watchaphon
ดู Blog ทั้งหมด

กําเนิดนินจา

เขียนโดย watchaphon
 
ประวัติศาสตร์ย่อๆ ของนินจา 
หนังสือเกี่ยวกับนินจาหลายๆ เล่มกล่าวเอาไว้ใกล้เคียงกันว่า วิชานินจาถือกำเนิดมาจากจีนครับ ประมาณคริสศตวรรษที่ 6 ตรงกับราชวงศ์ถังของจีนพอดี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธกำลังรุ่งเรืองในแถบนี้ การแพร่หลายของศานาเป็นเหตุให้การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเกิดขึ้น จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นในสมัยนั้น ก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำนองเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย หรือ พระเจ้าถังไท้จงแห่งราชวงศ์ถัง พระองค์ได้ส่งศาสนทูตไปศึกษาดูงาน เอ๊ย.. เรียนรู้ และคัดลอกพระคัมภีร์ทางศาสนามาจากจีน 

เหล่าศาสนทูตที่ไปศึกษาพระศาสนานั้น ไปแล้วก็ไม่ได้เรียนเฉพาะพระธรรมแต่อย่างเดียวนี่สิครับ แต่ยังเรียนวิชาความรู้อื่นๆ เช่น การปรุงยา ดาราศาสตร์ การก่อสร้าง และวิชาการต่อสู้ติดตัวมาด้วย เราๆ ท่านๆ คงจะคุ้นเคยกันดี กับภาพพระนักสู้จากวัดเสียวลิ้มยี่ของจีน เหล่าศานทูตได้ศึกษาซึมซับเอาวิทยายุทธอันลึกล้ำของจีนกลับมาด้วยไม่น้อย แต่อย่างว่าล่ะครับ วิทยายุทธประเภทลมปราณหรือกำลังภายใน มันเหลือความสามารถที่จะเรียนกันในระยะเวลาสั้นๆ เพาะต้องฝึกเพาะกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นที่เหล่าพระญี่ปุ่นได้เรียนกัน ก็เป็นประเภทเพลงดาบ การใช้ศาสตรวุธ วิชาตัดช่องย่องเบาอื่นๆ แต่แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้วล่ะครับ 

เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น วิชาเหล่านั้นก็ถูกสอนวนเวียนเฉพาะในวัดเท่านั้น ยังไม่ได้กระจายออกสู่โลกภายนอก แต่เหมือนชะตาบันดาล ญี่ปุ่นในสมัยนั้น เต็มไปด้วยสงครามแย่งชิงอำนาจ ในยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กเช่นนี้ ผู้เดือดร้อนก็หนีไม่พ้นราษฎรตาดำๆ หรอกครับ ชาวบ้านชาวช่องมักถูกทางการและโจรผู้ร้ายข่มเหงเอาเป็นประจำ เดือดร้อนหลวงพี่ผู้มีหน้าที่สงเคราะห์!โลกต้องออกหน้ามาช่วยบ่อยๆ ด้วยเหตุที่ว่าพระก็ต้องอยู่ส่วนพระ ทางโลกกับทางธรรมข้องเกี่ยวกันมากนักก็ไม่ได้ พระเหล่านี้เลยสอนวิชาการ่อสู้ให้กับชาวบ้านเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเสียบ้าง พระบางรูปก็ลาสิกขาบทจากพระศาสนา เพื่อละศีลปาณาปกป้องชาวบ้านตาดำๆ วิชานินจาเลยเริ่มแพร่หลายออกไปสู่โลกภายนอก แต่ตอนนั้นยังไม่เรียกนินจัตสึ และยังไม่มีนินจาครับ 


