ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #170 : รีดไถ่เฒ่าหม่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.62K
      787
      12 ก.พ. 63

    ตาเฒ่าหม่าเหลือบมองป้ายประจำตัวของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสันด้วยอารมณ์ซับซ้อน ในคราแรกเขาไม่ได้ให้ความสนใจในตัวฉินหลิงมากนัก เขาคิดเพียงแค่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาเพียงแค่โชคดีที่ได้พบเจอกับหลานชิงชิงจนสามารถเข้าสู่สำนักได้โดยใช้วิธีลัด

     

    แต่ดูเหมือนความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับคุณหนูใหญ่จะแตกต่างจากที่เขาคิดไว้มากแล้ว

     

    เพียงแค่ศิษย์รับใช้ที่ไม่มีสถานะใดๆในสำนักมีหรือจะอยู่ในสายตาของคุณหนูใหญ่ แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับสามารถถือตราประจำตัวของหญิงสาวที่เรียกได้ว่าสูงศักดิ์ที่สุดในสำนักมาต่อหน้าเขา ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้คิดอะไรกับชายหนุ่มคนนี้

     

    “เพียงแค่ตราของคุณหนูใหญ่อันนี้ก็มากพอแล้ว” ตาเฒ่าหม่าเองก็ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามรายละเอียดปลีกย่อยอื่นใด แต่หากชายหนุ่มตรงหน้ามีความสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาไม่น้อย

     

    “แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมสำหรับการสร้างขวดโอสถอีกรึไม่?” เฒ่าหม่าเอ่ยถามถึงเรื่องการค้าของพวกเขา

     

    “ไม่ต้องกังวลสำหรับเรื่องนั้นข้าจัดการเอง.. แต่ข้าจำเป็นต้องออกจากสำนักซักระยะหนึ่งจะเป็นปัญหาอะไรรึไม่?” ฉินหลิงเอ่ยถึงความต้องการของเขา เพราะการผลิตขวดแก้วนั้นจำเป็นต้องใช้วัสดุเฉพาะที่หาได้บางที่เท่านั้น

     

    “ไม่มีปัญหา เรื่องการออกจากสำนัก ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง” เฒ่าหม่าเอ่ยปากรับรอง แน่นอนว่าตัวเขาที่ทำหน้าที่ดูแลศิษย์รับใช้สามารถจัดการเรื่องการเข้าออกสำนักได้อย่างง่ายดาย

     

    ในตอนแรกตาเฒ่าหม่ายังคิดที่จะขอส่วนแบ่งเพิ่มจากฉินหลิงอีกเล็กน้อย เพราะอย่างไรตัวเขาที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสูงย่อมต้องการใช้หินวิญญาณมากกว่าผู้ฝึกตนขั้นแรก แต่ดูเหมือนว่าแผนการกดดันของเขาจะพังไปตั้งแต่เขาได้รู้ความสัมพันธ์ของชายหนุ่มและคุณหนูใหญ่ชิงชิง

     

    “เจ้ายังต้องการอะไรอีกรึไม่?” ชายชราเอ่ยออกมาด้วยท่าทางใจดีแตกต่างจากครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันราวกับเป็นคนละคน

     

    ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวให้กับนิสัยของเฒ่าหม่าและเอ่ยความต้องการของเขาอีกอย่างทันที “ข้าต้องการอุปกรณ์มิติ!

     

    รอยยิ้มของเฒ่าหม่าแข็งค้างทันทีเมื่อได้ฟังคำขอของชายหนุ่มตรงหน้า ท่าทีใจดีของชายชราหายไปภายในพริบตา เขาไม่คิดเลยว่าคำพูดเกรงใจของตัวเองจะถูกฉินหลิงตอบกลับมาด้วยคำขอที่ยากเย็น

     

    “อะแฮ่ม... เจ้าหนุ่มไม่ใช่ว่าข้าจะหวงของวิเศษสายมิติหรอกน่ะ แต่พลังของเจ้ายังคงไม่อาจรักษาสมบัติระดับนี้ได้จริงๆ หากข้าให้เจ้าไปก็เหมือนเป็นการทำร้ายเจ้าทางอ้อม ในฐานะผู้อาวุโสข้าไม่อาจเห็นลูกศิษย์ตัวน้อยๆต้องสิ้นชีพเพราะโลภในสมบัติ” ชายชราเอายออกมาด้วยท่าทางเหมือนกับผู้อาวุโสที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์ด้วยความรักใคร่

