ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #315 : วิชาดูดชีพกลืนวิญญาณ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.79K
      284
      20 ก.พ. 62


    เมื่องานเลี้ยงในรอบค่ำของตระกูลโรม่าเริ่มขึ้น แขกผู้มาร่วมงานมากหมายถูกจัดให้นั่งอยู่รอบลานกว้างเพื่อชมดูนางระบำที่ร่ายรำอย่างอ่อนช้อยเสมือนกับไร้กระดูก กาเล็ทเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กำลังเบิ่งตามองดูนางระบำที่กำลังบิดส่ายร่างกายไปมาอย่างอ่อนช้อยพร้อมกับชม้ายตามองดูมาที่ตนเองเป็นระยะ
    นี่ย่อมเป็นปฎิกริยาทั่วไปที่สามารถคาดเดาได้ มีผู้ใดไม่อยากเปลี่ยนแปลงพลิกผันชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น มีผู้ใดไม่อยากชุบตัวกลับกลายเป็นหงส์ฟ้าในคราเดียว? สำหรับกับเหล่าสตรีที่มีอาชีพเช่นนางระบำ จะอย่างไรอาชีพของพวกนางนั้นเป็นการขายรูปลักษณ์และความงาม คำถามคือความงามและความสาวจะคงอยู่กับพวกนางไปได้ตลอดหรือ? คำตอบคือย่อมไม่ ดังนั้นในช่วงชีวิตของการทำงานของพวกนาง การหาผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ซึ่งเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ไว้คอยปกป้องคุ้มกันลมฝนคือความหวังสูงสุดของสตรีดั่งเช่นพวกนาง เช่นนั้นในยามนี้จะมีผู้ใดซึ่งบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไปกว่าจักรพรรดิทมิฬผู้นี้อีก? อย่าว่าแต่จักรพรรดิทมิฬผู้นี้กอปรไปด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหล่ายังมีข่าวลือที่พวกนางล้วนได้ยินได้ฟังมาก่อนที่จะออกมาแสดงระบำที่ว่าเขาผู้นี้รักและเอ็นดูผู้เป็นภรรยายิ่งนัก ทั้งหมดทั้งมวลนี้ประกอบเข้าด้วยกันเป็นเหตุผลทำให้เหล่านางระบำที่กำลังร่ายรำอยู่ในลานกว้างต่างหาโอกาสชม้ายตาชำเรืองมองมายังกาเล็ทอยู่เป็นระยะ
    "ฮึ" เสียงของซิลเวียที่นั่งอยู่ด้านข้างของกาเล็ทพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจดังขึ้นมาขัดจังหวะกาเล็ทที่กำลังเหม่อมองดูนางระบำซึ่งกำลังร่ายรำอยู่เบื้องหน้าของตนเอง
    "เป็นไรหรือ" กาเล็ทละความสนใจจากนางระบำหันไปเอ่ยถามร่างเล็กที่ด้านข้างอย่างใส่ใจ
    "คิดว่าผู้อื่นดูไม่ออกหรือว่าท่านกับเหล่านางระบำเหล่านั้นต่างชายตามองเล่นหูเล่นตาให้แก่กัน" เอ่ยกล่าวจบซิลเวียก็เบือนหน้าหนีไปจากกาเล็ทพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอีกคำหนึ่ง
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็เกิดลางสังหรณ์บางประการขึ้น "เพียงแต่เห็นว่าการร่ายรำของพวกนางดูน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง ซิลเวียไม่เห็นหรือว่าพวกนางนั้นสามารถขยับเคลื่อนไหวเสมือนว่าร่างกายนั้นไร้กระดูก แม้แต่ตัวข้าเองซึ่งฝึกฝนร่างกายมาอย่างดีพร้อมก็ยังไม่อาจเทียบเปรียบได้กับพวกนาง"
    "ฮึ หากว่าชมชอบเหตุไฉนไม่รับเอาพวกนางไว้ เช่นนั้นพวกนางจะได้ร่ายรำให้แก่กาเล็ทชมดูทุกเช้าค่ำ" ซิลเวียยังคงเบือนหน้าหนีพร้อมทั้งเอ่ยกล่าว
    "นี่.." กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็หมดคำพูดจะกล่าวอีก ไม่ทราบว่าเจ้าหญิงน้อยผู้นี้เป็นไรแล้ว ไฉนอยู่ๆจึงได้เกิดอาการหึงหวงขึ้นมาเช่นนี้?