ปัญหามันก็มีอยู่ว่า ชาวบ้านร้านถิ่นเรียนไปเฉพาะวิชาการต่อสู้น่ะสิครับ เรื่องขันติโสรัจจะ ธรรมะคือคุณากร อย่างที่หลวงพี่มีชาวบ้านหาได้มีไม่ ดังนั้นวิชาการป้องกันตัวจึงถูกดัดแปลงไปเป็นศาสตร์แขนงใหม่ ที่สามารถสังหารคู่ปรปักษ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ในช่วงนั้น นอกจากความขัดแย้งทางการเมืองแล้ว ข้อขัดแย้งระหว่างผู้นับถือพุทธและชินโตก็รุนแรงอยู่ไม่น้อย ในต้นศตวรรษที่ 12 ณ จังหวัดอิกะใกล้เกียวโตเมืองหลวงเก่า ได้มีการจัดตั้งสำนักสอนวิชานินจัตสึขึ้นแห่งแรก เป็นสำนักที่มีการสอนวิชานินจาครบวงจร และถือกันว่า นินจาสมบูรณ์แบบถือกำเนิดขึ้นจากที่นี่เป็นแห่งแรกครับ 

Iga ninja and Koga ninja 
ในยุคเซนโกกุ อันเป็นยุคแห่งการชิงอำนาจของไดเมียวผู้ยิ่งยง โอดะ โนบุนางะ, โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ และ โตกุกาว่า อิเอยาสึ นั้น นินจาได้เข้ามีบทบาทเป็นเงาอยู่เบื้องหลังการชิงอำนาจในครั้งนี้ เมื่อปี 1603 ที่โตกุกาว่า อิเอยาสึ ได้ขึ้นสู่อำนาจเป็นโชกุน หลังจากเผด็จศึกที่สมรภูมิเซกิกาฮาราได้ อาจกล่าวได้ว่า บทบาทของนินจาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด ณ สงครามครั้งนี้เอง มีบันทึกอย่างเป็นทางการในประวัติศาสตร์เอาไว้หลายเล่ม เช่น บันทึก"โฮโด โกไดคิ" ของตระผมลโฮโจ และ"อิรันกิ " ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของจังหวัดอิงะ ล้วนกล่าวถึงบทบาทสำคัญๆ ของนินจาเอาไว้อย่างชัดเจนครับว่า พวกเขา มีความสำคัญและชี้ชะตาคู่สงครามได้อย่างไร 

ลอบเร้นจารกรรม สอดแนม และสังหาร 
นินจาขึ้นชื่อด้านการทำจารกรรม การลอบเข้าปราสาทของข้าศึกโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว อย่างที่เราเคยเห็นในหนังนั้นก็มีครับ พรางกายด้วยผ้าลายกำแพงเอย มุดอยู่ในสระโดยหายใจด้วยปล้องไม้ไผ่เอย นินจามักใช้กลยุทธในการลอบเข้าปราสาทหรือค่ายแม่ทัพของข้าศึก ทีละคนละคน รอจนรวมกำลังครบชุดพวกเขาจึงเปิดฉากโจมตีแบบไม่ให้ข้าศึกรู้ตัว เป้าหมายก็มักเป็นไดเมียว ขุนนาง หรือแม่ทัพข้าศึกนั่นล่ะครับ นินจาที่ใช้วิธีนี้มักจะยินยอมสละแล้วซึ่งชีวิต ลงเปิดเผยตัวกลางดงดาบแบบนั้น โอกาสจะรอดกลับไปเห็นจะยากครับ ยุทธวิธีที่บ้าระห่ำแบบนี้มักใช้ได้ผลเสมอๆ จนเป็นที่ครั่นคร้ามของเหล่าไดเมียวไปตามๆ กัน แต่ก็บ่อยครั้ง ที่นินจาถูกทหารยามจับได้ และลงมือสังหารก่อนที่จะปฏิบัติการ 

นินจาที่มีชื่อที่สุด อยู่ที่หุบเขาอิงะ และโคงะ หรือปัจจุบันคือจังหวัดมิเอะนั่นเอง ปัจจุบันได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็น Original Homeland ของนินจา ในช่วงก่อนและหลังสงครามระหว่างสามผู้ยิ่งใหญ่ นินจาเฟื่องฟูจนถึงขีดสุด โอดะ โนบุนางะ เองก็ชุบเลี้ยงนินจาโคงะเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนินจาทั้งหลายมาหมดบทบาทเอาหลังกบฏชิมาวาระ รายละเอียดในส่วนนี้สนุกและยาวมากครับ ถ้ามีเวลาผมจะเก็บเอามาเล่าให้ฟังในตอนหลังนะครับ 

