คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #170 : รีดไถ่เฒ่าหม่า
ตาเฒ่าหม่าเหลือบมองป้ายประจำตัวของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสันด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ในคราแรกเขาไม่ได้ให้ความสนใจในตัวฉินหลิงมากนัก
เขาคิดเพียงแค่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาเพียงแค่โชคดีที่ได้พบเจอกับหลานชิงชิงจนสามารถเข้าสู่สำนักได้โดยใช้วิธีลัด
แต่ดูเหมือนความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับคุณหนูใหญ่จะแตกต่างจากที่เขาคิดไว้มากแล้ว
เพียงแค่ศิษย์รับใช้ที่ไม่มีสถานะใดๆในสำนักมีหรือจะอยู่ในสายตาของคุณหนูใหญ่
แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับสามารถถือตราประจำตัวของหญิงสาวที่เรียกได้ว่าสูงศักดิ์ที่สุดในสำนักมาต่อหน้าเขา
ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้คิดอะไรกับชายหนุ่มคนนี้
“เพียงแค่ตราของคุณหนูใหญ่อันนี้ก็มากพอแล้ว”
ตาเฒ่าหม่าเองก็ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามรายละเอียดปลีกย่อยอื่นใด แต่หากชายหนุ่มตรงหน้ามีความสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาไม่น้อย
“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมสำหรับการสร้างขวดโอสถอีกรึไม่?” เฒ่าหม่าเอ่ยถามถึงเรื่องการค้าของพวกเขา
“ไม่ต้องกังวลสำหรับเรื่องนั้นข้าจัดการเอง.. แต่ข้าจำเป็นต้องออกจากสำนักซักระยะหนึ่งจะเป็นปัญหาอะไรรึไม่?” ฉินหลิงเอ่ยถึงความต้องการของเขา
เพราะการผลิตขวดแก้วนั้นจำเป็นต้องใช้วัสดุเฉพาะที่หาได้บางที่เท่านั้น
“ไม่มีปัญหา เรื่องการออกจากสำนัก ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
เฒ่าหม่าเอ่ยปากรับรอง
แน่นอนว่าตัวเขาที่ทำหน้าที่ดูแลศิษย์รับใช้สามารถจัดการเรื่องการเข้าออกสำนักได้อย่างง่ายดาย
ในตอนแรกตาเฒ่าหม่ายังคิดที่จะขอส่วนแบ่งเพิ่มจากฉินหลิงอีกเล็กน้อย
เพราะอย่างไรตัวเขาที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสูงย่อมต้องการใช้หินวิญญาณมากกว่าผู้ฝึกตนขั้นแรก
แต่ดูเหมือนว่าแผนการกดดันของเขาจะพังไปตั้งแต่เขาได้รู้ความสัมพันธ์ของชายหนุ่มและคุณหนูใหญ่ชิงชิง
“เจ้ายังต้องการอะไรอีกรึไม่?” ชายชราเอ่ยออกมาด้วยท่าทางใจดีแตกต่างจากครั้งแรกที่พวกเขาเจอกันราวกับเป็นคนละคน
ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวให้กับนิสัยของเฒ่าหม่าและเอ่ยความต้องการของเขาอีกอย่างทันที
“ข้าต้องการอุปกรณ์มิติ!”
รอยยิ้มของเฒ่าหม่าแข็งค้างทันทีเมื่อได้ฟังคำขอของชายหนุ่มตรงหน้า
ท่าทีใจดีของชายชราหายไปภายในพริบตา เขาไม่คิดเลยว่าคำพูดเกรงใจของตัวเองจะถูกฉินหลิงตอบกลับมาด้วยคำขอที่ยากเย็น
“อะแฮ่ม...