     

    สิ่งที่เฒ่าหม่าเอ่ยออกมาทำให้ฉินหลิงหัวเราะอยู่ในใจ

     

    “ขวดโอสถของข้าสามารถเก็บเม็ดยาระดับ4ได้อย่างไม่มีปัญหา หากท่านไม่สนใจจริงๆ ข้าเองก็จำใจต้องไปทำการค้ากับตึกใหญ่โตที่อยู่ด้านข้างนี้เสียแล้ว” ฉินหลิงถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยใจพร้อมกับหันเดินออกไป

     

    ฟุบ!

     

    ขณะนั้นเองตาเฒ่าหม่าที่กำลังตกตะลึงก็รีบพุ่งเข้าไปกางแขนขวางกั้นตรงประตูไม่ใช่ชายหนุ่มออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    “ฮาๆ... ใจเย็นๆข้าไม่ได้บอกซักคำว่าข้าไม่ตกลง” ภายในหัวของชายชราคิดถึงผลได้ผลเสียอย่างรวดเร็ว หากในตอนแรกเขาคิดเพียงแค่ว่าขวดโอสถของชายหนุ่มตรงหน้าสามารถขายได้ในประมาณหินวิญญาณร้อยก้อน ซึ่งตัวเขาที่ได้สองจากสิบส่วนก็จะเหลือเพียงแค่ยี่สิบก้อน หินวิญญาณเพียงแค่ไม่กี่ก้อนเช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนขั้นแกนทองคำเช่นเขา

     

    อย่างไรก็ตามเรื่องราวจะต่างออกไปทันทีเมื่อขวดโอสถในมือของฉินหลิงสามารถบรรจุเม็ดยาระดับ4ได้ ต้องอย่าลืมว่าการปรุงยาระดับ4ได้ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมซึ่งถือได้ว่ายืนอยู่จุดสูงสุดของทวีปแห่งนี้แล้ว หากไม่รวมตาเฒ่าประสานวิญญาณที่เก็บตัวลับรอวันตาย ดังนั้นการซื้อขวดบรรจุเม็ดยาระดับสี่ที่มีราคานับพันหินวิญญาณย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจสำหรับนักปรุงยาชั้นสูง

     

    ฉินหลิงเผยรอยยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นท่าทางของชายชรา การที่เขากล้าบอกถึงคุณค่าของขวดโอสถนี้เป็นเพราะเขามั่นใจว่าตัวเขาต้องปลอดภัย ต้องอย่าลืมว่าการค้าครั้งนี้เขาได้เอาชื่อของชิงชิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายชราผู้นี้จะกล้ากระทำการชั่วร้าย

     

    ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าเฒ่าหม่าไม่ใช่คนชั่วอะไรนัก แต่เมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องก็สามารถเปลี่ยนจากคนดีให้กลายเป็นอสูรกายได้เช่นกัน

     

    “ถ้าท่านตกลงเช่นนั้นก็...” ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับแบมือตรงหน้าเฒ่าหม่า

     

    เฒ่าหม่ากัดฟันแน่นเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้ายื่นมือขออุปกรณ์มิติจากเขาด้วยท่าทีสดใส ตัวเขาที่ผ่านโลกมาอย่างยาวนานยังมีอุปกรณ์มิติเพียง2ชิ้น แต่ในเวลานี้กลับกำลังจะโดนแย่งไปโดยผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณ

     

    ชายชราดึงแหวนเงินที่มีหินสีดำฝังอยู่ตรงกลางให้ชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยท่าทางอ่อนแรง

     

    ฉินหลิงที่รับแหวนเงินที่เป็นอุปการณ์มิติมาด้วยความอยากรู้ ตั้งแต่แรกเขาเคยเห็นชิงชิงและเฒ่าหม่าเคยเสกสิ่งของให้ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่าจึงทำให้เขาอยากสัมผัสของวิเศษอย่างแหวนวงนี้อย่างยิ่ง

     

