ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #29 : ไกรทอง ตอนที่ 25

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.88K
      33
      11 ส.ค. 58

    ท้าวรำไพนั่งยิ้มละไมมองหน้าเจ้าหลานชายตัวดีที่มักจะชอบหนีหายหน้าอยู่เสมอเป็นอาจิณ  มานั่งยิ้มประจบน่าเอ็นดูให้กับเขาถึงสถานที่บำเพ็ญเพียรแห่งนี้


    “สงสัยวันนี้อากาศจะแปรปรวน  เกิดอาเพศให้ผู้คนตกใจที่หลานมาหาเยี่ยมเยียนปู่ถึงที่นี่ด้วยตนเอง  ไม่ต้องลำบากให้ข้ารับใช้ไปตามตัว”


    เพราะนิสัยของเจ้าหลานชายตัวดีผู้นี้  มันมีนิสัยเสียติดตัวอยู่อย่างนึงที่แก้ไม่หายสักที  ก็คือชอบหายตัวไปไหนมาไหนไม่ยอมบอกกล่าว  ซึ่งบทนึกจะโผล่ก็โผล่มาเหมือนขอมดำดิน  บทจะหายหน้าไปก็หายไปกับสายลม  ผลุบๆโผล่ๆตามใจตัวเองจนเขาชินเสียแล้ว


    “ท่านปู่กล่าวหาหลานเกินไปนะขอรับ  พอดีช่วงนี้มีแต่เรื่องยุ่งยากให้สะสางหลานจึงหายหน้าไป  ไม่มีเวลามาพูดคุยบ่อยๆเหมือนแต่ก่อน”


    ใบหน้างดงามที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดใสและเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานน่าฟังอันเป็นเอกลักษณ์ของหลานรัก  ทำให้กุมภีร์วัยชราอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึง  เจ้าลูกจระเข้ตัวน้อยๆที่เพิ่งจะฟักออกจากไข่มาลืมตาดูโลกเมื่อวันวาน  ได้เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นพญากุมภีร์ผู้งามสง่า  ไม่ทิ้งเชื้อทิ้งแถวปู่กับพ่อมันจริงๆ


    ผมดำขลับเรียบลื่นเป็นประกายยาวจรดสะโพกถูกประดับด้วยเครื่องทองลายวิจิตรงดงามฝีมือชั้นครู  เชกเช่นเดียวกับอาภรณ์ชั้นเลิศที่สวมใส่อยู่ก็ถูกทักถอมาจากไหมพิเศษนุ่มลื่นผสมเข้ากับด้ายทองคำแท้   ลวดลายบนตัวผ้าก็ปักด้วยดิ้นเงิน  ดิ้นทอง  ซึ่งพอมาอยู่บนกายของชาละวันแล้ว.....อา....ชายหนุ่มช่างดูงดงาม  ดูเปล่งประกาย  มีสง่าราศีเจิดจ้า   ดึงดูดให้สายตาของใครต่อใครจับจ้องมาจนไม่อยากละสายตาไปที่ใดได้อีก


    ด้วยเพราะท้าวรำไพอยู่ในสถานะนักบวช   ในสถานที่บำเพ็ญเพียรแห่งนี้จึงไม่มีเครื่องเรือนภายในมากนักนอกจากของใช้จำเป็น  ชาละวันจึงต้องนั่งพับเพียบคุยสนทนากับผู้เป็นปู่ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนหรือขัดข้องที่ต้องมานั่งกับพื้นเช่นนี้


    “หลานไม่ได้มาพูดคุยกับท่านปู่เสียนาน  หลานจึงอยากจะรู้ว่าท่านปู่สบายดีหรือไม่ขอรับ   มีสิ่งใดต้องการเพิ่มเติมอีกหรือไม่ขอรับ  หลานจะได้จัดหามาให้ครบถ้วน”


    “ ปู่สบายดีขอบใจนะที่เป็นห่วง  ส่วนเรื่องข้าวของเครื่องใช้หลานไม่ต้องหามาเพิ่มให้ปู่หรอกนะ  มีแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”


    สองปู่หลานต่างฝ่ายต่างเงียบ  ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันไม่มีผู้ใดยอมละสายตาไปจากกัน


