ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #24 : ไกรทอง ตอน20 (แก้ไข)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.33K
      38
      18 พ.ค. 58

    มนุษย์นี่หน่าช่างน่ารำคาญเสียจริงเชียว    นิสัยที่ชอบสอดรู้เรื่องผู้อื่นเขาไปทั่ว   อยู่ว่างๆไม่ได้ต้องนินทาเรื่องคนนั้นที  คนโน้นทีไปเรื่อยๆไม่มีวันจะหยุดพูด.....อย่างเช่นเรื่องของไม้ที่กลับมาเป็นขี้ปากของชาวบ้านอีกครั้ง  หลังจากกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน
     
    ....จากที่รู้สองคนก็ขยับขยายเป็นสาม สี่ ห้า ไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดก็รู้กันไปทั้งหมู่บ้าน บ้างเสียงก็เล่าว่าที่นิสัยเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเพราะอกหัก   อีกด้านหนึ่งหาว่าโดนผีเข้า   หนักหน่อยก็จะเป็นไปติดสาวบ้านอื่นจนถูกไล่ตะเพิด  จนกลายเป็นเรื่องสนุกปากประจำหมู่บ้านไป
     
     
           อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
           ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
           แค่องค์พระปฎิมายังมีราคิน
           คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา
     
    ...นี่ล่ะน้าธรรมชาติของมนุษย์ต้องมีเสียงติฉินนินทาผู้อื่นไม่รู้จักจบจักสิ้น  เรื่องนี้เข้ามา  เรื่องโน้นเข้ามา  มีพูดกันไม่หยุดปาก   จนเขาอยากจะรู้นักว่าถ้าคนพวกนี้ไม่สอดรู้เรื่องคนอื่นแล้วมันจะลงแดงตายหรือไง...
     
    “มีเรื่องอะไรจะพูดจงรีบพูดออกมาไม่ใช่มาจ้องเอา จ้องเอาแบบนี้ เกิดข้าเป็นปลากัดขึ้นมาเดี๋ยวได้ท้องกันพอดี”
     
    ...อย่าว่าแต่พวกมนุษย์เลย   ขนาดไอ้กุมภีร์ตัวหนึ่งที่นั่งเลี้ยงไก่ชนอยู่ข้างๆกัน มันก็ชอบเสือกเรื่องของคนอื่นเขาเหมือนกัน....คงเป็นเพราะส่งมันไปเป็นหน่วยสอดแนมอยู่บ่อยๆเลยได้นิสัยอยากรู้อยากเห็นติดกลับมาด้วย
     
    ‘งานหน้าส่งเจ้านี่ไปเป็นหน่วยรบแนวหน้าดีกว่า  เผื่อนิสัยแบบนี้จะหายไปจากตัวสักที’
     
    “ถ้าเอ็งเป็นปลากัดจริงข้าไม่ยอมเสียลูกกระตาจ้องให้เอ็งท้องหรอกโว้ย! บรึ๋ย!พูดมาได้”
     
    ชายหนุ่มร่างหนาแหวใส่เพื่อนด้วยท่าทีขนลุกชันและน้ำเสียงหวาดผวากับความคิดพิเรนเยี่ยงนี้.....มีอย่างที่ไหนมาเปรียบกุมภีร์เป็นปลากัด...ข้ากะเอ็งมันพันธุ์ระดับพญานะโว้ย!  ไม่ใช่พันธุ์กิ้งก่า   กิ้งกือทั่วไป... แหม่ พูดซะเสียหายหมด
     
    “เอาล่ะมีอะไรพูดมา ไม่ใช่มานั่งอุ้มไก่ชนด่าข้าอยู่ในใจแบบนี้”
     
    พอเจอคำพูดนิ่งๆดักคอ   เพื่อนร่างหนาก็พาลหมดอารมณ์ยอมพูดสิ่งที่ใจคิดออกมาให้อีกฝ่ายรับฟัง
     
    “ชาละวัน...เอ็งจริงใจกับมนุษย์พวกนี้มากแค่ไหน?”
     