เจ้าหนุ่มไม่ใช่ว่าข้าจะหวงของวิเศษสายมิติหรอกน่ะ
แต่พลังของเจ้ายังคงไม่อาจรักษาสมบัติระดับนี้ได้จริงๆ
หากข้าให้เจ้าไปก็เหมือนเป็นการทำร้ายเจ้าทางอ้อม ในฐานะผู้อาวุโสข้าไม่อาจเห็นลูกศิษย์ตัวน้อยๆต้องสิ้นชีพเพราะโลภในสมบัติ”
ชายชราเอายออกมาด้วยท่าทางเหมือนกับผู้อาวุโสที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์ด้วยความรักใคร่
สิ่งที่เฒ่าหม่าเอ่ยออกมาทำให้ฉินหลิงหัวเราะอยู่ในใจ
“ขวดโอสถของข้าสามารถเก็บเม็ดยาระดับ4ได้อย่างไม่มีปัญหา
หากท่านไม่สนใจจริงๆ ข้าเองก็จำใจต้องไปทำการค้ากับตึกใหญ่โตที่อยู่ด้านข้างนี้เสียแล้ว”
ฉินหลิงถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยใจพร้อมกับหันเดินออกไป
ฟุบ!
ขณะนั้นเองตาเฒ่าหม่าที่กำลังตกตะลึงก็รีบพุ่งเข้าไปกางแขนขวางกั้นตรงประตูไม่ใช่ชายหนุ่มออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮาๆ... ใจเย็นๆข้าไม่ได้บอกซักคำว่าข้าไม่ตกลง”
ภายในหัวของชายชราคิดถึงผลได้ผลเสียอย่างรวดเร็ว หากในตอนแรกเขาคิดเพียงแค่ว่าขวดโอสถของชายหนุ่มตรงหน้าสามารถขายได้ในประมาณหินวิญญาณร้อยก้อน ซึ่งตัวเขาที่ได้สองจากสิบส่วนก็จะเหลือเพียงแค่ยี่สิบก้อน
หินวิญญาณเพียงแค่ไม่กี่ก้อนเช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนขั้นแกนทองคำเช่นเขา
อย่างไรก็ตามเรื่องราวจะต่างออกไปทันทีเมื่อขวดโอสถในมือของฉินหลิงสามารถบรรจุเม็ดยาระดับ4ได้
ต้องอย่าลืมว่าการปรุงยาระดับ4ได้ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมซึ่งถือได้ว่ายืนอยู่จุดสูงสุดของทวีปแห่งนี้แล้ว หากไม่รวมตาเฒ่าประสานวิญญาณที่เก็บตัวลับรอวันตาย
ดังนั้นการซื้อขวดบรรจุเม็ดยาระดับสี่ที่มีราคานับพันหินวิญญาณย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจสำหรับนักปรุงยาชั้นสูง
ฉินหลิงเผยรอยยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นท่าทางของชายชรา
การที่เขากล้าบอกถึงคุณค่าของขวดโอสถนี้เป็นเพราะเขามั่นใจว่าตัวเขาต้องปลอดภัย ต้องอย่าลืมว่าการค้าครั้งนี้เขาได้เอาชื่อของชิงชิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายชราผู้นี้จะกล้ากระทำการชั่วร้าย
ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าเฒ่าหม่าไม่ใช่คนชั่วอะไรนัก
แต่เมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องก็สามารถเปลี่ยนจากคนดีให้กลายเป็นอสูรกายได้เช่นกัน
“ถ้าท่านตกลงเช่นนั้นก็...” ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับแบมือตรงหน้าเฒ่าหม่า
เฒ่าหม่ากัดฟันแน่นเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้ายื่นมือขออุปกรณ์มิติจากเขาด้วยท่าทีสดใส
ตัวเขาที่ผ่านโลกมาอย่างยาวนานยังมีอุปกรณ์มิติเพียง2ชิ้น แต่ในเวลานี้กลับกำลังจะโดนแย่งไปโดยผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณ
ชายชราดึงแหวนเงินที่มีหินสีดำฝังอยู่ตรงกลางให้ชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยท่าทางอ่อนแรง
ฉินหลิงที่รับแหวนเงินที่เป็นอุปการณ์มิติมาด้วยความอยากรู้
ตั้งแต่แรกเขาเคยเห็นชิงชิงและเฒ่าหม่าเคยเสกสิ่งของให้ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่าจึงทำให้เขาอยากสัมผัสของวิเศษอย่างแหวนวงนี้อย่างยิ่ง
หลังจากได้รับแหวนมิติมาเขาก็รีบส่งพลังวิญญาณในร่างเข้าไปภายในแหวนเล็กน้อย
ภาพพื้นที่ว่างปรากฏขึ้นในหัวของฉินหลิงพร้อมกับสิ่งของเล็กๆน้อยๆที่หลงเหลืออยู่ด้านใน
ช่องว่างภายในอุปกรณ์มิติในมือของฉินหลิงนั้นไม่ได้กว้างดั่งที่เขาคิดไว้มากนัก