    "หลงจางก็ดี กาเล็ทก็ดี บรุษล้วนไม่แตกต่าง เช่นนี้สักวันหนึ่งเมื่อเบื่อหน่ายแล้วก็คงทอดทิ้งหมางเมินข้าไม่แตกต่างจากหลงจางนั่นกระทำต่อภรรยาเมื่อเก่าก่อน" ซิลเวียเอ่ยกล่าวเสียงแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาศรีษะ ไม่ทราบว่าหลงจางที่นางเอ่ยกล่าวถึงที่แท้แล้วคือผู้ใด จากนั้นกาเล็ทพลันเอี้ยวตัวหันหลังกลับไปเพื่อยกมือขึ้นเอ่ยกระซิบถามเซลิน่าที่นั่งอยู่ทางด้านหลัง "เซลิน่า ไม่ทราบว่าหลงจางนี่ที่แท้แล้วคือผู้ใด เจ้าพอจะทราบสิ่งใดเกี่ยวกับคนผู้นี้บ้างหรือไม่"
    เซลิน่าที่ได้ยินคำเอ่ยถามของชายคนรักก็ยกมือขึ้นมาป้องปากหัวเราะคิกออกมาคำหนึ่งจากนั่นจึงเอ่ยบอกกล่าวอธิบายกับกาเล็ท กาเล็ทจึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วตัวอุบาทว์หลงจางผู้นี้ที่แท้แล้วคือตัวเอกในบทละคร เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วก็เล็ทก็หันกลับมาโอบเอวอ้อนแอ้นของซิลเวียที่นั่งอยู่ด้านข้างของตนเอง
    ซิลเวียบิดส่ายร่างกายดิ้นรนพอเป็นพิธีอยู่ชั่วครู่หนึ่ง "ปล่อยข้า"
    "นี่ จะเอาข้าไปเทียบกับตัวอุบาทว์หลงจางนั่นได้อย่างไร การกระทำของมันแม้แต่ภูตเทพยังคลั่งแค้น ซิลเวียเห็นว่าข้าเลวทรามถึงเพียงนั้นหรือ" กาเล็ทที่โอบเอวของซิลเวียอยู่ขยับศรีษะของตนเองเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยกล่าวถามขึ้นมา
    "ก..ก็ไม่" ซิลเวียก้มศรีษะลงเอ่ยกล่าว
    กาเล็ทได้เห็นท่าทีเช่นนั้นก็ถือโอกาสยื่นหน้าของตนเองเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิมเพื่อสัมผัสสูดดมกลิ่นหอมจากปรางแก้มข่าวผ่องของซิลเวียจากนั้นจึงเอ่ยกล่าว "ข้าผู้นี้ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าหญิงน้อยของข้าจะมองเห็นความจริงใจที่ข้าผู้นี้มีให้" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็เอื้อมไปจับมือขาวนวลเนียนของซิลเวียขึ้นมาทาบไว้ยังหน้าอกของตนเอง
    เห็นถึงการแสดงออกของชายคนรักที่แสดงออกเช่นนี้ออกมาอย่างกระทันหันทำให้ซิลเวียที่แสดงความหึงหวงบึ้งตึงออกมาแทบที่จะปรับตัวไม่ถูก "ก.ก็เห็นอยู่" ซิลเวียเหลือบตาขึ้นมองไปยังกาเล็ทที่โอบกอดตนเองอยู่โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงสายตาของผู้คนภายในงานเลี้ยงที่เหลือบจ้องมองมาเป็นระยะ
    "หากว่าซิลเวียไม่ชมชอบให้มองดูนางระบำเหล่านั้นข้าผู้นี้ก็จะไม่มอง เช่นนี้ดีหรือไม่" กาเล็ททยอยเอ่ยคำหวานพะเน้าพะนอเอาใจซิลเวียไม่ขาด
    "อืม" ซิลเวียเอ่ยกล่าว