    ...คนเป็นปู่มีหรือจะไม่รู้เท่าทันนิสัยของคนเป็นหลาน

    “หลานคิดว่ามันคุ้มกันแล้วใช่ไหม? กับการตัดสินใจในครั้งนี้”


    ...คนเป็นหลานมีหรือไม่รู้ความคิดของคนเป็นปู่

    “หากเป็นการทำเพื่อท่านพ่อ  หลานก็คิดว่ามันคุ้มขอรับท่านปู่”


    “หลานมั่นใจ”


    “ขอรับ”


    เสียงตอบรับที่หนักแน่นและแววตาที่มั่นคง  ทำให้ท้าวรำไพถึงกับต้องถอนหายใจออกมากับความดื้อแพ่งไม่ยอมปล่อยวางของหลานรักที่ดันทุรังจะทำสงครามทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้ได้   แม้จะทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งเรื่องนี้มานานหลายปี


    แต่ครั้งนี้ท่านจำเป็นต้องเตือนสติหลานชายเอาไว้   ด้วยเกรงว่าหลานอาจจะพลาดพลั้งพ่ายแพ้ให้กับศัตรูจนต้องสังเวยชีวิตหรือไม่ก็.....


    “คิดจะทำสิ่งใดหลานควรตริตรองให้รอบคอบ  ชีวิตคนไม่ใช่หมากเบี้ย...อย่าดึง เขาให้มาเดือดร้อนเพราะสงคราม  ปล่อยให้เขาได้อยู่อย่างสงบตามเส้นทางชีวิตที่ควรจะเป็นเถิดนะ”


    “หลานเดินหมากมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ...หลานจะไม่ยอมอยู่ในที่แจ้งรอให้ศัตรูมาทำร้ายเหมือนอย่างที่พ่อเคยทำ...หลานไม่ยอมปล่อย พวกมันไปเด็ดขาด  และหลานก็จะไม่ยอมปล่อยมือจาก เด็กนั่นด้วย  เขาเป็นของหลาน ”


    หือ?  เด็กนั่นงั้นรึ...เชื้อไม่ทิ้งเจ้าลูกชายตัวดีจริงๆ....พวกนิยมเคี้ยวหญ้าอ่อน


    “ถ้าเช่นนั้นปู่ก็จะทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปแล้วกัน  ดูแลดวงใจของหลานให้ดีแล้วกันเพราะศัตรูจะไม่ปล่อยให้เด็กนั่นอยู่อย่างสงบสุขต่อไปแน่”

    ชาละวันฟังคำสับยอกของปู่แล้วเกิดคิ้วกระตุกไม่กล้าสบตาด้วยอีกต่อไป  ไม่น่าเปิดช่องให้ท่านปู่รู้เลย  งานนี้โดนล้อจนแก่แน่ๆ


    “เอาล่ะเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่านะ  ไหนๆหลานก็มาปู่ทั้งที  ปู่ก็มีเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะคุยกับหลานมานานแล้ว”


    “เรื่องใดรึขอรับ?”


    “รับหน้าที่ทำงานแทนปู่มานาน  ไม่คิดอยากได้อำนาจการปกครองแบบเต็มตัวมาไว้ในมือรึ?”


    เมื่อคนอยากให้เอ่ยปากพูดมาอย่างนี้


    “อยากได้ขอรับ...แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”


    “ยังไม่ใช่ตอนนี้งั้นรึ?”


    “เมื่อก่อนหลานเคยต้องการเพียงแค่อำนาจที่อยู่เหนือเหล่าจระเข้   หลานไม่เคยสนใจว่าบนทางเดินการก้าวขึ้นสู่บัลลังค์จะต้องเหยียบหัวใคร ใช้ประโยชน์จากผู้อื่นไปมากน้อยแค่ไหน    แต่ความกระหายเหล่านี้ก็ได้ลดทอนลงไปเมื่อหลานได้พบกับคนบนนั้น...คนที่หลานอยากอยู่ไปด้วยกันตลอดชีวิต   คนที่ทำให้หลานต้องผิดคำสาบานที่เคยให้ไว้กับดวงวิญญาณของพ่อว่าจะแก้แค้น....”


