหาคนที่เหมาะสมด้วยสินะ....

    ""แต่จะทำยังไงท่านโครโน่ก็โดนดูถูกอยู่ดีนะ""

    "ผมไม่คิดมากหรอก"

    เอ๋~ ทั้งคู่ส่งเสียงไม่พอใจออกมาโดยพร้อมเพรียง

    "แต่ที่ชนะเมื่อวานซืนได้ก็เป็นเพราะท่านโครโน่ทั้งนั้นเลยนี่"

    "แถมยังล้ม...ใครซักคนที่ดูมีตำแหน่งของทางนั้นได้ด้วย"

    "นั่นคุณมิโนทำต่างหากล่ะ"

    ถึงเขาจะเป็นคนจุดไฟเฝาอิคนิสแล้วแทงเข้าให้อีกแผลนึงก็เถอะ ถ้าคุณมิโนไม่อยู่ล่ะก็ เขาคงตายด้วยเงื้อมมืออีกฝ่ายไปแล้ว

    อย่างน้อยโครโน่ก็คิดแบบนั้น

    "ท่านโครโน่นี่ไม่คิดทำความดีความชอบเลยเลยเหรอ?"

    "ไม่ค่อยนะ....  ไม่สิ... ผมว่าผมคงไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้แล้วมั้ง"

    ถ้าให้เลือกล่ะก็ เขาขอทางที่ปลอดภัยกับชีวิตของตนเองและลูกน้องยังจะดีเสียกว่าอีก

    "....มาร์ควิสเอรากิส!"

    "เคานต์พิสเคย์"

    โครโน่รีบลุกขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อตนเองถูกเรียก แต่อีกฝ่ายก็ยกมือเชิงเป็นเชิงห้าม

    เขาเดินมายิ้มให้โครโน่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และเมื่อประกอบกับการที่เขาไม่พาผู้ช่วยตนเองมา ก็ยิ่งง่ายเข้าไปอีกที่จะเข้าใจว่าเขาไม่ต้องการทำเรื่องให้ใหญ่โต

    "อา... มาร์ควิสเอรากิส?"

    "ครับผม?"

    "..จริงๆแล้วเมื่อคืน  ฉันโดนท่านอัลฟอร์ดเรียกไปน่ะ"

    "อ่า..."

    เมื่อเห็นสีหน้าไม่สนใจของโครโน่ เคานต์พิสเคย์จึงทำหน้าหน่ายใจแล้วกระแอมหนึ่งครั้ง

    "ท่านว่าจะมอบที่ดินให้เป็นรางวัลน่ะ จริงๆก็ดีอยู่หรอก... แต่ผมก็ยอมสละมันไปแล้วเอ่ยชื่อมาร์ควิสไปแทน.."

    ""ท่านโครโน่จะได้ที่เพิ่มขึ้นเหรอ!?""

    ฝาแฝดเอล์ฟลุกขึ้นถามเคาน์พิสเคย์ทันที ซึ่งก็ทำให้เขาแสดงอาการไม่สบายใจได้แล้ว

    "ก็แค่เสนอชื่อไปเท่านั้นแหละ แต่จะคิดแบบนั้นก็ได้ เอาเป็นว่าสัญญาของเราก็สำเร็จไปข้อหนึ่งแล้วนะ"

    "เอ๋?"

    "มะ...ไม่พอใจกับที่ดินเรอะ"

    "เปล่าครับ ขอบคุณมากครับ"

    เอาจริงๆเขาไม่คิดว่าเคาน์พิสเคย์จะเป็นคนประเภทที่รักษาสัญญาเลย เขาตกใจตรงนั้นมากกว่า

    ดูจากการที่กลั่นแกล้งเฟย์ และยังจะฆ่าเดเนปและแอนริเด็ตเพื่อควบคุมลูกน้องตนเองอีก เขาจึงภาพพจน์ของอีกฝ่ายในสายตาโครโน่จึงไม่ดีนัก

    แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายเสียทีเดียว

    "ไม่ต้องขอบคุณหรอก หลังจากนี้.... ไม่สิ... แค่ระหว่างสงครามนี้ก็หวังว่าเราจะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะ มาร์ควิส"

    "ครับผม ผมก็หวังว่าเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นกัน"

    "ตกลงตามนั้น"

    ทั้งคู่จับมือกัน แล้วเคาน์พิสเคย์จึงเดินกลับสู่ที่พักตนเองไปอย่างเงียบงัน

    "นี่ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ?"

    "คนนั้นไม่ได้จะฆ่าแค่พวกชั้นนะ ท่านโครโน่เองก็เกือบไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ"

    "ตอนเสนอแผนไป มีหลายๆอย่างเกิดขึ้นน่ะ"

    อีกฝ่ายคงจะมองเห็นคุณค่าที่จะใช้งานเข้าแล้วสินะ

    แต่สำหรับเขาแล้ว ถ้ามันจะทำให้ดำเนินแผนการได้ง่ายขึ้นล่ะก็ จะหลอกใช้หรือจะอะไรก็ช่างมันเถอะ

    "คือตอนนี้ผมว่างถึงช่วงบ่ายอ่ะนะ..."

    "นะ..ในที่สุด... เวลาที่ท่านโครโน่จะพาพวกเข้าขึ้นเตียงก็!?"

    "ฮิๆ.. ช่วยอ่อนโยนด้วยล่ะ"

    แฝดสองเดินมาอิงแอบลำตัวทั้งสองข้างของชายหนุ่ม

    "เปล่า ว่าจะเปิดประชุมน่ะ"

    "โถ่.... ทางนี้เตรียมพร้อมจะประเคนทั้งหัวใจและร่างกายให้แล้วแท้ๆนะ!"

    "แต่ยังไงท่านโครโน่ก็ไม่ยอมรับไปเลยอ่ะ!"

    และเดเนปกับแอนริเด็ตก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายเช่นเคย


    *


    เหม็นคาวเลือดจริงๆ...

    อิคนิสคิดขึ้นเมื่อได้กลิ่นลมหายใจของตนเองขณะนอนอยู่บนเตียง

    เทพที่เขานับถือ... เทพสีแดงผู้นำมาซึ่งการทำลายล้าง.. ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเทพที่โดดเด่นที่สุดเรื่องพลังทำลาย แต่เรื่องพลังการรักษานั้น ยังด้อยกว่า เทพธิดาสีเขียว หรือพระแม่สีเหลืองอยู่มาก

    แค่พยุงชีวิตจากแผลก็เต็มที่แล้ว...

    ไม่สิ...

    เขาเองก็บาดเจ็บหนักมาก จะว่าแค่ไม่ตายก็ควรจะขอบคุณเทพที่ตนนับถือแล้วก็ได้

    พอเขามองไปรอบๆ ก็พบกับลูกน้องของตนนอนอยู่บนพื้นดินรอบๆ

    จำนวนคนที่ยังรอดอยู่คงเหลือไม่ถึงสองพันแล้วล่ะมั้ง

    แถมไม่ว่าใครก็ต่างบาดเจ็บ ต่างกำลังทุกข์ทรมาน


    ทำไม?


    มันก็แน่อยู่แล้ว เพราะโดนบุกเข้ามาตอนกลางคืนยังไงล่ะ

    การรบครั้งนั้นมันทำให้สงครามเปลี่ยนทิศไปจากหน้ามือจากหลังมือ

    แค่คืนเดียว ทหารจำนวนมากกว่าห้าร้อยก็ถูกฆ่าไป พวกที่เหลือก็สูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้เมื่อพบกับแผนการขี้ขลาดเช่นนั้น

    เป็นผลให้การรบในวันถัดมา.... เรียกว่าการฆ่าล้างฝั่งเดียวจะดีกว่ามั้ง?

    ถ้าเขาไม่บาดเจ็บหนักแบบนี้ล่ะก็... อย่างน้อยถ้าเขาไม่นอนสลบไสลไปแบบนี้ล่ะก็..

    บางทีการรบตอนกลางวันอาจจะเลวร้ายน้อยลงกว่านี้ก็ได้

    จะหนีพ้นไหมนะ...?

    อิคนิสมองร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลของเหล่าลูกน้องตนเอง

    เวลาที่พวกเขาใช้ในการเดินทางมาจากเมืองมัลกับคือสามวัน ยิ่งบาดเจ็บกันขนาดนี้ ย่อมต้องช้าลงอีกแน่ๆ

    "แม่ทัพอิคนิส!"

