CluBWriter
ดู Blog ทั้งหมด

หลักในการเขียนนิยายแต่ละประเภท ๒

เขียนโดย CluBWriter

หลักในการเลือกเขียนนิยายแต่ละประเภท ภาค ๒

 

                กลับมาในช่วงที่สองของ "หลักในการเลือกเขียนนิยายแต่ละประเภท" กันแล้ว!! ประเภทที่เหลือไม่ว่าจะเป็นแนวเรียบๆ อย่างตลก-ขบขัน หรือแนวที่สร้างชื่อเสียงได้มากที่สุดอย่างแฟนตาซี ต่างก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว เอาล่ะ!! เข้าสู่รายละเอียดของแต่ละประเภทกันเลยดีกว่านะคะ

 

๑๐. ตลก-ขบขัน แค่ชื่อก็นึกอยากจะหัวเราะให้ไส้แตกแล้ว นิยายแนวตลก-ขบขันพูดง่ายๆ ก็คล้ายกับละครตลกบ้านเรานั่นแหละ เน้นไปทางสนุกสนานหรือมุกตลกโปกฮาที่เปลี่ยนมุกมาเรื่อยๆ ในและตอน เป็นการคลายเครียดและเรียกเสียงฮาให้กับผู้อ่านเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งถ้าแทรกสาระและข้อคิดเข้าไปในความสนุกสนานนั้นได้ด้วยก็จะดีมาก เพราะจะทำให้ความตลกนั้นสอนอะไรกับคนอ่านได้หลายอย่างไปพร้อมๆ กัน แต่สำหรับนักเขียนมือใหม่แค่เขียนให้ขำกลิ้งตกเก้าอี้เป็นใช้ได้!!

 

ข้อแนะนำ: การใช้มุกที่แปลกใหม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเป็นมุกที่ซ้ำซากจำเจคนอ่านก็จะหมดอารมณ์ขำ หรือเสียอารมณ์ไปแล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอึ้งขึ้นมาอย่างที่เรียกกันว่า "มุกแป้ก" นั่นเอง ในแต่ละตอนควรใช้มุกที่หลากหลาย และไม่ซ้ำติดกันเป็นแพ อาจใช้ซ้ำได้ในกรณีที่ไม่ได้ใช้มานานหรือเป็นมุกที่ขำได้ตลอดเวลาเท่านั้น

 

แนวการเขียน: จะเขียนแนวไหนก็หยิบมาเถอะค่ะ จะสรรพนามบุรุษไหนความตลกก็คุณก็คงไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก ขอเพียงแต่มุกของคุณอ่านแล้วขำได้ที่ ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคขวางคุณได้ แรกๆ อาจจะเขียนไว้อ่านเองขำเองก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าเก็บไว้หัวเราะคนเดียวจนเพลินนะคะ มาแบ่งปันร้อยยิ้มกันดีกว่า

 

๑๑. กลอน ไม่ว่าจะเป็นกลอนแอบรัก กลอนสารภาพรัก กลอนล้อเลียน กลอนสั่งสอน กลอนประตู (?) ก็ควรจะอยู่ในหมวดนี้ทั้งหมด บทกลอนมีหลายแบบในการเขียนให้เลือก ซึ่งนักเขียนสามารถเลือกได้ตามถนัด หรือจะแสดงความหลากหลาย เพราะเขียนได้ทุกแบบ เลยเขียนหลายๆ แบบไปเลยก็ไม่ว่ากัน แต่อย่านำมาปนกันมั่ว จะเสียภาษาไทยและดูไม่งาม (ที่จริงต้องบอกว่าผิดเลยล่ะ) ผู้ที่ไม่ชำนาญแต่ใจรักอาจเริ่มด้วยกลอนง่ายๆ เช่น กลอนแปด โคลงสี่สุภาพ กาพย์ยานี ๑๑ เป็นต้น เพราะเป็นรูปแบบที่เคยร่ำเรียนมาสมัยประถม พอจดจำกันได้ไม่มากก็น้อย

 

