คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #64 : ท้องพระโรงเดือด(1)
หลังจากราชโองการแรกของฉินหลิงถูกประกาศออกไป
ทั่วทั้งฝั่งเขตเหนือของเมืองหลวงต่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ฝูกงกงที่เป็นคนสั่งการให้กระจายข่าวไปยังตระกูลขุนนางใหญ่น้อยก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก
เพราะเขาไม่คิดว่าหลานชายแม่ทัพฉินผู้นี้จะอหังการขนาดไม่เห็นแก่หน้าตระกูลเก่าแก่เหล่านี้แม้แต่น้อย
หลังจากเหตุการณ์ละเลงเลือดเมื่อสามสิบปีก่อน
สายเลือดตระกูลฉินแทบไม่ได้เข้ามายังภายในเมืองหลวงเลย
แต่วันนี้ใครจะคิดว่าทายาทของแม่ทัพใหญ่จะมีอำนาจขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ไม่เพียงไม่เห็นแก่หน้าสี่ตระกูลใหญ่ เขายังพร้อมจะใช้ไม้แข็งกับตระกูลขุนนางพวกนี้
แต่จะโทษชายหนุ่มแซ่ฉินผู้นี้ก็ไม่ได้
หากไม่เพราะเหล่าขุนนางคิดกดดันชายหนุ่มผู้นี้ เขาคงไม่โกรธกริ้วขนาดนี้ ซึ่งบางทีตระกูลใหญ่เหล่านี้อาจจะลืมเลือนไปแล้วว่าผู้สำเร็จราชการหนุ่มผู้นี้ก็มีแซ่ฉิน
แม้แต่เขาที่เป็นกงกงคนสนิทของฝ่าบาท ชายหนุ่มผู้นี้ยังไม่สนใจ
แล้วพวกสี่ตระกูลใหญ่จะไปอยู่ในสายตาของเขารึ
ฝูกงกงที่ครุ่นคิดถึงท่าทีต่างๆของฉินหลิง
พร้อมนึกขึ้นว่าบางทีฮ่องเต้อาจจะต้องการให้เป็นเช่นนี้ก็ได้
เพราะอย่างไรตระกูลเหล่านี้ช่างทำตัวได้น่าสมเพชนัก
รวมกับความรู้สึกผิดที่เก็บสะสมมานานของผู้เป็นราชา ที่ต้องมาเห็นความยากลำบากของชาวบ้าน
จึงคิดยืมมือตระกูลฉินเพื่อทำความสะอาดวังหลวงแห่งนี้ครั้งใหญ่
เว่ย
หยาง เกา ถัง สี่ตะกูลใหญ่แห่งแคว้นต้าเหยียนที่คงอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อตั้งราชวงศ์
ยามนี้เหล่าผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสที่เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของภายในตระกูลต่างเดินทางมารวมตัวกันยังบ้านพักหลังใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวกันของสี่ตระกูลหลัก
การรวมตัวกันของสี่ตระกูลใหญ่โดยปกติจะเกิดขึ้นเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น
ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาคู่ครองให้บุตรหลานในตระกูล
ดังนั้นทายาทของสี่ตระกูลใหญ่จึงมักถูกจับแต่งกันอยู่ภายในกลุ่มตระกูลเหล่านี้ และด้วยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของตระกูลใหญ่จึงทำให้พวกเขามีทั้งความสัมพันธ์และแก่งแย่งชิงดีกันไปพร้อมกัน
ด้วยการสนับสนุนองค์ชายของแต่ละตระกูลจึงก่อให้เกิดความขัดแย้ง
แต่พวกเขาก็รักษาระดับความขัดแย้งไม่ให้เกินขอบเขต
เพราะอย่างไรจุดประสงค์ที่แท้จริงของสี่ตระกูลหลักเกิดจากอดีตฮ่องเต้ต้องการถ่วงดุจอำนาจ
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป
ตระกูลเหล่านี้ต่างตบแต่งกันเองจนเกิดความเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงและก่อตัวเป็นพันธมิตร
