ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #63 : เข้าวังหลวง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.74K
      1.61K
      14 ก.ค. 62

    เช้าวันรุ่งขึ้น หน้าหอการค้าตะวันฉายภายในเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเหยียน

     

    ขบวนรถม้าหรูหรายาวเหยียด  มีขันทีจากภายในวังหลวงและเหล่าทหารองครักษ์ยืนอยู่หน้าหอการค้าแห่งนี้อย่างเป็นระเบียบ ด้านหน้าฝูงชนจากภายในวังหลวงมีชายชราผู้หนึ่งที่สวมชุดขันทีดูสง่ายืนหลับตานิ่งเพื่อรอชายที่จะทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองออกมาจากที่พัก

     

    เมื่อเห็นคนในวังยืนกดดันอยู่ด้านหน้าหอการค้าตะวันฉาย เหล่าผู้คุ้มกันฝีมือดีของฉินหลิงที่ยืนป้องกันอยู่ด้านหน้าก็กำกระบี่ในมือแน่น ราวกับหากอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดี พวกเขาพร้อมชักกระบี่จู่โจมออกไปทันที

     

    ระหว่างสองฝ่ายดูท่าทีกัน เสียงเปิดประตูบานใหญ่ของหอการค้าตะวันฉายก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างชายหนุ่มที่เดินออกมาอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังเดินอยู่ที่สวนหลังบ้าน

     

    ฉินหลิงที่เห็นคนทั้งสองกลุ่มมีท่าทีเหมือนพร้อมปะทะกันทุกเวลา เขาก็หรี่ตาลงพิจารณาทางด้านคนจากในวังก่อนจะเผยรอยยิ้มอออกมา  “ พวกท่านมาทำอะไรกันที่แห่งนี้รึ  ในเวลานี้หอการค้าตะวันฉายยังไม่เปิด รออีกซักครึ่งชั่วยามค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน ”

     

    เปลือกตาที่ถูกปิดอยู่ของฝูกงกงเปิดขึ้นมองชายหนุ่มที่องค์ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ ข้าเดินทางมารับท่านผู้สำเร็จราชการเพื่อไปยังวังหลวง  

     

    เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังขึ้น “ ทำไมข้าต้องไปวังหลวงด้วยเล่า  แล้วข้าบอกตอนไหนว่าจะไปเป็นผู้สำเร็จราชการอะไรนั้น พวกเจ้าคิดเองเออเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับข้า ”

     

    “ ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งท่านแล้ว ดังนั้นท่านจึงมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของแคว้นต้าเหยียน ทุกวาจาของท่านเหมือนดั่งคำพูดของฝ่าบาท ”

     

     “ ในเมื่อคำพูดของข้าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น หากว่าข้าต้องการดูว่าท่านเป็นขันทีจริงรึไม่ ท่านจะถอดผ้าให้ข้าพิสูจน์ได้รึไม่  ” ฉินหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะตัวเขาไม่เข้าใจในตัวฮ่องเต้ต้าเหยียนแม้แต่น้อยที่อยู่ๆมาแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้สำเร็จราชการ เขาจึงไม่อาจประมาทได้เพราะไม่แน่อาจจะเป็นของแผนของฮ่องเต้ที่วางไว้เพื่อให้เขาติดหลุมพรางก็เป็นได้

     

    ขันทีเฒ่าแซ่ฝู ผู้ที่ทำงานรับใช้ฮ่องเต้มาตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนและได้รับความนับถือจากผู้คนอย่างมากมาย แม้แต่เหล่าสนมหรือแม้กระทั้งขุนนางชั้นสูงที่เห็นเขายังต้องเคารพอย่างนอบน้อม เพียงแต่วันนี้เขาพึ่งเคยเห็นชายหนุ่มที่ล่ำลือว่าเป็นอันธพาลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นต้าเหยียน และคำสั่งแรกในฐานะผู้สำเร็จราชการของชายหนุ่มผู้นี้คือต้องการให้ตัวเขาถอดผ้าเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นขันทีจริงรึไม่

     

    เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของขันทีชราผู้นี้ ฉินหลิงจึงเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับฝูกงกงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ บอกข้ามาเถอะกงกง ทำไมฮ่องเต้ถึงต้องการแต่งตั้งให้ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้ายที่สั่งให้ท่านถอดเสื้อผ้าพิสูจน์ของลับของท่านกลางถนน ”

     

