การเขียนนิยายโดยใช้สรรพนามบุรุษต่างๆ
เมื่อคุณตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเริ่มต้นเขียนนิยายอย่างจริงจังแล้ว ประมาณว่าถ้าไม่ให้เขียนจะเอาไม้จิ้มฟันแทงเหงือกซะเลย !! หากเป็นเช่นนั้นคุณก็ควรที่จะรู้ก่อนว่าแนวการบรรยายของคุณนั้นเป็นอย่างไร นี่เป็นจุดเริ่มต้นอีกอย่างที่สำคัญมากก่อนจะเขียนนิยาย เพราะไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเขียนยังไงแน่ใช่ไหมคะ ? ใช่ว่ามีพล๊อตเรื่อง ตัวละครครบเบ็ดเสร็จแล้วจะเขียนอะไรลงไปก็ได้เสียเมื่อไหร่
จุดเริ่มต้นคือ จุดที่สำคัญที่สุดและยากที่สุด เป็นเหมือนเสาหลักของนิยายของคุณเลยทีเดียว หากคุณตั้งเสาขึ้นมาไม่ดี ยิ่งคุณเขียนนิยายเติมเข้าไปเท่าไหร่มันก็จะยิ่งล่มลงได้ง่ายๆ ก่อนอื่นใดคุณต้องสังเกต หรือศึกษาก่อนว่าตัวคุณเองนั้นถนัดการบรรยายแบบไหน
ตัวอย่างการใช้สรรพนามทั้ง ๓ แบบอย่างง่ายๆ นั้นก็คล้ายกับการที่ เรา คุยกับ เพื่อน เรื่อง พี่ชาย อยู่
ตัว เรา เองจะเป็น สรรพนามบุรุษที่ ๑
ส่วน เพื่อน ที่กำลังคุยกับเรานั้นคือ สรรพนามบุรุษที่ ๒
และ พี่ชาย ที่ถูกพูดถึงคือ สรรพนามบุรุษที่ ๓ นั่นเอง
ยังไง ? ตัวอย่างสั้นๆ ก็เช่น ฉัน คุยกับ เพื่อน เรื่อง พี่ชาย ที่หายหัวไปตั้งแต่เช้า เป็นต้น
ซึ่งการบรรยายโดยใช้สรรพนามก็มีอยู่ ๓ แบบนี้นั่นแหละ ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละแบบนั้นมีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด และสามารถสื่อคำบรรยายของเราได้เหมือนที่เราต้องการหรือไม่
๑. สรรพนามบุรุษที่ ๑ หมายถึง การบรรยายโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ ก็คือการใช้คำมาแทนตัวคุณเองนั่นแหละ สรรพนามบุรุษที่ ๑ ก็ เช่น ผม ฉัน ดิฉัน ข้าพเจ้า ข้า เรา ฯลฯ ในการเขียนนิยายจะเป็นการบรรยายโดยให้ตัวของคุณเป็นคนเล่าเองในฐานะที่คุณเป็นตัวละครตัวนั้น (พูดง่ายๆ ก็คือ คิดเสียว่าตอนนี้คุณคือตัวละครของคุณอยู่) อาจจะเป็นตัวละครเอกหรือตัวละครรองก็ได้ โดยที่คุณจะกลายเป็นตัวละครนี้ และเป็นคนบรรยายทุกสิ่งที่ตัวละครเป็น เห็นและสัมผัส ซึ่งคุณจะรู้นิสัยของตัวละครตัวนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
เอ๊ะ ?! รู้นิสัยตัวละครตัวนี้เพียงตัวเดียวหมายความว่ายังไง ? ถ้าเราไม่รู้นิสัยของตัวละครทุกตัวเราจะเขียนนิยายออกมาทั้งเรื่องได้เหรอ ? ถ้าคุณกำลังคิดแบบนี้อยู่... คุณคิดเกินเลยไปแล้ว !!
