ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #171 : ความผิดของเฒ่าหม่าในอดีต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.66K
      708
      12 ก.พ. 63

    เจ้าอ้วนเหอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อเห็นฉินหลิงในยามนี้ ท่าทางหล่อเหลาอหังการที่จัดการกลุ่มศิษย์รับใช้ที่มาปล้นเขาเมื่อสองปีก่อนไม่มีอยู่ในตัวพี่ชายตรงหน้าของเขาอีกแล้ว “พี่ฉิน... ท่านมัวแต่ฝึกฝนศาสตร์แห่งอักขระโดยไม่ได้บำเพ็ญตนเลยน่ะ อายุไขของพวกเราที่อยู่ในชนชั้นก่อตั้งวิญญาณมีเพียง150ถึง200ปีเท่านั้น แถมท่านยังเริ่มต้นบำเพ็ญเพียรช้ากว่าพวกข้าอีก ข้าว่าท่านค่อยกลับมาเรียนรู้หลังก้าวสู่ขั้นสร้างฐานก็ยังไม่สายน่ะ”

     

    ตั้งแต่เขาได้รู้จักกับฉินหลิงมา2ปีกว่าก็ทำให้เจ้าอ้วนเหอรับรู้เรื่องราวของพี่ชายผู้นี้มาบ้างและเขาเองก็ได้ทราบว่ากว่าที่ฉินหลิงจะเข้าสู่หนทางฝึกตนก็มีอายุปาไปหกสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นอายุไขของพี่ชายตรงหน้าก็เหลือเพียงเกือบร้อยปีเท่านั้น

     

    ร้อยปีหากเป็นปุถุชนก็ถือว่ายาวนาน แต่สำหรับผู้ฝึกตนที่เก็บตัวบำเพ็ญตนครั้งล่ะหลายปี เวลาเพียงร้อยปีจึงไม่นับได้ว่าเป็นอันใดเลย

     

    เจ้าอ้วนเหอที่พึ่งก้าวข้ามสู่ระดับก่อตั้งวิญญาณขั้น3มองไปทางฉินหลิงที่มีพลังเท่าเดิมอย่างกังวลใจ

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้ยินคำเตือนของชายหนุ่มร่างอ้วนตรงหน้า หลังจากผ่านไป2ปี ใบหน้าเจ้าอ้วนเปลี่ยนไปไม่น้อยจากเด็กน้อยพุงพุ้ยร่างอ้วนวัย16ปีก่อนหน้าได้กลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้ว

     

    “เอาน่าๆ...เจ้ารอข้าที่นี้ก่อนล่ะกัน ข้าไปอาบน้ำล้างตัวซักครู่แล้วเราค่อยไปหาอะไรกินกัน” ฉินหลิงไม่ได้ตอบเรื่องการฝึกตนกับเจ้าอ้วนมากนัก เพราะอย่างไรตัวเขาก็มีแนวทางของตัวเอง การกระทำของเขาได้ผ่านการไตร่ตรองอย่างดีแล้ว

     

    ทางด้านเจ้าอ้วนเหอได้ยินฉินหลิงบอกว่าให้รอในห้องนี้ เขาก็รีบปฏิเสธและวิ่งไปรอหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้ก้าวเข้ามายังห้องเล็กๆที่ติดกับห้องนอนของฉินหลิง เขาก็พบกับบรรยากาศน่าขนลุกทุกครั้ง หากไม่เพราะมีฉินหลิงนั่งอยู่เขาคงไม่กล้าเข้าไปอยู่ภายในอย่างเด็ดขาด

     

    ฉินหลิงที่เห็นท่าทางหวาดกลัวของเจ้าอ้วนก็ส่ายหัวเบาๆ

     

    หลังจากเขาได้พักอยู่ในบ้านหลังนี้ ฉินหลิงก็ได้ทำความเข้าใจห้องเล็กที่เหมือนห้องเก็บห้องของ แน่นอนว่าการที่เขาเสียเวลาไปไม่น้อยเพื่อทำความเข้าใจสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้น จึงทำให้เขาได้ข้อสรุปที่สำคัญ คลื่นพลังที่ทำให้พลังจิตของเขาถูกเปิดขึ้นนั้นมีต้นกำเนิดอยู่ตรงกลางห้องและพลังนั้นยังทำให้พลังจิตของเขาพัฒนาอย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่าเขาสามารถใช้พลังจิตลอบสังหารผู้อื่นได้อย่างไม่ทิ้งล่องลอยใดๆไว้เลย