ข้อแนะนำ: หากเป็นกลอนล้อเลียน หรือกลอนจีบกันเล่นๆ แนะนำให้ใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย หรือภาษาพื้นๆ ธรรมดานี่แหละ เพราะขืนใช้ศัพท์เลิศหรู คนอ่านก็มัวแต่เปิดพจนานุกรมไม่ต้องจีบกันพอดี ถ้าจะใช้แบบอลังการงานสร้าง ควรเป็นกลอนแนววิชาการ หรือเทิดพระเกียรติ แต่แนะนำให้เชี่ยวชาญก่อนค่อยเขียนกลอนประเภทนั้น เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมาจะดูไม่ดีนะคะ

 

แนวการเขียน: อันนี้เขียนเป็นแบบบทกลอน ไม่ต้องวุ่นวายกับแนวการเขียนให้ยุ่งยาก เพียงแต่ใส่สัมผัสและความหมายให้ถูกต้องก็เป็นพอ แล้วอย่าลืมเลือกประเภทของกลอนให้เหมาะกับที่ตัวเองถนัดด้วยนะคะ

 

๑๑. อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นประเภทที่เน้นย้ำไปในเรื่องของเวลาในเนื้อเรื่อง เช่น เนื้อเรื่องในนิยายของคุณมีการย้อนรำลึกไปถึงบุคคลในอดีต โดยคนในยุคอนาคตได้ปรากฏตัวมาหาคุณในโลกปัจจุบันเพื่อให้คุณย้อนอดีตไปหาผู้กล้า เป็นต้น อาจจะเป็นเรื่องที่อ้างอิงถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ในสมัยก่อนอย่างยุคบางระจัน โกโบริกับอังศุมาริน หรืออ้ายขวัญกับอ้ายเรียม โดยมีตัวละครอื่นอยู่ในยุคต่างๆ กันไปกำลังศึกษาประวัติของคนผู้นี้อยู่ หรือเป็นเนื้อเรื่องที่เล่ากลับไปกลับมาระหว่างอดีต ปัจจุบันและอนาคตของคนที่สูญเสียความทรงจำก็ได้

 

ข้อแนะนำ: เวลาลำดับเนื้อเรื่องที่สลับไปมาตลอดเวลา ควรลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ตัวละครอีกฝ่ายหายไปให้ดี เช่น เมื่อหนึ่งย้อนเวลาไปหาสองในอดีต แล้วสามที่อนาคตทำอะไรอยู่ แล้วพอหนึ่งย้อนไปอนาคต สองทำอะไรอยู่ เป็นต้น ไม่เช่นนั้นบางครั้งนักอ่านอาจตั้งข้อสงสัยได้ว่าทำไมตอนนี้สองไปไหนทำไมไม่มาช่วยหนึ่ง ยิ่งถ้าเนื้อเรื่องระบุว่าไปมาหาสู่กันได้ง่ายๆ จะยิ่งน่าสงสัยเข้าไปอีก และจะทำให้เนื้อเรื่องตันได้ ต้องระวังเป็นพิเศษ!! และที่สำคัญต้องทำให้นักอ่านเข้าใจว่าช่วงเวลาไหนคือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ควรแยกให้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยรูปแบบของสถานที่ หรือคนรอบข้างที่ตัวเอกรู้จัก ต้องไม่ใช่คนเดียวกัน หรือมีอะไรที่ไม่เหมือนกันเช่น การแต่งกาย อาคารบ้านเรือนหรือสภาพอากาศ

 

