คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ≡( episode 14 - Kotori – Bird of Luck
Chapter
14 Kotori – Bird of Luck
ร่างผอมบางของฮิบาริ
เคียวยะก้าวเข้ามาสู่บริเวณสวนสาธารณะของเมืองมินาโมริช่วงต้นเดือนเมษายน –
ในช่วงที่ต้นซากุระสองข้างทางออกดอกบานสะพรั่ง มือเรียวยาวเอื้อมขึ้นไปปัดกลีบดอกซากุระที่อยู่บนเส้นผมสีดำขลับของตนออก
เจ้าหนูรีบอร์นส่งจดหมายให้เขามารอที่นี่ตอนสองทุ่ม
ซึ่งก็นับเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการนัดหมายที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเนื่องจากในช่วงที่ดอกซากุระกำลังบานสะพรั่งของเมือง
เพราะ ณ สถานที่เดียวกันนี้ในตอนกลางวันก็มักจะมีครอบครัวหรือคู่รักพากันออกมาทานอาหาร
ร้องเพลง สังสรรค์กัน แต่เขาก็ออกจะแปลกใจอยู่สักเล็กน้อยที่ในเวลานี้ไม่ได้ตาแก่ขี้เมามากินเหล้า
ส่งเสียงร้องเพลงเอะอะโวยวายกันที่นี่
แต่ก็ไม่ได้น่าแปลกใจมากเท่าไหร่เมื่อนึกถึงเนื้อความในจดหมายที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจอ่านเป็นจริงเป็นจัง
แต่เท่าที่พอกวาดสายตามองผ่านก็พอจะจับใจความได้ว่าบุคคลที่เจ้าหนูนั่นนัดให้มาพบกับเขาในวันนี้ค่อนข้างจะเป็นผู้มีอิทธิพลของอิตาลีอยู่ไม่น้อย— ดังนั้น
การสั่งปิดสวนสาธารณะของเมืองเล็กๆอย่างมินาโมริคงไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถ
‘นายคงจะเป็นฮิบาริ
เคียวยะสินะ’ เสียงทุ้มดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
เจ้าของชื่อหันขวับไปทางต้นตอของเสียง รู้สึกไม่ชอบใจนักที่เห็นว่าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นซากุระ
กิ่งน้อยใหญ่ที่ประดับไปด้วยดอกไม้ซึ่งบานสะพรั่งช่วยป้องกันใบหน้าของเจ้าของเสียงไม่ให้เขาสามารถมองเห็นได้แม้จะพยายามเพ่งแค่ไหนก็ตาม
ร่างบางคว้าทอนฟาขึ้นมา
มองตรงไปที่ๆชายคนนั้นยืนอยู่อย่างไม่ลดละ ‘เลิกพูดพล่าม โผล่หน้าของคุณออกมาได้แล้ว’
คู่สนทนาหัวเราะเสียงดังออกมา
‘นายนี่มัน...’ เสียงทุ้มมีแววขบขัน ซึ่งส่งผลให้เจ้าของใบหน้าหวานขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม
‘เหมือนกับที่รีบอร์นบอกเอาไว้จริงๆ’
เขาหัวเราะเบาๆตามหลังคำพูดตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวเท้าออกมาจากความมืด
สายลมในสวนสาธารณะพัดอีกครั้ง
กิ่งของต้นซากุระที่พรั่นพรายไปด้วยดอกนับร้อยไหวขึ้นลงตามกระแสลมพร้อมๆกันก่อนที่ฮิบาริ
เคียวยะจะมองเห็นใบหน้าของคู่สนทนาได้อย่างชัดเจน
เขาเป็นชายชาวตะวันตกรูปร่างสูงโปร่ง
ผมสีน้ำตาลทองยาวระกับต้นคอล้อมกรอบหน้า ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลมองมาทางเขาด้วยแววทีขี้เล่น
บนใบหน้าหล่อเหลาเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารวัยรุ่นนั่นระบายด้วยรอยยิ้มที่สดใส
‘ฉันชื่อดีโน่นะ เป็นคู่ฝึกของนาย
ฝากตัวด้วย’
ฮิบาริ เคียวยะขมวดคิ้ว
สัญชาติญาณแรกกระซิบที่ข้างๆหูของเขา