    เมื่อเห็นว่าเคราะห์กรรมของตนเองดูเหมือนจะจบลงด้วยดีแล้วกาเล็ทก็เร่งรีบเปลี่ยนหัวเรื่อง "อาหารไม่ถูกใจหรือ"
    ซิลเวียที่ถูกโอบกอดอยู่ส่ายศรีษะ
    "เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่รับประทานให้มากกว่านี้ ข้าเห็นว่าซิลเวียรับประทานไปเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเอง" กาเล็ทเอ่ยถาม
    "พวกเราเหล่าสตรีไม่สมควรที่จะรับประทานตามใจนัก" ซิลเวียเอ่ย
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็ผงกศรีษะหากแต่ยังคงเอ่ยกล่าว "ต้องการดูแลรักษารูปลักษณ์ข้าก็พอเข้าใจอยู่ แต่ทราบหรือไม่ว่าพวกเราเหล่าบรุษหากจะให้กล่าวแล้ว ก็จริงอยู่ที่ชมชอบมองดูสตรีที่รูปลักษณ์อ้อนแอ้นแต่ถ้าจะให้คลุกคลีอยู่ด้วยแล้วยังคงเกิดความรู้สึกชมชอบในสตรีที่ดูมีน้ำมีนวลยิ่งกว่า"
    "จริงหรือ?" ซิลเวียเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามอย่างสนใจ
    กาเล็ทยิ้มรับพร้อมกับผงกศรีษะและใช้มือของตนเองจัดแจงผสมอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าด้วยกันจนพอดีคำจากนั้นจึงห่อด้วยแผ่นแป้งเบาบางและส่งยื่นขึ้นมาที่เบื้องหน้าของซิลเวีย "สำหรับกับซิลเวียในตอนนี้รับประทานเพิ่มอีกสักนิดก็คงไม่มีปัญหา มาเถอะให้ข้าป้อน"
    ซิลเวียลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นลิมฝีปากเรียวบางอมชมพูของนางก็เปิดออกเพื่อรับประทานอาหารที่ชายคนรักส่งยื่นเข้ามาอย่างว่าง่าย เรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยความรู้สึกหึงหวงจึงจบลงในลักษณะนี้ไป
    ผู้ใดจะคาดคิดว่าจักรพรรดิทมิฬที่แสดงออกถึงอำนาจบารมีน่าเกรงขามด้วยการใช้เลือดอองตวนสี่สุดยอดแห่งทวีปกลางเป็นเครื่องเบิกทางจนข่มขวัญผู้คนภายในแคว้นสมิธให้เกิดความรู้สึกครั่นคร้ามกันอย่างถ้วนหน้าจะเอาแต่เกี้ยวพาคู่หมั้นของตนเองภายในงานเลี้ยงรอบค่ำของตระกูลโรม่าโดยไม่สนใจถึงสายตาของผู้คน แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการจะเข้ามาพูดคุยแสดงความนอบน้อมหากแต่เมื่อเห็นถึงภาพเบื้องหน้าแล้วยังจะมีผู้ใดกล้าสอดแทรกตนเองเข้ามาเพื่อทำลายบรรยากาศอันดีระหว่างจักรพรรดิทมิฬกับว่าที่ภรรยาอีก? ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนมากหน้าหลายตาภายในงานเลี้ยงกลับหันเหความต้องการของตนเองไปยังท่านหญิงนีน่าผู้เป็นมารดาของจักรพรรดิทมิฬแทน