    ผู้ฝึกสอนนักบวชร้องเรียกอิคนิสอย่างน่าสมเพช

    ทั้งๆที่โดนลอบเข้าโจมตีในยามกลางคืน พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในสงคราม แต่ชายตรงหน้าเขาก็มีแค่รอยเปื้อนนิดหน่อยบนชุดเท่านั้น

    เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะชายคนนี้เป็นคนที่หนีออกไปในตอนที่โดนโจมตีเร็วกว่าใคร และสงครามในวันถัดมาก็เป็นคนที่ถอยออกไปคนแรก

    "ทะ..ทำไมกองหนุนจากพวกที่อยู่ตรงเขตแดน... ไม่สิ.. จากเมืองมัลกับไม่มาล่ะ!"

    "....ไม่ทราบครับ"

    ที่ไม่มีกองหนุนมาจากเขตแดนก็น่าจะเป็นเพราะถนนถูกปิดอยู่ ส่วนที่ไม่มีกองหนุนมาจากเมืองมัลกับก็น่าจะเป็นเพราะว่าคงมีคนจ้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ผู้ฝึกนักบวชอยู่..

    หรืออาจจะอยู่ในสภาพที่รวบรวมชาวนามาไม่ได้แล้วก็เป็นได้เหมือนกัน

    "เราต้องกลับไปเมืองมัลกับไปตั้งตัวกันก่อน"

    "ศัตรูน่าจะไล่เรามาทันก่อนที่เราจะเข้าเมืองไปนะครับ"

    "แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ!"

    ผู้ฝึกนักบวชตะคอกใส่อิคนิส แล้วหันไปมองเหล่าลูกน้องของตน

    แต่น่าเสียดาย ที่ชายหนุ่มไม่ทันสังเกตุเห็นแววตาขี้ขลาดของผู้ฝึกนักบวช ณ เวลานั้น


    *


    เช้ามืดในวันที่เจ็ดของสงคราม กองทัพของจักรวรรดิก็เริ่มเดินทัพไปสู้เมืองมัลกับ

    เสบียงเองก็พึ่งจะมีส่งมาถึง ทำให้อาหารและความเป็นอยู่ในกองทัพนั้นดีขึ้นนิดหน่อย... อย่างน้อยโครโน่ก็รู้สึกแบบนั้น

    ถึงอาหารจะไม่สดมาก แต่เรื่องที่สำคัญกว่าคือปริมาณ

    "กองทัพต้องเดินด้วยท้อง"

    มันเป็นเรื่องที่แน่นอน

    ปริมาณอาหารที่น้อยลงก็จะชวนให้เหล่าทหารรู้สึกกังวลกับสงครามที่ตนกำลังจะไปสู้

    หลังจากจ่ายขนมปังให้ลูกน้องที่เข้ามาใหม่เรียบร้อย เขาก็ตบกระเป๋าตัวเองดู

    ขนมปังครั้งนี้เขาก็วานให้ผู้ดูแลทำให้เหมือนเดิมน่ะแหละ แต่พอโดนรู้ว่าพกเงินติดตัวอยู่ไม่น้อย เขาเลยโดนเธอขอค่าดำเนินการไปพอสมควรเลย

    เขาอุตส่าห์จะจ่ายด้วยร่างกายแล้วเชียวนะ แต่ผู้ดูแลบอกว่าถ้าเอาไปหารกันตัวเธอเองจะเป็นคนเสียหายหนักที่สุด เลยล้มเลิกไป

    ว่าแต่ทำไมคนแบบนั้นถึงสร้างหนี้ขึ้นมาได้น้า.... โครโน่คิดไปคิดมา คิดจนเกือบจะหกล้ม

    เขาเดินสะดุดหินนั่นเอง

    "เป็นอะไรรึเปล่า ท่านแม่ทัพ?"

    "ไม่เป็นไร"

    เขาตอบผู้ช่วยตน

    ถ้าคุณมิโนไม่ดึงเข็มขัดไว้เขาคงหกล้มไปแล้ว

    เพราะถ้าแค่เกือบจะล้มผู้ช่วยเขาก็คงไม่มายุ่งหรอก

    "หินนี่นะ.."

    "ก็..อย่างที่เห็นนั่นแหละ"

    โครโน่กระชากร่างของตนกลับหลังให้สามารถยืนได้ด้วยตนเองอีกครั้ง แล้วเขม่นใส่.. ก้อนหินที่ตกอยู่ระเกะระกะเต็มทาง

    "น่าจะมีคนทำเพื่อชะลอการเดินทัพของเราน่ะแหละ"

    "อิคนิสน่ะหรือ?"

    พื้นดินข้างหน้าพวกเขามีพื้นบริเวณหนึ่งที่หลงเหลือร่องรอยถูกไฟเผาเอาไว้

    "หวังว่าจะไม่ใช่อ่ะนะ โดนมีดแทงเข้าที่ท้องน้อย แล้วยังโดนฟันกระเด็นไปซะขนาดนั้น ยังไม่ตายนี่ไม่ธรรมดาแล้ว"

    "แต่พวกใช้อำนาจเทพก็มีพวกพรจากเทพอยู่แล้วนี่?"

    "ทางนี้ไม่มีอะไรเลยแท้ๆ พวกขี้ขลาดเอ้ย"

    ผู้ช่วยของชายหนุ่มได้แต่ทำท่าเอือมระอากับคำพูดของโครโน่

    ".....แต่อีกฝ่ายจะคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ คอยระวังตัวดีๆระหว่างเดินทัพแล้วกัน"

    "รับทราบ"

    คุณมิโนพยักหน้าแล้วควักเมจิคไอเท็มสำหรับสื่อสารขึ้นมา


    เมื่อเห็นผู้ช่วยเริ่มปฏิบัติตามคำสั่งของตน โครโน่ก็หันมาสนใจสิ่งรอบข้างแทน

    ตอนนี้กองทัพของจักรวรรดินั้นเดินทัพในรูปแบบแถวตอนสองแถวด้วยเหตุผลทางด้านภูมิประเทศ แต่มันก็ทำให้พวกเขามองดูสถานการณ์รอบข้างได้ยากกว่าเดิม

    "คงติดต่อกันลำบา..!"

    ชายหนุ่มเกือบจะวูบไปเลยทีเดียวเมื่อมีอะไรแข็งๆมากระแทกท้ายทอย

    แต่สุดท้ายเขาก็ยืนตรงอยู่ไม่ได้ ต้องล้มลงไปใช้เข่ายันตัวขึ้นแทน

    เลือดจากแผลเก่าเมื่อสามวันที่แล้วก็เปิดออก มีเลือดไหลออกมาเป็นทาง

    "แหม... เหมือนกับว่าเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนซักที่นะคะ"

    โครโน่เอามือกุมแผลตนเองแล้วเงยหน้าขึ้น ก็พบกับผู้ช่วยของเคานต์พิสเคย์... เซชิลีที่กำลังยิ้มเยาะเย้ยเขาอยู่

    ตั้งใจยืดขามาเตะเขาโดยทำเป็นกำลังควบม้าเลยสินะเนี่ย....

    "...ป่าเถื่อนจริงเลยน้..."

    "ดิชั้นก็แค่ขี่ม้าไปตามปกติเท่านั้นเองค่ะ... แถมขุนนางที่ไหนเขาเดินเท้าตอนเคลื่อนทัพกันคะ? เพราะงั้นชั้นไม่ผิดแน่นอนค่ะ.... อ๊ะ.. ขออภัยด้วย.... เผอิญลืมไปว่าคุณเป็นแค่ลูกของทหารเลวที่น่ารังเกียจนี่นะคะ"

    โครโน่เริ่มชักเอือมระอากับท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว...

    "ถ้าผมไม่ใช่ขุนนางจะเดินเท้าก็ไม่ผิดน่ะสิ... ว่าแต่คำขอโทษที่เตะลูกของทหารเลวที่น่ารังเกียจคนนี้อยู่ไหน?"

    "ถ้าคุณไม่ใช่ขุนนางดิชั้นก็ไม่มีเหตุผลจำเป็นต้องขอโทษค่ะ มีแค่จะลงโทษที่ทำให้เท้าของชั้นสกปรกเท่านั้นเอง"

    เซชิลีชักดาบของตนเองออกมาทั้งรอยยิ้ม

    จะเอายังไงดีหว่า..... โครโน่คิด

    "....ตัดสินใจได้แล้ว"

    "จะท้าสู้หรือคะ?"

