คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : เศษซากแห่งนครรัฐ
ร่างในชุดสีขาวเคลื่อนไปตามถนนปูอิฐทอดยาวไร้ผู้คน นักเดินทางเหลียวมองรอบกาย ข้างทางเต็มไปด้วยกองอิฐสีเทา ซึ่งครั้งหนึ่งคงจะเคยเป็นบ้านเรือนสีขาว
เธอเดินตัดผ่านสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตลาด ร้านค้ากลายเป็นเศษไม้ หญ้าแทงขึ้นตามช่องอิฐตรงลานตลาดนัด
ไร้วิญญาณโดยสิ้นเชิง เมืองทั้งเมืองกลายเป็นซากของอิฐ หินและเศษไม้
นักเดินทางจำได้ว่าเมื่อปีนานมานี้เธอยังได้ยินชื่อของเมืองแห่งนี้ในถานะหนึ่งในสามรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแถบนี้ เหตุใดเมืองทั้งเมืองจึงกลายเป็นซากเช่นนี้?
นักเดินทางเดินวนรอบเมืองสองรอบ ลัดเลาะทุกตรอกซอยพยายามหาร่องรอยของสาเหตุแห่งความพินาศของรัฐ หรือชาวเมืองสักคนที่ยังเหลืออยู่ แต่เธอไม่เจอใครเลยสักคนเดียว
เธอหันมองไปที่ซากของปราสาทสีหม่นซึ่งแทงยอดขึ้นสูงเสียดฟ้า ครั้งหนึ่งปราสาทแห่งนี้เคยเป็นสีขาว งดงาม สว่างไสว ว่ากันว่าเมื่อต้องแสงสนธยามันเคยงดงามที่สุดในปราสาททั้งมวล นักเดินทางตัดสินใจมุ่งหน้าขึ้นไปบนปราสาท
คูน้ำรอบปราสาทยังคงใสสะอาดอยู่ นักเดินทางเดินข้ามสะพานหินอ่อนสู่ทวารประตู ประตูเหล็กเปิดแง้มค้างไว้ ร่างในชุดขาวจึงเบียดตัวผ่านช่องประตูเงียบๆ
“เจ้าเป็นใคร!” เสียงหนักแน่นเอ่ยถาม
นักเดินทางหันไปมอง ชายหนุ่มหน้าตาดีเดินลงมาจากปราสาทในจังหวะพอดีกับที่เธอเข้ามาในปราสาท เขาแต่งกายในชุดของทหารเก่าซีด ด้วยเครื่องแบบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของอาณาจักรนี้ก่อนที่มันจะล่มสลายไป
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบังอาจบุกเข้ามาในวังเช่นนี้”
เขาถามซ้ำพร้อมกับชักดาบออกมาชี้ตรงมาที่นักเดินทาง
นักเดินทางกำลังจะชี้แจ้งแต่มีเสียงหนึ่งดังแทรกเสียก่อน หญิงสาวนางหญิงตะโกนบอกให้ชายหนุ่มหยุดจากระเบียงด้านบน หลังจากนั้นไม่นานเธอก็วิ่งลงมาจากปราสาทด้วยท่าทางร้อนรนแต่ยังคงสง่างาม เธอมีผมสีทองเป็นประกายดุจเดียวกับนักเดินทาง มีผิวขาวผ่อง ดวงหน้าสดใสและกริยางดงาม
เธอจีบกระโปรงถอนสายบัว กล่าวขออภัยนักเดินทาง
“ข้าคือราชีนีแห่งอาณาจักรนี้” เธอเอ่ย “ขอขอบคุณท่านนักเดินทางแห่งสายลมที่ให้เกียรติย่างเท้าผ่านอาณาจักรของเรา”
นักเดินทางไม่ทราบว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี หญิงสาวตรงหน้าเธอเป็นราชินีของเศษแห่งอาณาจักรแห่งนี้
ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะรับรู้ถึงความอึดอัดของนักเดินทางจึงเชิญนักเดินทางเข้าไปคุยข้างใน
นางกำนัลแก่ๆ นางหนึ่งนำชามารินให้นักเดินทางก่อนจะเดินหายลับไป
ราชินียิ้มให้นักเดินทางก่อนจะเอ่ย “นางค่อนข้างจะมีหน้าที่ยุ่งยากเพราะนาง เป็นนางกำนัลเพียงนางเดียวของวังแห่งนี้ ข้าต้องขออภัยที่ไม่อาจต้อนรับท่านได้ดีกว่านี้ไม่มีแขกมาเยี่ยมเยียนพวกเราสามคนหลายปีแล้ว”
“สามคน?” นักเดินทางทวนคำ
ราชินียิ้ม “ถูกแล้วอาณาจักรแห่งนี้เหลื่อเพียงทหารหนึ่งคน นางกำนัลหนึ่งคน และข้าเท่านั้น”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น”