     

    หากในอดีตเขาสามารถเคลื่อนเก้าอี้ขึ้นบนอากาศและระเบิดออกก็ใช้พลังจิตไปจนหมด เวลานี้เขามีความสามารถมากพอที่จะระเบิดสมองของผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณได้อย่างไม่ยากเย็น

     

    อย่างไรก็ตามคุณค่าที่แท้จริงของพลังจิตวิญญาณที่ก่อตัวในตำแหน่งหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองคือความสามารถในการจารึกอักขระ หลังจากทดลองใส่คลื่นพลังจิตลงไปในปลายพู่กัน อัตราความสำเร็จของการจารึกยันต์เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

     

    เขาจึงสรุปได้ในใจว่าพรสวรรค์ที่ผู้ฝึกตนสายอักขระวิถีต้องมีตามที่เหล่าผู้คนพูดถึงกัน ย่อมต้องเป็นคลื่นพลังจิตอย่างแน่นอน เพียงแต่ในโลกฝึกตนยังไม่มีใครมีแนวทางหรือเคล็ดวิชาสายพลังจิตเหมือนสำนักปีศาจทมิฬของเขาที่มีเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬที่ช่วยเปิดจุดพลังจิตวิญญาณในร่าง ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกฝนอักขระนั้นต้องใช้เวลามากมายเพื่อเพิ่มพลังจิตที่พวกเขาไม่รู้จัก

     

    ผ่านไปไม่นาน เจ้าอ้วนเหอที่ยืนรอก็ได้ยินเสียงเดินตามมาด้านหลังจึงหันกลับไปมอง

     

    ชายหนุ่มผมยาวสวมชุดสีเขียวซีดๆจนแทบจะกลายเป็นสีขาวเดินออกมาด้วยท่าทางสบายก่อนจะก้มดึงต้นหญ้าบนพื้นดินขึ้นมาและเอามามัดผมที่ยังคงเต็มไปด้วยหยดน้ำเป็นทรงหางม้า

     

    เจ้าอ้วนเหอเห็นท่าทางและหน้าตาของชายหนุ่มตรงหน้าก็เผยความอิจฉาอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าพี่ฉินของเขาหล่อกว่าในอดีตยามที่พวกเขาได้พบกันครั้งแรกเสียอีก

     

    “ไปกันเถอะ วันนี้หาอะไรดีๆกินกันซักหน่อย ข้าเลี้ยงเอง” ฉินหลิงกล่าวออกมาพร้อมกับท่าทีหิวโหย ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณจะสามารถอดข้าวได้นานนับเดือน แต่ตัวเขาที่จดจ่ออยู่กับการสลักอักขระมานานจึงใช้พลังงานเยอะกว่าปกติและทำให้ร่างกายเรียกร้องต้องการอาหารเข้าไปทันทีหลังจากผ่านไปเพียงสิบกว่าวัน

     

    ดวงตาเจ้าอ้วนเหอเปล่งประกายเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะเลี้ยงข้าว

     

    ต้องรู้ว่าที่ผ่านมาฉินหลิงได้ทำการค้ากับตาเฒ่าหม่าจนทำให้เขาได้รับหินวิญญาณมามากมาย ด้วยส่วนแบ่งแปดจากสิบส่วนที่ได้รับจากการค้าขวดโอสถชนิดใหม่ทำให้เขาสามารถฝึกฝนการจารึกอักขระได้อย่างไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าฉินหลิงจะถือได้ว่ามีพรสวรรค์ในวิถีแห่งการจารึกอักขระ แต่ค่าใช้จ่ายที่ใช้ฝึกฝนก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันนับร้อยเท่า หากไม่ใช่เพราะเขามีแหล่งเงินทุนจากการค้าขวดโอสถ เขาคงไม่มีทางก้าวหน้าในวิถีแห่งอักขระได้เป็นแน่

     

    นอกจากนี้การผลิตขวดโอสถชนิดใหม่ยังมีต้นทุนที่ต่ำ ด้วยค่าใช้จ่ายที่ใช้จ้างปุถุชนจึงทำให้เขาแทบไม่ต้องลงทุนใดๆเลย

     

    หลังจากเดินผ่านไปซักพักหนึ่งเจ้าอ้วนเหอก็เดินเข้ามากระซิบ “พี่ฉิน ข้าได้ข่าวมาแล้วว่าทำไมตาเฒ่าหม่าถึงถูกส่งมาเป็นผู้อาวุโสภายนอกและต้องมาดูแลศิษย์รับใช้อย่างพวกเรา”