****เพิ่มๆๆ อาจจะใช่ประวัติ นินจา ของ ญี่ปุ่น 
นินจา นักฆ่าซัดอาวุธดาวกระจายที่โด่งดังในภาพยนตร์ญี่ปุ่นนั้น เดิมทีไม่ใช่มีภาพเช่นนั้น เชื่อกันว่า นินจาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกฝนในกลุ่มนักบวช ที่เผยแพร่จากจีนมาญี่ปุ่นในช่วงเผยแผ่ศาสนาราวปีค.ศ.522 กลุ่มนักบวชเหล่านี้ไม่ใช้วิชาการต่อสู้เพื่อความรุนแรง จนกระทั่งปีค.ศ. 645 ที่ฝ่ายสงฆ์เริ่มนำวิชาการต่อสู้นี้มาใช้ หลังจากถูกกดขี่บีบคั้นจากรัฐบาลกลางให้ปกป้องตนเอง 

ในสมัยเฮอันที่เกิดการต่อสู้ชิงอำนาจกันระหว่างตระผมลเพื่อโค่นล้มราชสำนัก ตระกุลใหญ่ๆ เหล่านี้ต้องการนักฆ่ามืออาชีพที่ทำงานหาข่าวและลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้เป็นที่ต้องการสูงมาก และกลุ่มนินจาก็เริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น 

คำว่า นินจา มาจากคำว่า ชิโนบิโนโมโน่ เมื่อเขียนด้วยตัวอักษรคันยิ อ่านว่า "นินชา" หากอ่านเป็นภาษาจีนจึงเป็น "นินจา" นินหมายถึงการหลบซ่อน จาหมายถึงบุคคล นินจาจึงหมายถึงบุคคลที่ซ่อนตัว ชนิดแวบไปแวบมานั่นเอง 


นินจานั้นฝึกกันยากมากมายขนาดไหน ปัจจุบันนั้นก็ยังเป็นปริศนาอยู่ เพราะสำนักนินจาที่มีในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นนินจาพันธุ์ทาง ที่แปลงตัวเองมาเป็นศิลปการต่อสู้แขนงหนึ่ง ไม่ใช่วิชาสังหารเหมือนดังอดีตเสียแล้ว จากหลักฐานและคำบอกเล่าเท่าที่มี วิชาหลักๆที่นินจาต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกก็คือ การฟังเสียง และการทำตัวให้เข้ากับความมืดครับ 

ทำไมจึงต้องทำตัวให้เข้ากับความมืด? 

แน่นอนครับ นินจามีภารกิจหลักคือการเร้นกายเข้าสังหารเป้าหมาย การจะกระโตกกระตากบุกเดี่ยวกลางดงโจรเหมือนที่ อาจารย์ หวงเฟยหง แห่งฝอซานทำนั้น นินจาทำไม่เป็นแน่ๆ การฟังเสียงของนินจานั้นเป้นเพียงเสี้ยวเล็กๆของการฝึกฝนกายและใจ โดยจะต้องฝึกกันมาตั้งแต่เล็กๆ เพื่อให้สายตาชินกับความมืด ชินกับความเงียบ รู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ จนกระทั่งเติบโตกลายเป็นนินจา คมเขี้ยวแห่งความมืดที่สมบูรณ์เมื่อเติบโตขึ้น 

นอกจากโสตประสาท นินจายังต้องฝึกการเคลื่อนไหว การเดินเหินย่างเหยาะ ซึ่งจะมีประโยชน์ในการหลบหนีข้าศึกที่ติดตามมา หรือแม้กระทั่งการไต่กำแพงแบบสบายๆ เหมือนกับเดินทอดน่องบนฟุตบาทเสียอย่างนั้น นินจามีฝีเท้าที่เบาหวิว พวกเขาสามารถเดินบนหิมะโดยที่แทบไม่เกิดรอยเท้า โดยอาศัยการฝึกจากการเดินเหยียบกระดาษบางเปียกๆ โดยไม่ให้เกิดรอยเท้าบนนั้น 