เขาไม่ชอบหน้าผู้ชายคนนี้
เป็นเวลาประมาณสิบสี่นาฬิกาที่ฮิบาริ
เคียวยะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้
ก่อนหน้านั้นครึ่งชั่วโมง
ชายหนุ่มกำลังนอนอยู่บนต้นไม้ต้นประจำที่ตั้งอยู่บนภูเขาหลังโรงเรียนมินาโมริ— ที่ๆที่เขาชอบแอบออกมาพักตอนกลางวันในขณะที่ทำงานในคฤหาสน์ของตนเองจนรู้สึกเบื่อ
อากาศของเดือนกรกฎคมร้อนจนให้ความรู้สึกว่ามันสามารถหลอมละลายเหล็กได้
ดุจคำกล่าวของพ่อเขาเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กว่า ‘พระอาทิตย์ดินแดนญี่ปุ่นไม่เคยปราณีใคร’
แม้ว่าคำกล่าวนั้นจะไม่ได้เอาไว้ใช้สำหรับสภาพอากาศก็ตาม
ร่างสูงกำลังนอนหลับสนิทอยู่ตอนที่เขาได้ยินเสียงเด็กร้องเรียกปลุกเขาให้ตื่นขึ้น
เขาลืมตาขึ้นมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ถนัดเสยผมที่ยุ่งของตัวเองให้กลับมาเข้าทรง
เขาไม่ได้ไม่ชอบเด็ก
แต่เขาเกลียดทุกอย่างที่ปลุกเขาให้ตื่น
แต่ในฐานะของผู้ที่ต้องดูแลเมืองนี้แล้วนั้น
มันก็เป็นหน้าที่ของเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้
ฮิบาริ เคียวยะผิวปากเรียกเพื่อนสนิทของตนที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ถัดไปไม่ไกลให้มาประจำที่บนไหล่ข้างขวาของเขา
ฮิเบิร์ดบินตรงมาอย่างไม่ขัดขืน เขายิ้ม ใช้นิ้วเขี่ยไปที่ขนสีเหลืองอ่อนนุ่มของมันอย่างรักใคร่ก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ที่ตนนั่งอยู่
ร่างสูงเดินไปยังต้นตอของเสียงที่อยู่ห่างกันไม่ไกล
เจ้าของเสียงหยุดร้องไห้แล้ว
แต่เขายังคงได้ยินเสียงสะอื้นด้วยความกลัวอยู่เป็นพักๆ และเมื่อเขาได้พบกับเจ้าของเสียงร้องไห้นั้น
ฮิบาริ เคียวยะก็เลือกที่จะยืนมองอยู่พักหนึ่งแทนที่จะเดินเข้าไปหาตรงๆ
เจ้าของเสียงสะอื้นเป็นเด็กชายอายุประมาณ
6-7 ปี
ผมสีน้ำตาลเกือบดำ ผิวขาวอมชมพู สวมเสื้อยืดสีขาวลายทางสีน้ำเงิน
กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลกับรองเท้าแตะรัดข้อสีดำ เด็กน้อยกำลังยืนสะอึกสะอื้นอยู่ มือเล็กๆทั้งสองข้างปาดน้ำตาที่ร่วงลงมาตามแก้มป้อยๆ
ก่อนที่เขาจะได้เดินเข้าไปหาเด็กชาย
เพื่อนสนิทของเขาก็กลับบินออกไปทักทายเจ้าตัวก่อน
เจ้านกสีเหลืองตัวจิ๋วบินวนอยู่รอบๆเด็กชายอยู่พักหนึ่งกว่าเขาจะสังเกตเห็นมัน
เด็กชายหยุดร้องแทบจะในทันที ดวงตากลมโตสีดำมองไปยังฮิเบิร์ดตาแป๋ว
ฮิเบิร์ดรู้ดีเสมอว่าเขาไม่ชอบเสียงเด็กร้องไห้
เด็กน้อยละสายตาออกจากนกตัวจิ๋วนั่นทันทีเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้น
ใบหน้าหวานระบายความไม่ไว้วางใจออกมาอย่างชัดเจน “คะ... คุณเป็นใครฮะ”
ร่างสูงเลิกคิ้ว
ย่อตัวลงตรงหน้าคู่สนทนา มองตรงไปที่ดวงตาสีน้ำตาลที่มีผมปรกอยู่
ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กน้อยแดงก่ำ ซึ่งบอกเขาว่ากว่าจะมายืนร้องไห้ตรงนี้เจ้าตัวคงเดินร้องไห้มาแล้วสักพักหนึ่ง
“ฉันสิที่ต้องถามว่านายเป็นใคร หลงทางหรอ?”