แววตาของราชินีขุ่นลงแวบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “เจ็ดปีก่อนหลังจากเสด็จพ่อของข้าสิ้นลม ข้าจึงขึ้นเป็นราชินีท่ามกลางความปั่นป่วนของการเมือง แคว้นหลายแคว้นที่เคยตกอยู่ใต้อิทธิพลของของอาณาจักรเราประกาศแข็งเมืองไม่ขึ้นต่อเราอีกต่อไป ตอนนั้นเหล่าขุนนางที่ปรึกษาล้วนเสนอให้ข้าตั้งทัพยกไปจัดการพวกเขาให้เข็ดหลาบ”
เธอเว้นระยะเล็กน้อย นักเดินทางสังเกตสีหน้าของทหารองครักษ์เพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรที่ยืนอยู่ด้านหลังราชินี
“ข้ากลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น เขาเหล่านั้นล้วนถือกำเนิดมาบนผืนแผ่นดินของพวกเขาจากท้องของบิดามารดาดุจเดียวกับข้า ในเมื่อก่อนหน้านี้เราบีบบังคับล่ามโซ่พวกเขาเขาด้วยกำลัง ย่อมเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่เขาจะปลดโซ่ของตัวเองออกจากตัวใช่หรือไม่?”
นักเดินทางไม่อาจให้คำตอบ
“แล้วเหตุใดข้าต้องเกณฑ์ประชาชนของข้ากรีฑาทัพแสนไกลเพื่อไปเข่นฆ่า หรือเพื่อไปถูกฆ่า? ข้าไม่เข้าใจเลย พวกเขาจะตายเพื่ออะไรกัน ทั้งประชาชนของข้า และประชาชนของต่างเมืองต่างก็มีเลือดสีแดงมีศักดิ์ศรีในเกรียติของตน เหตุใดข้าต้องให้พวกเขาหลั่งเลือดเพื่อเกียรติของข้า? ข้าจึงตัดสินใจไม่กรีฑาทัพ และรับรองการเป็นเอกราชของพวกเขา”
“อาณาจักรของท่านจึงล่มสลาย?”
ราชินีพยักหน้า
“นั้นทำให้ประชาชนและขุนนางไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง แคว้นประเทศราชทั้งหมดตั้งตัวเป็นเอกราชทันที เศรษฐกิจของอาณาจักรไม่อาจดำรงอยู่ได้เมื่อไม่ได้รับส่วย และเจอคู่แข่งทางการค้า เมืองปากทะเลเปิดตลาดการค้ากับแดนไกลทันที่ที่ไม่มีเราห้าม เราไม่อาจซื้อปัจจัยด้วยราคาถูกจากการบังคับแคว้นเล็ก ประชาราชของข้าด่าทอข้า ขุนนางหลบลี้หนี้หาย... ในที่สุดข้าก็ไม่เหลือใครเลย”
แววตาของนางขุ่นมัวขึ้นอีกครั้ง
“ท่านเสียใจหรือไม่”
“ไม่ ไม่เลยข้าไม่เคยเสียใจ สิ่งที่ล้มสลายไปเป็นเพียงอาณาจักร เป็นเพียงสิ่งที่ประชาชนสมมุติขึ้นแม้แต่ถานะราชินีของข้าเองก็เช่นกัน แต่ข้ารักษาชีวิตของประชาชนของข้าไว้ได้ ตราบที่พวกเขายังไม่ตายรัฐจะสร้างขึ้นใหม่เมื่อไหร่ก็ได้”
“ถึงแม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นประชาชนของท่านอีกแล้วก็ตาม” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังพูดต่อให้เธอ ราชินีหันไปยิ้มให้เขา
“ก็นั้นแหละ ไม่สำคัญนักหรอกใช่ไหม”
นักเดินทางนึกภาพของราชินียามเธอยืนอยู่บนระเบียงปราสาท ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตั้งอยู่ใจกลางของนคร นึกภาพท่านหญิงทอดสายตาไปไกลกวาดมองซากอาณาจักรของเธอที่อาบด้วยแสงจันทร์
ราชินีหันกลับมายิ้มให้นักเดินทางเช่นกันก่อนจะเชิญให้นักเดินทางเลือกพักในห้องใดก็ได้ในปราสาทอันกว้างใหญ่เกินไปสำหรับคนสามคนแห่งนี้
...........................................................................................................................................
ตอนนี้ไม่ค่อยได้ดั้งใจเลยแฮะ
ความคิดเห็น