"รู้นิสัยของตัวละครตัวนั้นเพียงตัวเดียว" นั้นหมายความว่า การที่คุณจะบรรยายโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ ในฐานะที่คุณเป็นตัวละครตัวนั้นอยู่ คุณไม่สามารถบรรยายให้ตัวละครของคุณมีตาทิพย์ หรืออ่านใจคนได้ (เว้นเสียแต่เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะของตัวละคร) มันเหมือนกับการใช้ชีวิตปกติของคุณ ที่คุณจะไม่สามารถรับรู้หรือคาดเดาได้เลยว่าคนรอบข้างคิดอย่างไรกับคุณ เว้นเสียแต่ตัวละครของคุณจะรู้จักกับคนๆ นั้นดี รู้นิสัยกันและกันอย่างลึกซึ้ง จนเดาความคิดกันออกแล้วเท่านั้น
ตัวอย่าง
๑. ฉันเอ เป็นนักเรียนโรงเรียนซี เพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองเคเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ฉันเป็นคนเงียบจึงมักไม่ค่อยมีเพื่อน แต่วันนี้ไม่เหมือนทุก ๆ วันเพราะฉันได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่ง แค่เจอกันครั้งแรกเขาก็ยิ้มให้ฉันด้วย... นี่เป็นเพราะเขาชอบฉันหรือเปล่านะ
<-- บางทีผู้ชายที่ว่าอาจไม่ได้ยิ้มให้เธอ (ยิ้มให้คนข้างหลังตางหาก...) แต่นี่เป็นความรู้สึกที่ตัวละครของคุณได้ประสบเจอกับสายตาของเธอเองว่าชายผู้นั้นยิ้มมาทางเธอ ส่วนในกรณีที่เธอรู้นิสัยของตนเองว่าเธอเป็นคนเงียบและไม่ค่อยมีเพื่อน นั่นเป็นเพราะว่าคนเรามักจะรู้ในข้อผิดพลาดของตนเองแต่ยังหาทางแก้ไม่ได้เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเอไม่ได้คิดจะปิดกั้นตัวเองจากการคบเพื่อนเพียงแต่เธอเป็นคนเงียบ (หรืออาจจะรวมไปถึงขี้อาย) จึงไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาทำความรู้จักด้วย
เห็นได้ชัดว่าคุณอาจแฝงข้อคิดต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับตัวละครของคุณได้แทบทุกประโยคเลยทีเดียว !!
๒. ข้าไม่เคยชอบที่นี่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม ข้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของคนในหมู่บ้าน พวกเขาไม่เคยชอบขี้หน้าข้า ทุกสายตาที่จ้องมอง ข้าเกลียดมัน !! ไม่อยากจะเห็นหรือนึกถึงมันอีก
<-- คนในหมู่บ้านอาจจะไม่ได้คิดรังเกียจชายผู้นี้อย่างที่เขาคิดก็ได้ หรือบางทีพวกชาวบ้านอาจไม่ได้จ้องมองเขาเลยเสียด้วยซ้ำไป แสดงให้เห็นถึงอคติบางอย่างที่ชายคนนี้มีต่อคนในหมู่บ้าน อาจเป็นเพราะว่าคนในหมู่บ้านนี้เคยแสดงความเกลียดชังต่อเขามาก่อน ทำให้เขาฝังใจว่าทุกคนจะคิดอย่างนั้นกับเขาอยู่ตลอดเวลา ประโยคเหล่านี้ยังบอกอีกด้วยว่าชายคนนี้เป็นคนคิดมาก จริงจัง ช่างสังเกตและขี้ระแวง
๓. อาจเป็นเพราะผมเป็นคนตรงเกินไป เธอถึงต้องเสียน้ำตาแบบนี้ แต่ผมไม่อาจทนเห็นเธอต้องทนอยู่ในสภาพแบบนั้นต่อไปได้อีก วันนี้ล่ะที่ผมตัดสินใจจะบอกเธอ บอกให้เธอไปจากชีวิตของผม
<-- คำว่า "ไปจาก" ขาบ่งบอกให้รู้ว่าเขาผู้นี้ต้องการให้เธอไปด้วยความรู้สึกดีๆ หรือไปเพราะความจำเป็น หากเราเปลี่ยนเป็นคำว่า "ออกไปจาก" เท่านั้นจะแสดงให้เห็นว่าชายผู้นี้ไม่ต้องการให้เธอคนนั้นมาอยู่ในชีวิตของเขาอีกด้วยความโกรธหรือรำคาญ ซึ่งจะไม่เข้ากับประโยคที่เหลือเลย การเลือกเฟ้นถ้อยคำที่ใช้ในการบรรยายจึงเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่สำคัญเช่นกัน