คู่สนทนาของเขาส่งสายตาเป็นกังวล
เด็กน้อยไม่ยอมตอบคำถาม เอื้อมมือออกมาคว้าฮิเบิร์ดที่บินอยู่ข้างๆมากอดไว้แทนคำตอบ
ให้ตายสิ
ฮิบาริ
เคียวยะถอนหายใจ เขายันตัวยืนขึ้นตามเดิมแล้วผิวปากออกมา
เจ้านกน้อยในอ้อมกอดของเด็กชายบิดตัวก่อนจะกางปีกบินมาเกาะบนไหล่เขา
สีหน้าของร่างเล็กเปลี่ยนไปเป็นความประหลาดใจปนกับประทับใจก่อนที่มันจะกลับไปเป็นความกลัวเหมือนเดิมเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีดำคมกริบของคนตรงหน้า
“นายมาจากไหน?”
“...” คู่สนทนายังคงไม่ยอมตอบคำถามของเขา
เด็กน้อยก้มหน้าหลบสายตาจนทำให้ฮิบาริแปลกใจ
นึกสงสัยว่าเด็กนี่มันไม่อยากกลับบ้านนักหรือไง
“ถ้าไม่ยอมบอกฉันจะทิ้งนายไว้ที่นี่”
เด็กน้อยทำหน้างุบด้วยความลำบากใจก่อนจะชี้นิ้วอย่างอิดออดไปอีกทาง
“สวนสาธารณะ”
ร่างสูงมองไปยังปลายนิ้วของอีกฝ่าย
เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ...สวนสาธารณะ? เด็กนี่เดินมาไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
เพราะจากที่ยืนอยู่ตรงนี้ สวนสาธารณะก็อยู่ห่างไปเกือบสองกิโลเมตรเลยทีเดียว
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
ร่างสูงพูด
ก้าวเท้าเดินออกไปยังทางที่เด็กชายชี้
ก่อนจะหยุดกลับมามองเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังตัวเองมา ดวงตาสีดำตวัดมองเด็กชายที่ยืนจ้องกลับมาทางเขา
เด็กน้อยถึงได้เดินก้าวตามหลังเขามาอย่างฝืนใจ
ร่างสูงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไปตามทาง
นี่ก็คงจะเป็นอีกวันที่ฮิบาริ
เคียวยะไม่ชอบ
‘เราเหมือนกันเลยเนอะเคียวยะ’
เจ้าของเสียงใช้นิ้วมือเกี่ยวหมุนเข้ากับเส้นผมสีดำของร่างบางที่กำลังนอนหลับตาอยู่บนตักของตัวเอง
เจ้าของดวงตาสีดำสนิทลืมขึ้นเพื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มมาให้เขาอย่างอ่อนโยน
‘คุณหมายความว่ายังไง?’
อีกฝ่ายยิ้ม— เหมือนทุกครั้งที่เผลอพูดบางอย่างที่เขาฟังแล้วไม่เข้าใจออกมา ‘อืมม’ เสียงทุ้มดังก้องอยู่ในลำคอ เหมือนกำลังพยายามนึกหาคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นที่ง่ายที่สุดที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งจะนึกออกเพื่อใช้ในการอธิบายความคิดของตน
‘ก็แบบว่า โตมาในสังคมที่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบเหมือนกัน’
เขานิ่ง
รอฟังคำอธิบายเพิ่มเติม มองตรงไปยังรอยย่นระหว่างคิ้วของอีกฝ่ายที่กำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการเค้นคำพูดออกมา
‘การที่เราไม่สามารถ...