โดยอำนาจที่มากขึ้นก็ยิ่งทำให้ตระกูลเหล่านี้หยิ่งยโสจนไม่เห็นแม้แต่ฮ่องเต้อยู่ในสายตา
โดยเฉพาะเมื่อสามสิบปีก่อนที่หลี่ชิงฉือ
ฮ่องเต้ที่พึ่งขึ้นครองบัลลังก์และรากฐานยังไม่แน่นพอ จึงถูกเหล่าขุนนางที่มาจากสี่ตระกูลกดดันทุกๆทางจนฮ่องเต้ในวัยหนุ่มแทบไร้หนทางออก
แต่โชคดีที่เวลานั้นฉินเจินผู้เป็นเม่ทัพใหญ่และยังเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ กลับมาจากปราบกบฏที่เกิดจากเหล่าพี่น้องของเขาที่ไม่พอใจในตัวเขาที่ได้ครอบครองราชวงศ์เสร็จทันการ
เหตุการณ์การต่อต้านจากสี่ตระกูลใหญ่รุนแรงขึ้นและดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนแบ่งตระกูลฉินที่อยู่ฝ่ายฮ่องเต้กับสี่ตระกูลใหญ่ที่คอยคานอำนาจกับราชวงศ์เพราะพวกเขาคิดว่าตัวเองมีอำนาจมากพอ
และเมื่อแม่ทัพใหญ่ฉินเจินทรงขอให้ยกเลิกสถานะทาสจากองค์ฮ่องเต้ที่ซึ่งเคยเป็นคนที่เขาสั่งสอนเพลงกระบี่และช่วยเหลือในการขึ้นครองบัลลังก์
แต่เรื่องราวกับบานปลายเมื่อสี่ตระกูลใหญ่ที่ได้รับประโยชน์จากการค้าขายทาสรับรู้
และก่อให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลใหญ่ก็สงบเสงี่ยมขึ้นมากและไม่กล้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
เพราะเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น หากฮ่องเต้ไม่ออกมาขอร้องท่านแม่ทัพใหญ่
ตระกูลพวกเขาคงสูญสิ้นไปแล้ว
เพียงแต่เวลาผ่านไปสามสิบปี
สายเลือดรุ่นใหม่ที่โผล่ขึ้นมาพร้อมกับอำนาจของตระกูลก็เริ่มหยิ่งผยอง
เพราะพวกเขาที่ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ สามารถก่อเรื่องแก่ชาวบ้านอย่างไรก็ได้
จนมีผู้บริสุทธิ์มากมายที่ต้องพิการและตายไปกับผู้สืบทอดของสี่ตระกูลนี้
การรวมตัวของผู้กุมอำนาจของสี่ตระกูลใหญ่ในครั้งนี้
เพื่อหารือเกี่ยวกับราชโองการที่ฉินหลิงส่งออกมา
“ พวกท่านคิดว่า
เจ้าเด็กแซ่ฉินมันทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร ”
หนึ่งในผู้เฒ่าที่นั่งอยู่เอ่ยขึ้นหลังจากพวกเขารวมตัวกันเสร็จ
“ บางทีเจ้าเด็กผู้นั้นมันอาจจะไม่พอใจที่พวกเราไม่ส่งคนไปเข้าร่วมประชุม ”
“ ถึงอย่างไร เรื่องนี้พวกเราก็เป็นฝ่ายผิด
แต่ถึงกับออกราชโองการเช่นนี้ราวกับไม่เห็นพวกเราสี่ตระกูลใหญ่อยู่ในสายตา ตระกูลฉินมันน่ารังเกียจเช่นนี้ทุกคน ”
“ ข้าเองก็อยากรู้นักว่าถ้าเจ้าเด็กผู้นี้ไม่มีพวกเรา
มันจะดูแลบ้านเมืองได้อย่างไร ”
“
อำนาจของพวกเราสี่ตระกูลใหญ่หยั่งรากลึกเกินกว่าเจ้าเด็กสารเลวนั้นจะรู้ได้แล้ว ”
“ ต่อให้เป็นองค์ฮ่องเต้ยังไม่กล้าหักหน้าพวกเราเช่นนี้
เจ้าเด็กน้อยที่พึ่งขึ้นมีอำนาจกล้าทำเช่นนี้กับพวกเราได้อย่างไร ”
“ หึหึ...หากรู้ว่าแม่ทัพใหญ่กำลังเดินทางกลับมาเมืองหลวง
พวกท่านยังกล้ากล่าวอย่างหยิ่งผยองเช่นนี้ได้อีกรึ ” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม
หากฉินหลิงอยู่ที่นี้เขาจะทราบได้ทันทีว่าชายผู้นี้คือคนที่เขาส่งสายสืบออกไปตามหาอยู่ตลอดแต่กลับไม่ได้รับข่าวใดกลับมา