แต่พื้นที่ด้านในเพียงพอที่จะเก็บวัวขนาดใหญ่ได้ซักตัวหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของฉินหลิง
ชายชราจึงเอ่ยขึ้นมา “เจ้าหนู.. เจ้าต้องเก็บแหวนมิติชิ้นนี้ให้ดีอย่าให้ผู้ใดเห็นมันง่ายๆ
ต้องอย่าลืมว่าอุปกรณ์มิติชิ้นนี้ ข้าต้องใช้จ่ายไปไม่น้อยกว่าจะได้ครอบครองมันและไม่ง่ายเลยที่จะหามาได้
ดังนั้นเจ้าจงรักษามันให้ดี เจ้าคงรับรู้ได้ถึงพื้นที่ด้านในของมันแล้วสิน่ะ
แต่ข้าขอเตือนว่าอย่าได้ส่งสิ่งมีชีวิตเข้าไปด้านในเด็ดขาด
มิเช่นนั้นยามที่เจ้าเรียกมันออกมามันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตแทน”
เห็นได้ชัดว่าตาเฒ่าหม่าเอ่ยด้วยความหวังดี ถึงแม้เขาจะสูญเสียของรักของตัวเองไปแต่เขาก็ไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายต่อฉินหลิงและเอ่ยด้วยท่าทางเป็นห่วง
หลังจากโยนแหวนมิติของเขาให้ฉินหลิง
ตาเฒ่าหม่าก็หันกลับไปนอนยังเก้าอี้ตัวเดิมด้วยท่าทางอ่อนล้า
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาหันกลับมาก็ยังพบฉินหลิงยืนนิ่งอยู่กับที่ “มีอะไรอีกรึไม่?”
“ข้าต้องการยืมหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกฝึกตนจากท่าน
ไม่ว่าจะเป็นประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียง แนวทางการฝึกตนหรือตำราของวิเศษ
อะไรก็ได้ที่ท่านพอมี” ฉินหลิงเอ่ยถึงสิ่งที่เขาต้องการ แน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องการนั้นคือข้อมูล
ในโลกแห่งการฝึกตนยังเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับที่เขาไม่รู้มากมาย
ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเขาย่อมต้องการศึกษาสิ่งต่างๆให้มากที่สุด
หากในอนาคตเขามีโอกาสได้พบของวิเศษล้ำค่าจะได้ปล่อยทิ้งไปอย่างไร้ประโยชน์
ตาเฒ่าหม่าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อสิ่งที่ชายหนุ่มผู้นี้ขอไม่ใช่อะไรที่เอารัดเอาเปรียบเขาอีก
หลังจากโดนชิงแหวนมิติไปต่อหน้าเขาก็ไม่กล้าดูถูกชายหนุ่มผู้นี้อีกแล้ว
ด้วยการต่อรองที่ราวกับนักรีดไถ่มืออาชีพทำให้เขาหวั่นเกรงอยู่ในใจว่าจะสูญเสียสิ่งของล้ำค่าไปอีก
ฉินหลิงที่เห็นชายชราชี้ไปทางมุมห้องก็เดินไปสำรวจอย่างรวดเร็ว
กองหนังสือที่ถูกกองจนฝุ่นเกาะแน่นทำให้ฉินหลิงอดคิดไม่ได้ว่าชายชราคิดกลั่นแกล้งคืนเรื่องที่เขาเอาอุปกรณ์มิติมากจากเขา
ตำรารวบรวมสมุนไพรระดับต้น
คัมภีร์ของวิเศษจากฟ้าดิน
แนวทางแห่งวิถีคมมีด
แผนที่ทวีปหนานหวู่
หลังจากได้เปิดดูตำราที่ตั้งกองทิ้งไว้ เขาก็พบว่าเนื้อหาภายในไม่ใช่สิ่งที่โกหกอย่างแน่นอน
แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมชายชราถึงเอาคัมภีร์ล้ำค่าเหล่านี้มาตั้งทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจ
“คัมภีร์เหล่านี้คือสิ่งที่มีขายอยู่ทั่วไปไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร
หากเจ้าต้องการก็หยิบไปเถิด”
เสียงของเฒ่าหม่าดังขึ้นโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองฉินหลิงแต่อย่างใด
ต้องรู้ว่าฉินหลิงเข้าสู่เส้นทางการฝึกตนโดยไม่มีใครแนะนำ
เขาเคยกระทั้งฝืนกลืนโอสถระดับ3ไปโดยไม่รู้คุณค่าของมัน แตกต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่นที่เกิดมาพร้อมกับการมีตระกูลหรือสำนักหนุนหลัง จึงทำให้ภูมิความรู้ของเขาในหนทางฝึกตนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นช้าก็ดีกว่าไม่ได้คิดที่จะเริ่มต้น
..........................................