ไม่สามารถตัดสินใจชีวิตได้ด้วยตัวเองล่ะมั้ง’
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลแสนหวานคู่นั้นแสดงความเจ็บปวดออกมา
และเขารู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
เรื่องคู่หมั้นที่ตระกูลของเขาจัดหามาให้
เรื่องที่โรมาริโอ้ได้เตือนเขาไปแล้วเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เรื่องที่เจ้าโง่นี่— ยังไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากพูดกับเขาออกมาตรงๆ
ร่างบางเอื้อมมือออกไปปัดเส้นผมสีน้ำตาลทองที่ตกลงมาปรกหน้าอีกฝ่าย
‘ผมเข้าใจ’
คู่สนทนายิ้มออกมา
ความเจ็บปวดภายในดวงตาสีน้ำตาลจางลงแปรเปลี่ยนกลายเป็นแววขบขันแทน ใบหน้าหล่อเหลานั้นมองเขามาอย่างล้อเลียนด้วยท่าทีที่สามารถแปลออกมาได้ว่า— เขาจะไปรู้อะไร
ฮิบาริ เคียวยะยิ้ม
ผมรู้สิ
รู้มาตลอดนั่นแหละ
“นั่นคืออะไรหรอฮะ”
เด็กน้อยที่ตอนนี้เดินนำหน้าเขาไปแล้วชี้ไปที่ทางเดินหินข้างทางที่จะนำพวกเขากลับไปที่สวนสาธารณะ
ชายหนุ่มมองไปยังคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เพียงแค่สิบนาทีแรกเท่านั้นที่เขาได้เดินนำหน้า
แต่หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาใกล้กับเขตตัวเมืองมากยิ่งขึ้นทุกอย่างก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเด็กคนนี้ไปซะหมด
เขาตวัดสายตามองขึ้นไปตามทางเดินนั้น
“ศาลเจ้าประจำเมืองน่ะ”
เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่ง
ดวงตากลมโตทั้งคู่ยังคงมองขึ้นไปด้วยท่าทีสงสัย “เอาไว้ทำอะไรหรอฮะ ศาลเจ้าน่ะ”
“ก็เอาไว้ไหว้เทพเจ้า
แล้วก็ขอพร”
“หรอฮะ”
เด็กน้อยตอบรับ ฮิบาริ เคียวยะยังคงแปลกใจที่อยู่ๆคู่สนทนาของตนเองก็กลายร่างเป็นเด็กช่างพูดช่างคุยเหมือนเป็นคนละคนกับเด็กที่ไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับเขาเลยเมื่อยี่สิบนาทีก่อน
“คนญี่ปุ่นนี่แปลกดีนะ”
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เด็กคนนั้นเล่าให้เขาฟังในระหว่างที่เดินมาด้วยกัน
เท่าที่เขาพยายามจับใจความเอาจากคำพูดของเด็กวัย
6 ปีตรงหน้า
ทำให้เขาได้รู้ว่าเด็กคนนี้มาอยู่ญี่ปุ่นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆเพียงเท่านั้น
ส่วนเหตุผลที่พูดญี่ปุ่นได้ชัดก็เป็นเพราะใช้ชีวิตในช่วงสี่ปีแรกอยู่ที่ญี่ปุ่นแต่ในช่วงสี่ปีแรกของชีวิตนั้น
เด็กน้อยแทบไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเลยเพราะสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง
‘คุณหมอมาทุกเดือนเลยฮะ
ใจดีนะ แต่ผมเจ็บ’
“งั้นคุณขอพรอะไรฮะ”
เสียงหวานดังขึ้นแทรกผ่านความคิดของเขา เด็กชายเดินต่อไปทางข้างหน้าแล้ว