    “เหตุใดต้องจริงใจกับมนุษย์เหล่านี้ด้วยเหล่า ในเมื่อพวกมันเกิดมาเพียงเพื่อเป็นหมากเบี้ยให้ใช้ประโยชน์เท่านั้น  หาได้มีค่าสำคัญอันใดกับข้าถึงขนาดนั้น”  ชายหนุ่มหน้าตางดงามวางมือจากการสานไก่   หันมาเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิท
     
    ในตอนแรกเขาคิดอยากขอร้องเพื่อนสักเรื่องหนึ่งแต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอ  ด้วยเกรงว่าจะเสียงานใหญ่แต่หลังจากที่นอนก่ายหน้าผากครุ่นคิดมาหลายคืน   เขาเลยอยากขอลองเสี่ยงดูสักหน่อย  เผื่อว่าชาละวันอาจเริ่มมีใจผูกพันกับพวกมนุษย์เหล่านี้   จนให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
      
    “สำหรับมนุษย์ผู้อื่นข้าไม่ค่อยสนใจหรอกแต่สำหรับบางคน...ข้าขอให้เอ็งละเว้นสักสองสามคนเท่านั้นก็พอ”
     
    “เอ๋!?นี่ข้าฟังผิดไปหรือปล่าว...ที่ได้ยินท่านขุนศึกใหญ่อย่าง ‘ท่านคณัสนันท์’  เอ่ยปากขอร้องข้าเพื่อมนุษย์ตั้งสามคน?...อ๋อ!ให้ข้าเดาคงจะเป็นไกรทอง ทองดำ และ.......”
     
    สายตายิ้มเยาะของคนรู้เท่าทันทำเอานันหรือคณัสนันท์ถึงกับหนาวสันหลังวูบเป็นวัวสันหลังหวะ...ไอ้นี่มีเรื่องไหนบ้างว่ะที่ไม่รู้บ้าง
     
    เฮ้อ!  ถ้าไม่ใช่เพราะคำขอร้อง...หรือต้องบอกว่าถูกบังคับน่าจะดีกว่า   ข้าคงไม่เอากระดูกมาแขวนคอให้หนักเล่นหรอก.....เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ  ‘อยากเปลี่ยนตัวกับคนอื่นโว้ย!  ใครก็ได้มาอยู่ตรงนี้แทนกูที’
     
    ชาละวันเกิดความรู้สึกแขยงไปทั้งตัว  เมื่อตนเองต้องมาถูกชายหนุ่มร่างสูงหนาอย่างคณัสนันท์เที่ยวคอยส่งสายตาอ้อนวอนมาให้และยิ่งทวีเพิ่มขึ้นราวกับบอกเป็นนัยๆว่า  มันจะไม่ยอมหยุดทำกิริยาเช่นนี้จนกว่าเขาจะตกลง 
      
    พญากุมภีร์หนุ่มนึกคำด่าแช่งชักอยู่ในใจ ‘ให้ตายเถอะ...ถ้าคนอื่นมาทำสายตาอ้อนๆข้าก็ยังจะพอรับไหว  ยกเว้นเจ้านี่ที่ข้ารู้สึกแขยงไปทั้งตัวกับสายตาของมัน...อย่าให้รู้นะว่าใครหน้าไหนมันกล้าสอนกลยุทธ์ทำสายตาหวานเชื่อมให้กับเจ้านี่   เพราะถ้าข้ารู้นะ...ข้าเอามันผู้นั้นตายแน่  ’
     
    หากท้ายที่สุดชาละวันก็จำใจยอมรับความพ่ายแพ้พยักหน้าตกลงต่อคำเรียกร้องของไอ้เพื่อนรัก   แต่ยังมิวายมีข้อแม้ให้อยู่ดีว่า...“ยกเว้นแค่ไกรทองเท่านั้นที่ข้าจะไม่ปล่อยให้หลุดมือเพราะพ่อของมันพ่อข้าถึงต้องตาย   ฉะนั้นมีแค่มนุษย์ผู้นี้เท่านั้นที่ข้าจะไม่รับปากทำตามที่เอ็งขอร้อง”
     
    นันเอาไก่ชนส่งเข้าสุ่มให้เรียบร้อยก่อนจะลุกขึ้นยืนโปรยให้ข้าวเปลือกตบท้าย
     
    “แต่ข้าเห็นเอ็งเอ็นดูน้องเขาดีนี่หว่า...เอ็งไม่รู้สึก......”
     