    หลังจากได้รับแหวนมิติมาเขาก็รีบส่งพลังวิญญาณในร่างเข้าไปภายในแหวนเล็กน้อย ภาพพื้นที่ว่างปรากฏขึ้นในหัวของฉินหลิงพร้อมกับสิ่งของเล็กๆน้อยๆที่หลงเหลืออยู่ด้านใน

     

    ช่องว่างภายในอุปกรณ์มิติในมือของฉินหลิงนั้นไม่ได้กว้างดั่งที่เขาคิดไว้มากนัก แต่พื้นที่ด้านในเพียงพอที่จะเก็บวัวขนาดใหญ่ได้ซักตัวหนึ่งเท่านั้น

     

    เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของฉินหลิง ชายชราจึงเอ่ยขึ้นมา “เจ้าหนู.. เจ้าต้องเก็บแหวนมิติชิ้นนี้ให้ดีอย่าให้ผู้ใดเห็นมันง่ายๆ ต้องอย่าลืมว่าอุปกรณ์มิติชิ้นนี้ ข้าต้องใช้จ่ายไปไม่น้อยกว่าจะได้ครอบครองมันและไม่ง่ายเลยที่จะหามาได้ ดังนั้นเจ้าจงรักษามันให้ดี เจ้าคงรับรู้ได้ถึงพื้นที่ด้านในของมันแล้วสิน่ะ แต่ข้าขอเตือนว่าอย่าได้ส่งสิ่งมีชีวิตเข้าไปด้านในเด็ดขาด มิเช่นนั้นยามที่เจ้าเรียกมันออกมามันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตแทน”

     

    เห็นได้ชัดว่าตาเฒ่าหม่าเอ่ยด้วยความหวังดี ถึงแม้เขาจะสูญเสียของรักของตัวเองไปแต่เขาก็ไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายต่อฉินหลิงและเอ่ยด้วยท่าทางเป็นห่วง

     

    หลังจากโยนแหวนมิติของเขาให้ฉินหลิง ตาเฒ่าหม่าก็หันกลับไปนอนยังเก้าอี้ตัวเดิมด้วยท่าทางอ่อนล้า

     

    อย่างไรก็ตามเมื่อเขาหันกลับมาก็ยังพบฉินหลิงยืนนิ่งอยู่กับที่ “มีอะไรอีกรึไม่?

     

    “ข้าต้องการยืมหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกฝึกตนจากท่าน ไม่ว่าจะเป็นประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียง แนวทางการฝึกตนหรือตำราของวิเศษ อะไรก็ได้ที่ท่านพอมี” ฉินหลิงเอ่ยถึงสิ่งที่เขาต้องการ แน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องการนั้นคือข้อมูล ในโลกแห่งการฝึกตนยังเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับที่เขาไม่รู้มากมาย ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเขาย่อมต้องการศึกษาสิ่งต่างๆให้มากที่สุด หากในอนาคตเขามีโอกาสได้พบของวิเศษล้ำค่าจะได้ปล่อยทิ้งไปอย่างไร้ประโยชน์

     

    ตาเฒ่าหม่าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อสิ่งที่ชายหนุ่มผู้นี้ขอไม่ใช่อะไรที่เอารัดเอาเปรียบเขาอีก หลังจากโดนชิงแหวนมิติไปต่อหน้าเขาก็ไม่กล้าดูถูกชายหนุ่มผู้นี้อีกแล้ว ด้วยการต่อรองที่ราวกับนักรีดไถ่มืออาชีพทำให้เขาหวั่นเกรงอยู่ในใจว่าจะสูญเสียสิ่งของล้ำค่าไปอีก

     

    ฉินหลิงที่เห็นชายชราชี้ไปทางมุมห้องก็เดินไปสำรวจอย่างรวดเร็ว

     

    กองหนังสือที่ถูกกองจนฝุ่นเกาะแน่นทำให้ฉินหลิงอดคิดไม่ได้ว่าชายชราคิดกลั่นแกล้งคืนเรื่องที่เขาเอาอุปกรณ์มิติมากจากเขา

     

    ตำรารวบรวมสมุนไพรระดับต้น

    คัมภีร์ของวิเศษจากฟ้าดิน

    แนวทางแห่งวิถีคมมีด

    แผนที่ทวีปหนานหวู่

     