เหมือนว่าหลังจากที่ได้รู้คำตอบว่าสิ่งที่เขาสงสัยนั้นคืออะไรก็พร้อมที่จะหมดความสนใจไปอย่างสิ้นเชิง
ฮิบาริ เคียวยะเลิกคิ้ว
“ก็ไม่ได้ขออะไรเป็นพิเศษหรอก”
“ว้า”
คู่สนทนาส่งเสียงตอบรับอย่างเสียดาย ดวงตากลมโตเปล่งประกายออกมาเมื่อมองมาที่เขา “ถ้าเป็นผม
ผมคงขอให้ตัวเองได้เป็นนักบินอวกาศ”
“ถ้างั้นก็ต้องขอให้ตัวเองสุขภาพดีก่อน”
เขาพูด เจ้าตัวจะเบะปากลงเล็กน้อยก่อนจะกลับมายิ้มร่าตามเดิม
“แล้วคุณไม่อยากเป็นอะไรบ้างหรอ”
ฮิบาริ เคียวยะมองออกไปอีกฝั่งซึ่งทางตรงข้ามกับศาลเจ้าที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านมา
ท้องฟ้าในวันที่แดดร้อนระอุมักจะมีสีฟ้ามากกว่าวันทั่วๆไป ทันใดนั้น
คำตอบที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะพูดก็หลุดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“อยากเป็นนกล่ะมั้ง”
เขายอมรับว่าจังหวะที่เด็กตรงหน้าเบิกตาขึ้นให้กับคำตอบของเขาก่อนที่จะระเบิดหัวเราะออกมา
เขาก็แทบจะขำให้กับความคิดของตัวเองอยู่เหมือนกัน
“คนเราจะเป็นนกได้ยังไงกัน”
นั่นสินะ
‘คุณอยากเป็นอะไร’
ฮิบาริ เคียวยะเอ่ยถามร่างสูงที่กำลังพยายามชงเครื่องดื่มอย่างตั้งอกตั้งใจบนโต๊ะกาแฟริมหน้าต่างในห้องกรรมการนักเรียนของเขา
ดวงตาสีน้ำตาลหันกลับมามองเขาอย่างงุนงงแต่เขาก็เข้าใจได้ว่าเพราะปกติเขาไม่ใช่คนที่จะเริ่มบทสนทนาก่อน
ร่างบางหยิบกระดาษแนวทางการศึกษาต่อในมือขึ้นแทนการตอบคำถามด้วยคำพูด
มันเป็นคำถามที่หลังจากที่เขานั่งคิดมาราวสิบห้านาทีเขาก็ยังไม่สามารถหาคำตอบไปเติมลงในช่องว่างนั้นได้
‘เอ...’ ร่างสูงนิ่งคิด มือขวาที่ก่อนหน้านั้นใช้คนช้อนกาแฟหยุดนิ่ง
ดวงตาสีน้ำตาลมองออกไปที่หน้าต่างข้างหน้า ก่อนที่ริมฝีปากบางจะปรากฏรอยยิ้มออกมา ‘ฉันอยากเป็นนก’
เจ้าของแบบสอบถามขมวดคิ้ว
เจ้าบ้านั่นจะให้เขียนคำตอบนั้นลงไปในแบบสอบถามแนะแนวหรือยังไงกัน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยปากออกมา
คนตรงหน้าก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
‘ฉันอยากมีอิสระน่ะ’
‘…’
‘อยากทำอะไรก็ได้อย่างที่ฉันต้องการ’
ร่างสูงหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าถูกเขาจ้องอยู่
ดีโน่ยิ้มกว้างให้เขาอย่างสดใส แล้วหันกลับไปคนกาแฟอย่างตั้งอกตั้งใจตามเดิม
“กินไอศกรีมได้ไหมฮะ”
หลังจากที่เดินได้อีกสักพัก
เด็กชายตรงหน้าเขาก็เหนื่อยและเบื่อเกินกว่าจะถามคำถามเขาอีกต่อไป ดวงตากลมโตคู่นั้นมองไปยังร้านขายไอศกรีมที่อยู่ถัดจากพวกเขาไปอีกราว
50 เมตร ซึ่งคนขายเป็นผู้ชายอายุราว
40 ปีกำลังนอนเปิดพัดลมใส่แว่นกันแดดอ่านหนังสือนิตยสารวาบหวิวอยู่ข้างๆตู้ไอศกรีม