    เพื่อนพูดยังไม่ทันจบชาละวันก็รีบเอ่ยแทรกทะลุขึ้นมากลางปล้อง  ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมา  “ข้าแค่หลอกให้ตายใจเท่านั้นไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น”
     
    ใช่...ไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากคำว่าแก้แค้น...แก้แค้นให้สาสมกับสิ่งที่พ่อมันเคยทำเอาไว้ในอดีต
     
    “น่าเสียดายที่ขุนไกรตายไปแล้วเพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องรับกรรมต่อต้องเป็นไกรทองลูกชายของมัน”
     
    นันที่ยืนให้อาหารไก่อยู่ข้างๆนึกหนักใจถึงแรกเริ่มจะคอยเป็นสายส่งข่าวให้  ทำงานให้แต่เมื่อได้เห็นน้ำใจและมิตรภาพของมนุษย์เหล่านี้ย่อมต้องเกิดความผูกพันเป็นธรรมดา...ข้าคงได้แต่หวังปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะเปลี่ยนความแค้นของเจ้าหมอนี่ให้หมดไปจากใจได้โดยไม่มีการทำร้ายใครให้เจ็บปวด
     
    “พี่ชาละวัน พี่นัน”
     
    และปาฏิหาริย์คงจะมีจริงดังเขาว่าไว้  เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของไกรทอง  ไอ้แววตาแข็งกร้าวมาดร้ายก็เกิดปรับเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว...เอ็งไม่เคยรู้ตัวเลยสินะว่าไอ้หน้ากากที่มักชอบสวมใส่อยู่มันแฝงไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกจริงๆไม่ใช่การแสแสร้งอยากที่เอ็งเคยเข้าใจ...เมื่อไรจะรู้หัวใจตัวเองเสียทีนะชาละวัน
     
    “ขอโทษนะที่ฉันเข้ามากวนเวลาทำงานของพวกพี่ทั้งสองคน”
     
    “ไม่หรอกจ๊ะ...น้องไกรทองมีอะไรกับพวกพี่รึ?” ชาละวันละมือจากงานสานซุ่มไก่มายืนคุยกับไกรทองด้วยยิ้มอ่อนโยนทั้งน้ำเสียงและแววตา  ไม่ใช่ท่าทีแสแสร้งอย่างที่ตนเองเข้าใจเลยสักนิด
     
    “เห็นว่าพรุ่งนี้ลุงคำจะมีการเกณฑ์คนงานบ้างส่วนไปช่วยกันเกี่ยวข้าวที่นา  เห็นว่าได้ค่าแรงดีแต่งานมันค่อนข้างจะหนักหน่อยพวกพี่สนใจจะไปทำกันไหมจ๊ะ? เพราะฉันจะแจ้งจำนวนคนที่ไปทำงานถูก”
     
    “ถ้าน้องไกรทองไปพี่ก็ไปจ๊ะ”
     
    มุขหยอดคำหวานที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทำเอาไกรทองถึงกับต้องสะอึก...แม้ทุกวันนี้เขาจะชอบใจสั่น  ใจเต้นกับชายรูปงามตรงหน้าเป็นประจำจนเกือบกลายเป็นนิสัยปกติ  หากเมื่อพอได้ชิดใกล้กันไปนานๆเข้าบ้างครั้งเขาเริ่มนึกไม่แน่ใจกับอะไรในหลายๆอย่างที่ได้รับมา   อาจเป็นเพราะพี่ชายคนนี้มีนิสัยแสนดีเกินไป จนเขารู้สึกไม่น่าไว้ใจไม่กล้าเข้าใกล้ชิดมากนัก
     