    ท้าวรำไพอดที่จะประหลาดใจไม่ได้เมื่อได้ยินน้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของเจ้าหลานชาย  เพราะตั้งแต่เกิดโศกอนาตกรรมในครั้งนั้น ชาละวันก็เปเลี่ยนเป็นคนมุ่งมั่น  เด็ดขาด จนดูคล้ายก้อนหินไร้ซึ่งจิตใจ  ไร้ซึ่งความรู้สึก   ไม่ทางเลยที่จะว่อกแว่กหรือแสดงความไม่มั่นใจในการตัดสินใจออกมาให้เห็น  


    ทำให้ข้าชักอยากจะเห็นหน้า เด็กนั่น  ขึ้นมาเสียแล้วสิ  ....คงเก่งไม่เบาที่สามารถเปลี่ยนชาละวันให้กลับมามีชีวิตจิตใจได้เหมือนจระเข้ปกติทั่วไป


    “ปู่ว่าก็ดีออกนะที่หลานรักของปู่จะมีคนที่รักอยู่เคียงข้างกาย  ถ้าโคจรรู้เรื่องนี้เข้าจะต้องร้องเร่าๆอยากเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตแน่ๆ”


    ไม่แค่ร้องว่าอยากเห็นหน้าหรอก  คงจะตามตื้อล้อมหน้าล้อมหลังลูกชายตัวเองอยากให้พามาแนะนำตัว  ดีไม่ดีอาจจะแอบดอดขึ้นไปดูว่าที่ลูกสะใภ้จนต้องเสียเวลาไปลากคอมันกลับมาให้อับอายขายขี้หน้าลูกน้อง


    “ท่านปู่คิดว่าพ่อจะดีใจจริงหรือขอรับ?”


    “แน่นอนก็ปู่เป็นพ่อของพ่อหลาน  ย่อมรู้ใจเจ้าโคจรดีกว่าใคร”


    เมื่อได้ยินคำยืนยันจากปู่ที่เคารพ  ชาละวันจึงค่อยรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง  แต่ถึงเช่นไรแผนการในการกำจัดศัตรูยังคงต้องดำเนินต่อไป  เพียงแค่ปรับเปลี่ยนแผนนิดหน่อยเพื่อปกป้องคนสำคัญให้ปลอดภัยจากกลุ่มคนอันตรายพวกนั้น


    “คนของเจ้ายังไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหลานใช่ไหม?”


    “ขอรับ   หลานแค่รอเวลาให้เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยถึงจะเปิดเผยตัว....ไม่ใช่สิ   หลานแค่รอให้ เด็กนั่น มีชีวิตอยู่คนเดียวไม่ได้ถ้าหากไม่มีหลาน   รอให้ใจของเขามีแต่หลานคนเดียวตลอดไป   หลานถึงจะเปิดเผยตัว”


    ท้าวรำไพมองสีหน้าและแววตาเจ้าเล่ห์ของหลานชายแล้วก็เกิดกลัวแทนเด็กนั่นขึ้นมาเสียจริงๆ


    ...นิสัยเจ้าเล่ห์ช่างคิดวางแผนนี่มันได้มาจากใครกันหนอ  สงสัยจะเป็นเจ้าโคจรอย่างที่คำกล่าวโบราณเคยบอกไว้ว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น   เป็นพ่อเป็นลูกกันนิสัยย่อมต้องเหมือนกัน


    “ท่านรำไพขอรับ  ท่านวิมาลาเสด็จมาเยี่ยมขอรับ”


    พญากุมภีร์ผู้แสนเยือกเย็นถึงกับต้องเผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายและบึ้งตึงออกมาทันที  ที่ได้ยินเสียงข้ารับใช้ด้านนอกบอกข่าวการมาเยือนของคู่หมั้น


    นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่าหนีเสือปะจระเข้.....อุตส่าห์หนีจากสตรีน่ารำคาญตามตื้อจากด้านบนมาหาท่านปู่  ก็ยังจะมาเจอสตรีจอมจุ้นจ้านที่สะเออะตามมาจนถึงที่นี่อีกเรอะ