    เวลาล่วงเลยผ่านไปช่วงใหญ่ แรกเริ่มเดิมทีซิลเวียที่ถูกกาเล็ทพะเน้าพะนอเอาใจยังไม่สามารถที่จะสังเกตุเห็นว่าตนเองถูกสายตามากมายจับจ้องอยู่ หากแต่ไม่นานนางก็สามารถที่จะรู้สึกตัวได้จึงทำให้ซิลเวียใช้มือเรียวบางของตนเองผลักใสกาเล็ทที่กำลังโอบกอดคลอเคลียแนบใบหน้าสัมผัสอยู่กับใบหน้าของตนเองให้ถอยห่างออกไป นั่นเป็นเวลาที่นางสัมผัสได้ถึงสายตาของเบลล่าผู้เป็นพี่สาวของตนเองที่มองมาอย่างรู้สึกเป็นห่วงอยู่เช่นกัน "กาเล็ท มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว" ซิลเวียเอ่ยกล่าวเสียงแผ่วเบาจากนั้นจึงรีบลุกขึ้นก้มหน้าเดินตรงไปยังโต๊ะที่เบลล่ากับนีน่านั่งอยู่ปล่อยให้กาเล็ทได้แต่เคว้งคว้างอยู่กับอารมณ์ของตนเอง
    ก่อนที่กาเล็ทจะได้ลุกขึ้นแล้วหันเหเป้าหมายในการชิดใกล้อยู่ร่วมไปยังเซลิน่ากับโซเฟียที่นั่งอยู่ด้านหลัง ซาฮานก็รีบเข้ามาเอ่ยกล่าว "หลานกาเล็ท ผู้นำของตระกูลทั้งสองซึ่งหลานกาเล็ทไหว้วานให้ตระกูลโรม่าของข้าไปเชื้อเชิญมาคอยท่ารออยู่แล้ว ไม่ทราบว่าหลานกาเล็ทต้องการที่จะไปพบปะพูดคุยกับพวกเขาเลยหรือไม่?"
    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็ปั้นหน้ายิ้มขึ้นมาเพื่อรับหน้ากับซาฮานอย่างรู้สึกผิด ตนเองกลับเอาแต่ปล่อยตัวปล่อยใจเสพรับกับความสุขจากการสัมผัสเนื้อตัวของซิลเวียจนหลงลืมเรื่องสำคัญไป "ครับท่านลุง ขอท่านลุงโปรดนำทาง"
    ไม่นานซาฮานก็เดินนำทางกาเล็ทมายังห้องรับรองที่แยกออกมาจากบริเวรจัดงานเลี้ยง พอเดินเข้ามาสู่ภายในกาเล็ทกลับพบชายวัยกลางคนซึ่งมองดูภายนอกแล้วน่าจะมีอายุประมาณห้าสิบปีนั่งอยู่ถึงสองคน
    "น้อมพบท่านจักรพรรดิทมิฬ/น้อมพบท่านจักรพรรดิทมิฬ" ชายวัยกลางคนทั้งสองลุกขึ้นยืนจากที่นั่งพร้อมทั้งค้อมตัวเอ่ยกล่าวถ้อยคำออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างนอบน้อมทันทีเมื่อเห็นว่ากาเล็ทก้าวเข้ามา โลกแห่งนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ ขอเพียงมีพลังและอำนาจถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยอมมือผู้หนึ่งทั่วทั้งใต้หล้าก็พร้อมที่จะยอมศิโรราบก้มหัวให้
    กาเล็ทผงกศรีษะรับพร้อมกับบอกให้ชายวัยกลางคนทั้งสองนั่งลง "พวกท่านทั้งสองคือผู้นำของตระกูลซานเดรียและตระกูลเคนนี่?" กาเล็ทเอ่ยกล่ามถามขึ้นมาทันที
    "ขอรับท่านจักรพรรดิทมิฬ" ทั้งสองเอ่ยกล่าวขานรับอย่างนอบน้อมจากนั้นจึงเอ่ยแนะนำตัวเองพอเป็นพิธี
    "ฟังว่าอองตวนแห่งทวีปกลางสนใจชักชวนพวกท่านให้เข้าร่วม" กาเล็ทเอ่ยกล่าวเปิดประเด็นถามขึ้นมาอย่างไม่อ้อมค้อม