    "เปล่า แค่คิดได้ว่าปล่อยให้ผู้หญิงตายมันไม่ดีน่ะ"

    โครโน่พูดแล้วดึงข้อมือของอีกฝ่ายเข้าหาตนเอง

    "จะ...จะทำอะไรน่ะคะ!"

    ทันใดนั้น ลูกธนูลูกหนึ่งก็ลอยเฉี่ยวต้นคอของหญิงสาวไป
     
    "ศัตรูบุก!"

    ชายหนุ่มดึงเซชิลีที่สติยังไม่กลับมาดีลงจากม้าแล้วดันเธอลงไปตามทาง

    "อะ...ไอ้สัตว์ป่า!"

    "นี่ผมอุตส่าห์ช่วยแล้วนะ! รู้งี้ปล่อยให้ตายดีกว่า!"

    แล้วเขาก็เลิกสนใจหญิงสาว ควักเมจิคไอเท็มสำหรับสื่อสารขึ้นมาตระโกนใส่แทน

    "ศัตรูบุก! คุณมิโน เดเนป แอนริเด็ต ไทกะพาลูกน้องของตัวเองลงไปตามทาง! ส่วนหน่วยของลิซาโดะกับฮอลส์ก็ปล่อยเกวียนเอาไว้ ถอยทัพออกไปเหมือนกัน! พวกที่อยู่ใกล้ๆผู้ดูแลก็ปกป้องเธอด้วย!"

    ทันทีที่เขาพูดจบ ห่าฝนธนูก็โปรยปรายลงมาบนถนนทันที

    เหล่าทหารที่โดนธนูปักก็ล้มลงกับพื้น ม้าที่โดนธนูเข้าก็แตกตื่นเตะขาหลังไปทั่ว

    ทหารบางคนที่โชคไม่ดีหน่อยก็โดนม้าถีบเข้าให้

    "...อ่อก.....อุ่ก...."

    "ว้าย!"

    เซชิลีร้องเสียงหลงเมื่อทหารที่ถูกม้าถีบหน้าจบกระดูกแตกกระจายลอยมาตกอยู่ตรงหน้าตน

    "ทุกคน ปลอดภัยรึเปล่า!"

    "ผมปลอดภัยอยู่"

    ""พวกชั้น... แล้วก็ผู้ดูแลกับพวกหมอก็ปลอดภัย""

    "เราเองก็เหมือนกัน!"

    "...ไม่มีปัญหา"

    "ไม่เป็นอะไรครับ"

    เอาล่ะ ลูกน้องของผมปลอดภัยดี  โครโน่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ



    หลังจากห่าฝนธนูยังคงโปรยปรายต่อไป เหล่าทหารที่อยู่ข้างหน้าก็ออกตัววิ่งหนี จนพากันสะดุเหินที่พื้น ทำให้พวกที่อยู่ข้างหลังก็พากันล้มกันเป็นทอดๆ

    แน่นอนว่าศัตรูก็ไม่ปล่อยให้พวกนั้นรอดไปได้ ธนูของศัตรูนั้นปักใส่ทหารที่ล้มอยู่กับพื้นจนกลายเป็นทะเลเลือดขนาดย่อมๆ

    "ท่านแม่ทัพ! เอายังไงดี!"

    "ถ้าธนูของศัตรูเริ่มหมดแล้วเดเนปกับแอนริเด็ตช่วยร่ายเวทย์ไฟขึ้นฟ้าที แล้วทุกคนค่อยไปรวมกันทีเดียว  แต่ตอนนี้จัดรูปเป็นกลุ่มๆก่อน!"


    หลังจากนั้นไม่นาน ห่าฝนธนูก็หายไป เกิดความเงียบงันราวกับความโกลาหลเมื่อกี้นี้เป็นเรื่องโกหก

    และสิ่งที่ทำลายความเงียบก็คือเวทย์ของเดเนปและแอนริเด็ตนั่นเอง

    ดูจากระยะบนฟ้าแล้ว พวกเธออยู่ห่างจากเขาประมาณร้อยเมตร

    "นี่! หยุดอึ้งแล้ววิ่งได้แล้ว!"

    "ละ..ลูกชายของทหารเลวไม่ต้องมาจับร่างกายดิชั้นเลยค่ะ!"

    "รีบวิ่งก่อนเถอะ!"

    เขาตวาดใส่หญิงสาวแล้วคว้าข้อมือของเธอออกวิ่ง

    พอหันหลังกลับไป ก็พบกับกองทัพศัตรูกำลังเข้ามาเลย

    จำนวนไม่น่าจะถึงร้อยคนหรอก

    แน่นอนว่าคงมีพลธนูคุ้มกันอยู่ใกล้ๆแน่ แต่จำนวนของศัตรูมันมีไม่พอที่จะดำเนินแผนการขนาดใหญ่หรอก

    แต่ถึงอย่างนั้น ทหารของศัตรูก็บุกเข้าโจมตีทหารฝ่ายเราอย่างไม่ย่อท้อ

    "ปลอดภัยรึเปล่าท่านแม่ทัพ!"

    "อือ ผู้ดูแลเองก็ดูดีนี่"

    หลังจากกลับมารวมตัวกับลูกน้องสำเร็จ เขาโล่งใจหลังเห็นผู้ดูแลที่ไร้แม้แต่รอยขีดข่วน

    "ยังจะมาดูดีอะไรอีกคะ! ต้องไปช่วยพวกนั้นก่อน!"

    "ไม่จำเป็นหรอก"

    เซชิลีทำท่าจะปัดแขนของชายหนุ่มออก แต่เขาก็ไม่ยอมง่ายๆ

    "ถึงอีกฝ่ายตั้งใจจะมาอาละวาดเต็มที่ก็เถอะ เดี๋ยวแรงกายกับแรงใจก็หมดไปเองแหละ"

    ""โอ้! สมเป็นคำพูดของผู้นำทัพ!""

    และก็เป็นไปตามที่โครโน่พูด การโจมตีของทหารฝั่งศัตรูนั่นมีอยู่ไม่นานนัก

    พอเวลาผ่านไปไม่นาน ทหารของศัตรูก็ถูกปราบจนหมด


    *


    "....แก... คิดอะไรอยู่..."

    "ฉะ..ฉันก็แค่ทำหน้าที่ในฐานะผู้นำทัพเท่านั้นเอง!"

    ผู้ฝึกสอนนักบวชตอบอิคนิสที่คว้าคอเสื้อของตนอยู่

    "หน้าที่ของแกนี่คือส่งทหารไปตายเปล่าเรอะ!"

    "ชะ...ใช่แล้ว! หน้าที่ของผู้นำทัพคือการเสียสละเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่ายังไงล่ะ!"

    ใช่แล้ว....

    ผู้ฝึกสอนนักบวชพูดขึ้นด้วยแววตาที่น่ารังเกียจ

    "พวกเขาน่ะบาดเจ็บหนักกว่าคนอื่น ยื่งเดินทัพไปก็มีแต่จะถ่วงคนอื่นลง ฉันแค่ส่งพวกเขาไปเพื่อคนที่เหลืออยู่เท่านั้นเอง... พวกเขาก็คงเข้าใจดี"

    เขากระซิบขึ้น...  ราวกับว่าพยายามกล่อมตนเองอยู่

    จนอิคนิสจำต้องปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่ายอย่างเอือมระอา

    ความจริงแล้วคำพูดของชายตรงหน้าเขามันก็ถูกอยู่

    ตราบใดที่ทำสงครามโดยไม่มีคนตายไม่ได้ พวกเขาก็ต้องพยายามทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตนอยู่รอดให้ได้มากที่สุด

    ต่อให้ต้องใช้บางส่วนเป็นเหยื่อล่อก็ตาม...