เพียงพริบตากาลเวลาก็ไหลผ่านไป2ปีอย่างรวดเร็ว
ภายในบ้านไม้หลังหนึ่งที่ตั้งห่างจากภูเขาลูกใหญ่อันเป็นที่ตั้งของสำนักขจีไพรสันหลายสิบลี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่กับการเขียนอักษรแปลกๆอยู่บนกระดาษสีเหลือง
สภาพโดยรอบของห้องเต็มไปด้วยเศษกระดาษที่กองทับถมจนทำให้ดูสกปรกไม่ต่างจากรังของสัตว์ป่า
หน้าตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคราบเปื้อนจากหยดน้ำหมึกที่ส่งกลิ่นคาวของโลหิต
ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเจิงฟูพันกันจนเหมือนรังนก
เสื้อผ้าส่งกลิ่นเหม็นออกมาจนทำให้ผู้คนรังเกียจได้ไม่ยากเลย แต่หากมองให้ดีจะสังเกตได้ถึงแววตาที่งดงามดั่งอัญมณีล้ำค่าซ่อนอยู่
ครืดๆๆ!!
เสียงประตูถูกเปิดขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในร่างอ้วน
“พี่ฉิน...เกือบสิบวันแล้วน่ะที่พี่ไม่ออกมา
โอ้..แล้วนี้ท่านทำห้องรกอีกแล้วรึ?” ชายหนุ่มร่างอ้วนตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อเห็นสภาพห้อง
แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มเก็บกวาด
ผ่านไปไม่นาน ห้องรกราวกับรังหนูก็กลับสู่สภาพเดิมในขณะที่เจ้าของห้องยังคงจดจ่ออยู่กับใช้พู่กันเขียนยันต์อย่างบ้าคลั่งราวกับตัดสัมผัสทั้งห้าโดยรอบทิ้งไป
เมื่อเจ้าอ้วนเหอเห็นสภาพของฉินหลิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาพบเห็นพี่ชายหมกมุ่นอยู่กับการจารึกอักขระจนไม่ได้กินไม่ได้พัก
หากไม่ใช่เขาที่คอยดูแลมีหรือที่ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงมีชีวิตรอด
“พี่ฉินนน!!!!”
เจ้าอ้วนเหอตะโกนข้างหูเพื่อหยุดการจารึกยันต์แผ่นใหม่ของฉินหลิง
ฉินหลิงในสภาพที่ไม่ต่างจากขอทานก็หยุดกึก
ก่อนจะหันมาทางต้นเสียง “อ่อ..เจ้าอ้วนนี้เอง ได้เวลากินข้าวแล้วรึ?”
คิ้วของเจ้าอ้วนกระตุกขึ้นลงเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชายตรงหน้า
เขาอยู่ทำความสะอาดห้องเกือบหนึ่งชั่วยาม พี่ท่านยังไม่รู้ตัวอีก หากข้าคิดปลิดชีพท่านจริง
ท่านคงตายไม่รู้ตัวเลยกระมัง
ความคิดเห็น