วิธีการบรรยายโดยสรรพนามบุรุษที่ ๑ นี้ปัจจุบันมักพบเห็นมากในนิยายหวานแหวว ผู้เขียนบางคนอาจนำไปใช้กับนิยายแฟนตาซีหรือสืบสวน ซึ่งที่จริงแล้วมันสามารถใช้ได้กับนิยายทุกรูปแบบเช่นเดียวกับแบบอื่นๆ วิธีการบรรยายแบบนี้เป็นการเน้นให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครที่กำลังเล่าเหตุการณ์ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร (รวมทั้งผู้เขียนเองด้วย) มากกว่าจดจ่ออยู่กับการบรรยายฉากอันอลังการ หรือรายละเอียดอื่นๆ
๒. สรรพนามบุรุษที่ ๒ ได้แก่ เขา เธอ คุณ ท่าน นาย ฯลฯ คุณอาจใช้สรรพนามแทนตัวละครเช่น เด็กชาย เด็กหนุ่ม หญิงสาว สาวน้อย ฯลฯ หรือแม้แต่ชื่อของตัวละครก็นับเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๒ เช่นกัน บางคนมักสับสนในการใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ กับ ๓ เพราะมีความคล้ายคลึงกันมาก มีเพียงวิธีการใช้เท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่าง เช่น
ฉันไม่ชอบขี้หน้าเขา <-- เขาในที่นี้คือสรรพนามบุรุษที่เท่าไหร่ ? หากคุณตอบว่า ๒ ก็ผิดถนัด !! เพราะนี่คือสรรพนามบุรุษที่ ๓ ประโยคนี้เป็นประโยคคำพูดที่คุณกำลังพูดกับใครบางคนเรื่อง เขา อยู่ เขาในที่นี้จึงเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓
เธอคิดยังไงกับฉัน <-- เธอในที่นี้คือสรรพนามบุรุษที่เท่าไหร่ ? หากคุณตอบว่า ๓ ก็ผิดอีกเหมือนกัน !! เพราะนี่คือสรรพนามบุรุษที่ ๒ เพราะเรากำลังคุยกับ เธอ อยู่ว่า เธอ คิดยังไงกับเรา เธอจึงกลายเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๒
แสดงให้เห็นว่าสรรพนามบุรุษที่ ๒ บางคำสามารถใช้กับสรรพนามบุรุษที่ ๓ ได้ด้วย... เริ่มยากแล้วใช่ไหมล่ะ ? ช้าก่อนอย่าเพิ่งคิดหนี !! กลับมาที่สรรพนามบุรุษที่ ๒ กันก่อน ซึ่งวิธีการบรรยายโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ นั้นมี ๒ แบบ คือ
๒.๑ การบรรยายโดยให้คุณเป็นคนเล่าหรือพูดถึงตัวละครของคุณเอง คุณอาจจะเป็นตัวละครตัวหนึ่งก็ได้แต่จะบรรยายถึงตัวละครอื่นที่ไม่ใช่คุณ ในที่นี้คุณอาจแสดงให้เห็นว่าคุณหรือตัวละครนั้นรู้นิสัยและความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างดี หรืออาจจะไม่บรรยายถึงจุดๆ นั้นเพื่อให้ผู้อ่านศึกษาตัวละครไปเรื่อยๆ ด้วยตนเองก็ได้ แต่ในกรณีนี้คุณก็จะไม่รู้ความนึกคิดของตัวละคนอื่น
ตัวอย่าง
๑. เอเป็นนักเรียนโรงเรียนซี เธอเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองเคเมื่อสองสัปดาห์ก่อน แต่ด้วยความที่เอเป็นคนเงียบ เธอจึงมักไม่ค่อยมีเพื่อน แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกๆ วันเพราะเธอได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาสิ่งยิ้มให้กับเธอ อาจเป็นเพราะเขาสนใจเธอก็เป็นได้
๒. อาร์ไม่เคยชอบที่นี่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม เขายังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของคนในหมู่บ้าน พวกเขาไม่เคยชอบขี้หน้าอาร์ ทุกสายตาที่จ้องมองเขาทำให้เขายิ่งรู้สึกเกลียดชังจนไม่อยากจะนึกถึงมันอีก...