กำลังแขนขาก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนินจาเหมือนกันครับ โดยมีไว้ห้อยโหน แนบตัวกับผนังกำแพง โดยใช้มือทั้งสองข้างดันผนังเหยียดตรง ซึ่งตรงนี้ก็ต้องใช้กำลังของข้อต่อมาช่วยอีกทีนึง เชื่อหรือไม่ว่า นินจามีวิธีการฝึกการดัดข้อต่อมาอย่างดี สามารถบิดโค้ง หรือพับได้ในลักษณะที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะทำได้ นี่กระมังครับ เป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่ทำให้นินจาสามารถ"ล่องหน" ได้ อันว่าการล่องหนนี้ ไม่น่าจะใช่การหายตัวไปจริงๆ แต่น่าจะขดหรือม้วนอยู่แบบกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม จนทำให้ศัตรูนึกว่านินจาหายตัวไปแล้วเสียมากกว่า 

วิชาล่องหนจากการพันธนาการก็เหมือนกันครับ เคล็ดลับก็คือการบิดข้อต่อหัวไหล่ให้หลุดจากเชือกที่มัดเอาไว้ โดยการทำให้มันหย่อนแล้วแก้มัดตัวเอง การดัดข้อต่อนี้ยังมีประโยชน์ในการ"แกล้งตาย" อีกด้วย กล่าวคือ หากนินจากลั้นหายใจและนอนในสภาพคอเอียงเค้เก้ แขนบิดไปทางขาบิดไปทาง ใครจะมามัวสงสัยล่ะครับ ว่าเจ้านั่นยังอยู่หรือตายเพราะสภาพแบบนั้น รอดได้ก็บุญโข เมื่อคล้อยหลังศัตรูไป นินจาตัวดีก็กลับมาเดินปร๋อเหมือนซอมบี้ในไบโอ ฮาซาร์ดยังไงยังงั้นเลยแหละ 

นินจากินอะไรถึงได้เก่งนัก? 

นั่นสิครับ เคล็ดลับของนินจาอยู่ที่อาหารหรือเปล่าหนอ พวกเขากินอะไรทำไมถึงได้เก่งกาจเกินคนกันนัก คำตอบก็คือเปล่าเลย นินจาไม่ได้กินอาหารพิสดารต่างจากมนุษย์หรอก พวกเขาไม่มีบ๊วยเค็มที่กินแล้วกลายเป็นซูเปอร์แมนปากจู๋ หรือผักขมแบบที่กลาสีกล้ามโตป๊อบอายกินเข้าไป นินจาก็กินอาหารเหมือนมนุษย์เดินดินทั่วไปนี่แล... 

นินจาสมัยใหม่ อาจมีอาหารแค็ปซูลพกเหมือนหน่วยรบพิเศษ แต่ที่แน่ๆ นินจาไม่นิยมพกน้ำครับ เพราะเป็นตัวถ่วงน้ำหนักอย่างร้ายกาจ ของที่ใช้แก้กระหายของนินจามาแต่โบร่ำโบราณได้แก่ ผงเป๊บเปอร์มินท์ หรือเมล็ดงา บางตำรับก็คั้นน้ำมันผักชนิดหนึ่งมาทาไว้ที่รูจมูก และนิยมกินผักป่า เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามิน ที่ใช้บำรุงสายตาของนินจาเค้า 

ไม่เพียงแต่ฝึกร่างกายเท่านั้น นินจายังต้องฝึกความพร้อมทางจิตใจอีกต่อหนึ่ง เพื่อให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารสมบูรณ์แบบ เราอาจอนุมานว่า มันเป็น ESP ประเภทหนึ่ง เพราะคำร่ำลือแต่โบราณกล่าวกันว่า นินจาเหมือนพวกที่มีพรายกระซิบครับ พวกเขาสามารถคาดการณ์ล่วงหน้า หรือมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำราวกับตาเห็น สามารถสะกดจิต หรือ แค่จ้องตา ผู้ถูกจ้องก็อ่อนระทวยเหมือนกบเขียดที่ถูกงูสะกด จะว่าไปมันก็เป็นหลักทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง แม้จะไม่มีคำอธิบายที่แจ่มชัด แต่คำบอกเล่าที่สอนกันมาในหมู่นินจาก็คือ "จิต คือผนึกแห่งเอกภพ เป็นความจริงแท้ที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการทางจิตใจ เป็นสิ่งที่กลั่นกรองผ่านกระบวนการทางจิตใจ แล้วซึมซาบสู่การรับรู้ทางอินทรีย์" 