    เขาเองก็ทำลายก้อนหายก้อนใหญ่ตามถนนเพื่อถ่วงเวลาของทหารจักรวรรดิเช่นกัน

    แต่ชายตรงหน้าเขา... ก็ยังปล่อยให้ทหารดักซุ่มอยู่ตามทางมากกว่าที่ควรจะเป็น

    ผู้ฝึกสอนนักบวชนั้นสั่งให้คนดักรออยู่เป็นจำนวนหกร้อย ซึ่งในความเห็นของอิคนิสนั้น มันไร้สาระอย่างมาก

    เลือกคนที่ชำนาญเส้นทางบนหุบเขามาคอยแอบโจมตีชะลออีกฝ่ายยังจะดีซะกว่า

    แต่เอาเถิด.. ยังไงบุคคลตรงหน้าก็ไม่เข้าใจความคิดของเขาหรอก ต่อให้ใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตก็คงไม่เข้าใจ

    ตอนนี้เขาจึงเลิกที่จะต่อล้อต่อเถียงแล้วเร่งการเดินทัพกลับเมืองมัลกับ

    เพื่อไม่ให้มีคนตายไปมากกว่านี้


    *


    หลังจากการซุ่มโจมตีเสร็จสิ้นไปเป็นเวลาสองชั่วโมง กองทัพของจักรวรรดิก็เปลี่ยนรูปแบบการเดินแถวใหม่

    โดยกองกำลังผสมที่รับหน้าที่นำหน้านั้นประกอบด้วยโครโน่ที่สั่งการลิซาร์ดแมนเกราะหนักยี่สิบคน ไทกะที่สั่งการเผ่าสัตว์ห้าสิบคน และพลธนูชาวเอล์ฟอีกร้อยคน

    ผู้ที่รับหน้าที่สั่งการพวกเอล์ฟอยู่คือนาซุล ทหารเก่ากี่ที่แม้หน้าตาจะดูเหมือนอายุไม่ถึงยี่สิบ แต่อายุจริงของเขานั้นประมาณสามสิบห้าไปแล้ว

    หน้าตากับผมสีฟางข้าวของเขานั้นดูๆไปก็เหมือนขุนนางหนุ่มคนหนึ่ง แต่ท่าทางที่เงียบๆของเขานั้นชวนให้นึกถึงผู้เชี่ยวชาญที่กำลังเบื่อหน่ายชีวิตมากกว่า

    มือของนาซุลนั้นเป็นไปด้วยรอยแผล บอกเล่าถึงประสบการณ์บนสนามรบ ที่แขนเองก็มีรอยเหมือนกับโดนฟันอยู่หลายที่


    แต่ก็นะ "ประมาณ" สามสิบห้านี่ก็เป็นคำพูดที่เหล่ากึ่งมนุษย์แทนจะทุกคนใช้กันเลย

    เพราะพวกเขาไม่มีการศึกษา ก่อนที่จะเข้ากองทัพมาแต่ละคนก็ไม่มีทะเบียนบ้านอย่างถูกต้อง อายุอานามนั้นจะพิสูจน์ก็ไม่ได้

    ถ้าเกิดมีคนมานั่งตรวจสอบอายุด้วยการถามล่ะก็ ผลออกมาคงเป็นกราฟที่กระจุกกันอยู่ที่เลขที่ดูดีอย่างแน่นอน


    "การที่ดิชั้นคนนี้ต้องมาเดินเท้านี่มันเป็นการเหยียดหยามกันชัดๆเลยค่ะ"

    "เดเนป แอนริเด็ต ศัตรูล่ะ?"

    เขาเมินเซชิลีที่บ่นมาตั้งแต่จัดทัพใหม่เสร็จแล้วหันไปคุยกับเดเนปและแอนริเด็ตแทน

    "....มีอยู่นะ"

    "ทางนี้ก็มี.."

    "คิดว่าจับเป็นได้ไหม?"

    เดเนปกับแอนริเด็ตกระซิบตอบเขา

    ทั้งคู่...หรือถ้าจะให้ถูกคือทั้งคู่และหน่วยผสมที่ทั้งคู่มีหน้าที่สั่งการนั้นอยู่เหนือพวกโครโน่ไปอีก

    "คิดว่ายากนะ แต่ถ้าเป็นคำสั่งล่ะก็.."

    "ชั้นก็เหมือนกัน"

    "รอจนจำนวนศัตรูลดลงแล้วค่อยพยายามจับมาแล้วกัน แต่ห่วงตัวเองด้วยล่ะ ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้อง"

    ""รับทราบ""

    ไม่ทันขาดคำ เสียงร้องโหยหวน เสียงดาบกระทบกัน เสียงโลหะฉีกเลือดเฉิอนเนื้อก็ดังเข้ามาผ่านเมจิคไอเท็มสำหรับสื่อสารของชายหนุ่ม

    พอเวลาผ่านไปซักพัก ทหารศัตรูก็เริ่มวิ่งหนีลงมาจากทางลาดเอียง

    ดูจำนวนแล้วก็น่าจะมีซักห้าหกสิบคนแหละ

    "นาซุล เตรียมทหารเกราะนักกับทหารราบให้เคลื่อนไหวง่ายๆหน่อย"

    นาซุลพยักหน้ารับเล็กๆ แล้วเดินออกไปจากระยะสายตาของเขา

    เพื่อที่จะจัดรูปแบบทัพเป็นสองแถว โดยทั้งสองแถวจะอยู่ในระยะของตนเอง

    "....ยิง!"

    พร้อมๆกับเสียงของเขา ลูกธนูก็ถูกปล่อยเข้าใส่ศัตรู

    แต่มันก็ช่วยลดจำนวนศัตรูไปได้ประมาณสิบคนเท่านั้น

    พวกที่เหลือก็วิ่งเข้ามาทางพวกเขา หวังจะแก้แค้นให้พวกพ้องที่ตายไป

    ถ้านาซุลเป็นคนธรรมดาๆล่ะก็ การสู้ครั้งนี้อาจจะต้องเสียหายหนักก็ได้

    "แถวหลัง.. ยิง!"

    พลธนูที่อยู่แถวหลังปล่อยธนูออกจากคันธนู พร้อมๆกับแถวหน้าที่เตรียมลูกธนูชุดใหม่

    ที่นาซุลแบ่งเป็นสองแถว ก็เพราะว่าเขาต้องการจะลดเวลาที่จะปล่อยลูกธนูชุดใหม่ออกไปนั่นเอง

    และผลก็เป็นอย่างที่เขาเล็งไว้

    ศัตรูที่ไม่มีเวลาให้พักหายใจนั้นไม่สามารถทำได้ทั้งวิ่งเข้าหาทหารจักรวรรดิและหนีออกไป

    พอศัตรูล้มลงทั้งหมด นาซุลก็หยิบคันธนูออกมายิงแขนขาศัตรูที่นอนอยู่ด้วยตนเอง

    ถึงจะดูเป็นแผลไม่ใหญ่มาก แต่แค่นั้นพวกเขาก็สูญเสียกำลังต่อสู้ไปทั้งหมดแล้ว

    "...จับเสีย"

    "ไทกะไปจับศัตรูแล้วปลดอาวุธให้หมด.... แล้วก็มัดไว้ด้วย! อย่าประมาทล่ะ! หมาจนตรอกจะใครมันก็สู้ทั้งนั้น!"

    เมื่อสิ้นคำสั่งของเขา พวกไทกะและหน่วยเผ่าสัตว์ก็เข้าไปจับศัตรู แน่นอนว่าอีกฝั่งก็พยายามขัดขืนบ้าง แต่มันก็ใช่ว่าจะสำเร็จ

    สุดท้ายพวกเขาก็โดนเอาท่อนไม้ฟาดจนขยับไม่ได้ และโดนมัดในที่สุด

    "..เดเนป แอนริเด็ด ความสูญเสียล่ะ?"

    "ไม่มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิต"

    "ทางชั้นมีคนบาดเจ็บสถานเบาสิบคน ไม่มีคนตายเหมือนกัน"

    "....เดี๋ยวผมต้องตัดสินว่าจะเอายังไงกับทหารที่จับได้ดี ทั้งสองคนช่วยรออยู่ก่อน ไทกะตามผมมา

    "รับทราบครับ"

    แค่จับได้มันก็ไม่จบแค่นั้นนี่นะ โครโน่เดินเข้าไปหาทหารหนึ่งในคนที่ถูกจับ

    "นาย ชื่ออะไร?"

    "....ไคล์"

    เด็กหนุ่มตอบเขาอย่างห้วนๆ

    ถึงจะดูออกยากเพราะร่างที่สกปรก แต่เขาอาจจะเด็กกว่าตนอีกล่ะมั้งเนี่ย

    "อายุล่ะ?"