    ฝูกงกงที่โดนหยามเกียรติก็กำหมัดแน่น ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องเมื่อวานที่เกิดบนท้องพระโรง ตั้งแต่เหล่าขุนนางที่พากันฟ้องร้องฉินหลิง ไปจนถึงยามที่ฮ่องเต้โมโหจนขาดสติและแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน

     

    ฉินหลิงที่ตั้งใจฟังเรื่องราวทั้งหมดก็จมอยู่ในห้วงความคิดต่างๆ ทั้งยังสงสัยว่าทำไมฮ่องเต้ต้องทำเช่นนี้หรือเขาเป็นเพียงฮ่องเต้โง่เขลาที่ต้องการประชดประชันขุนนางที่ไม่ได้เรื่อง เลยพาลยกตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมาให้เขา หรือว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ต้องการยืมอำนาจตระกูลฉินมาจัดการข่มตระกูลทั้งสี่

     

    แต่ไม่ว่ายังไงข่าวที่เขาเป็นผู้สำเร็จราชการถูกประกาศออกไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกวางแผนมาไว้เป็นอย่างดี

     

    ในเมื่อเขาไม่อาจหนีไปได้ จึงเหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือต้องเผชิญหน้าเข้าไป และบางทีแผนที่เขาวางไว้อาจจะสำเร็จง่ายกว่าที่คิดก็เป็นได้

     

    หลังจากครุ่นคิดเสร็จ ฉินหลิงก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาและเอ่ยออกมาเสียงดัง “ ในเมื่อฮ่องเต้ต้าเหยียนรู้ซึ้งถึงความยอดเยี่ยมของข้าขนาดนี้ ถ้าข้ายังปฏิเสธตำแหน่งนี้อีกคงเสียมารยาทแล้ว เช่นนั้นกงกงท่านนี้โปรดเตรียมเกี้ยวสิบแปดคนหามให้ข้าด้วย  ข้าต้องการเดินทางไปรอบเมืองหลวงเพื่อประกาศให้ชาวบ้านทุกหย่อมหญ้ารู้ว่าข้ากำลังไปว่าราชการแทนองค์ฮ่องเต้  

     

    เหล่าคนที่มาจากวังหลวงต่างเบิกตากว้างกับคำกล่าวของชายหนุ่มผู้นี้ ไหนจะเกี้ยวสิบแปดคนหาม ไหนจะเดินไปรอบเมืองหลวง หรือท่านไม่คิดจะเดินทางเข้าวังเลยรึไงถึงได้ทำอะไรเช่นนี้

     

    “ ท่านผู้สำเร็จราชการโปรดอย่าสร้างความยุ่งยากให้แก่พวกเราอีกเลย ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรจริงๆ ขอเพียงแค่ท่านไปท้องพระโรงเพื่อฟังคำร้องของชาวบ้านตาดำๆบ้างเถอะ  ” ฝูกงกงก้มหัวลงขอร้องแล้วขบฟันเอ่ยออกมาเพราะตอนนี้เขาไม่ได้หวังอะไรกับชายหนุ่มผู้นี้อีกแล้ว ทั้งกริยามารยาทเละความคิดที่ต่ำทรามยิ่งกว่าอันธพาลข้างถนนเสียอีก ไม่รู้ทำไมฮ่องเต้ถึงต้องการให้ชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นเนผู้สำเร็จราชการกันแน่

     

    “ เพียงแค่เกี้ยวสิบแปดคนหามยังมีให้ข้าไม่ได้เลย วังหลวงนี้มันจนจริงๆ ข้าจะนั่งรถม้าของข้าไปเอง พวกเจ้าก็นำทางไปละกัน ” เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินกลับไปด้านหลังซึ่งมีองครักษ์หมิงยืนรออยู่ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “ เตรียมยอดฝีมือระดับสูงไว้ ให้ปลอมเป็นคนขับรถม้า ข้าไม่มั่นใจว่านี้จะเป็นแผนของฮ่องเต้รึไม่ ”

     

    หมิงฮ่าวพยักหน้ายืนยันก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว

     

    ผ่านไปไม่นานรถม้าคันหรูที่มีตราของหอการค้าตะวันฉายวิ่งตามขบวนรถม้าที่มาจากวังหลวง

     

    ระหว่างทางไม่มีเหตุการณ์ใดผิดปกติจนถึงกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นเขตเหนือและใต้ ซึ่งมีทหารในชุดเกราะยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบราวกับกำลังรอต้อนรับฉินหลิง

     