     

    “โอ้... มันเป็นเพราะอะไรรึ?” ฉินหลิงเองก็สนใจเรื่องราวของตาเฒ่าหม่าไม่น้อย ต้องรู้ว่าพวกเขาแอบทำการค้าโดยใช้ตาเฒ่าหม่าเป็นโล่บังหน้าและเขาก็พอได้รู้มาว่าตาเฒ่าหม่าไปผิดใจกับชนชั้นสูงในสำนักจนถูกขับออกมาจากตำแหน่งศิษย์ชั้นสูงและต้องมาเป็นผู้อาวุโสภายนอกที่ไม่มีใครอยากเป็น

     

    เจ้าอ้วนหันมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก่อนอื่นท่านต้องไม่เชื่อแน่ว่าในอดีตตาแก่นั้นถูกเรียกว่าอัจฉริยะ”

     

    ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเจ้าอ้วนอีกครั้งราวกับต้องการยืนยันว่าสิ่งที่มันพูดถูกต้อง ตาแก่ไร้ยางอายผู้นั้นกับคำว่าอัจฉริยะมันช่างดูแตกต่างกันราวกับสวรรค์และโลกเลย

     

    “หึหึ... ร้อยปีก่อนชายแก่ผู้นั้นเป็นศิษย์ภายในอันดับหนึ่งของสำนักเลยทีเดียว นอกจากนี้ความสามารถในการต่อสู้ก็เรียกได้ว่าไร้เทียมทานจนมีโอกาสถูกเลือกเป็นศิษย์สืบทอด พี่ฉินท่านเข้าใจรึไม่ศิษย์สืบทอดคืออะไร ศิษย์สืบทอดคือตำแหน่งของศิษย์ที่เรียกได้ว่าเป็นอสุรกายในร่างมนุษย์ แม้แต่ผู้อาวุโสยังต้องมีท่าทางนอบน้อม ”

     

    “เอาล่ะบอกมาได้แล้วว่าทำไมตาเฒ่านั้นถึงถูกขับออกมาเป็นผู้อาวุโสตัวเล็กๆที่ไม่มีอำนาจใดๆเลยล่ะ?” ฉินหลิงอดไม่ไหวที่จะกล่าวออกมา เขาไม่อยากจะฟังเจ้าอ้วนพล่ามไร้สาระเพิ่ม

     

    เจ้าอ้วนเหอกรอกตาใส่ชายด้านข้างเมื่อได้ยินคำพูดขัดจังหวะของฉินหลิง “ผู้ที่ขับตาเฒ่าหม่าออกจากตำแหน่งศิษย์ภายในให้มาเป็นผู้อาวุโสภายนอกจริงๆแล้วคือเจ้าสำนักคนปัจจุบัน”

     

    ฉินหลิงเองก็เบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว เจ้าสำนักขจีไพรสันคือผู้อยู่จุดสูงสุดของสำนักแห่งนี้และเป็นคนกุมชะตาเหล่าศิษย์ทั้งหมด ที่สำคัญคนผู้นั้นยังเป็นบิดาแท้ๆของชิงชิงอีกด้วย

     

    หลังจากค่ำคืนนั้นเขาก็ไม่ได้พบหลานชิงชิงอีกเลย แม้แต่ตราประทับประจำตัวของนางที่ทิ้งไว้นางก็ไม่ได้กลับมาเอาคืน ข่าวสารใดๆเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสันต่างล่องลอยเข้ากลีบเมฆ

     

    สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจคือทำไมเจ้าสำนักที่มุ่งหวังให้สำนักเจริญก้าวหน้าถึงกลั่นแกล้งตาเฒ่าหม่าที่เป็นถึงอันดับหนึ่งของรุ่นให้มาเป็นผู้อาวุโสภายนอกที่แทบไม่มีโอกาสสร้างผลงานใดๆเลย

     

    “พี่ฉินแล้วรู้ไหมว่าเหตุผลที่ตาเฒ่าหม่าถูกบีบให้มาอยู่ในบ้านไม้หลังโทรมนั้นคืออะไร?