๓. อาจเป็นเพราะเอสเป็นคนตรงเกินไป ยูถึงต้องเสียน้ำตาแบบนั้น แต่เขาไม่อาจทนเห็นยูต้องทนอยู่ในสภาพแบบนั้นต่อไปได้อีก วันนี้เอสได้ตัดสินใจแล้ว ที่จะบอกให้ยูไปจากชีวิตของเขา...
แม้จะดูไม่ค่อยแตกต่างกับการใช้สรรพนามแบบที่ ๑ แต่อารมณ์ที่ให้นั้นแทบไม่เหมือนกันเลย ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชื่นชอบของนักเขียนแต่ละคนที่จะเลือกแบบไปดัดแปลงหรือเลือกไปใช้ในนิยายของตนเอง การใช้สรรพนามทั้ง ๓ แบบสามารถนำมาประยุกต์ใช้รวมกันได้ อย่างที่นักเขียนปัจจุบันมักใช้กัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องจัดระเบียบการใช้ให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้ปนกันเป็นจับฉ่าย !! หากคิดจะใช้สรรพนามนี้ตรงไหนก็ควรจะใช้ตรงจุดนั้นไปตลอด ไม่ควรใช้ผสมปนเปกันไปเพราะจะทำให้นิยายดูไม่เป็นระเบียบ เช่น นักเขียนบางท่านใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ ในการเปิดเรื่อง และใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ ในการดำเนินเรื่อง ซึ่งนั่นทำให้นิยายมีสีสันขึ้น
๒.๒ การบรรยายโดยใช้คุณเป็นคนเล่าถึงตัวละครทุกตัวของคุณ คุณจะบรรยายไปตามเนื้อเรื่องถึงนิสัยใจคอทุกอย่างที่คุณรู้เกี่ยวกับตัวละครแต่ละตัวด้วยตนเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการบรรยายของคุณเอง ที่จะลำดับเรื่องว่าคุณจะบรรยายเหตุการณ์ของตัวละครใดก่อนหลังหรือสลับกันอย่างไรให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างที่คุณต้องการ ซึ่งมีความแตกต่างจาก ๒.๑ ตรงที่คุณจะเป็นคนบรรยาย ไม่ใช่ตัวละคร แต่จะรู้ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครไปด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ คุณสามารถตัดฉากไปมาระหว่างตัวละครแต่ละตัวได้ตามแต่ที่คุณต้องการ ทำให้ฉากแต่ละฉากสามารถปะติดปะต่อกันได้ เป็นวิธีที่นักเขียนนิยมใช้กันมากเพราะทำให้ผู้อ่านเห็นเหตุผลว่าตัวละครอื่นหายไปไหนตอนที่ตัวละครเอกกำลังดำเนินเรื่องอยู่
วิธีการบรรยายโดยสรรพนามบุรุษที่ ๒ นั้นมักจะใช้กับนิยายแฟนตาซี เพราะสามารถบรรยายฉากและความรู้สึกของตัวละครได้อย่างละเอียด คุณสามารถใส่คำบรรยายเป็นหน้าๆ ได้โดยที่ผู้อ่านจะไม่รู้สึกว่าอ่านแล้วติดขัดเหมือนการใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ เพราะสรรพนามบุรุษที่ ๑ เป็นการที่ตัวละครพูดเอง หากไม่จำเป็นหรือถึงฉากสำคัญแล้วตัวละครจะไม่นึกถึงรายละเอียดเปลือกนอกของสิ่งที่เขาพบเจอมากมาย เช่น
++ เมื่อเอหลงจากเพื่อนไปอยู่ท่ามกลางป่า เขาได้พบกับแม่มดที่กำลังตามล่าเขาอยู่ ซึ่งเธอแต่งตัวด้วยชุดแปลกตา ++
สรรพนามบุรุษที่ ๑: ไปๆ มาๆ ผมก็หลงมาอยู่ในป่าจนได้ เจ้าพวกบ้านั่นหายไปไหนกันหมดนะ !! พอถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานล่ะก็เอาตัวรอดกันก่อนเสมอเลย... เฮ้อ... ถึงทุกอย่างดูสดชื่นสะอาดตาก็เถอะ "เฮ้ย" ผมร้องเสียงดัง เมื่อจู่ๆ ก็มีแม่มดคนหนึ่งโผล่ออกมาทำเอาผมหัวใจแทบวายตายไปเสียตรงนั้น แต่นี่มันแม่มดที่ตามล่าผมอยู่นี่นา !!!