    “กราบสวัสดีเจ้าค่ะท่านปู่  วันนี้วิมาลาเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาระหว่างปู่หลานหรือปล่าวเจ้าค่ะ”


    กุมภีร์สาวรูปร่างหน้าตางดงามก้มลงกราบไหว้ผู้ใหญ่อย่างกิริยาชดช้อยสมกับที่ถูกอบรมมาดี  ซึ่งหากจะดูเรียบร้อยกว่านี้มากถ้าเจ้าหล่อนไม่ถือวิสาสะรีบนั่งพับเพียบข้างกายชายหนุ่มผู้เป็นคู่หมั้น  จนดูเบียดใกล้กันเกินไปจนดูไม่งาม  แต่ด้วยเพราะสถานะของทั้งคู่ทำให้ทุกอย่างพอกล้อมแกล้มลบความไม่สมควรให้ลดทอนลงไปได้พอสมควร


    “วิมาลาไม่ค่อยได้มาเยี่ยมเยียนท่านปู่เสียนาน  หวังว่าท่านปู่คงไม่ถือโทษโกรธวิมาลานะเจ้าค่ะ”


    “ขอเพียงแค่มีใจคิดถึงและห่วงใย  ปู่ก็ดีใจมากแล้ว”


    “ความจริงวิมาลาก็อยากมาหาท่านปู่บ่อยๆนะเจ้าค่ะ  แต่เพราะท่านปู่ปลีกวิเวกมาบำเพ็ญเพียรวิมาลาเลยไม่อยากเข้ามารบกวน  และที่สำคัญ คนบางคนไม่ยอมพาวิมาลามาเยี่ยม  อ้างว่าติดธุระบ้างล่ะ  ไม่มีเวลาบ้างล่ะ”


    กุมภีร์สาวส่งสายตาค้อนควักแบบมีจริตจก้านส่งให้คนบางคนที่ว่า  แต่คนที่ได้รับกลับตีสีหน้าเรียบเฉยไม่สนใจอารมณ์กระเง้ากระงอดของคู่หมั้นสาวเลยสักนิด


    “งั้นรึ  ชาละวันนี่แย่จริงๆคราวหลังหลานก็ควรแบ่งเวลาพาวิมาลามาเยี่ยมมาคุยกับปู่บ้างนะ  คนแก่อยู่วิเวกผู้เดียวย่อมมีความรู้สึกเงียบเหงาอยู่บ้าง”


    ชาละวันมองหน้า คนแก่ที่สามารถทรยศหลานชายโยนเรื่องปวดหัวมาให้เขาได้อย่างหน้าตาเฉย...ประมาทท่านปู่ไม่ได้เลยจริงๆ เรื่องเอาตัวรอดนี่ขอให้บอก 


    “ขอรับ วันหลังหลานจะพยายามหาเวลาพาวิมาลามาเยี่ยม คนแก่ไม่ให้รู้สึก เหงานะขอรับท่านปู่”


    รอยยิ้มแสแสร้งแบบกัดฟันพูดของเจ้าหลานชายตัวดี  ทำเอาท้าวรำไพต้องกลั้นอาการขบขันเอาไว้ชนิดสุดกำลังไม่ให้หลุดหัวเราะออกมาจนเจ็บท้อง  ปวดแก้มไปหมด


    “เจ้าสัญญาแล้วนะชาละวัน  ห้ามบิดพลิ้วคำพูดกับข้าเด็ดขาด” วิมาลาโผเข้ากอดแขนชายหนุ่มเอาไว้แน่นด้วยความดีใจไม่พอ   ยังลืมความเป็นหญิงฉวยโอกาสซบหน้าลงบนไหล่หนาต่อหน้าท้าวรำไพ


    ชาละวันหมดความอดทนกับการถึงเนื้อตัวของคู่หมั้นสาวแบบไม่ได้รับอนุญาต...เขาทนฝืนอยู่ใกล้สตรีนางนี้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว


    “ท่านปู่หลานขอกราบลาเลยนะขอรับ”


    พญากุมภีร์หนุ่มก้มกราบลาปู่เสร็จสรรพก็รีบลุกเดินหนีออกไปโดยเร็ว  จนวิมาลาต้องรีบร้อนลุกเดินตามคู่หมั้นหนุ่มไป 