     

    ฉินหลิงเองก็ส่ายหัวเบาๆ กับเรื่องราวที่เกิดกับชายชราผู้นั้น ฉินหลิงเองก็เดาไม่ถูกจริงๆว่าเขาทำอะไรผิด

     

    “ตาเฒ่าผู้นั้นไปบุกเข้าไปหาเจ้าสำนักในขณะเก็บตัวเพราะต้องการหยุดยั้งงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวเจ้าสำนักกับศิษย์สืบทอดจากสำนักคุนเผิงที่เป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งฝ่ายธรรมะ อย่างไรก็ตามการกระทำของเฒ่าหม่าก็ทำให้เจ้าสำนักเกิดเพลิงพิโรธจนเกือบสังหารเขาไป แต่ยังโชคดีที่มีผู้อาวุโสบางส่วนเข้ามาห้ามไว้และถูกสั่งลงโทษด้วยการจองจำในคุกใต้ดินหลายสิบปี”

     

     สีหน้าของเจ้าอ้วนเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าเล็กน้อยขณะที่กำลังจะเอ่ยเรื่องต่อไป “แต่เมื่อเขาถูกปล่อยตัวออกมา เขากลับพบว่าคุณหนูผู้นั้นซึ่งเป็นรักแรกของเขาสิ้นชีพไปเเล้ว เเละที่สำคัญคุณหนูท่านนั้นสิ้นชีพย์เพราะฆ่าตัวตาย... ตาเฒ่าหม่าที่รับรู้เรื่องนี้เข้าก็บ้าคลั่งบุกเข้าไปสู้เป็นตายกับเจ้าสำนัก ไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาเพียงไม่กี่สิบปีในคุกใต้ดินตาเฒ่าหม่าไปทำอะไรมาจึงเลื่อนพลังเข้าสู่ขั้นหลอมรวมได้ พลังขั้นหลอมรวมคืออะไร?  มันคือระดับพลังขั้นเดียวกับเจ้าสำนัก  ท่านคิดดูสิตาเฒ่าหม่าที่มีอายุร้อยกว่าปีก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมรวมได้สำเร็จ พรสวรรค์ที่เรียกได้ว่าอันดับหนึ่งกับต้องมาเป็นศัตรูกับสำนักตัวเอง แต่อย่างไรเจ้าสำนักที่อยู่ในขั้นหลอมรวมมานานก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าเป็นธรรมดา จนสุดท้ายเขาก็สยบเฒ่าหม่าได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เฒ่าหม่าที่บ้าคลั่งมีหรือที่จะยอมจบง่ายๆ.. เขาเตรียมจะระเบิดร่างตัวเองเพื่อลากเจ้าสำนักและสำนักแห่งนี้ไปพร้อมกับเขา”

     

    “แล้วเป็นอย่างไรต่อ?” ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อได้ฟังประวัติของตาเฒ่าหม่า

     

    “สุดท้ายท่านบรรพชนที่เก็บตัวก็ปรากฏตัวขึ้นขวางการระเบิดร่างตัวเองของตาเฒ่าหม่าและทำให้เส้นลมปราณในร่างของเฒ่าหม่าเสียหายจนพลังกลับมาอยู่ในขั้นแก่นทองคำ การกบฏของเฒ่าหม่าถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา ผู้อาวุโสที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเจ้าสำนักก็ออกมาใส่ร้ายเจ้าสำนักที่ขายลูกสาวตัวเองและยังทำให้ศิษย์ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งต้องถูกทำลาย เรียกได้ว่าเวลานั้นวุ่นวายจนแทบเกิดสงครามภายใน แต่ยังดีที่บรรพชนชั้นประสานวิญญาณเข้ามาควบคุมและเกลี้ยกล่อมฝ่ายต่างๆจนทำให้แต่ล่ะฝ่ายต่างถอยคนล่ะก้าว”

     

    “เรื่องเกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้ว?” ฉินหลิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

     

    เจ้าอ้วนเผยสีหน้าสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ “จากที่ข้าแอบฟังมาเรื่องการต่อสู้ของเฒ่าหม่ากับเจ้าสำนักน่าจะผ่านมาไม่ถึงสิบปีนี้เอง”

     

    ฉินหลิงที่ได้ยินก็เผยสีหน้าซับซ้อนและคาดการได้ทันทีว่าสตรีที่ตาเฒ่าหม่าหลงรักย่อมต้องเป็นน้องสาวของชิงชิงและมารดาของอาไป๋เด็กน้อยที่เขาบังเอิญเจอในเมืองของปุถุชนอย่างแน่นอน

     

    นอกจากความรักจะเป็นสิ่งสวยงาม มันก็ยังเป็นต้นเหตุแห่งภัยพิบัติอีกด้วย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×