ฮิบาระ
เคียวยะพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เมื่อเห็นดังนั้นเด็กน้อยก็ยิ้มออกมาแก้มปริก่อนจะวิ่งไปที่ร้านอย่างกระตือรือร้นเหมือนไม่เคยเหนื่อยมาก่อน
เขาส่ายหน้าก่อนจะสาวเท้าเดินตามไป
“คุณลุงฮะ
เอาอันนี้แท่งหนึ่ง” ร่างเล็กชี้ลงไปที่ไอศกรีมด้านล่างผ่านทางบานเลื่อนกระจก
เจ้าของร้านเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะบิดตัวอย่างขี้เกียจแล้ววางหนังสือในมือลงบนเก้าอี้
“อันไหนไอ้--” เจ้าของร้านตอบกลับอย่างเป็นกันเอง
แต่ก่อนที่จะทันได้เอื้อมมือไปเปิดฝากระจกดวงตาทั้งสองข้างก็พลันสังเกตเห็นฮิบาริ
เคียวยะ ที่ยืนอยู่ด้านหลัง น้ำเสียงที่ใช้ก็เปลี่ยนไปแทบจะหน้ามือเป็นหลังมือ “เอาอันไหนดีครับคุณหนู”
เขาพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้แล้วหันกลับไปยัดนิตยสารวาบหวิวที่เปิดวางเอาไว้บนเก้าอี้ลงไปใต้เบาะอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มแห้งๆออกมาทีหนึ่ง
“อันนี้ฮะ”
เด็กชายพูดคว้าไปที่ไอศรีมช็อกโกแลตโดย ไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของเจ้าของร้านที่เปลี่ยนไป
“ผมไปนั่งกินที่ม้าหินอ่อนตรงนั้นนะฮะ”
ร่างเล็กหันมาพูดเชิงขออนุญาตก่อนจะแกะถุงพลาสติกที่หุ้มไอศกรีมที่ตนเลือกออกแล้ววิ่งออกไปอีกทาง
ฮิบาริ
เคียวยะมองตามหลังเด็กชายไป เมื่อเห็นว่าเด็กชายเลือกที่นั่งได้แล้วจึงตวัดสายตาคมกริบกลับมาที่เจ้าของร้าน
แต่ก่อนที่จะทันได้พูดอะไรออกมา เจ้าของร้านก็ชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับ
สำหรับคุณฮิบาริ ผมไม่คิดเงิน”
ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พยายามจะปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่าย
เขาหมุนตัวหันหลังกลับ เดินไปทางม้านั่งที่เด็กชายนำหน้าเขาไปก่อนแล้ว
เด็กชายกำลังเลียไอศกรีมในมืออย่างหิวโหยเมื่อเขาหย่อนตัวลงนั่งที่ม้านั่งฝั่งตรงข้าม
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้กล่าวขอบคุณกับเขาแต่เขาเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร
หลังจากที่ปล่อยให้อีกฝ่ายทานไอศกรีมไปได้สักพักหนึ่ง
ฮิบาริ เคียวยะก็ตัดสินใจพูดทำลายความเงียบออกมา “เราอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะแล้ว”
เขาว่า “เดินต่ออีกไม่เกิน 100 เมตรก็ถึง”
เด็กชายตรงหน้ามองตาแป๋วมาให้เขา
ยังคงเลียไอศกรีมช็อกโกแลตในมืออย่างตั้งใจ มือข้างที่ถือเลอะช็อกโกแลตจากไอศกรีมที่ละลายเร็วอย่างช่วยไม่ได้ในอุณหภูมิที่ร้อนขนาดนี้
“ผู้ปกครองที่มานายมาหน้าตาเป็นยังไง”