สรรพนามบุรุษที่ ๒: เอพลัดหลงกับเพื่อนร่วมทางของเขาในที่สุด เขายืนอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี เสียงนกป่าหลากหลายพันธุ์เริ่มส่งเสียงร้อง พวกมันบินหนีอะไรบางอย่างออกมาจากพุ่มไม้ไม่ไกลนัก เอจ้องมองร่างซีดเซียวในชุดรุ่มร่ามที่เดินออกมาจากบริเวณนั้น นัยน์ตาสีฟ้าแฝงไปด้วยความกลัวก่อนที่เขาจะตกใจสุดขีดเมื่อร่างนั้นปรากฏตัวออกมาอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นร่างของแม่มดที่ตามล่าตัวเขาอยู่
๓. สรรพนามบุรุษที่ ๓ หมายถึง การบรรยายโดยพูดถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หรือคนที่คุณไม่ได้คุยด้วย (คล้ายๆ กับพูดถึงมือที่ ๓ อยู่นั่นเอง) ซึ่งคุณจะไม่สามารถบรรยายรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับตัวละครมากนัก เหมือนกับตอนที่คุณกำลังนินทาถึงใครบางคนอยู่ มีเพียงรายละเอียดและใจความสำคัญเท่านั้นที่คุณหยิบยกมา พร้อมกับเติมแต่งเรื่องราวเพิ่มลงไปอีกเล็กน้อย
ตัวอย่าง
๑. เอเป็นนักเรียนโรงเรียนซี เธอย้ายมาอยู่ที่เมืองเคเมื่อราวสองสัปดาห์ก่อน เอเป็นคนไม่มีเพื่อนและชอบเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้เหตุผลที่เธอทำแบบนั้น บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอไม่คิดจะสนใจใครเป็นพิเศษ แต่อยู่มาวันหนึ่งเอได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตของเธอ
๒. อาร์ยินอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านแห่งเดิมที่เขาจากมา ทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกินสำหรับทุกคน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สำหรับเขา ทันทีที่เขาเดินเข้าไปด้านใน คนในหมู่บ้านก็เริ่มจ้องมองเขาด้วยสายตาแบบเดียวกับที่เขาเคยได้รับเมื่อหลายปีก่อน เขารู้สึกได้ว่าชาวบ้านยังฝังใจเรื่องราวในอดีตของเขาอยู่
๓. เอสเป็นคนตรงไปตรงมา จนบางทีก็ตรงเกินไป เขาทำให้ยูต้องเสียน้ำตาเพราะคำพูดของเขาหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำ ท่าทางเขาเองก็รู้ตัว และไม่อาจทนเห็นคนที่เขารักต้องทนอยู่ในสภาพแบบนั้นต่อไปได้อีก วันนี้เอสได้ตัดสินใจที่จะบอกให้ยูไปจากชีวิตของเขา
วิธีการบรรยายโดยสรรพนามบุรุษที่ ๓ มักใช้กับการเล่านิทาน นิยายแนวชีวิต ไดอารี่หรือสืบสวน เพราะนักเขียนสามารถจูงใจให้ผู้อ่านเชื่อไปในทางที่ตนต้องการได้ง่ายๆ นักเขียนไม่จำเป็นจะต้องเขียนในสิ่งที่เป็นความจริงทั้งหมดในเรื่องลงไป อาจมีบางตอนที่เล่าในสิ่งที่เกินจริงหรือไม่ใช่ความจริง แต่ยังไงก็จะแฝงประโยคให้รู้ว่าเขาไม่ได้พูดผิดเพี้ยนจากความจริง เพียงแต่หลอกล่อให้คุณเชื่อไปอีกทางเท่านั้น เป็นวิธีเขียนที่ยากสำหรับผู้เริ่มต้นเพราะจะทำให้นักเขียนเองถูกหลอกจนสับสนในเนื้อเรื่องที่แท้จริงไปด้วย (บางคนเขียนหลอกคนอ่านจนตัวเองโดนหลอกเองก็มี)