    ได้ยินคำเอ่ยถามทั้งหัวหน้าตระกูลซานเดรียกับตระกูลเคนนี่ต่างตัวขมึงตึงเครียดขึ้นมาในทันที อยู่ต่อหน้าผู้มีพลังระดับจักรพรรดิก็ไม่แตกต่างจากการยืนอยู่เบื้องหน้าของหุบเหวที่ไร้ก้น ขอเพียงท่านเดินผิดพลาดเพียงก้าวเดียวก็จะพลัดตกลงไปอย่างไม่มีทางที่จะหวนคืนกลับมาได้อีก
    เห็นว่าทั้งสองยังคงไม่ตอบกล่าวคำ กาเล็ทก็ปั้นรอยยิ้มขึ้นมาบนสีหน้าเอ่ยถามขึ้น "ท่านทั้งสองทราบหรือไม่ว่าทวีปกลางที่พวกท่านคิดเข้าร่วมรับใช้เป็นส่วนหนึ่งด้วยนั้นปกครองผู้คนด้วยวิธีการใด?"
    หัวหน้าตระกูลซานเดรียและหัวหน้าตระกูลเคนนี่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองหน้าซึ่งกันและกัน "ก็พอได้ยินมาอยู่ขอรับ"
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ผงกศรีษะรับ "การปกครองโดยใช้หลักความเชื่อนำทางนั้นฟังผิวเผินแล้วเสมือนว่าเป็นการปกครองที่ดีพร้อมหากแต่ความจริงแล้วกลับเป็นการปกครองที่กดขี่ข่มเหงที่สุด เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่ายิ่งผู้คนโง่งมมากเท่าใดก็ยิ่งง่ายต่อการปกครองชี้นำมากเท่านั้นหรือไม่?"
    "ขอท่านจักรพรรดิทมิฬโปรดชี้แนะบอกกล่าวขอรับ" หัวหน้าตระกูลเคนนี่เอ่ยกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
    กาเล็ทเอ่ยบอกกล่าว "นั่นคือหลักของการปกครองด้วยความเชื่อ ขอเพียงท่านเอ่ยอ้างถึงหลักความเชื่อท่านก็มีสิทธิขาดโดยชอบธรรมในการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก การที่จักรพรรดิจรัสแสงเอ่ยอ้างตนเองว่าเป็นตัวแทนจากเทพเจ้านั่นย่อมหมายความว่าทุกจุดประสงค์และความต้องการของมันล้วนแล้วแต่เป็นจุดประสงค์และความต้องการของเทพเจ้าเบื้องบน" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมกับเว้นจังหวะไปช่วงหนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยต่อ "พวกท่านทั้งสองต้องการอยู่ภายใต้การปกครองเช่นนั้นหรือ? พวกท่านทราบหรือไม่ว่าจักรพรรดิจรัสแสงผู้นี้เป็นบุคคนเช่นไร? ไฉนมันจึงเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนี้? บอกต่อพวกท่านว่ามันผู้นี้ฝึกพลังโดยวิชานอกรีตที่มีชื่อว่าดูดร่างกลืนวิญญาณนั่นหมายความว่าขอเพียงมันได้ร่วมหลับนอนกับหญิงสาวอย่างต่อเนื่องระดับพลังความสามารถของมันจะเพิ่มพูนอย่างไร้ขีดจำกัด"
    หัวหน้าตระกูลซานเดรียและหัวหน้าตระกูลเคนนี่ได้รับฟังเช่นนั้นก็หันไปมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา ในโลกแห่งนี้ยังมีวิธีการฝึกฝนที่ง่ายดายเช่นนี้ด้วย? หากแต่ถ้อยคำต่อมาของกาเล็ทก็ทำให้พวกมันทั้งสองต้องตื่นจากความฝัน