    เจ้าทำตัวเจ้าเองนะชาละวัน


    “นี่ชาละวันเดี๋ยวก่อนสิ  จะรีบเดินหนีข้าไปไหน”


    เมื่อพ้นจากสายตาผู้อื่นกุมภีร์สาวสวยเริ่มแสดงอาการไม่พอใจที่เห็นอีกฝ่ายหนีหน้าและกล้าฉีกหน้าหล่อนต่อหน้าท้าวรำไพอีก   ทั้งๆที่ในชีวิตนี้ไม่เคยมีผู้ใดขัดใจหรือทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้กับนางมาก่อนเลยสักครั้งเดียว


    “ข้ามีธุระต้องรีบไปทำให้เสร็จ  คงไม่มีเวลาว่างมาคุยเรื่องไรสาระกับเจ้าทั้งวันหรอกนะ”


    สายตาเย็นชาและน้ำเสียงแข็งกระด้างของชายหนุ่ม ทำให้วิมาลาถึงกับลืมสงบสติอารมณ์ออกโรงงิ้วเต้นผ่าง  สองแก้มแดงกล่ำด้วยแรงโกรธ 


    “ชาละวัน! เจ้าบอกว่าไม่มีเวลาว่างหรือไม่อยากเสียเวลากับข้ากันแน่”


    “ถ้าเจ้าอารมณ์เสียจากที่อื่นมาก็อย่ามาลงที่ข้า  เพราะข้ามิใช่กระโถนท้องพระโรงของเจ้าวิมาลา”


    กรี๊ด!!!!! ชาละวันเจ้าหยามข้าเกินไปแล้วนะ  ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้านะ  เจ้าต้องให้เกรียติข้ามากกว่านี้สิย่ะ!


    พญากุมภีร์หนุ่มไม่สนใจอาการโกรธของหญิงสาว ทำท่าจะเดินหนีไปจากตรงนี้แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะก้าวเดิน เขาก็ถูกสตรีอีกนางยืนขวางทางอยู่


    ให้มันได้อย่างนี้สิ!


    “ชาละวันเจ้ากลับมาแล้วเหรอ”


    ร่างแสนเย้ายวนใจวิ่งถลาเข้ามาโอบกอดกายชาละวันอย่างถึงเนื้อถึงตัว  แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของทั้งคู่ว่ามีความลึกซึ้งเพียงใดโดยไม่ต้องมีการอธิบายให้มากความ


    เมื่อเค้าลางแห่งความวุ่นวายเริ่มส่อเค้า ชาละวันจึงเริ่มมีอาการปวดหัวและมีอาการหงุดหงิดปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง...วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรของข้ากันเนี่ย 


    “เลื่อมลายวรรณเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”  เสียงกรีดร้องแหลมไม่พอใจของวิมาลาดังแหลมจนเสียดแทงเข้าหูพญากุมภีร์หนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ


    ...บ้าเอ้ย! ปวดหัวไม่พอข้ายังต้องปวดหูเพราะเสียงยัยนี่อีกเรอะเนี่ย  รู้อย่างนี้รีบตามน้องไกรทองไปทุ่งนาด้วยดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาผจญกับพวกน่ารำคาญพวกนี้


    “ทำไมข้าจะอยู่ไม่ได้  ในเมื่อชาละวันอยู่ที่นี่  ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วย....โอ๊ย! นี่ยัยบ้าข้าเจ็บนะ”


    วิมาลาออกแรงกระชากแขนเลื่อมลายวรรณให้ออกห่างจากคู่หมั้น  เมื่อความหึงหวงมันบังตา  หญิงสาวจึงไม่สนใจแล้วว่าผู้ใดจะคิดเช่นไรหากได้มาเห็นกิริยาอันหยาบคายของตน  ตบตีแย่งชิงผู้ชายกับผู้หญิงอีกนางหนึ่ง


    “เจ็บเหรอ? หนังหน้าหนาๆแบบเจ้า  รู้จักคำว่าเจ็บด้วยเรอะ”


    “เจ้าว่าใครหน้าหนา  เจ้าต่างหากที่หน้าหนากว่าข้า” คราวนี้เป็นเลื่อมลายวรรณบ้างที่กรีดร้องเสียงแหลมไม่พอใจ “ก็ที่เจ้าโอบเอวคู่หมั้นของข้า  ถ้าไม่หน้าหนาแล้วจะเรียกว่าอะไร  อ๋อ! รู้แล้ว...หน้าด้าน!