ที่แน่ๆ นินจามักไม่สะทกสะท้านต่อความตาย เพราะพวกเขาถือว่า ชีวิตมีค่าเท่ากับศูนย์ หากรอดก็ได้กำไร ถ้าตายก็เสมอตัว ความตายเป็นเพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกับพวกเขา การทำใจสำหรับวันตายของนินจาเป็นสิ่งจำเป็น เพราะวันนั้นของพวกเขาจะมาก่อนคนอื่นอีกมากนัก เกิดเป็นนินจา จะโดนกับดักในปราสาท หรือโดนซามูไรฟันหัวแบะเมื่อไหร่ก็ไม่อาจตรัสรู้ได้ การทำใจกับความตาย จึงเป็นเรื่องธรรมดาของนินจาทุกรูปทุกนาม อุปมาเหมือนเล่นเน็ต ระวังยังไงก็ต้องมีวันโดนไวรัสเข้าจนได้นั่นแล... 

ประกบอิง - - พลังจากฝ่ามือ 

โอ๊ะ โอว... ยังกะท่าของคุจากุเลยใช่ไหมล่ะครับ? เปล่าหรอกครับ นี่คือหัวใจของการฝึกและชีวิตของนินจาเลยทีเดียว การฝึกจิตยังไงล่ะครับ เพราะลำพังแค่ความแข็งแกร่งทางร่างกายอย่างเดียวไม่พอแน่ นินจาที่แท้จริงจำต้องเรียนลึกไปถึงสภาพภายในจิตใจของตนเอง รวมทั้งแก่นแท้ของสรรพสิ่งรอบข้าง ว่าง่ายๆก็คือจิตวิญญาณแห่งสรรพสิ่งนั่นเอง เพราะเมื่อรู้จักพลังและความสัมพันธ์แห่งที่มาของพลังแล้ว นินจาจึงสามารถดึงพลังจากสิ่งรอบข้างมาใช้ได้ โดยไม่เกิดอันตรายกับตนเอง การฝึกของนินจาที่เราอาจจะเคยเห็นในหนังบ่อยๆ นั่นก็คือการประกบ อิง - มือ หรือ คุจิ-อิง ซึ่งการประสานมือนี้เชื่อกันว่า เป็นการโอบล้อมให้เกิดพลัง โดยลักษณะการประกบมือนี้ คาดว่าน่าจะมีอิทธิพลมาจากจีนและธิเบตครับ ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ (ชิ-ซุย-ฟุ-กะ) (ญี่ปุ่นอิงศาสนาไปทางธรรมชาติ) 

นินจาเชื่อกันว่า ท่าประสานนิ้วนี้ เมื่อผู้ใช้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิอันแน่วแน่ จะสามารถบังคับการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ สภาพบรรยากาศอันกดดัน และผนึกสมาธิให้ตั้งมั่นได้อย่างสูงสุด อันนี้ก็ไม่รู้ว่า จะสามารถล่องหนปล่อยไฟได้เหมือนในหนังมั๊ยนะครับ เพราะยังไม่เคยลอง อนึ่ง รากฐานของการประสานมือนี้ ถูกผนึกเข้ากับการกำหนดลมหายใจ ตามแบบวิปัสนาพุทธด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่ดูหนังหรืออ่านการ์ตูนแล้วเห็นนินจาทำท่านี้ล่ะก็ เค้าไม่ได้สวดมนตร์หรอกครับ แค่ผนึกสมาธิ นายจะปล่อยพลังก้อนโตๆออกมาระเบิดศิลาเป็นผงนั้น เป็นไข่และสีสันจากผู้สร้างเสียมากกว่า น้องๆ ที่กำลังจะเอนท์ จำไปไว้ใช้ก่อนอ่านหนังสือก็คงไม่เลวดอกนะครับ 