    "....สิบห้า"

    เดาถูกด้วยแฮะ โครโน่พยักหน้ากับตัวเอง

    "เป็นทหารหรือเปล่า?"

    "เปล่า โดนพามาเพื่อมาสู้กับพวกนายน่ะแหละ เพื่อนๆก็ด้วย... แต่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็พึ่งโดนฆ่าไป"

    คิดผิดจริงๆแฮะที่มาคุยกับทหารอีกฝั่งเนี่ย โครโน่รู้สึกแย่จับใจ

    "ทำไม... ถึงบุกมาล่ะ"

    ไคล์ปิดตาลง แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ

    "พูดอะไรน่ะคะ! พวกคุณต่างหากที่บุกเข้ามาก่อนตั้งไม่รู้กี่ครั้ง! ฝั่งนี้ก็ต้องตอบโต้บ้างสิ!"

    "ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!"

    เซชิลิชักดาบของตนออกมา แต่ก็เหมือนจะคิดได้ว่าการฟันศัตรูที่ถูกมัดอยู่ทิ้งมันน่าอับอาย จึงเก็บดาบกลับไปเหมือนเดิม

    "รีบพาตัวเชลยไปเถอะค่ะ! จะทำให้รู้สึกแย่เปล่าๆ!"

    พอโดนตวาดใส่ พวกไทกะที่ไม่คิดจะขัดแต่แรกอยู่แล้วก็ส่งมอบเชลยทั้งห้าให้แก่กองอัศวินที่สิบสอง

    "....นั่นมันอะไรกันคะ!"

    "อย่ามาถามลูกชายของทหารเลวผู้น่ารังเกียจเลย"

    "ดิชั้นไม่ได้ถามคุณค่ะ! ดิชั้นแค่... พูดคนเดียวค่ะ ใช่แล้ว พูดคนเดียวเท่านั้นเอง!"

    ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ชักจะรำคาญที่จะหาข้ออ้างแล้ว

    "...เด็กคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ"

    "เขาสู้อย่างมีศักดิ์ศรี ก็คงได้รับการปฏิบัติด้วยเกียรติแหละค่ะ"

    "ไม่ได้จะทรมานหาข้อมูลเหรอ?"

    "คุณคิดว่าขุนนางของจักรวรรดิเป็นอะไรกันคะ!"

    เมื่อหลุดปากไปโดยไม่ทันคิด เซชิลีก็ถามโครโน่กลับด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก

    "เอาเถอะ ไม่ทำก็ดีแล้ว"

    "ใครจะไปทำกันคะ!"

    เขายักไหล่ แล้วกลับไปยังส่วนหน้าของกองทัพเหมือนเิม

    หลังจากรับการโจมตีครั้งที่สาม การเดินทัพในวันนั้นก็หยุดลง


    *


    พอมาถึงเช้าวันถัดมา เชลยทั้งห้าก็เสียชีวิตกันไปหมดเสียแล้ว

    ถึงทหารที่รับหน้าที่เฝ้าเชลยจะบอกว่าเป็นเพราะแผลของพวกเขาแย่ลงก็เถอะ เหตุผลแค่นั้นมันคงไม่ทำให้เล็บหลุด ฟันแตก หรือนิ้วหักหรอก

    ยิ่งถ้ารู้ว่าแม่ทัพที่ใส่เฝือกไปข้างหนึ่งขอขึ้นนำหน้าในการเดินทัพวันนี้แล้วล่ะก็ จะใครก็คงจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้

    ระหว่างที่กำลังเก็บที่พัก เขาก็พบกับเซชิลีทำหน้าซีดยืนมองศพของเหล่าเชลยที่กำลังถูกฝังอยู่

    "ไม่ใช่ว่าจะไม่ทรมานเหรอ?"

    "....!"

    หญิงสาวส่งเสียงไม่เป็นเสียงออกมาเมื่อโครโน่เดินเข้าไปทัก

    "นะ...นี่มันต้องเป็นการเข้าใจผิดอะไรซักอย่างแน่ๆค่ะ!"

    "ทรมานเพราะเข้าใจผิดเหรอ? หนักมือไปหน่อยเลยฆ่าทิ้ง? ช่วยอธิบายให้ลูกของทหารเลวอันน่ารังเกียจคนนี้เข้าใจหน่อยสิ? หรือจะให้ผมอธิบายเอง"

    หญิงสาวก้มหน้า ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น

    "คงมีแม่ทัพคนไหนซักคนออกเงินให้ทหารที่ทำหน้าที่ตรวจตราทรมานให้นั่นแหละ ทำไม? มันก็แน่อยู่แล้ว เพื่อที่จะถามทำแหน่งที่ศัตรูแอบอยู่มาทำความดีความชอบเหมือที่ผมทำเมื่อวานไง.... ถ้าอนุญาตเรื่องแบบนี้แล้วผมก็อยากให้ช่วยอนุญาตการโจมตีตอนกลางคืนบ้างนะ... "

    "หะ...หุบปากไปเลยค่ะ!"

    เซชิลียกมือขึ้นมาจะตบชายหนุ่มตรงหน้า แต่เธอก็ทำได้เพียงตบใส่อากาศเท่านั้น

    จะหลบคนที่กำลังช๊อคขนาดนี้น่ะ ไม่ใช่เรื่องยากหรอก

    ไม่สิ... บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องหลบด้วยซ้ำ

    "มาร์ควิสเอรากิส พอแค่นั้นได้ไหม?"

    "อรุณสวัสดิ์ครับ เคานต์พิสเคย์"

    เมื่อเคานต์พิสเคย์หันไปมองเซชิลี หญิงสาวก็ก้มหน้าแล้วเดินออกไปจากที่นั่น

    "การทรมานสินะครับ?"

    "อย่าพูดเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วเถอะ คุณเลออนฮัลท์ก็พึ่งพูดแบบนั้นไปเหมือนกัน แถมให้ฉันสัญญาว่าจะตรวจสอบให้อีก นี่พึ่งจะออกมาได้เอง"

    จะผิดใจกับผู้สืบทอดตระกูลพาราดัมก็ไม่ได้ จะให้การเดินทัพล่าช้าก็ไม่ได้

    นี่สินะ ความลำบากของคนที่อยู่ตรงกลาง

    "ตั้งใจจะเอาความผิดที่ฆ่าเชลยมาหักล้างกับความดีความชอบของคนผิดที่จะเกิดขึ้นจากนี้สินะครับ?"

    "รู้อยู่แล้วก็เลยมารังแกผู้ช่วยฉันเหรอ?"

    "เผอิญเธอมาดูถูกผมว่าเป็นลูกชายของทหารเลวผู้น่ารังเกียจ... ก็เลยแกล้งเล่นๆนิดหน่อยหน่อย"

    เคานต์พิสเคย์ถอนหายใจอย่างเอือมระอาเมื่อได้ยินคำตอบของโครโน่

    "แต่ไอ้ศักดิ์ศรีของขุนนางนี่หายากกว่าที่คิดนะครับเนี่ย"

    "ไอ้ศักดิ์ศรีของขุนนางมันก็เป็นแค่เครื่องมือเท่านั้นน่ะนะ คนที่จะพูดมันออกมาได้ก็มีแค่พวกไม่รู้จักอาย หรือพวกไม่รู้จักโลกเท่านั้นแหละ"


    *


    ถ้าพูดจากผลลัพธ์ล่ะก็ ภารกิจของแม่ทัพที่ใส่เฝือกก็จบลงโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก


    ช่วงบ่ายวันที่สิบหลังจากออกเดินทัพจากเขตการปกครองพิเศษโนวจิ กองทัพของจักรวรรดิก็มาถึงเมืองมัลกับจนได้

    หรือถ้าจะให้ถูกคือพวกเขาพ้นช่องแคบออกมาจนเห็นเมืองมัลกับอยู่ข้างหน้าได้

    "....."

    ระหว่างที่โครโน่กำลังมองลูกน้องของตนตั้งที่พักอยู่ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

    ตามแผนของกรมทหารกับหน่วยอัศวินรักษาพระองค์แล้วล่ะก็ พวกเขาจะต้องถึงเมืองมัลกับภายในเวลาสี่วันแท้ๆ

    แต่พวกเขากลับใช้เวลามากกว่าที่คาดเป็นเท่าๆเลย

    "ท่านแม่ทัพ เป็นอะไรน่ะ ทำหน้าแบบนั้น?"