เขาคือถังเฟิงบิดาของถังชุนอดีตเพื่อนสารเลวของฉินหลิงคนเก่า และเป็นผู้ต้องสงสัยที่ฉินหลิงคิดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของฉินหลิงคนก่อน
คนในห้องต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อทราบข่าวว่าฉินเจินผู้เป็นแม่ทัพใหญ่และเป็นปู่ของผู้สำเร็จราชการคนปัจจุบันกำลังเดินทางมายังเมืองหลวง
“ เจ้าหมายความว่าเจ้าแก่ตายยากผู้นั้นจะเดินทางมาเมืองหลวงรึ
ไม่ใช่ว่ามันผู้นั้นพึ่งเดินทางจากไปเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ? ”
“ สายข่าวของข้าบอกมาเช่นนั้น
แต่จุดประสงค์ที่เขามาเมืองหลวงคืออะไรข้าก็ไม่ทราบ แต่พวกท่านจงคิดให้ดี
หากท่านล่วงเกินหลานชายของคนผู้นั้น เรื่องนี้อาจจะไม่ได้จบดั่งเช่นเมื่อสามสิบปีก่อนแล้วก็ได้เพราะคราวนี้องค์ฮ่องเต้อาจจะไม่เห็นแก่หน้าสนมทั้งสามแล้ว
” เมื่อได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคนแซ่ถังผู้นี้เอ่ยขึ้นมา
ผู้อาวุโสจากทั้งสี่ตระกูลต่างเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นราวกับฝันร้ายที่ตามติดพวกเขาอยู่ทุกค่ำคืนไม่ห่างหายไปไหน
ในอดีตพวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจอมยุทธที่พวกเขาทุ่มเททรัพยากรไปมากมายกับถูกสังหารลงราวกับใบไม้ร่วงภายในค่ำคืนเดียว
หลังจากทำให้แม่ทัพชราผู้นี้โกรธกริ้ว
หลังจากค่ำคืนแห่งการนองเลือด
เหนือฟ้ายังมีฟ้า นี้คือคำที่สี่ตระกูลใหญ่รับรู้ได้อย่างแน่ชัด และความหยิ่งยโสที่มีมาต่างหดหายและทำให้เหล่าคนที่ยังมีชีวิตรอดเต็มไปด้วยหวาดกลัวความตาย
“ เอาละ..สำหรับเรื่องนี้ให้แต่ละตระกูลส่งขุนนางระดับหกลงไปเข้าร่วมประชุมก็พอ
เพียงเท่านี้ก็ถือว่าพวกเราสี่ตระกูลใหญ่ไว้หน้าตระกูลฉินแล้ว ” ชายวัยชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอยซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเว่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
ผู้อาวุโสสูงสุดอีกสามตระกูลก็พยักหน้ายืนยันเห็นด้วยกับความคิดของตระกูลเว่ย
จึงได้ข้อสรุปให้พวกเขาส่งขุนนางจากตระกูลรองที่มีระดับต่ำกว่าหกลงไป เข้าประชุมยังท้องพระโรง
สองชั่วยามผ่านไป
ขุนนางเกือบร้อยคนต่างนั่งรออยู่ในท้องพระโรงด้วยสีหน้าแตกต่างกัน
กว่าครึ่งเป็นเพียงขุนนางจากตระกูลเล็กที่ไม่ได้มีสี่ตระกูลใหญ่หนุนหลัง ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับราชโองการพวกเขาจึงไม่อาจขัดคำสั่งได้
หลังจากสี่ตระกูลใหญ่ได้ออกคำสั่งให้ขุนนางเล็กๆอย่างพวกเขาไม่เข้าร่วมประชุม
พวกเขาจึงต้องอดทนและปฏิบัติตามอย่างไม่อาจขัดขืนได้
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินราชโองการของเด็กหนุ่มที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการ
พวกเขาก็ตื่นตระหนกและรู้สึกหวาดกลัว
รวมกับชื่อเสียงเลวร้ายของอีกฝ่ายจึงทำให้พวกเขาตัดสินใจขัดคำสั่งของตระกูลใหญ่เพื่อมาเข้าร่วมประชุม