แนวการเขียน: สรรพนามบุรุษที่ ๓ ก็ดูเหมาะสมดีสำหรับผู้ที่ใช้แนวเรื่องย้อนไปมาเพื่อค้นหาความทรงจำ เพราะเป็นการหลอกล่อให้คนอ่านงงว่าตกลงตัวเอกเป็นใครกันแน่ (ตกลงเป็นมนุษย์หมาป่าหรือมนุษย์ค้างคาว) แต่ต้องมีเทคนิคในการเขียน ไม่ใช่หลอกคนอ่านจนตัวเองสับสนเองว่าตกลงตัวเอกเป็นใครกันแน่หว่า ฉะนั้นการวางโครงเรื่องในประเภทอดีต ปัจจุบัน อนาคตจึงสำคัญเหมือนกัน ที่สำคัญควรระบุให้ตัวเองรู้ไว้เลยว่าพระเอกคือใคร และจะหลอกให้คนอ่านเชื่อไปทางไหนบ้าง จะได้ไม่เกิดอาการช็อคตาตั้งว่า เอ๊ะ !! พระเอกของฉันเป็นใคร... อาจใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ เพื่อแสดงให้รู้ว่าพระเอกสับสนในตัวเองมากขนาดไหนก็ได้

 

๑๒. จิตวิทยา แค่ชื่อหัวข้อก็ฟังดูเป็นวิชาการกว่าหมวดอื่นๆ ขึ้นมามากแล้ว แนวจิตวิทยานั้นซับซ้อนเกินกว่าที่มือใหม่หัดเขียนจะเขียนได้ เนื้อหาจะเจาะลึกกว่าแนวสืบสวนมาก เพราะเนื้อหาต้องเล่นกับจิตของคนอ่าน ต้องเดาใจคนอ่านออกตลอดเวลาว่ากำลังคิดยังไง และสามารถคิดยังไงได้บ้าง ทำยังไงถึงให้คนอ่านคิดอย่างนั้นอย่างนี้ ทำอย่างไรคนอ่านถึงจะเชื่อในตัวอักษรของเขาได้ เป็นบทความในการเรียนรู้และวิเคราะห์ มากกว่าสนุกสนาน อาจเป็นบทความวิเคราะห์การเมือง วิเคราะห์ข่าวหรือวิเคราะห์บุคคล

 

ข้อแนะนำ: การเขียนนิยายแนวจิตวิทยาจะต้องมีเหตุผล และไม่มองอะไรด้านเดียว เทคนิคดูก็คือ ให้คิดเสียว่าเรากำลังเป็นคนอ่านกำลังอ่านอยู่ เราจะคิดยังไงกับข้อโต้เถียงนี้  เราจะเถียงอะไรกับนายคนนี้ เราจะทำยังไงในสถาการณ์แบบนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมว่าตัวละครแต่ละตัวมีนิสัยและความคิดที่ไม่เหมือนกัน (ไม่เหมือนตัวเราด้วย!!) อีกวิธีดีๆ ก็คือ ให้คิดว่าถ้าเป็นเราเองเราจะคิดแบบไหน แล้วถ้าเป็นคนอื่นจะคิดยังไง พยายามตีบทกลับไปกลับมาหลายๆ รอบแล้วจะค้นพบอะไรดีๆ ที่ซ่อนอยู่


แนวการเขียน
: สรรพนามบุรุษที่ ๑ และ ๒ น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับนิยายแนวจิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นการโต้เถียงของคนสองคนที่มีความเห็นไม่ลงรอยกัน หรือเรื่องราวยาวๆ หลอกล่อความคิดของคนอ่าน เช่น ฆาตกรต่อเนื่อง โดยตัวละครต้องหนีตาย หรือสืบเรื่องของฆาตกรคนนี้ว่าจะทำอะไรต่อไป

 

๑๓. สังคม อาจแสดงให้ผู้อ่านเล็งเห็นถึงสภาพสังคมในอดีตว่าเป็นอย่างไร เมื่อผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้วได้อ่านเนื้อเรื่องที่คล้ายคลึงกับตนเองอีกครั้ง จะทำให้ได้ความรู้สึกของอารมณ์นั้นเป็นอย่างดี เช่น ชีวิตของเด็กหญิงที่ต้องพบกับความยากจกแสนสาหัส อดสองมื้อกินมื้อ พ่อแม่ล้มป่วยต้องรับจ้างทำงานแบกหามทุกอย่างที่เกินกว่าเด็กอายุเพียงเธอจะทำได้ หรือยุคของสงครามโลก ต้องอยู่กันอย่างหวาดกลัว เสียงระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาเป็นระยะๆ... การยกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงมาจะช่วยเรียกความกลัวของผู้ที่เคนเผชิญเหตุการณ์นั้นมาแล้วได้เป็นอย่างดี นักเขียนอาจจะนำเรื่องราวมาจากชีวิตของตัวเองหรือคนรอบข้างก็ได้