เด็กชายหยุดเลียไอศกรีม
ปากมอมแมมเลอะสีน้ำตาลขยับตอบกลับมา “คุณลุงตัวใหญ่ฮะ แล้วก็หน้าดุมาก” เขาว่า
มองตรงมาที่ฮิบาริ “แต่คุณลุงก็ยอมเป็นเพื่อนเล่นกับผมทุกวัน”
ฮิบาริมองตรงไปยังคู่สนทนา
ผมหน้าม้าที่ยาวเกินของเด็กชายตกลงมาปรกดวงตาทั้งคู่เอาไว้
...นี่เด็กคนนี้ไม่ได้ตัดผมมานานแค่ไหนแล้วนี่ “แล้วพ่อกับแม่นายล่ะ”
คู่สนทนามองไปที่ไอศกรีมในมือข้างขวาของตน
เด็กชายกินลงมาถึงจุดที่เป็นโคนไอศกรีมพอดี “คุณแม่ผมเกลียดประเทศญี่ปุ่น” เขาว่า
ขณะกำลังพยายามแกะกระดาษที่ห่อตัวโดนออก “แม่บอกว่าประเทศนี้น่าเบื่อเกินไป”
ฮิบาริขมวดคิ้ว
...มีคนบนโลกที่ไม่ชอบประเทศญี่ปุ่นอยู่ด้วยหรอ
“ส่วนพ่อ”
เขาพูดต่อโดยไม่ได้หันหน้ามามองคนตรงหน้า ขะมักเขม้นกับการแกะกระดาษออก ดวงตากลมโตมีแววพึงพอใจเมื่อสามารถลอกมันออกมาได้จนหมด
“คุณพ่อบอกว่าคุณพ่อคงไม่กลับไปที่ญี่ปุ่นแล้ว”
“สรุปก็คือครอบครัวของนายเกลียดประเทศนี้กันทั้งหมดเลยสิ”
เขาว่า เท้าคางมองไปยังเจ้าของใบหน้าหวานที่กำลังเริ่มแทะโคนไอศกรีมของตัวเอง
“เปล่าฮะ”
เด็กชายพูดอย่างแก้ตัว ดวงตาสีน้ำตาลละจากไอศกรีม ตวัดกลับขึ้นมามองที่เขา “คุณพ่อบอกว่าที่ญี่ปุ่นมีคนที่คุณพ่อลืมไม่ได้”
“...” ร่างสูงชะงัก
มองตรงไปที่ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตตรงหน้าอย่างแปลกใจ
“...ถ้าเจอเขา
พ่อบอกว่าตัวเองคงต้องร้องไห้ออกมา”
“...”
“แต่เขาบอกว่าลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้”
เขาพูดต่อขณะที่กำลังแทะโคนไอศกรีมในมือไปด้วย “คุณพ่อเลยไม่กลับมาที่ญี่ปุ่นอีกเลย”
ทันใดนั้น
ฮิบาริ เคียวยะก็รู้สึกถึงลมลูกหนึ่งก็พัดผ่านมาที่ม้านั่งที่พวกกำลังนั่งอยู่
แรงเหมือนกับสายลมที่พัดในวันแรกที่เขาได้เจอกับผู้ชายคนนั้น เพียงแต่ในเวลานี้สองข้างทางไม่ได้เต็มไปด้วยต้นซากุระที่บานสะพรั่งและเกิดขึ้นในตอนบ่ายที่ร้อนจนผิวแทบไหม้
เมื่อเส้นผมสีน้ำตาลที่ตกลงมาปรกใบหน้าของเด็กชายตรงหน้าเปิดออกเพราะแรงลม
ฮิบาริ
เคียวยะจึงได้สังเกตว่าดวงตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นั้นสีเหมือนคาราเมลที่กำลังหลอมละลาย
ไม่รู้ว่าเขาเผลอจ้องดวงตาคู่นั้นอย่างลืมตัวไปนานแค่ไหนแต่พอรู้สึกตัวอีกทีเจ้าของใบหน้าหวานก็กำลังทำสีหน้าฉงนมองกลับมาที่เขาอยู่
ฮิบาริ เคียวยะถอยกลับไปนั่งพิงพนักตามเดิม
“นายชื่ออะ—“
“คุณหนูโคโตริ!” เสียงทุ้มที่ตะโกนขึ้นมาจากทางด้านหลังเขา
ใบหน้าของเด็กชายเจื่อนลงเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มกว้างๆให้เขา เด็กชายปัดมือที่เลอะช็อกโกแลตเข้ากับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลของตน
“ไปก่อนนะฮะ”
เขาพูด กอดเข้าที่รอบคอของฮิบาริ เคียวยะโดยที่เจ้าตัวยังไม่มีโอกาสได้แย้งแล้ววิ่งออกไปทางด้านหลังของเขา
ฮิบาริ เคียวยะหันกลับไปมองตามหลังเด็กชาย
ฉับพลันดวงตาสีดำก็สบเข้ากับยังโรมาริโอ้ที่ก็กำลังมองตรงมาที่เขาอย่างแปลกใจเช่นกัน
ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทโน้มลงมาอุ้มเด็กชายขึ้นไปบนไหล่ พวกเขาทั้งสองคนสบกันได้พักหนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะโน้มลำตัวลงเล็กน้อยเพื่อทักทาย
ยิ้มให้เขาบางๆ ก่อนจะอุ้มเด็กชายกลับไปที่รถสีดำที่จอดอยู่ข้างถนนที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล
‘ซากุระบานแล้วนะคะ’
สาวใช้คนหนึ่งในบ้านคาบัคโรเน่พูดกับเขาขณะวางถาดข้าวลงบนโต๊ะที่อยู่ห่างจากเตียงที่เขานอนอยู่ไปไม่ไกล
‘ดิฉันเด็ดกิ่งเล็กๆจากต้นซากุระหลังคฤหาสน์มาให้ด้วย’
เธอว่า มองไปยังกิ่งที่มีดอกไม้สีชมพูที่กำลังบานเต็มที่ในแก้วที่อยู่ข้างถาดข้าวของเขา
‘จริงๆ คุณชายอยากให้คุณฮิบาริออกไปดูดอกซากุระด้วยกัน’
เธอพูดต่อ ไม่ได้สนใจว่าเขากำลังตื่นฟังอยู่หรือไม่ ‘แต่คุณหมอบอกว่าด้วยสุขภาพของคุณฮิบาริในตอนนี้ไม่ค่อยดี
เลยไม่อยากให้ออกไปจากคฤหาสน์’
ฮิบาริ
เคียวยะไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขายังคงนอนนิ่งตะแคงไปอีกทางที่มีหน้าต่างบานเล็กเปิดรับลมอยู่
หน้าต่างภายในห้องที่เขาอาศัยอยู่แสดงให้เห็นเพียงแค่ภาพของสวนหน้าบ้านที่จัดสไตล์ญี่ปุ่นเท่านั้น
ไม่ได้มีต้นซากุระที่กำลังบานตามฤดูกาลตามที่หญิงสาวว่า
‘คุณชายฝากให้มาบอกว่าขอให้คุณฮิบาริทานข้าวให้หมด’
เธอพูด หันหลังกำลังจะเดินออกจากห้อง ‘จะได้รีบกลับไปชมดอกซากุระที่บานได้โดยเร็ว’
ฮิบาริ
เคียวยะได้ยินเสียงปิดประตูตามหลังที่เธอพูดจบไม่นาน เขายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง
ไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อเพียงสักมัด แม้กระทั่งกระบังลมที่ใช้ในการหายใจเข้า ก่อนที่แรงกระตุ้นของระบบประสาทอัตโนมัติจะทำการกระตุ้นให้เขาหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือกอย่างเจ็บปวด
ทันใดนั้นริมฝีปากบางก็ขยับยิ้มออกมา
พูดออกมาได้
ทั้งหมดนี่มันก็เกิดจากคุณเองทั้งนั้น
เขายืนมองจนรถยนต์สีดำคันนั้นเคลื่อนออกไปจนสุดสายตา
ร่างสูงหันหลังกลับ
ผิวปากเพื่อเรียกเพื่อนสนิทตัวจิ๋วสีเหลืองของเขาให้กลับมาประจำที่ของมันก่อนจะก้าวเท้าเดินกลับไปตามทางที่จะพาเขากลับไปที่คฤหาสน์
สายลมพัดมาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้
ฮิบาริ เคียวยะหลับตา
เขาไม่ได้รู้สึกถึงดอกซากุระที่กำลังบาน
ความคิดเห็น