    "ผู้ที่ใช้ออกด้วยวิชานี้อย่างจักรพรรดิจรัสแสงจะได้รับประโยชน์มากมายจากการร่วมหลับนอนกับสตรีแต่พวกท่านทราบหรือไม่ว่าสตรีที่ร่วมหลับนอนกับมันจะมีชะตากรรมเช่นไร?" กาเล็ทเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าหัวหน้าตระกูลซานเดรียและตระกูลเคนนี่รอรับฟังอยู่กาเล็ทก็เอ่ยต่อ "สตรีที่ร่วมหลับนอนกับมันจะถูกดูดพลังชีวิตออกไปจากร่างจนหมดสิ้น หลังจากร่วมหลับนอนกับมันแล้วพวกนางจะมีสภาพซูบซีดผิวหนังเหี่ยวย่น ทั่วทั้งร่างหลงเหลืออยู่แต่เพียงหนังที่หุ้มกระดูกและจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนา แม้แต่ดวงวิญญาณก็ถูกสลายหายไปไม่สามารถพบกับความสงบได้ตลอดกาล"
    สิ้นคำกล่าวของการเล็ท ไม่เพียงแต่หัวหน้าตระกูลทั้งสอง แม้แต่ซาฮานที่รับผังอยู่ห่างๆก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน

    ปล.อย่างพึ่งเบื่อบทหวานๆ + เนื้อเรื่องนะครับ ผมกำลังปูทางเพื่อจะปั้นให้พระเอกมีขุมกำลังและแข็งแกร่งพอ บทหวานๆปูมาก็เพราะจะเข้าช่วงงานแต่งงานแล้ว ก็จะทยอยกระจายบทให้กับสาวๆแต่ละคน โรฮานมีเรือเหาะพร้อมรบและใช้ได้อยู่ไม่เกิน 10 ลำเองนะครับในตอนนี้ ผู้อ่านอาจจะเห็นว่ากาเล็ทนั้นเก่งมากจนคิดไปว่าสามารถหนึ่งต่อ 100 ได้ จริงๆกาเล็ทในตอนนี้ 1 ต่อ 6 กับระดับจักรพรรดิขั้นสูงก็เต็มกลืนแล้วครับ และจะเห็นได้จากการต่อสู้ที่ผ่านๆมาว่าผมไม่ได้เซ็ตสเกลพลังให้คนเดียวตบแสนคนได้เหมือนนิยายจีนที่สบัดมือทีเดียวคนตาย 10 ล้าน ระดับจักรพรรดิอาจเรียกลมเรียกฝนได้ แต่ก็ยังเป็นคน ใช้พลังมากก็ต้องพักหายใจ ดังนั้นแค่กาเล็ทกับมิร่ายังไม่เพียงพอจะรับมือกับทวีปกลางที่มีกองกำลังมากกว่าอย่างท่วมท้นได้ ไม่ต้องรวมถึงกองทัพใหญ่ที่ยกมาพร้อมกับจักรพรรดิจรัสแสงและผู้นำทัพระดับสูงคนอื่นๆ นี่คือสาเหตุที่ต้องมีพันธมิตร + สร้างกองกำลัง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างกองกำลังให้เพิ่มมาแบบมีเหตุและมีผล จากเงื่อนเวลาภายในเรื่อง กาเล็ทถึ่งมาโลกนี้ได้แค่ปีกว่าๆเกือบสองปีเอง
    แต่ขอให้ผู้อ่านวางใจอีกไม่นานก็จะ time skip แล้วครับหลังจบบทแต่งงาน รวบหัวรวบหางเหล่าว่าที่ภรรยาให้กลายเป็นภรรยา


    ที่ลงช้าเพราะบางเดือนผมก็ติดงาน ไม่ได้ปล่อยออกมาเยอะ และระบบขายของที่นี่มันแปลกกว่าที่อื่นเลยต้องดองหลายๆตอนแล้วมาลงครับ ตอนนี้มีตุนไว้ 10-14 ตอนจะค่อยๆเอามาลงให้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×