 

ข้อแนะนำ: หากเป็นเรื่องที่เติมแต่งขึ้นเอง ต้องระมัดระวังอย่าให้เว่อร์จนเกินไป เช่น พระเอกเป็นทหารบุกฝ่าดงกระสุนไปช่วยนางเอกที่หกล้มขาแพลงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ แต่ทั้งพระเอกและนางเอกกลับไม่เป็นอะไรเลย หรือพระเอกถูกกระสุนถากหน้าเป็นรอยนิดๆ... มันจะดูตลกเหมือนหนังการ์ตูนมากกว่าเรื่องชีวิตจริง ส่วนมากนิยายแนวสังคมจะสะท้อนถึงความรู้สึกและเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตหรือปัจจุบันที่ไม่มีทางแก้ไขได้ เพราะจะสะกิดต่อมน้ำตาของคนอ่านได้ในทันที


แนวการเขียน
: แนวสังคมอาจใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ เพื่อจะได้บรรยายถึงฉากสถานที่ได้ละเอียด หรืออาจจะใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นโดยพูดถึงตัวเอกที่ตายไปแล้วอย่างผู้กล้า หรือใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ เพื่อเน้นย้ำไปทางความรู้สึกในเหตุการณ์นั้นของตัวละครเพื่อชักจูงให้คนอ่านระลึกถึงความรู้สึกในเหตุการณ์นั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของนักเขียนที่อยากจะเน้นย้ำไปตรงความรู้สึกไหน หรือมีเทคนิคอย่างไรในการสื่ออารมณ์นั้น

๑๔. หักมุม เป็นนิยายที่ควรมีเนื้อหายาวพอสมควร โดยบรรยายสื่อไปในเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตลอดทั้งเรื่องแล้วพลิกล๊อคให้เหตุการณ์ที่แท้จริงกลับกันจากที่นักอ่านคิดในทีแรกคนละขั้ว เช่น ให้พระเอกกับนางเอกรักกันมาตลอด แต่ที่จริงแล้วต่างคนต่างไม่ได้รักกันเลยสักนิดเดียว และทั้งหมดคือการแสดงที่ทั้งสองคนตกลงกันแต่แรก (ซึ่งไม่เคยบรรยายให้คนอ่านรู้ แต่บทบรรยายนั้นมีข้อความแอบแฝงเอาไว้จริงๆ ว่าทั้งคู่ไม่ได้รักกัน) แต่ประเด็นสำคัญคือ เหตุผล ว่าทำไมผลสุดท้ายถึงไม่ได้เป็นอย่างนั้น นักเขียนต้องนำเหตุการณ์ในช่วงแรกมาตีแผ่ให้คนอ่านถึงบางอ้อด้วยว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

ข้อแนะนำ: เพียงแค่วางตอนต้นกับตอนจบของเรื่องขึ้นมา และแต่งเนื้อเรื่องให้ไปคนละทางกับตอนจบ ที่ต้องระวังก็คือเนื้อเรื่องต้องสามารถกลับมาถึงตอนจบได้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น ตัวอย่างนิยายหักมุมก็เช่น เรื่องแฝด ที่สุดท้ายนางเอกกลับเป็นตัวร้ายแทน

แนวการเขียน: สรรพนามบุรุษที่ ๒ น่าจะเหมาะสมที่สุดเพราะสามารถใช้การบรรยายหลอกล่อคนอ่านได้ดี แต่ถ้าจะใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ ก็ได้ เพียงแต่ไม่ควรจะใช้ตัวละครที่จะพลิกล๊อคมาเป็นตัวบรรยาย เพื่อกันคนอ่านเดาทางออกแต่แรก