ขุนนางชั้นผู้น้อยที่นั่งรอผู้สำเร็จราชการอย่างอกสั่นขวัญหนี
โดยไม่รู้เลยว่าฉินหลิงกำลังนอนฟังเรื่องกฎเกณฑ์และหน้าที่ปฏิบัติของขุนนางจากอู๋ชินถง
ขุนนางระดับแปดที่เข้าประชุมเพียงผู้เดียวด้วยสีหน้าผ่อนคลายพลางหยิบผลไม้ที่เหล่านางกำนัลส่งให้เข้าปาก
อู๋ชิถงที่พูดออกมากว่าสองชั่วยามก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังดีดพิณให้วัวฟัง
ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา “ ท่านผู้สำเร็จราชการ นี้ก็เป็นเวลากว่าสองชั่วยามแล้ว
ท่านจะไปท้องพระโรงเลยรึไม่ ”
ฉินหลิงเงยหน้ามองชายหนุ่มเบื้องหน้าก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ ข้ายังรอขุนนางไร้ประโยชน์พวกนั้นตั้งสองชั่วยาม
ปล่อยให้พวกเขารอข้าบ้างจะเป็นไร นี้ก็ได้เวลากินข้าวแล้ว ไว้กินข้าวเสร็จ ข้าค่อยไปประชุมก็ได้ ”
ขุนนางหนุ่มและฝูกงกงมองดูผู้สำเร็จราชการด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
พวกเขาไม่อาจเข้าใจชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย ออกคำสั่งให้รีบเข้ามาประชุม แต่ตัวเองกับต้องการทานอาหาร
แล้วในระหว่างที่นั่งเล่นอยู่ที่ตำหนักริมน้ำแห่งนี้ตั้งสองชั่วยาม ท่านไม่ยอมกินแต่เมื่อถึงเวลาที่ท่านนัดท่านพึ่งรู้สึกหิวรึ
ฉินหลิงมองไปที่ฝูกงกง
“ ท่านจะรออะไร ยังไม่รีบไปเตรียมสำรับให้ข้าอีก ยิ่งช้าข้าก็ออกว่าราชการได้ช้า
และทำให้งานบ้านเมืองไม่เดินต่อ มันเป็นความผิดของท่านนะ ”
กงกงชราเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับคำกล่าวหาของชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง
เขาที่ทำหน้าที่ดูแลฮ่องเต้มาสองรัชสมัย พึ่งเจอคนไร้ยางอายเช่นนี้
แม้แต่เรื่องเตรียมสำรับเขาก็ยังไม่เคยโดยฮ่องเต้รับสั่งเช่นนี้เลย ฝูกงกงจ้องมองชายหนุ่มผู้นี้ด้วยแววตาแค้นเคืองก่อนจะกัดฟันแน่นแล้วไปเอ่ยสั่งกับขันทีด้านข้างให้เตรียมสำรับโดยเร็ว
ผ่านไปอีกกว่าหนึ่งชั่วยาม
เหล่าขุนนางที่ตื่นตระหนกอยู่ในท้องพระโรง
พวกเขาก็รู้สึกราวกับโดนกลั่นแกล้งโดยผู้สำเร็จราชหนุ่มผู้นี้
ก่อนจะจับกลุ่มกันบ่นออกมาด้วยเสียงไม่พอใจ
“ เจ้าเด็กแซ่ฉินทำเช่นนี้ราวกับไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา ”
“ ถึงพวกเราจะมาจากสาขารอง
แต่พวกเรายังเป็นคนของสี่ตระกูลใหญ่
เขาทำเช่นนี้ไม่กลัวผู้อาวุโสในตระกูลโมโหเลยรึ ”
“ เจ้าเด็กนั้นมันก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ
ฮ่องเต้ก็ทรงเลอะเลือนยิ่งนักที่แต่งตั้งอันธพาลมาเป็นผู้สำเร็จราชการ ”
ขุนนางหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลใหญ่เอ่ยออกมาอย่างไม่ยั้งคิด
“ นั้นสินะฮ่องเต้ก็ทรงเลอะเลือนจริงๆนั้นแหละที่เลือกข้าเป็นผู้สำเร็จราชการ
เพียงแต่พวกเจ้าที่เป็นคนรับใช้ของผู้เป็นราชากับกล้าเอ่ยวาจาดูหมิ่นเช่นนี้มันดีแล้วรึ ”