    ‘แม้จะยกหาเหตุผลข้ออ้างต่างๆขึ้นมาให้ดูดี  หากเขาก็รู้ใจตัวเองดีว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ต้องถอยห่างออกมา  เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างกัน’
     
    เด็กหนุ่มพยายามปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเป็นปกติดึงความเข้มแข็งในฐานะลูกผู้ชายออกมา...มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่พอจะต้านทานเสน่ห์ของอีกฝ่ายได้
     
    “สรุปว่าพี่ชาละวันจะไปช่วยงานที่นา...แล้วพี่นันล่ะจะไปด้วยกันไหม?”
     
    น้ำเสียงที่เด็กหนุ่มกล่าวออกมาแม้จะฟังดูราบเรียบ  แต่มีรึเขาจะฟังไม่ออก...หึ! เก่งไม่หยอกเลยเจ้าเด็กคนนี้นึกว่าจะเป็นเหมือนคนอื่นๆเสียอีก...สงสัยเขาคงต้องเพิ่มเสน่ห์ของตัวเองให้มากกว่าอีกสักหน่อย  ไม่อย่างนั้นเหยื่อที่อุตส่าห์จับมาได้ก็หลุดหนีหายไปกันพอดี
     
    “ข้า......”
     
    “พี่นันนะไปแน่   ยกเว้นพี่ชาละวันเท่านั้นที่ยังต้องอยู่ช่วยงานที่บ้านต่อไปจ๊ะพี่ไกร”
     
    เสียงแหลมคุ้นหูดังทะลุขึ้นมากลางปล้อง  ซึ่งครั้งนี้เจ้าหล่อนไม่พูดปล่าวยังถือโอกาสกอดท่อนแขนแกร่งของชาละวันเอาไว้อย่างถือวิสาสะเช่นเคย.....จนชายหนุ่มนึกอยากไล่ตะเพิดตระเภาทองไปเสียให้พ้นหูพ้นตาเขานัก
     
    ...นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่ตกหลุมบ่วงเสน่หาของเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น...ดูสิ จากที่เคยเรียบร้อยมีความเป็นสตรีครบถ้วนกลับมาทำตัวไม่ต่างจากผู้หญิงต่ำๆที่เที่ยวคอยเสนอตัวให้ผู้ชายอย่างไร้ศักดิ์ศรี   ถ้าไม่เห็นว่ายังพอมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับในอนาคตข้างหน้า   สตรีเช่นนี้ไม่เคยมีความสำคัญในสายตาเขานักหรอก
     
    แม้ในใจจะคิดดูแคลนแต่ชาละวันก็ยังคงสวมใส่หน้ากากยิ้มแย้มไม่ว่ากล่าวตักเตือน  ช่างผิดด้านกับตระเภาแก้วที่ยอมเสียมารยาทกระชากตัวน้องสาวให้แยกห่างออกมา...
     
    หญิงสาวโกรธน้องสาวมากที่กล้าทำกิริยาน่าอายออกไปโดยไม่นึกถึงหน้าพ่อกับแม่ว่าจะรู้สึกเศร้าใจแค่ไหนกับการกระทำอันน่าละอายเช่นนี้  ‘ทำไมถึงชอบทำตัวแบบนี้ยังดีนะที่ตรงนี้มีแค่พวกพี่ชายสามคนเท่านั้น  ไม่อย่างนั้นเรื่องงามนี้เช่นนี้ต้องถูกเล่ากันสนุกปากแน่ๆ’
     
    “อะไรกันพี่แก้วมากระชากกันแบบนี้ได้ยังไง”  แฝดคนน้องส่งเสียงเฮ้วไม่พอใจกับการกระทำของพี่สาว
     
    “ทำตัวดีๆนะน้องทอง”
     