นจา ตามประวัติญี่ปุ่นโบราณแล้ว มีอยู่จริง นินจาแบ่งออกได้สองประเภท 
1. นินจารับจ้าง เหมือนทหารรับจ้างในปัจุบัน 
2. นินจามีเจ้านาย เหมือนทหารสังกัดกองทัพ 
นินจามักอาศัยกันเป็นกลุ่มน้อย มักอยู่ในหมู่บ้านในป่าเขาลึกลับ นินจาสมัยโบราณ แบ่งเป็นตระกุลใหญ่ได้เป้น4 ตระกุลด้วยกัน ฟูมะ อิกะ โคงะ อิงะ แต่ละตระกุลความสามารถไม่เหมือนกัน เช่น ฟูมะ รวดเร็วที่สุดใน4ตระกุล เป็นต้น แต่ละตระกุลจะแบ่งเป็นชนชั้นภายใน เช่น เจ้าบ้าน รองเจ้าบ้าน(2คน) ผู้เฒ่า(แล้วแต่ตระกุล) ลูกบ้าน เป็นต้นในทุกตระกุลเจ้าบ้านนั้นมีสิทธิขาดในการสั่งทุกอย่าง งานหลักๆของนินจา มีอยู่4อย่าง ลอบสังหาร ส่งสาร สอดแนม คุ้มครอง ขึ้นอยู่กับเจ้านายหรือผู้ว่าจ้างที่ต้องการให้กระทำ นินจาไม่เหมือนซามูไร ไม่มีศักดิ์ศรีแบบซามูไร การสู้นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องสุ้ตัวต่อตัว นินจาจะทำยังไงก็ได้เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในภารกิจ การลอบสังหารของนินจามีหลายประเภท เช่นคุโนอิจิ(นินจาที่เป็นผู้หญิง) ส่วนมากจะใช้ตัวเองล่อประเภท เกอิชา(ร่างกายคืออาวุธ) การชมศิลปะของญี่ปุ่นส่วนมาก ผู้ที่ชม(หรือเป้าหมาย)จะอยู่คนเดียว(ถือศักดินาอยู่) จึงทำให้โอกาสสังหารมีมาก เป็นต้น 
ในสมัยของ โนบุนากะปลายๆนั้น ได้เห็นนินจาสำคัญเป็นอย่างมากและหวาดกลัวนินจาเพราะความล่วงรู้ถึงความสามารถของนินจา(โนบุนากะเองก้ใช้นินจาของตระกุล อิกะอยู่ ไดเมียวแต่ละท่านจะทำสัญญาญกับนินจาเป็นตระกุลเดียวเท่านั้น) จึงได้ทำการกวาดล้างนินจา ทุกหมุ่บ้านเกิดขึ้น จนปจุจบันไม่มีนินจาเหลืออยู่ในญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว(เพราะเหตุการณ์ครั้งนันของโนบุนากะฆ่าล้างตระกุล) 
สมัยนี้มีรึเปล่ามะแน่จัยอ่ะ แต่ดาบซามูไร ยังมีเลย นินจาก้นาจะมีได้ ดูอย่างเฉิงหลงดิ เหมือนนินจาเรย อิอิ กระโดดไปนูนไปนี่ใช่ม่ะ เพราะฉะนั้นตัวจริงก้น่าจามีอ่ะมั้ง(เดา) แต่ จำได้ว่าเค้ามีกฏหมายห้ามมีนินจา ด้วย่น่ะ จำไม่ได้ว่าสมัยไหน น่าจะหลังๆ เหตุการณ์ ก่อกฏของเหล่าซามูไรอ่ะ ถ้าจำไม่ผิด(ลืม) 