    เมื่อรถม้าของฉินหลิงเดินมาถึง เหล่าทหารที่ยืนเฝ้าประตูต่างคุกเข่าลงปล่อยให้รถม้าผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย

     

    หลังจากรถม้าของฉินหลิงเดินทางเข้าสู่เขตฝั่งเหนือของเมืองหลวงต้าเหยียน เขารู้สึกราวว่าความแตกต่างของฝั่งใต้และฝั่งเหนือราวกับโลกและสวรรค์ ตั้งแต่ถนนหนทางที่เขตฝั่งเหนือถูกปูขึ้นจากหินอย่างดี บ้านเรือนที่สร้างขึ้นอย่างใหญ่โตราวกับปราสาท  มีทหารเดินลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างจากเขตใต้ที่แออัดไปด้วยผู้คนและสิ่งสกปรกต่างๆที่ถูกทิ้งไว้ตามท้องถนน

     

    ตามแตกต่างของชนชั้นช่างน่ากลัว ฉินหลิงจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชนชั้นสูงที่ชอบสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวเมือง พวกเขาทำราวกับผู้คนเป็นดั่งมดปลวก เพียงเพราะพวกเขามีโอกาสที่เหนือกว่าและเมื่อเห็นความเป็นอยู่ของชนชั้นล่างจึงดูถูกออกมาด้วยความดูหมิ่น

     

    ค่านิยมเช่นนี้ถูกส่งผ่านมากันรุ่นต่อรุ่นจนก่อเกิดเป็นเหมือนศักดิ์ศรีที่ชนชั้นสูงต้องคอยข่มชนชั้นล่าง ทั้งที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทหารกล้าที่คอยปกป้องบ้านเมืองก็มาจากคนที่พวกเขาดูถูกนั้นแหละ

     

     หมิงฮ่าวที่นั่งอยู่ในรถม้ากับฉินหลิงก็เห็นผู้เป็นเจ้านายกำลังมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาก็นึกย้อนกลับมาว่า เพียงแค่หนึ่งปีกว่าๆเท่านั้น  เจ้านายหนุ่มผู้นี้ของเขาสามารถไต่เต้าจากที่ตัวเองไม่มีอะไรจนสร้างกลุ่มการค้าขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลไม่ต่างกับขุมอำนาจขนาดใหญ่ และวันนี้เขากับได้แต่งตั้งเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ เรียกได้ว่าอยู่ใต้คนเพียงหนึ่งเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ความสามารถนี้เรียกได้ว่าท้าสวรรค์เกินไปแล้ว

     

    ใช้เวลาอีกราวชั่วก้านธูปรถม้าขบวนยาวเหยียดของเขาก็เดินทางมาถึงยังวังหลวงแห่งแคว้นต้าเหยียน

     

    กำแพงหินที่ถูกสร้างมาอย่างยาวนานคือสิ่งแรกที่ท่านจะเห็นได้หลังจากเดินทางมาถึง และประตูไม้สีแดงบานใหญ่ที่มีรูปปั้นมังกรอยู่ด้านบน คือทางเข้าวังหลวงแห่งนี้ ซึ่งโดยรอบก็มีทหารที่สวมชุดสีเขียวเดินไปมาด้วยแรงกดดันที่ไม่ธรรมดาซึ่งพวกเขาคือองครักษ์หลวงซึ่งทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยวังหลวง

     

    รถม้าของฉินหลิงหยุดลงทันทีเมื่อเขาเข้ามายังภายในวังหลวง พร้อมด้วยฝูกงกงที่กำลังยืนรอฉินหลิงออกมาจากรถม้า

     

    เมื่อเห็นฉินหลิงเดินออกมา กงกงชราก็เอ่ยถาม “ ท่านต้องการพักก่อนรึไม หรือต้องการไปยังท้องพระโรงเลย ในปกติเวลานี้จะมีขุนนางมารอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อรายงานราชกิจต่างๆแล้ว”

     

    ฉินหลิงพยักหน้าเข้าใจ “ เช่นนั้นก็ไปท้องพระโรงเลยก็แล้วกัน เสียเวลามามากแล้ว ”

     

    ฝูกงกงมองฉินหลิงพลางนึกในใจว่าหากไม่ใช่เพราะเขายืนหยัดที่จะเอารถม้าคันหรูของตัวเองมาให้ได้ พวกเขาก็คงไม่ต้องเสียเวลาเช่นนี้หรอก ก่อนจะเดินนำทางผู้สำเร็จราชการวัยหนุ่มผู้นี้ไปยังท้องพระโรง