๑๕. แฟนตาซี เป็นนิยายที่นักอ่านจะตราตรึงเรื่องราวที่พวกเขาเคยอ่านเอาไว้ในจิตใจ และนักอ่านจะรักคนเขียนกับนิยายของเขามากที่สุด นิยายแนวแฟนตาซีเปรียบเสมือนเพลงคลาสสิคที่จะคงความเป็นอมตะอยู่ในใจของผู้อ่านเสมอ แม้ว่าเขาจะอ่านเรื่องนั้นจบไปแล้วตัวละครก็จะยังมีชีวิตอยู่ในใจของพวกเขา นิยายแนวแฟนตาซีเป็นเรื่องราวของการผจญภัยที่มักจะมีเวทมนตร์คาถาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย บางเรื่องจะเน้นไปในทางสัตว์ประหลาดในตำนานอย่างมังกร นิยายแฟนตาซีเป็นนิยายที่ลึกซึ้งและลเอียดอ่อน นักเขียนต้องเจาะลึกสถานที่ที่พวกเขาจินตนาการขึ้นตั้งแต่ชีวิตของตัวละครไปจนถึงสภาพภูมิอากาศของเมือง การแต่งกาย การพูดจาและวัฒนธรรมภายในเรื่อง

ข้อแนะนำ: นิยายแฟนตาซีเป็นนิยายที่ต้องการความรอบคอบ ควรมีการวางโครงเรื่องและพล๊อตเรื่องให้ดี ซึ่งเวลาวางโครงเรื่องนักเขียนบางคนอาจไม่ใส่ใจในรายละเอียดของตัวเนื้อเรื่องมากนัก เพราะถึงเวลาพิมพ์จริงๆ เนื้อเรื่องก็มักจะเปลี่ยนไปตามจินตนาการ แต่เราควรวางพล๊อตเรื่องและโครงเรื่องคร่าวๆ เอาไว้ ป้องกันไม่ให้เราจินตนาการจนหลุดโลกของนิยายที่เราจะพิมพ์จริงๆ ไม่เช่นนั้นเนื้อเรื่องจะกลายเป็นจับฉ่ายผสมสปาเก๊ตตี้เละตุ้มเป๊ะไปหมดได้

แนวการเขียน: นักเขียนแต่ละท่านที่เลือกเขียนนิยายแนวแฟนตาซีและประสบความสำเร็จ ส่วนมากจะใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ รองลงมาคือสรรพนามบุรุษที่ ๓ และสรรพนามบุรุษที่ ๑ ที่ไม่ค่อยนิยม อาจเป็นเพราะนิยายแฟนตาซีนั้นเกิดมาเพื่อบรรยายสถานที่และสภาพแวดล้อมอันอลังการ หากเน้นย้ำไปที่ตัวละครเพียงอย่างเดียวทุกสิ่งที่นักเขียนอุตส่าห์วาดภาพขึ้นมาก็จะหายไปด้วย นักเขียนจึงนิยมสรรพนามบุรุษที่ ๒ เพื่อที่จะได้บรรยายเหตุการณ์ได้อย่างสะใจ

๑๖. กำลังภายใน พูดถึงกำลังภายในก็ต้องนึกถึงหนังจีนบู๊ดุเดือด ข้าจะต้องล้างแค้นให้ท่านพ่อ!!...เป็นต้น นักเขียนเริ่มต้นบางคนอาจสับสนแนวการบรรยายแบบแฟนตาซีกับกำลังภายใน ซึ่งที่จริงแล้วทั้งสองประเภทนั้นมีแนวการบรรยายที่ไม่เหมือนกันเลย การบรรยายแนวกำลังภายในจะใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกับแฟนตาซีอย่างสิ้นเชิง (หากนำมาอ่านเปรียบเทียบกันจะสังเกตได้ทันทีเลยว่านิยายเล่มไหนคือกำลังภายใน เล่มไหนคือแฟนตาซี) นับว่าเป็นข้อควรระวังอีกเช่นกันเพราะหากนำมาปนกันจะทำให้นิยายแฟนตาซีดูตลก แถมยังทำให้นิยายกำลังภายในกลายเป็นนิยายแฟนตาซีไปแทนอีกด้วย