    “กรี๊ด!!!


    เลื่อมลายวรรณโกรธจนถึงขีดสุด  กระทืบเท้าเต้นเร่าๆที่มีคนกล้ามาด่าว่าตนหน้าด้านไร้ยางอาย


    เสียงกรีดร้องแหลมผสมกับเสียงด่าทอใส่กันของหญิงสาวสองนางเริ่มทวีดังขึ้นเรื่อยๆ จนชนิดที่ใครได้ยินคงต้องรู้สึกปวดแสบแก้วหูนอนไม่หลับไปสามวันเจ็ดวัน  ซึ่งผู้ที่ได้รับเกียรติในครั้งนี้ก็คือท่านพญากุมภีร์ชาละวัน  ที่ต้องมายืนฟังเสียงสองนางทะเลาะกันดังแหลมร้องอยู่ข้างหู


    ก็ช่วยไม่นี่เนอะ  ใครใช้ให้ท่านชาละวันเกิดมารูปงามและมีเสน่ห์ล้นเหลือจนเป็นเหตุให้สตรีมาแก่งแย่งกันเช่นนี้จนเป็นที่น่าอิจฉา  โดยเฉพาะผู้ที่แย่งกันยังเป็นสองสาวงามผู้มีชื่อลือเลี่ยงไปทั่วทั้งพิภพ  ที่เหล่าผู้วิเศษมีฤทธิ์ทั้งหลาย  ยักษ์ คนธรรพ์  ครุต  นาค  หรือแม้กระทั่งเทวดาบนชั้นฟ้าหลายองค์ล้วนต่างก็พากันเฝ้าถวิลหาถึงความงามของสองนางกันอยู่เป็นอาจิณ


    เพราะถ้าหากคิดจะเปรียบเทียบความงามทั้งสองนางเป็นดอกไม้  ความงามแบบสวยสง่าของวิมาลาเปรียบเสมือนดอกกล้วยไม้ป่าที่ต้องน้ำค้างยามเช้า  นางทั้งสวยงาม  ทั้งสูงส่งแกมบอบบางจนดูน่าทะนุทนอมไม่ให้กลีบดอกช้ำ...  แตกต่างจากเลื่อมลายวรรณที่มีความงามแบบสวยคมบาดใจ  เปรียบดั่งดอกหางนกยูงที่มีสีสันจัดจ้านเบ่งบานอวดสายตาอยู่บนต้นยังไม่ร่วงหล่นลงมา  ดูเย้ายวนใจให้อยากเอื้อมมือคว้ามาครอบครอง


    ...ความงามที่แตกต่างของทั้งสองนางทำให้ยากที่จะตัดสินใจได้ว่าใครมีความงามมากกว่าใคร


    “ชาละวันเจ้ามาอยู่ที่นี่เองรึเนี่ย  ปล่อยให้ข้าตามหาเจ้าเสียแทบพลิกแผ่นดินหะ....อ้าว  นี่ข้ามาขัดจังหวะการสนทนาพวกเจ้าหรือปล่าว”


    การมาแบบประจวบเหมาะของคณัสนันท์  ทำให้สองสาวหยุดทำการโต้เถียงกันก่อนจะพร้อมใจกันหันขวับมองหน้าคนมาใหม่ด้วยสายตาอาฆาตน่ากลัว  เล่นเอาร่างหนาแอบสะดุ้งโหยงนิดๆ


    แต่ด้วยเพราะเขามีเรื่องสำคัญมากจะมาปรึกษาหารือกับชาละวัน  ท่านแม่ทัพใหญ่จึงทำใจกล้าลากลูกเสือออกมาจากถ้ำแม่เสือสองตัว  มากระซิบกระซาบให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน


    “เรื่องง่ายๆแค่นี้เจ้าก็ยังจัดการไม่ได้หรือไงกัน”


    “โธ่! ท่านท้าวชาละวัน  ถ้าข้าจัดการได้คงทำไปตั้งนานแล้ว  ไม่มาขอให้เจ้าช่วยอย่างนี้หรอกนะ”


    พญากุมภีร์หนุ่มกอดอกไม่พอใจที่สหายรักเอาเรื่องน่าปวดหัวมาโยนให้เขาช่วยเหลือ...ที่ไม่อยากช่วยมันไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ  นอกจากคำว่า ขี้เกียจ หาเรื่องเอามาพัวพันกับตัวเองให้ยุ่งยากก็เท่านั้นเอง


    แต่พอมาคิดดูดีๆแล้วแค่ช่วย เจ้านั่นมันหาทางออกสักหน่อยคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไรหรอกมั้ง...ถือว่าช่วยเอาบุญแล้วกัน


    “เจ้านั่นอยู่ที่ไหนล่ะ?”


    คณัสนันท์ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สหายตกลงยอมรับปากที่จะช่วยเหลือ  นึกว่าจะปล่อยให้เขาผจญเวรผจญกรรมคนเดียวเสียแล้ว...เฮ้อ!


    “ห้องเดิม”


    “บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าเสร็จเรื่องยุ่งยากพวกนี้เมื่อไร   พวกเจ้าเตรียมตัวเจอข้าจัดการคิดบัญชีเรียงตัวแน่” ถึงแม้ว่าจะยอมช่วยเหลือแต่ชาละวันก็อดไม่ได้ที่จะระบายความหงุดหงิดออกมา


    คณัสนันท์ตบบ่าสหายรักปุ ๆ “เอาน่า  ถือเสียว่าช่วยลูกนกลูกกาเพื่อเอาบุญ  รีบไปเถอะป่านนี้เจ้านั่นเดินวนจนพื้นสึกหมดแล้วมั้ง”


    “ชาละวัน! ...เจ้าจะทิ้งข้าไปแบบนี้ไม่ได้นะ” วิมาลารีบแทรกกายเข้ามาเกาะแขนข้างหนึ่งของคู่หมั้นหนุ่มเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย  โดยที่อีกข้างก็ถูกเลื่อมลายวรรณยึดไว้เช่นเดียวกัน


    “ใช่! ท่านห้ามไปเด็ดขาดเลยนะ”


    คณัสนันท์ที่ถูกสองสาวเบียดกระเด็นไปอีกทาง  ยืนก้มหน้าหัวเราะคิกคักกับตัวเองเบาๆที่ได้อุตส่าห์ได้มาเห็นฉากรักสามเศร้าของท่านพญากุมภีร์คนงามเป็นบุญตา ...ในขณะที่ คนตรงกลางกำลังยืนกลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายกับนิสัยเอาแต่ใจไม่มีที่สิ้นสุดของเห็บเหาคู่นี้


    ...ใครหน้าไหนมาพูดว่ามีเมียหลายคนแล้วมีความสุข  ข้าจะพูดค้านสุดใจว่าไม่จริงเลยสักนิด  มีแต่เรื่องน่าปวดหัวและน่ารำคาญไม่มีหยุด


    “ปล่อย” ชาละวันกดเสียงลงต่ำ  ย้ำคำให้ดังและฟังชัด  แต่สองนางกลับยังคงดื้อแพ่งส่ายหน้าไม่ยอมพร้อมกับกระชับสองแขนให้รัดแน่นขึ้นกว่าเดิม


    “ข้า บอก   ให้   ปล่อย”


    ทั้งสายตาน่ากลัวที่กราดมองมาและน้ำเสียงที่เอาจริงของชาละวัน  วิมาลาและเลื่อมลายวรรณเลยเลิกเอาแต่ใจรีบปล่อยมือจากแขนแกร่งให้เป็นอิสระทันทีโดยไม่มีการพูดอีกเป็นครั้งที่สาม


    “คณัสนันท์ฟังคำสั่ง  ...ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญหรือคำอนุญาตจากข้า...ห้ามผู้ใดหน้าไหนเข้าไปรบกวนข้า  ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม  ใครกล้าขัดขืน...ตาย!