    "ไม่สบายใจน่ะ ทั้งๆที่ไม่เป็นไปตามกำหนดการณ์แท้ๆแต่พอดูๆไปแล้วกลับดูเหมือนกำลังไปได้สวยน่ะ"

    แต่สงครามมันก็แบบนี้แหละ

    นี่คงเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดแล้ว

    "โทษที! แต่ผมจะเปลี่ยนที่พักเป็นบริเวณใกล้ถนนมากขึ้นนะ!"

    "เอ๋! นึกว่าจะได้นอนบนหญ้าแล้วแท้!"

    "โถ่... แต่ตรงนั้นมันมีหินกองอยู่เพียบเลยนะ!"

    เดเนปกับแอนริเด็ตเบ้ปากไม่พอใจ แต่ก็เริ่มเก็บเต้นท์ทันที

    ลูกน้องเขาคนอื่นๆก็ดูจะไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน แต่ทุกคนก็ทำตามคำสั่งของเขา

    "เดี๋ยวผมไปดูลาดเลาทางเมืองก่อนนะ"

    "รับทราบ เดี๋ยวผมจัดการดูที่พักเอง"

    เขามุ่งหน้าไปยังเนินโดยอาศัยแสงจันทร์นำทาง

    "....รอเดี๋ยวนี้เลยนะคะ!"

    ถึงข้างหลังจะมีเสียงที่เขาจำได้ดังขึ้น ชายหนุ่มก็ทำเป็นไม่สนใจ

    พอเวลาผ่านไปซักพัก เจ้าของเสียง.. เซชิลีก็เข้ามาหาโครโน่

    "ทำไมถึงเมินกันล่ะคะ?"

    "ก็ไม่อยากโดนว่าว่าเป็นลูกชายของทหารเลวที่น่ารังเกียจนี่"

    "ดิ..ดิชั้นเลิกเรียกแล้วนะคะ! เพราะงั้นคุณก็ด้วยสิ!"

    ไร้เหตุผลจริงๆ

    แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจหญิงสาวหรอก

    อยู่ๆพวกที่เคยเคลื่อนไหวตาม"ศักดิ์ศรีของขุนนาง"เหมือนกับตนทำเรื่องแบบนั้นขึ้นนี่นะ

    "แต่ก็เนอะ ยังไงมันก็ต้องไม่สบายใจกันบ้างแหละ"

    "พูดอะไรน่ะคะ?"

    ไม่รู้ว่าเธอไม่รู้ตัวจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัว แต่ถ้าไอ้ศักดิ์ศรีของขุนนางนั้นเป็นเรื่องไร้ความหมายจริงๆ...

    อำนาจของขุนนางเองก็เช่นกัน

    เธอคงจะรู้ตัวแล้วว่าผู้หญิงอย่างตนจะต้องระวังให้มาก

    บนยอดของเนินที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป มีแขกอยู่ก่อนแล้วเป็นจำนวนสามคน

    เลออนฮัลท์ เคานต์พิสเคย์ และอัลฟอร์ดนั่นเอง

    แต่ถึงจะมองจากยอดเนิน พวกเขาก็ไม่เห็นสภาพภายในเมืองชัดเจนนัก

    "พะ..พรุ่งนี้จะบุกเข้าที่นั่นสินะ"

    "ขอรับ พวกเรารีบเข้าตีอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อแสดงอำนาจของจักรวรรดิให้พวกมันดูกันเถอะ"

    เคานต์พิสเคย์ตอบเด็กหนุ่มที่มีท่าทางตื่นเต้น


    กว่าสิ่งผิดปกติจะเกิดขึ้น ก็เป็นตอนที่อัลฟอร์ดละสายตาจากเคานต์พิสเคย์ไปยังเมืองมัลกับอีกครั้งแล้ว

    ในบริเวณขอบนอกของเมืองมัลกับนั้น เกิดดวงไฟเล็กๆขึ้น.. แล้วดวงไฟเล็กๆนั้นก็เริ่มแพร่กระจายไปรอบเมือง

    ดูๆไปก็เหมือนกับดองไม้ไฟที่แตกกระจายออกเป็นแฉกๆ เป็นกองไฟ.... จำนวนมาก.... มากจริงๆ


    เขาสังหรณ์ไม่ผิดจริงๆ โครโน่เดาะลิ้น

    ศัตรูใช้การลอบโจมตีถ่วงเวลาพวกเขาเพื่อรอกำลังเสริมนั่นเอง

    ไม่สิ... อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ถ้าพวกเขาได้กำลังเสริมมาจริงๆล่ะก็ ศัตรูก็ไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้เพื่อให้ฝ่ายเรารู้สึกระวังตัวมากขึ้น

    แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงน้ำไหลลงพื้น มาพร้อมๆกับกลิ่นแอมโมเนีย

    "อ๊าาาาา!"

    "รอก่อนสิขอรับ ท่านอัลฟอร์ด!"

    พิสเคย์ไล่ตามอัลฟอร์ดที่วิ่งหนีแล้วล้มกลิ้งไปตามทางขึ้นเนิน

    "...คุณโครโน่ว่ายังไงบ้าง?"

    "ผมว่าจำนวนกองไฟนั่นก็แค่ขู่เท่านั้นแหละ"

    เขาตอบเลออนฮัลท์อย่างที่ตนคิด

    "ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?"

    "ก็ผมว่าแผนการที่มีขึ้นเพื่อบอกคนอื่นเขาว่าตัวเองมีทหารเท่าไหร่มันงี่เง่าสิ้นดีน่ะ"

    อย่างน้อยถ้าเป็นเขา เขาก็จะทำท่าเป็นไม่มีทหารเหลือ แล้วใช้ทหารทั้งหมดซุ่มโจมตีทีเผลอ

    "แต่มันก็ไม่แน่นะ"

    "ก็จริงอยู่"

    "เดี๋ยวผมไปก่อนแล้วกัน"

    เลออนฮัลท์เดินลงจากเนินด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจากปกตินัก

    ผมเองก็อยากไปเหมือนกันนะ..

    "นี่ เลิกยืนอึ้งแล้วกลับไปเปิดประชุมฉุกเฉินกันได้แล้ว"

    "ใครยืนอึ้งกันคะ!"

    ว่าแล้วเซชิลีก็เดินลงเนินไปคนเดียว

    "คุณมิโน ดูท่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแล้วล่ะ เตรียมตัวรับการโจมตีของศัตรูไว้ดว้ย"

    "รับทราบ"

    เขาหยิบเมจิคไอเท็มสำหรับสื่อสารขึ้นมาและเริ่มออกคำสั่ง



    พอเข้าไปในเต้นท์ที่ตั้งขึ้นสำหรับการประชุม เขาก็พบกับแม่ทัพและผู้ช่วยต่างๆยืนอยู่รอบๆเหมือนกับการประชุมครั้งก่อน

    แต่สิ่งที่แตกต่างกันไปคือคราวนี้คืออัลฟอร์ดก็เข้าร่วมประชุมด้วย

    สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นดูแย่มาก ราวกับว่าจะสลบไปเมื่อไหร่ก็ได้

    ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ขยับไปมา ดูอยู่ไม่นิ่ง


    ระหว่างการประชุมนั้น การพูดคุยนั้นดำเนินไปถึงวิธีการบุกเข้าจักรวรรดิแล้ว ซึ่งในเหล่าคนที่พูดคุยกัน ก็มีหลายคนที่พยายามแสดงความกล้าหาญของตนออกมาต่อหน้าอัลฟอร์ด

    ซึ่งเหตุผลหลักๆที่พวกเขาเชื่อว่าจะชนะก็เป็นเพราะพวกเขาชนะมาตลอดนั่นแหละ

    แต่ทิศทางของการประชุมก็ถูกเปลี่ยนไปด้วยคำพูดของอัลฟอร์ดเพียงคำเดียวเท่านั้น

    "ถะ....ถอยทัพ! พวกเราจะหนี! ทุกคนไม่เห็นกองไฟที่ถูกจุดในเมืองเลยคิดว่าชนะได้น่ะสิ!"