    หลังจากได้เปิดดูตำราที่ตั้งกองทิ้งไว้ เขาก็พบว่าเนื้อหาภายในไม่ใช่สิ่งที่โกหกอย่างแน่นอน แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมชายชราถึงเอาคัมภีร์ล้ำค่าเหล่านี้มาตั้งทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจ

     

    “คัมภีร์เหล่านี้คือสิ่งที่มีขายอยู่ทั่วไปไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร หากเจ้าต้องการก็หยิบไปเถิด” เสียงของเฒ่าหม่าดังขึ้นโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองฉินหลิงแต่อย่างใด

     

    ต้องรู้ว่าฉินหลิงเข้าสู่เส้นทางการฝึกตนโดยไม่มีใครแนะนำ เขาเคยกระทั้งฝืนกลืนโอสถระดับ3ไปโดยไม่รู้คุณค่าของมัน แตกต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่นที่เกิดมาพร้อมกับการมีตระกูลหรือสำนักหนุนหลัง จึงทำให้ภูมิความรู้ของเขาในหนทางฝึกตนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

     

    อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นช้าก็ดีกว่าไม่ได้คิดที่จะเริ่มต้น

     

    ..........................................

     

    เพียงพริบตากาลเวลาก็ไหลผ่านไป2ปีอย่างรวดเร็ว

     

    ภายในบ้านไม้หลังหนึ่งที่ตั้งห่างจากภูเขาลูกใหญ่อันเป็นที่ตั้งของสำนักขจีไพรสันหลายสิบลี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่กับการเขียนอักษรแปลกๆอยู่บนกระดาษสีเหลือง สภาพโดยรอบของห้องเต็มไปด้วยเศษกระดาษที่กองทับถมจนทำให้ดูสกปรกไม่ต่างจากรังของสัตว์ป่า

     

    หน้าตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคราบเปื้อนจากหยดน้ำหมึกที่ส่งกลิ่นคาวของโลหิต ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเจิงฟูพันกันจนเหมือนรังนก เสื้อผ้าส่งกลิ่นเหม็นออกมาจนทำให้ผู้คนรังเกียจได้ไม่ยากเลย แต่หากมองให้ดีจะสังเกตได้ถึงแววตาที่งดงามดั่งอัญมณีล้ำค่าซ่อนอยู่

     

    ครืดๆๆ!! เสียงประตูถูกเปิดขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในร่างอ้วน

     

    “พี่ฉิน...เกือบสิบวันแล้วน่ะที่พี่ไม่ออกมา โอ้..แล้วนี้ท่านทำห้องรกอีกแล้วรึ?” ชายหนุ่มร่างอ้วนตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อเห็นสภาพห้อง แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มเก็บกวาด

     

    ผ่านไปไม่นาน ห้องรกราวกับรังหนูก็กลับสู่สภาพเดิมในขณะที่เจ้าของห้องยังคงจดจ่ออยู่กับใช้พู่กันเขียนยันต์อย่างบ้าคลั่งราวกับตัดสัมผัสทั้งห้าโดยรอบทิ้งไป

     

    เมื่อเจ้าอ้วนเหอเห็นสภาพของฉินหลิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาพบเห็นพี่ชายหมกมุ่นอยู่กับการจารึกอักขระจนไม่ได้กินไม่ได้พัก หากไม่ใช่เขาที่คอยดูแลมีหรือที่ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงมีชีวิตรอด

     

    “พี่ฉินนน!!!!” เจ้าอ้วนเหอตะโกนข้างหูเพื่อหยุดการจารึกยันต์แผ่นใหม่ของฉินหลิง

     

    ฉินหลิงในสภาพที่ไม่ต่างจากขอทานก็หยุดกึก ก่อนจะหันมาทางต้นเสียง “อ่อ..เจ้าอ้วนนี้เอง ได้เวลากินข้าวแล้วรึ?

     

    คิ้วของเจ้าอ้วนกระตุกขึ้นลงเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชายตรงหน้า เขาอยู่ทำความสะอาดห้องเกือบหนึ่งชั่วยาม พี่ท่านยังไม่รู้ตัวอีก หากข้าคิดปลิดชีพท่านจริง ท่านคงตายไม่รู้ตัวเลยกระมัง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×