    ท่านแม่ทัพคนสนิทจากที่ยืนหลบมุมอยู่ด้านข้าง  ก็รีบเบียดกายเข้ามาทำหน้าที่เป็นนายทวารมายืนเฝ้าขวางเส้นทางเดินเอาไว้ห้ามผู้ใดเข้าออกตามคำสั่งของผู้เป็นนายเหนือหัว


    เมื่อมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีเห็บเหามารบกวนให้รำคาญใจอีก  ชาละวันจึงเดินจากไปด้วยสีหน้าพออกพอใจอย่างยิ่ง  ทิ้งให้กุมภีร์สาวสองนางยืนแสดงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่กับเจ้าทวารหน้าเหี้ยมร่างใหญ่ยักษ์ตนนี้


    “เปิดทางให้ข้าไปเดี๋ยวนี้นะคณัสนันท์”


    “ทำไมข้าจะต้องทำตามคำสั่งของเจ้าสองคนด้วยละหึ” 


    คำพูดจาโต้ตอบกลับมาที่แสนจะไร้มารยาทมองไม่เห็นหัวของชายหนุ่มตรงหน้า  เล่นเอาสองสาวไม่ยอมเก็บอาการโกรธ   ออกแรงกระทืบเท้าเร่าๆ...นิสัยน่ารังเกียจพอกันทั้งเจ้านายและลูกน้องเลยนะ


    “ชาละวันเป็นคู่หมั้นข้า  ข้ามีสิทธิที่จะตามเขาไป”


    “ส่วนข้าเป็นผู้หญิงของชาละวัน  ข้าก็ย่อมจะมีสิทธิตามไปเหมือนกัน”


    ท่าทางเย่อหยิ่ง  เชิดคอสูงของสองสาวทำให้คณัสนันท์เกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมานิดๆ


    “นี่ ท่านคู่หมั้นของชาละวันกับ ท่าน ผู้หญิงของชาละวันช่วยดูปากข้าดีๆนะ...ตัวข้าเป็น ลูกน้องของชาละวัน ฉะนั้นข้าย่อมเชื่อฟังและทำตามแต่คำสั่งจากเจ้านายผู้เดียวเท่านั้น   ส่วนตัวพ่วงอื่นข้าไม่สนใจ”


    พอเห็นว่าปากกำลังจะอ้าส่งเสียงกรีดร้องเสียงแหลมบาดรูหู  คณัสนันท์ก็รีบจุ๊ปาก  ชูนิ้วปรามเสียง “เจ้านายข้าบอกแล้วนะว่าห้ามผู้ใดรบกวน  ไม่ว่าจะมาเป็นตัวหรือมาเป็นเสียง...ถ้าหากเจ้าสองคนยังไม่เชื่อฟังคำเตือนดื้อรั้นจะทำก็เอาเลย  แต่ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่า  หากชาละวันอารมณ์เสียมากๆ  ทุกอย่างหรืออะไรที่พวกเจ้าต้องการมันจะลอยหายวับไปกับตา...ข้าถือว่าข้าบอกแล้วนะ”


    วิมาลาและเลื่อมลายวรรณรีบหงับปากตัวเองทันที  ไม่กล้าส่งเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินสักนิด  ขนาดจะหายใจก็ยังไม่กล้า


    ...ดูน่าตลกจนอยากให้เจ้าชาละวันมาเห็นกับตาเสียจริงๆ  รับรองว่าไอ้เจ้าหน้ากากเคร่งขรึมนั่นจะต้องหลุดหัวเราะออกมาแน่ๆ


    ฝ่ายสองสาวกุมภีร์จะเข้าไปหาชาละวันก็ไปไม่ได้   ถ้าให้ยืนอยู่เฉยๆตรงนี้คงไม่ได้เรื่องอะไร  ทั้งสองเลยตัดสินใจสะบัดหน้าเดินจากไปกันคนละทาง  ทางใครทางมัน   โดยที่มีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยไล่ตามหลังให้อับอายไปตลอดทาง


    กรอด...อย่าให้ถึงทีพวกข้าแล้วกัน...เจ้าคณัสนันท์


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×