    "ท่านอัลฟอร์ด ศัตรูไม่มีความจำเป็นต้องบอกจำนวนกำลังทหารให้แก่เราหรอก นั่นมันก็แค่กลอุบายถ่วงเวลา ถ้าเราจะถอยก็ควรจะถอยหลังจากก่อความเสียหายให้ศัตรูก่อนนะครับ"

    เลออนฮัลท์บอกอัลฟอร์ดด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก

    การจะถือว่ากองไฟนั่นเป็นกลอุบายหรือเปล่าก็เรื่องหนึ่ง

    แต่การที่อัลฟอร์ดเชื่อเป็นจริงเป็นจังนั่นเป็นปัญหา

    เพราะคนธรรมดาอย่างอัลฟอร์ดนั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำทัพครั้งนี้นี่เอง

    จะมีแผนแบบไหนถ้าเขาไม่อนุญาตก็ไม่สามารถกระทำตามได้

    อย่างน้อยถ้าเขาไม่อยู่ที่นี่ก็มีวิธีหลอกให้อนุญาตแท้..

    "หะ....หุบปากไป! อย่ามาขัดเรานะ! ถึงจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลพาราทีมก็เป็นลูกน้องของเราอยู่ดี! อย่าบอกนะว่าลืมจุดจบของคนที่ไม่ทำตามเราแล้วน่ะ!"

    "รอก่อนครับ! ถ้าไม่มีท่านเลออนฮัลท์ก็ไม่มีใครปกป้องท่านนะ"

    เคานต์พิสเคย์ออกตัวปกป้องเลออนฮัลท์

    ผลเสียที่ฆ่าโจเซฟทิ้งไปนั้นปรากฏขึ้นตรงนี้นี่เอง

    เด็กหนุ่มคนนี้รู้ถึงอำนาจของตนเองแล้ว

    "....แต่ยังไงก็ต้องเฝ้าดูศัตรูในเมืองมัลกับนะครับ จะสู้หรือหนีก็ต้องระวังเอาไว้ก่อน!"

    "ชะ...ใช่แล้ว! เฝ้ามอง! แค่ตอนนี้ศัตรูอาจจะมาหาเราเมื่อไหรก็ไม่รู้"

    อัลฟอร์ดได้ฟังโครโน่แล้วพูดแผนที่ตนเองคิดว่าดีขึ้นมาทันที

    "งั้นเดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องไปดำเนินการเอง"

    ผู้ที่เริ่มพูดก่อนถึงแม่ทัพใหญ่ที่ใส่เฝือกที่แขนนั่นเอง

    "....รับทราบครับ เราถอยเพื่อรักษาชีวิตของทหารไม่ให้เสียเปล่าดีกว่า"

    "ขะ..เข้าใจก็ดีแล้ว"

    เลออนฮัลท์ถอยทันที ราวกับรู้ว่าอธิบายไปก็เสียเปล่า

    พออัลฟอร์ดออกจากเต้นท์ เขาก็เดินออกไปบ้าง

    อดยิ้มไม่ได้จริงๆ

    ".....น่าขยะแขยงตริงนะคะ"

    "นี่ผมพยายามสกัดกลั้นความดีใจไว้แล้วนะ"

    เซชิลีถอยหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม

    "กลัวหรือคะ?"

    "กลัวสิ"

    หญิงสาวเบิกตากว้าให้กับคำพูดของโครโน่

    "ดิชั้นไม่กลัวหรอกค่ะ"

    "แต่ผมกลัวนะ กลัวที่จะตาย แล้วก็กลัวที่คนในบังคับบัญชาของผมจะตาย... เอาเถอะ คืนนี้รีบนอนแล้วกัน"

    "...ไม่ต้องบอกก็ได้ค่ะ"

    ตอนแรกเขาว่าจะเล่นมุกตลกลามกไปซักมุก แต่ช่างมันเถอะ

    "ท่านแม่ทัพ เป็นยังไงบ้าง?"

    "สถานการณ์ก็ยังแย่เหมือนเดิมแหละ แต่อย่างน้อยก็เหมือนเราจะได้กลับเขตแล้วแหละ.... แต่ก็อย่าประมาทแล้วกัน"

    ใช่แล้ว จนกว่าจะกลับไปถึงเขตโนวจิ.. ไม่สิ.. จนกว่าจะกลับไปถึงเขตเอรากิส เขาจะประมาทไม่ได้

    โครโน่พูดให้ตัวเองฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า


    *


    เช้าวันถัดมา โครโน่ก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังไปทั่ว พอเขาคว้าดาบสั้นยาวข้างตัวได้แล้วกระโจนออกไปนอกที่พัก เขาก็พบกับทหารของราชอาณาจักรลงเขามาพอดี

    นี่ไม่ใช่การโจมตีทีเผลออะไร เมื่อคืนพวกเขาเองก็จุดไฟแสดงให้รู้ถึงตัวตนของตนแล้ว

    ทหารของจักรวรรดิเองก็มีการวางเวรยามอยู่ตลอด


    จำนวนของทหารฝ่ายศัตรูนั้น....เกินห้าร้อยไปมากนัก

    "ท่านแม่ทัพ! ศัตรูบุก!"

    "รู้แล้ว! หน่วยของลิซาโดะกับฮอลส์ไปทำโล่กั้นถนนไว้! ส่วนหน่วยของไทกะใช้เวลานี้เตรียมหอก! เดเนป แอนริเด็ต ไล่เก็บศัตรูให้ได้มากที่สุด!"

    โชคดีสำหรับเขาจริงๆที่เขาเลือกที่จะพักบนถนน

    "แต่ทำไมกันล่ะ... เมื่อคืนพวกเราก็ตกลงกันว่าจะตรวจตรสเมืองมัลกับไว้แล้วแท้ๆ.... เดเนป! แอนริเด็ต! คนที่ล้มอยู่บนเดินนั่นเอล์ฟหรือเปล่า!"

    "แค่นี้พวกชั้นก็เต็มที่แล้วนะ!"

    "มนุษย์น่ะ ท่านโครโน่!"

    "โอ๊ยยยย ไอ้พวกบ้าาา!"

    ฝาแฝดตระโกนออกมาอย่างเหลืออด แต่ก็ไม่หยุดยิงธนูใส่ศัตรู

    ไอ้แม่ทัพที่ใส่เฝือกนั่นมันไม่ยอมใช้เอล์ฟเป็นยามเฝ้าทัพ

    ทุกอย่างกำลังมุ่งเข้าสู่สถานการณ์ที่แย่ที่สุด

    เหล่าทหารที่วิ่งหนีไปตามถนนต่างก็ถูกทหารม้าพุ่งเข้าชนจนกระเด็นไปทั่วอย่างไร้หนทางต่อต้าน

    "ไม่มีทางเลือกแล้วแฮะ"

    ถ้าไม่ต้อนศัตรูให้ถอยไปให้ได้ล่ะก็โดนฆ่าล้างบางแน่ แต่การจะไล่ทหารม้าออกไปมันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น

    สิ่งที่เข้ามาช่วยเขาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้..... ก็คือเลออนฮัลท์นั่นเอง

    เลออนฮัลท์ในชุดเกราะสีเงินนั้นใช้ดาบยาวไล่ต้อนทหารม้าของศัตรูจนสิ้น

    ถึงแม้ทหารม้าของศัตรูจะเข้ามารุมเขาถึงสิบคน  เขาก็ยืดใบดาบออกมาเหมือนกับที่เฟย์เคยทำแล้วกำจัดทหารม้าทั้งสิบภายในดาบเดียว

    เมื่อทหารศัตรูเห็นดังนั้น พวกเขาก็เกิดอาการตื่นกลัวขึ้นมา

    ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของศัตรูนั้นแย่ลง...

    "ตอนนี้แหละ! เก็บมัน!"

    ""ฉวยโอกาศซะไม่มี!""

    "...."

    ถึงสองสาวจะพูดแบบนั้น แต่พวกเธอกับนาซุลก็ปล่อยลูกธนูต่อไปไม่หยุดมือ

    เอล์ฟคนอื่นๆเองก็เหมือนกัน ถึงฝีมือจะด้อยกว่าทั้งสามคนอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็เก่งพอที่จะไม่ทำอะไรอย่างการยิงพวกเดียวกัน


    หลังจากกองกำลังของจักรวรรดิหนีออกไปทางถนนได้ประมาณเจ็ดในสิบ ทหารม้าของอีกฝั่งก็เริ่มหันหลังกลับ

    คงเลือกที่จะกลับไปรวมตัวแทนที่จะเข้ามาลึกเกินไปสินะ

    แต่ถึงอย่างนั้น ศพที่กองสูงอยู่ในค่ายนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นของทหารฝ่ายจักรวรรดิทั้งนั้น

    "ระ...เราถึงบอกว่าให้รีบถอยกลับไปไงล่ะ"

    "นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องแบบนั้นแล้วขอรับ!  เปิดการประชุมฉุกเฉิน! แม่ทัพกับผู้ช่วยทั้งหลายมารวมตัวกันที่นี่!"