ขุนนางที่จับกลุ่มพูดคุยนินทาฮ่องเต้และฉินหลิงเสียงดังก็หันมาเจอฉินหลิงที่ยามนี้สวมชุดสีดำราวกับเป็นเพชฌฆาตด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ อู๋ชินถง
ขุนนางที่กล้ากล่าววาจาล่วงเกินฮ่องเต้มีโทษอย่างไร ” ฉินหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ขุนนางหนุ่มที่อยู่กับฉินหลิงตลอดเวลาก็เผยสีหน้าลังเลก่อนจะก้มหัวและเอ่ยออกมา
“ โทษของขุนนางที่กล่าววาจาให้ฮ่องเต้เสียหายมีโทษคือตัดลิ้นและขับออกจากตำแหน่งพร้อมยึดทรัพย์สินทุกอย่างเข้าท้องพระคลัง ”
ขุนนางที่ได้ยินคำลงโทษต่างรู้สึกตกตะลึง
เพราะพวกเขาที่สามารถเข้ามาทำงานเป็นขุนนางล้วนอาศัยบารมีจากครอบครัวทั้งสิ้น
ความรู้ในข้อกฎหมายของต้าเหยียนก็ไม่เคยทราบ
เพียงแค่อาศัยการที่ตัวเองอ่านออกเขียนได้ก็เข้ามาทำงานเป็นขุนนาง
เมื่อโทษของพวกเขาคือตัดลิ้นและยึดทรัพย์สินไม่ต่างกับฆ่าพวกเขา
ขุนนางทั้งกลุ่มต่างเผยสีหน้าหวาดกลัวก่อนจะคุกเข่าโขกหัวให้ชายหนุ่มชุดดำ
“ ขออภัยด้วยท่านผู้สำเร็จราชการ ”
“ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว
ได้โปรดให้โอกาสพวกข้าเถอะ ”
ฉินหลิงเหยียดสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชามองไปยังชายหนุ่มทั้งสามก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “วาจาพูดอะไรให้คิด เพราะไม่สามารถเรียกคืน
พวกเจ้าที่เป็นถึงขุนนางซึ่งต้องดูแลปากท้องชาวบ้านกับพูดอะไรไม่คิด
แล้วเจ้าคิดว่าข้ายังมั่นใจได้อีกรึว่าคำสั่งของข้าที่ถูกส่งออกไป จะไปถึงชาวบ้านได้ถูกต้อง
”
ขุนนางที่เหลือต่างรู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง
เขาเดินเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเงียบเชียบราวกับอสรพิษที่กำลังรอเหยื่อและโจมตีจุดตายในทีเดียว
ทางด้านขุนนางที่ทำผิดก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
หนึ่งในขุนนางที่กำลังกลัวอยู่เผลอเอ่ยขู่ออกไปโดยไม่รู้ตัว “ ท่านไม่อาจทำอะไรข้าได้
ข้าเป็นคนของตระกูลถัง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ ท่านไม่อาจลงโทษข้าเช่นนี้ได้ ”
เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยจบ
ฝูกงกงที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็ถอนหายใจออกมา
พลางคิดในใจว่าขุนนางผู้นี้ช่างโง่งมนัก สิ่งที่ผู้สำเร็จราชการกลัวน้อยที่สุดก็เป็นตระกูลใหญ่ของพวกเจ้า
พวกเจ้าไม่รู้เลยรึไงตระกูลฉินเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสี่ตระกูลใหญ่มาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว
“ ดี ในเมื่อตระกูลถังของเจ้ายิ่งใหญ่คับฟ้า
ข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่าพวกเขาจะช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างไร ทหารมาจับตัวขุนนางไร้ประโยชน์เหล่านี้ไปตัดลิ้นแล้วไปยึดทรัพย์เข้าท้องพระคลังให้หมด”
ฉินหลิงเอ่ยสั่งออกมาเสียงดังราวกับไม่เห็นตระกูลใหญ่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น