     

    ในระหว่างการเดินทางไปยังท้องพระโรง  ฉินหลิงที่นั่งอยู่บนเกี้ยวก็สังเกตโดยรอบด้วยความสนใจ และสังเกตเห็นถึงความงดงามของภายในวังหลวง การตกแต่งที่เน้นออกถึงธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกปลูกขึ้น สระน้ำที่มีบัวหลากสีสันลอยอยู่ บรรยากาศที่เงียบสงบ ถูกรวมกันก่อให้เป็นภาพที่วิจิตรงดงาม

     

    กงกงวัยหนุ่มอีกคนที่เป็นคนเดินอยู่ด้านข้างเกี้ยวของเขาก็คอยบอกถึงสถานที่ต่างๆให้ฉินหลิงที่กำลังนั่งชมบรรยากาศบนเกี้ยวฟัง โดยไม่รู้เลยว่าน้ำเสียงของขันทีหนุ่มไม่ได้เข้าหูชายหนุ่มแม้แต่น้อย

     

    หลังจากเดินทางได้ไม่นาน ฉินหลิงก็มาถึงท้องพระโรงซึ่งเป็นที่ทำการคุยราชการงานแลกเปลี่ยนของขุนนางและผู้เป็นราชา

     

    ท้องพระโรงของแคว้นต้าเหยียนถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถรองรับขุนนางได้นับพัน และบางโอกาสยังใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงในโอกาสต่างๆได้อีกด้วย

     

    แต่เมื่อฉินหลิงเดินเข้ามายังภายในท้องพระโรง สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นก็คือชายในชุดขุนนางที่มีอายุน้อยเพียงคนเดียวนั่งอยู่ในห้องอย่างเงียบเหงาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

     

    จากสิ่งที่เกิดขึ้นภายในท้องพระโรงจึงทำให้ฉินหลิงหันไปถามฝูกงกง “ พวกเหล่าขุนนางรู้รึไม่ ว่าวันนี้ข้าจะมาทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ ?

     

    ขันทีชราเผยสีหน้าอับอายก่อนจะก้มหน้าแล้วเอ่ยออกมา “ หลังจากฮ่องเต้ออกราชโองการแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้สำเร็จราชการ ข้าก็ได้แจ้งขุนนางทุกคนในห้องแล้วว่าวันนี้ท่านจะเข้ามาทำหน้าที่วันแรก และขอให้ขุนนางทุกท่านมาเข้าประชุม ”

     

    ฉินหลิงพยักหน้า “ แล้วยามนี้ถึงเวลาที่ต้องเข้าประชุมของพวกขุนนางแล้วรึยัง ”

     

    ฝูกงกงพยักหน้ายืนยัน

     

    เมื่อได้รับการยืนยันของฝูกงกง ฉินหลิงก็เดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้สีดำตัวใหญ่ที่ตั้งไว้ต่ำกว่าบัลลังก์มังกรเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองขุนนางวัยเด็กที่กำลังยกมือคารวะเขาอยู่ด้วยสีหน้าสนอกสนใจและเอ่ยถาม “ เจ้าชื่ออะไรรึ ”

     

    “ เรียนท่านผู้สำเร็จราชการ ข้าน้อยอู๋ชินถง ขุนนางระดับแปด ” ขุนนางหน้าเด็กก้มหน้าลงและเอ่ยออกมา

     

    ในราชวงศ์หลี่ของต้าเหยี่ยนได้แบ่งระดับขุนนางฝ่ายพลเรือนออกเป็นเก้าระดับ โดยไล่ระดับจากขุนนางขั้นหนึ่งซึ่งคือผู้ทำหน้าที่เป็นราชครูและอุปราชซึ่งเป็นคนดูความเรียบร้อยของบ้านเมือง ขุนนางระดับที่สองคือเจ้ากองกรมที่ต้องดูแลกิจการของบ้านเมือง ส่วนขุนนางระดับสามคือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองหรือผู้ตรวจการส่วนต่างๆ  ขุนนางในระดับสี่ลงไปก็มีอำนาจหน้าที่ลดหลั่นตามลงไป หากขุนนางที่มีระดับเดียวกันแต่หากผู้ใดสังกัดอยู่ในเมืองหลวงมักจะมีอำนาจสูงกว่าขุนนางที่ระดับเท่ากันแต่ทำงานในเมืองอื่น ดังที่ชายหนุ่มตระกูลเกาที่ฉินหลิงเคยพบเจอยังเมืองชินโจวสามารถหยิ่งยโสได้ เพราะไม่เพียงเขาจะมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง เขายังมีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางขั้นห้าซึ่งถูกแต่งตั้งในเมืองหลวง จึงทำให้เขามีอำนาจยิ่งกว่าขุนนางขั้นห้าจากเมืองชินโจว