หนังสือเกี่ยวกับนินจาหลายๆ เล่มกล่าวเอาไว้ใกล้เคียงกันว่า วิชานินจาถือกำเนิดมาจากจีนน่ะจ๊ะมะแน่ใจน่ะ ประมาณคริสศตวรรษที่ 6 ตรงกับราชวงศ์ถังของจีนพอดี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธกำลังรุ่งเรืองในแถบนี้ การแพร่หลายของศานาเป็นเหตุให้การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเกิดขึ้น จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นในสมัยนั้น ก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำนองเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย หรือ พระเจ้าถังไท้จงแห่งราชวงศ์ถัง พระองค์ได้ส่งศาสนทูตไปศึกษาเรียนรู้ และคัดลอกพระคัมภีร์ทางศาสนามาจากจีน 
เหล่าศาสนทูตที่ไปศึกษาพระศาสนานั้น ไปแล้วก็ไม่ได้เรียนเฉพาะพระธรรมแต่อย่างเดียวนี่สิ(ไม่ดีเรยน้อ)แต่ยังเรียนวิชาความรู้อื่นๆ เช่น การปรุงยา ดาราศาสตร์ การก่อสร้าง และวิชาการต่อสู้ติดตัวมาด้วย เราๆ ท่านๆ คงจะคุ้นเคยกันดี กับภาพพระนักสู้จากวัดเสียวลิ้มยี่ของจีน เหล่าศานทูตได้ศึกษาซึมซับเอาวิทยายุทธอันลึกล้ำของจีนกลับมาด้วยไม่น้อย แต่อย่างว่าล่ะวิทยายุทธประเภทลมปราณหรือกำลังภายใน มันเหลือความสามารถที่จะเรียนกันในระยะเวลาสั้นๆ เพาะต้องฝึกเพาะกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นที่เหล่าพระญี่ปุ่นได้เรียนกัน ก็เป็นประเภทเพลงดาบ การใช้ศาสตรวุธ วิชาตัดช่องย่องเบาอื่นๆ แต่แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้วล่ะ(อยากไปเล่นบ้างจังย่องเบาเนี่ยอิอิ)เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น วิชาเหล่านั้นก็ถูกสอนวนเวียนเฉพาะในวัดเท่านั้น ยังไม่ได้กระจายออกสู่โลกภายนอก แต่เหมือนชะตาบันดาล ญี่ปุ่นในสมัยนั้น เต็มไปด้วยสงครามแย่งชิงอำนาจ ในยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กเช่นนี้ ผู้เดือดร้อนก็หนีไม่พ้นราษฎรตาดำๆO_Oชาวบ้านชาวช่องมักถูกทางการและโจรผู้ร้ายข่มเหงเอาเป็นประจำ เดือดร้อนหลวงพี่ผู้มีหน้าที่สงเคราะห์!โลกต้องออกหน้ามาช่วยบ่อยๆ ด้วยเหตุที่ว่าพระก็ต้องอยู่ส่วนพระ ทางโลกกับทางธรรมข้องเกี่ยวกันมากนักก็ไม่ได้ พระเหล่านี้เลยสอนวิชาการ่อสู้ให้กับชาวบ้านเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเสียบ้าง พระบางรูปก็ลาสิกขาบทจากพระศาสนา เพื่อละศีลปาณาปกป้องชาวบ้านตาดำๆ วิชานินจาเลยเริ่มแพร่หลายออกไปสู่โลกภายนอก แต่ตอนนั้นยังไม่เรียกนินจัตสึ และยังไม่มีนินจาน่ะจ๊ะจาบอกหัยปัญหามันก็มีอยู่ว่า ชาวบ้านร้านถิ่นเรียนไปเฉพาะวิชาการต่อสู้น่ะดิ เรื่องขันติโสรัจจะ ธรรมะคือคุณากร อย่างที่หลวงพี่มีชาวบ้านหาได้มีไม่ ดังนั้นวิชาการป้องกันตัวจึงถูกดัดแปลงไปเป็นศาสตร์แขนงใหม่ ที่สามารถสังหารคู่ปรปักษ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ในช่วงนั้น นอกจากความขัดแย้งทางการเมืองแล้ว ข้อขัดแย้งระหว่างผู้นับถือพุทธและชินโตก็รุนแรงอยู่ไม่น้อย ในต้นศตวรรษที่ 12 ณ จังหวัดอิกะใกล้เกียวโตเมืองหลวงเก่า ได้มีการจัดตั้งสำนักสอนวิชานินจัตสึขึ้นแห่งแรก เป็นสำนักที่มีการสอนวิชานินจาครบวงจร และถือกันว่า นินจาสมบูรณ์แบบถือกำเนิดขึ้นจากที่นี่เป็นแห่งแรก(ต้นตระกุลอิกะนั่นเอง)ในยุคเซนโกกุ อันเป็นยุคแห่งการชิงอำนาจของไดเมียวผู้ยิ่งยง โอดะ โนบุนางะ, โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ และ โตกุกาว่า อิเอยาสึ นั้น นินจาได้เข้ามีบทบาทเป็นเงาอยู่เบื้องหลังการชิงอำนาจในครั้งนี้ เมื่อปี 1603 ที่โตกุกาว่า อิเอยาสึ ได้ขึ้นสู่อำนาจเป็นโชกุน หลังจากเผด็จศึกที่สมรภูมิเซกิกาฮาราได้ อาจกล่าวได้ว่า บทบาทของนินจาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด ณ สงครามครั้งนี้เอง มีบันทึกอย่างเป็นทางการในประวัติศาสตร์เอาไว้หลายเล่ม เช่น บันทึก"โฮโด โกไดคิ" ของตระผมลโฮโจ และ"อิรันกิ " ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของจังหวัดอิงะ ล้วนกล่าวถึงบทบาทสำคัญๆ ของนินจาเอาไว้อย่างชัดเจนครับว่า พวกเขา มีความสำคัญและชี้ชะตาคู่สงครามได้อย่างไร 