    ตระเภาแก้วกระซิบเตือนข้างหูน้องสาวเสียงแข็ง  ก่อนจะปล่อยมือไหว้พี่ชายทั้งสามตามมารยาทด้วยกิริยาชดช้อยดั่งเช่นสตรีผู้ที่ซึ่งอบรมมาดี
     
    “พี่ไกรคงจะมาบอกพวกพี่แล้วเรื่องงานเกี่ยวข้าว  เพราะพ่ออยากได้คนแข็งแรงสู้งานหนักๆได้อย่างพี่ชายทั้งสองไปช่วยงานจริงๆ....พี่นันกับพี่ชาละวันสะดวกจะไปช่วยงานไหมจ๊ะ?”
     
    ทั้งๆที่เสียงพูดฟังดูน่าฟังแต่สำหรับคณัสนันท์กับชาละวัน   ภายใต้คำพูดนิ่มนวลอ่อนหวานฟังดูแข็งๆห้วนๆ และเต็มไปด้วยการคุกคามชอบกล   เพราะแม้ปากจะยิ้มแย้มแจ่มใสแต่แววตากลับดูนิ่งสงบไม่ยิ้มตามเลยสักนิด... สตรีผู้นี้น้ำนิ่งไหลลึกจริงๆ
     
    “ต้องไม่สะดวกอยู่แล้วพี่ชาละวันเพิ่งมาทำงานได้ไม่นานไปทำงานหนักอย่างนั้นไม่ไหวหรอก!”
     
    ตระเภาทองรีบเอ่ยปากค้านเสียงหนักแน่น ไม่พอใจกับการตัดสินใจของพ่อและพี่สาว  หากพี่ชาละวันตกลงไปทำงานเกี่ยวข้าวที่นาจริงๆ  โอกาสที่จะเข้าหาชายหนุ่มเพื่อทำความสนิทสนมคงยากขึ้นมากกว่าเดิม
     
    ‘ข้าไม่ยอมเด็ดขาด  ถ้าต้องแยกห่างจากพี่ชาละวันแบบนี้’
     
    ถึงจะมีเสียงร้องคัดค้านดังข้างหูซึ่งชาละวันหาสนใจไม่  เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจในตอนนี้มีแค่สีหน้าวิตกกังวลของคนข้างๆเท่านั้น   ฉะนั้นไอ้เสียงแจ๋นๆข้างหูเขาจึงไม่คิดใส่ใจให้เสียเวลา...
     
    “นัน...เอ็งว่าไง?”
     
    เมื่อเพื่อนรักโยนกลองมาให้ชายร่างกำยำก็ร้องรับด้วยการหยักไหล่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ  “ถ้าเอ็งไม่มีปัญหาข้าก็ไม่มีเหมือนกัน”
     
    คนอื่นนะไม่มีปัญหาแต่สำหรับตระเภาทองนะมีปัญหาแน่ โดยเฉพาะสายตาห่วงใยของชายหนุ่มรูปงามที่เทียวส่งให้กับพี่ชายที่เจ้าหล่อนให้ความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก ทำให้หญิงสาวเกิดอาการระแวดระวังขึ้นมาทันทีตามสัญชาตญาณของผู้หญิง
     
    “แล้วงานของพ่อล่ะ พี่ชาละวันจะทำยังไง  ปล่อยทิ้งค้างไว้เช่นนี้เหรอจ๊ะ”
     
    “ไม่ต้องห่วงน้องทองพ่อได้จัดหาคนมาทำหน้าที่เหล่านี้แทนแล้วจ๊ะ ฉะนั้นพวกพี่ไปช่วยเกี่ยวข้าวได้อย่างสบายใจหายห่วงแล้วนะจ๊ะ” ตระเภาแก้วรีบชี้แจงทางแก้ไขที่ถูกเตรียมให้ชายหนุ่มทั้งสองและน้องสาวฟัง
     