เอาล่ะ !! ทีนี้เราก็ลองเขียนนิยายของเราสั้นๆ ขึ้นมาด้วย ๓ วิธีดังกล่าว แค่เป็นประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเพื่อทดสอบดูก็พอ แต่แนะนำให้เขียนทั้ง ๓ แบบด้วยเนื้อเรื่องที่เหมือนกันแล้วคุณจะสังเกตุความแตกต่างได้ง่ายขึ้น
เสร็จแล้วใช่ไหม ? ทีนี้ก็มาสังเกตุดูว่าเราเขียนแบบไหนเสร็จเร็วที่สุด นั่นแสดงว่าเราถนัด แบบไหนที่เราเขียนออกมาแล้วน่าอ่านที่สุด นั่นแสดงว่าคุณเหมาะสมกับแนวนั้น แต่เดี๋ยวก่อน !! ใช่ว่าผลลัพธ์ทั้ง ๒ อย่างที่ได้มาจะเป็นบทสรุปให้คุณเลือก คุณคิดผิดแล้วล่ะ !! ให้คุณลองย้อนกลับไปอ่านบทความที่คุณเขียนทั้ง ๓ แบบนั้นอีกสักรอบ แล้วคิดดีๆ ว่าแบบไหนที่คุณ ชอบ ที่สุด การที่เราเลือกเขียนแนวที่เราชอบก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้นิยายของคุณประสบความสำเร็จได้ ซึ่งนั่นไม่จำเป็นว่าแนวนี้เป็นแนวที่คนอ่านชอบ หรือคนอ่านเรียกร้อง หรือไม่ก็แนวนี้คนเขียนเยอะแล้วดังดี เพราะนั่นจะเป็นการทำร้ายคุณในภายหลัง
ทีนี้คุณก็เริ่มเติมแต่งนิยายของคุณให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว แต่อย่ารีบร้อนจนเกินไปเพราะการจะเขียนนิยายสักเรื่องนั้นต้องใช้เวลา คุณไม่ควรรีบร้อนหรือรีบเร่งเขียนให้มันจบๆ ไปก่อนที่อารมณ์อยากเขียนจะหมด หรือเขียนให้เสร็จทันกำหนดที่คนอ่านเร่งมาด้วยการพิมพ์สดแล้วไม่ตรวจทานอะไรเลย เพราะเมื่อคุณอัพนิยายของคุณให้คนอ่านดูแล้ว หากมีข้อผิดพลาดแล้วนำมาแก้ไขใหม่นั้นจะทำให้คนอ่านเสียความรู้สึก มากกว่าการรอคอยนิยายดีๆ ของคุณเสียอีก
"Slow but Sure = ช้าๆ ได้นิยายเล่มงามนะคะ อิอิอิ"
ความคิดเห็น
อิอิ ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำในการเขียนนิยาย ^O^
เราก็เป็นพวกชอบใช้สรรพนามบุรุษต่างๆสับกันอยู่เรื่อย แบบว่าตอนหนึ่งใช้บุรุษที่1 แต่พอเปลี่ยนฉาก เปลี่ยนอารมณ์ดันเปลี่ยนไปใช้บุรุษที่2 ใช้ไปใช้มาจับฉ่ายจริงด้วยอ่ะ ต้องมานั่งรีไรท์ใหม่ซะงั้น เหอเหอๆ
ปล. น่าจะเอาลงไว้เป็นบทความตอนๆนะคะ เราว่าหาอ่านง่ายดีอ่ะ อิอิ จะคอยมาติดตามเน้อ
ปล.2 ไอดีสวยมากค่ะเรียบหรู ดูไฮโซดี ^^
PS. ll หัวขโมยสุดซ่าส์ vs คุณชายสุดแสบ ll>>ฉันจะเชื่อในตัวเธอตลอดไป...
กำลังเจอทางตันในการเขียนอยู่พอดีเลยขอบคุณคร๊าบบบบบบบบ
ใคSจ้ๅงโทร.087290681* ให้เดา