ลอบเร้นจารกรรม สอดแนม และสังหาร 
นินจาขึ้นชื่อด้านการทำจารกรรม การลอบเข้าปราสาทของข้าศึกโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว อย่างที่เราเคยเห็นในหนังนั้นก็มีเยอะแยะเคยดูกานป่ะ พรางกายด้วยผ้าลายกำแพงเอย มุดอยู่ในสระโดยหายใจด้วยปล้องไม้ไผ่เอย นินจามักใช้กลยุทธในการลอบเข้าปราสาทหรือค่ายแม่ทัพของข้าศึก ทีละคนละคน รอจนรวมกำลังครบชุดพวกเขาจึงเปิดฉากโจมตีแบบไม่ให้ข้าศึกรู้ตัว เป้าหมายก็มักเป็นไดเมียว ขุนนาง หรือแม่ทัพข้าศึกนั่นล่ะครับ นินจาที่ใช้วิธีนี้มักจะยินยอมสละแล้วซึ่งชีวิต ลงเปิดเผยตัวกลางดงดาบแบบนั้น โอกาสจะรอดกลับไปเห็นจะยากครับ ยุทธวิธีที่บ้าระห่ำแบบนี้มักใช้ได้ผลเสมอๆ จนเป็นที่ครั่นคร้ามของเหล่าไดเมียวไปตามๆ กัน แต่ก็บ่อยครั้ง ที่นินจาถูกทหารยามจับได้ และลงมือสังหารก่อนที่จะปฏิบัติการ (อยากไปเรียบ้างจังวิชาพรางกายด้วยผ้าลายกำแพงเปงยังไง มองไม่เหงเจิงๆเหอร- -") 
นินจาที่มีชื่อที่สุด อยู่ที่หุบเขาอิงะ และโคงะ หรือปัจจุบันคือจังหวัดมิเอะนั่นเอง ปัจจุบันได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็น Original Homeland ของนินจา ในช่วงก่อนและหลังสงครามระหว่างสามผู้ยิ่งใหญ่ นินจาเฟื่องฟูจนถึงขีดสุด โอดะ โนบุนางะ เองก็ชุบเลี้ยงนินจาโคงะเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนินจาทั้งหลายมาหมดบทบาทเอาหลังกบฏชิมาวาระ รายละเอียดในส่วนนี้สนุกและยาวมากถ้าว่างเดียวเอาลงให้ใหม่เฉาพะนินจาก้ปาไป5-6กระทู้แล้วอ่ะ (ฮื่ออข้อมูลผิดพลาดโอดะใช้นินจาตระกุลโคง่ะน่ะจ๊ะโคงะ)

ความคิดเห็น

rimnamta
rimnamta 2 ก.ย. 53 / 18:44
โหะๆๆ
เป็นไดอารี่ที่ยาวมาก ๆ และมากๆๆ
ความคิดเห็นที่ 2
อยาดเรียนนินจามากคับ
ความคิดเห็นที่ 3
นินจามีจริงหรือเปล่า
ความคิดเห็นที่ 4
้ดนีิดรหิดี็ฎโษฺโษฎฆฺโิรดิษ๊โฺห