    ชาละวันยิ้มเยาะในใจกับคำกล่าวที่เตรียมการมาดีของหญิงสาวคนสวย
     
    ‘เศรษฐีคำคงเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมเสร็จสรรพ   เพราะนอกจากจะเขาให้ไปอาศัยอยู่กับน้องไกรทองเพื่อป้องกันเรื่องเสื่อมเสีย   มาตอนนี้ก็ยังหาทางส่งเขาไปทำงานให้ห่างจากลูกสาวอีก.....ไม่น่าแปลกใจเท่าไรด้วยตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ที่นี่   สตรีนางนี้มักชอบอาศัยความเป็นเจ้าบ้านเข้ามาเกาะแกะเขาอยู่ตลอดเวลา   จนคนในครอบครัวเริ่มร้อนใจกลัวลูกสาวจะมีเรื่องให้ถูกครหาสินะ’
     
    แต่ใครจะคิดเช่นใดก็ช่าง  เขาเก็บมาใส่ใจให้หนักหัวรกสมองตัวเองหรอก  ดีเสียอีกที่สามารถกำจัดแมลงน่ารำคาญห่างตัวไปได้โดยไม่ต้องลงมือเองให้เหนื่อย
     
    “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกพี่ขอลงไปทำงานที่นาเลยนะ” 
     
    “แล้วแต่พวกพี่จะสะดวกเลยจ๊ะ...น้องทองเราเสร็จธุระแล้วขึ้นบ้านกันเถอะ”
     
    ตระเภาแก้วรีบจูงมือน้องสาวจะพาเดินกลับขึ้นเรือนไม่เปิดช่องให้อ่อยอิ่งอยู่นานนัก   ตระเภาทองเลยเกิดอาการไม่พอใจสะบัดแขนเร่าๆ  เอ่ยปากอาละวาดไม่ยอมกลับไปพร้อมพี่สาวเด็ดขาด   ด้วยการกระทำที่ขาดสติทำให้กิริยาและคุณสมบัติของสตรีที่ควรพึงรักษาไว้ได้หล่นหลุดหายไปทันที  
     
    “ปล่อยน้องพี่แก้ว!ปล่อย!”
     
    พอไกรทองจะเข้าไปช่วยเกลี่ยกล่อมก็โดนชาละวันดึงตัวไว้ไม่ให้เข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น  เพราะเรื่องเช่นนี้สมควรปล่อยให้คนในบ้านเขาจัดการกันเอาเองจะเหมาะสมกว่า
     
    ตระเภาแก้วไม่พูดจาอะไรออกมาให้มากความนอกจากบีบมือน้องสาวไว้แน่นแล้วจิกเล็บลงบนเนื้อเนียนเป็นเชิงเตือนให้รู้สึกตัว   ทั้งๆที่ในใจของนางนั้นทั้งโกรธและอับอายจนไม่กล้ามองหน้าชายหนุ่มทั้งสามคนให้เสียหน้า  ยิ่งโดยเฉพาะกับพี่ไกรทองหญิงสางยิ่งไม่กล้าหันไปมอง...เหตุใดน้องทองถึงเปลี่ยนนิสัยกลายเป็นสตรีเช่นนี้ได้นะ ถ้าหากพ่อกับแม่รู้เข้า   ท่านทั้งสองจะต้องโกรธมากแน่ๆ
     
    ส่วนตระเภาทองเมื่อเจอสัญญาณเตือนจากพี่สาว  อาการเอาแต่ใจจึงค่อยๆสงบลงไม่กล้าแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีก    แล้วเดินตามขึ้นเรือนไปแต่โดยดีไร้ซึ่งการขัดขืน...หญิงสาวรู้ดีแม้ปกติพี่สาวฝาแฝดคนนี้เห็นเป็นกุลสตรีเรียบร้อย อ่อนหวาน  หากบทจะโกรธหล่อนก็สามารถกลายร่างแม่เสือสาวให้ผู้อื่นกลัวได้ไม่ยากเลย
     
    เมื่อหลังจากพายุลูกใหญ่ผ่านพ้นไปความสงบได้กลับคืนมาสู่สามหนุ่มสองวัยอีกครั้งหนึ่ง...คณัสนันท์หันไปถามเด็กหนุ่มคนเดียวที่รู้เรื่องเกี่ยวกับสองศรีพี่น้องดีกว่าใครเพื่อน
     
    “น้องแก้วเป็นคนน่ากลัวขนาดนี้เลยรึ?”
     