     

    เมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเป็นเพียงขุนนางขั้นแปดก็ทำให้ฉินหลิงรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าชายผู้นี้เป็นเพียงขุนนางตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น

     

    “ ทำไมเจ้าถึงมาเข้าประชุม มิใช่พวกเจ้านัดกันไม่เข้ามาประชุมหรอกรึ ” ฉินหลิงยิ้มออกไปพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

     

    อู๋ชินถงเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มผู้นี้จะรู้ถึงคำสั่งของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่รวมหัวกันสั่งว่าห้ามให้ความร่วมมือกับชายหนุ่มแซ่ฉินโดยเด็ดขาด เพราะพวกเขาต้องการตอบโต้ความเอาแต่ใจขององค์ฮ่องเต้ที่ออกราชโองการอะไรโดยไม่คิดให้ดี

     

     “ ที่ข้าตัดสินใจมาเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ เพราะต้องการมาขอร้องท่าน ได้โปรดเห็นแก่ชาวบ้านตาดำๆช่วยไปขอร้องให้ฮ่องเต้ให้ถอนรับสั่งด้วยเถิดขอรับ ข้ารู้ว่าท่านเองก็ไม่ต้องการมาทำงานเช่นนี้ แต่เมื่อวานฮ่องเต้อาจจะตรัสออกมาด้วยความโกรธ จึงทำให้ท่านต้องเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว แต่ต่อจากนี้ไปขุนนางผู้ใหญ่คงไม่กล้าฟ้องร้องท่านต่อหน้าฮ่องเต้อีกแล้ว ” เอ่ยจบอู๋ชิงถงก้มหัวลงกับพื้นขอร้อง

     

    ฉินหลิงหัวเราะออกมา “ ขุนนางแคว้นต้าเหยียนช่างยิ่งใหญนัก แม้แต่หน้าของผู้สำเร็จราชการยังไม่มาดู แถมยังขาดประชุมโดยไม่มีเหตุสมควรอีก เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่ที่รังแกได้ง่ายๆรึยังไง ”

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิง ขุนนางหนุ่มและฝูกงกงที่ยืนด้านข้างเผยสีหน้าอับอายออกมา

     

    “ ในเมื่อขุนนางพวกนั้นไม่ต้องการทำหน้าที่ ข้าก็ไม่ต้องการคนเห็นแก่ตัวเช่นกัน กงกงออกราชโองการ ” ฉินหลิงเอ่ยเสียงดังออกมา “ หากอีกสองชั่วยามยังไม่มีขุนนางราชสำนักคนใดมาเข้าร่วมประชุม ตัดรายชื่อออกจากการเป็นขุนนาง ”

     

    หลังจากที่เขาพอจะสรุปได้ว่าฮ่องเต้ต้องการแต่งตั้งเขาเป็นผู้สำเร็จราชการเพราะความโมโห และเขาก็ตั้งใจจะทำหน้าที่ที่ได้รับให้ดีที่สุด ซึ่งสิ่งที่เขาได้รับกลับมาเป็นการประท้วงของเหล่าขุนนาง หากแม้แต่ขุนนางยังกล้าต่อต้านขนาดนี้ ต่อไปแคว้นต้าเหยียนคงต้องล้มจมเพราะขุนนางไร้ค่าพวกนี้เป็นแน่

     

    ฝูกงกงที่ฟังราชโองแรกของฉินหลิงก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะหันมาเอ่ยทัดทาน “ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้ หากบ้านเมืองไม่มีคนดูแล ผู้คนจะอยู่ได้อย่างไร ”

     

    ฉินหลิงแสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา  “กฎเกณฑ์ถูกกำหนดโดยผู้ปกครอง  ในเมื่อพวกขุนนางไร้ประโยชน์นั้นมันไม่เห็นกฎเกณฑ์อยู่ในสายตา ข้าจะเก็บไว้ทำไม หากอีกสองชั่วยาม หากข้ายังไม่เห็นใครเข้ามาประชุมก็อย่าหาว่าข้าโหดร้าย ”

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×