    เคานต์พิสเคย์ให้อัลฟอร์ดที่ยังอยู่ในชุดนอนไปนั่งบนโขดหืนใกล้ๆ แล้วตระโกนเสียงดัง เรียกผู้ที่ยังเหลือรอดให้มารวมตัวกัน

    "ยังไม่ตายแฮะ"

    "ยะ...ยังไม่ตายแล้วผิดหรือคะ!?"

    เซชิลีในชุดขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของอัศวินรักษาพระองค์ตอบชายหนุ่มกลับ

    ดูท่าเธอจะไม่มีเวลาใส่เกราะเหล็กด้วยซ้ำ

    แถมดูจากกระดุมที่ติดผิดช่อง เธอคงหนีมาในสภาพที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จแน่ๆ


    การประชุมนั้นจบลงในเวลาไม่นาน แม่ทัพและผู้ช่วยที่เหลืออยู่นั้นมีแค่เลออนฮัลท์ เคาน์พิสเคย์ เซชิลีกับอีกกลุ่มหนึ่ง

    เหล่าทหารที่มีชีวิตรอดอยู่... รวมคนเจ็บเข้าไปด้วยก็มีเพียงห้าพันเศษๆเท่านั้น

    สถานการณ์ในตอนนี้มีแต่จะต้องถอยแล้ว.....



    "....ยังไงผมก็ยอมรับไม่ได้"

    "ถ้าไม่มีใครเสียสละเราทุกคนก็ตายกันหมดนะ มาร์ควิสเอรากิส"

    เคานต์พิสเคย์ตอบโครโน่

    นี่มันเหมือนเหตุการณ์ปีที่แล้วเลย

    ผลลัพธ์จากที่ประชุมคือ เหล่ากึ่งมนุษย์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยคน.... ซึ่งรวมลูกน้องของโครโน่ด้วย.... จะทำหน้าที่ต้านทานศัตรูเอาไว้

    "ผมเข้าใจ แต่ทำไมต้องเป็นกึ่งมนุษย์ล่ะ"

    "มันเป็นเรื่องที่ตัดสินไปแล้วนะ"

    ว่าแล้วเคานต์พิสเคย์ก็เดินออกไปจากที่ประชุม กลับสู่ที่พักของตน

    "ผู้ดูแล!"

    "จ้าๆ ชั้นอยู่นี่.... ตอนแรกตั้งใจจะมาหาเงินค่าขนมนิดหน่อยแท้ๆ ดันกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วสินะเนี่ย"

    "เงินเดี๋ยวผมออกเอง ตอนนี้รีบไปอบขนมปังกรอบมาเร็ว! อย่างด่วน!"

    "ก็... ได้อยู่หรอกนะ"

    เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็เดินกลับไปยังที่พักของตนและลูกน้อง


    "....ท่านแม่ทัพ พวกเราจะเป็นเหยื่อล่อสินะ?"

    "กับกึ่งมนุษย์อีกพันคนน่ะนะ.... ทุกคน! ปล่อยเต้นท์เอาไว้ไม่ต้องเก็บก็ได้! รีบรวบรวมอาวุธกับเครื่องป้องกันทั้งหลายบนพื้นมาซะ!"

    "คะ...คุณคิดอะไรอยู่น่ะคะ! แย่งของคนตายเนี่ยนะ! นี่เสียศักดิ์ศรีในฐานะขุนนาง..ไม่สิ.... ยังเหลือศักดิ์ศรีในฐานะมนุษย์อยู่รึเปล่าคะ!"

    โครโน่ไม่สนใจคำพูดของหญิงสาวแล้วเริ่มเก็บรวบรวมอาวุธและเครื่องป้องกันไปพร้อมๆกันลูกน้อง

    หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ปฏิบัติภารกิจเสร็จเรียบร้อย

    เมื่อกลับมาถึงเขตถนน เหล่าทหารที่มีชีวิตรอดก็เตรียมการถอยทัพเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    พวกเขา... เคาน์พิสเคย์.. เลออนฮัลท์.. เซชิลี... และเหล่าทหารที่ยังเหลือรอดทุกคน...

    ต่างก็หันมามองโครโน่

    "....อบขนมปังกรอบเสร็จแล้ว ถึงจะยังเหลือข้าวอีกนิดหน่อยก็เถอะ"

    "นี่... ผู้ดูแล"

    "มีอะไรอีกหรือ?"

    โครโน่ดึงหญิงสาวตรงหน้าเขาเข้ามากอดทั้งๆที่สีหน้าของเขายังแสดงถึงความไม่มั่นใจอยู่ ก่อนจะประทับริมฝีปากของเขาเข้ากับผู้ดูแล

    ตอนแรกนั้นผู้ดูแลก็ทำท่าตกใจ ทำอะไรไม่ถูก แต่ในที่สุดเธอก็พยายามหนีออกมาจากอ้อมกอดของโครโน่อย่างสุดความสามารถ

    "นะ....นึกว่าจะตายซะแล้ว..."

    เธอหายใจจนเต็มปอด แล้วค้อนชายหนุ่มกลับนิดหน่อย

    แต่เขาก็ไม่คิดจะบ่นอะไรหรอก





    เขายังไม่อยากตาย

    ยังมีเรื่องที่อยากทำอยู่อีกเยอะเลย

    เรื่องพัฒนาพื้นที่นาก็ยังครึ่งๆกลางๆอยู่ โรงงานกระดาษก็พึ่งจะเริ่มประสบความสำเร็จไปเอง

    หอพักทหารใหม่ก็ยังไม่เห็น

    แล้วก็... แล้วก็....

    เขายังอยากเอาเรย์ร่า เอเลน่า ผู้ดูแล แล้วก็ริโอะมาเป็นของตนอีกครั้ง

    อา... รวมเฟย์ไปด้วยก็ดีนะ น่าเสียดายจริงๆ

    โถ่ว้อย.. ทำไมตอนนั้นเขาไม่ถือโอกาสตอนทีเรียเมาจับหน้าอกเธอกันนะ

    "...โทษที เผอิญผู้ดูแลน่ารักไปหน่อยน่ะ... ถ้ากลับไปถึงเขตแล้ว.. จะจัดให้จนยืนไม่ไหวเลยไหม?"

    "ยะ...อย่ามาพูดเรื่องบ้าๆน่า! เดี๋ยวชั้นตายกันพอดี!"


    ฮะๆ

    ชายหนุ่มหัวเราะ แล้วเดินออกห่างจากผู้ดูแล

    "จะอยู่ที่นี่เหรอ?"

    "อืม เพราะงั้นผู้ดูแลช่วยส่งจดหมายไปที่เขตที"

    เขาสอดจดหมายที่ตนเขียนลงในร่องหน้าอกของผู้ดูแล แล้วจึงหันหน้ามาหาพวกพ้องของตนทุกคน

    "งั้นค่าขนมปังเดี๋ยวให้ติดไว้ก่อนละกัน! เพราะงั้น... มีชีวิตรอดกลับมาด้วยล่ะ!"

    "แน่นอน!"

    ที่ๆเขาจะไปหลังจากนี้นั้นยากลำบาก

    ไม่มีอะไรมายืนยันว่าเขาจะมีชีวิตรอด

    ขาของเขาสั่นไปหมด

    แต่ถึงอย่างนั้น.. เขาก็กัดฟันแล้วออกเดินไป




    "ทุกคน... มีชีวิตรอดแล้วกลับไปพร้อมๆกันเถอะ!"


    ชายหนุ่มมองไปที่ลูกน้องทุกคน

    แล้วหัวเราะออกมา


















    มุมบ่นของผู้แปล (ไม่ต้องอ่านก็ได้ครับ จะพยายามไม่สปอยมาก)

    อีก..... ตอน...... เดียว.....

    แต่เป็นตอนที่ยาวโคตรๆมาก....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×