    “นานๆครั้งจ๊ะพี่นันเพราะปกติแล้วน้องแก้วจะเป็นคนใจเย็นไม่ค่อยโกรธใคร  ฉะนั้นเวลาโกรธขึ้นมาเลยมักจะเป็นแบบที่พวกพี่เห็นนั่นแหละ...แต่ครั้งนี้เป็นแบบเบาะๆนะยังไม่ถึงกับกลายร่างเป็นแบบแม่เสือ  ขอบอกพี่ทั้งสองคนไว้ก่อนเลยนะ.....สามคำสั้นๆ...น่ากลัวมาก”
     
    ชาละวันสบตากับนันแบบรู้กันสองคน  ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อย
     
    “งั้นพี่ขอสานสุ่มไก่ให้เสร็จก่อนแล้วกัน  จะได้ไม่เหลืองานค้างไว้ให้คนอื่นต้องลำบากมาทำต่อ”
     
    ไกรทองอาศัยจังหวะที่นันเผลอรีบพูดเอ่ยลาชาละวันอย่างรวดเร็ว  จนลิ้นแทบพันกันด้วยใบหน้าแดงกร่ำจรดใบหู
     
    “พี่นันฉันไปนะ…พี่ชาละวัน...น้อง...น้องไกรทองไปทำงานกับทองดำทางด้านโน้นต่อนะ...ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ”
     
    พูดเสร็จไกรทองก็รีบโกยอ้าวเผ่นหนีไปชนิดไม่เห็นฝุ่น...ฮือๆไม่น่าแพ้ลูกอ้อนพี่ชาละวันจนต้องยอมรับปากเรียกพี่ชาละวันกับน้องไกรทองเลย
     
    “ไปเป็นพี่เป็นน้องกันตอนไหนว่ะท่านท้าวชาละวันผู้ยิ่งใหญ่”  ชายร่างใหญ่เงยหน้าจากไก่ชนมองคนรูปงาม  แล้วหันไปมองแผ่นหลังที่เห็นอยู่ลิบๆของเด็กหนุ่ม
     
    “ตอนนั้นแหละ” ชาละวันส่งยิ้มให้เพื่อนรักเสียจนหวานหยดย้อย ทำเอาคณัสนันท์ถึงกับขนแขนลุกชันด้วยความกลัวกับรอยยิ้มแสแสร้ง    ที่แม้จะเห็นอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ยังไม่ชินตาสักที
     
     “เออๆระวังอย่าให้ยัยสองสาวนั่นรู้ก็แล้วกันไม่งั้นมีหวังน้องไกรทองของเอ็งโดนยาวแน่”
     
    ขี้เกียจเตือนเจ้านี่แล้ววุ้ย...จะปากแข็งบอกว่าเกลียด  จะลงมือกลั่นแกล้ง  จะทำอะไรก็แล้วแต่เอ็งล่ะกัน   ส่วนข้าคงต้องขอดูและช่วยเหลืออยู่ห่างๆแล้วกัน   ไม่อยากเดือดร้อนไปมากกว่านี้อีกแล้ว  
     
    ...กูจะคอยดูว่าถ้าหากวันไหนที่พญากุมภีร์เช่นเอ็งยอมรับหัวใจตัวเองแล้วว่ามีใจให้มนุษย์ที่ปากบอกว่าเกลียดนัก  เกลียดนาแล้วล่ะก็...
     
    กูขอสาบาน
     
    ว่าวันนั้นกูจะขอหัวเราะใส่หน้าเอ็งดังลั่นไปสามวัน  เจ็ดวันให้เสียงดังไปทั่วทั้งคุ้งน้ำเลยโว้ย
     
    จำคำกูเอาไว้ให้ดี
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×