ข้อแนะนำ: นิยายกำลังภายในเป็นนิยายที่แทบจะอ้างอิงมาจากศิลปะการต่อสู้ของจีนแทบทั้งสิ้น ฉะนั้นก่อนจะเขียนนิยายกำลังภายในควรศึกษาท่าทางการพูดจา การแต่งกาย วัฒนธรรมประเพณี การรักษา และการต่อสู้ของจีนมาให้เรียบ พูดง่ายๆ ก็คือ หนังจีนทุกเรื่องจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การบาดเจ็บ...ในหนังจีนพระเอกและตัวร้ายมักสู้กันด้วยวิชาเหาะเหินเดินอากาศ เมื่อตัวร้ายใช้ฝ่ามือเพชฌฆาตใส่ที่แขนขวาพระเอก แต่พอพระเอกตกลงมาจากอากาศกลับกระอักเลือดออกทางปาก เป็นต้น นิยายกำลังภายในมักแฝงข้อคิดเรื่องการล้างแค้นที่ไม่มีวันจบสิ้นหากไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลิกรากันไปเอาไว้ด้วยเสมอ

แนวการเขียน: สรรพนามบุรุษทั้งสามบุรุษนั้นเคยเห็นในนิยายกำลังภายในแทบจะเกลื่อนกลาด หากเป็นนิยายอ้างอิงถึงนักพรตผู้เก่งกล้าในอดีตในสำนักบู๊ตึ้งมักใช้การบรรยายโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓ แต่หากเป็นนิยายที่แต่งขึ้นเองมักใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ และ ๒ ตามแต่นักเขียนจะต้องการ

๑๗. วิทยาศาสตร์ เนื้อเรื่องแนววิทยาศาสตร์มักเน้นไปในการทดลอง หรือจินตนาการถึงวิทยาศาสตร์ที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต อาจเป็นสงครามทางวิทยาศาสตร์ระหว่างดวงดาว หรือมนุษย์ทดลองที่เกิดขึ้นจากผลการทดลองผิดพลาด หรือเกิดจากความตั้งใจของนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิบางคนที่ต้องการใช้วิทยาศาสตร์อย่างผิดๆ

ข้อแนะนำ: นักเขียนมือใหม่หากต้องการเขียนแนวนี้ควรศึกษาเคมีให้เข้าใจและนำข้อมูลที่ได้มาประยุกต์ใช้กับนิยายของตน หากจะคิดค้นเซลล์หรือเชื้อไวรัสขึ้นเองก็ควรจะอ้างอิงจากสภาพความเป็นจริงของร่างกายมนุษย์ว่ามีเซลล์นั้นอยู่จริงหรือเปล่า หรือถ้าไม่มีแล้วมีโอกาสที่จะมีได้ไหม ไม่ควรคิดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะเนื้อเรื่องจะดูไม่มีเหตุมีผล หากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็ควรที่จะศึกษาและรู้ถึงแก่นแท้ของมันแล้วจะดึงดูดนักอ่านได้มาก เพราะไม่ว่ายังไงนิยายวิทยาศาตร์ที่มีเหตุผลย่อมดีกว่านิยายที่เขียนขึ้นจากความคิดแบบมั่วซั่ว นิยายวิทยาศาสตร์ไม่เหมือนกับนิยายแฟนตาซีตรงที่จะอ้างอิงถึงหลักความเป็นจริงมากกว่า

แนวการเขียน: มักพบเห็นแนวการบรรยายโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ มากที่สุด เพราะต้องบรรยายถึงรายละเอียดและแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่านักเขียนนั้นรู้อะไรบ้างและมีข้อมูลมากแค่ไหน ยิ่งบรรยายมากนักเขียนก็ยิ่งเชื่อเรามากว่าสิ่งที่เราคิดขึ้นมานั้นอาจจะเป็นจริงหรือมีอยู่จริง หรือสิ่งที่เราทำนั้นสามารถทำได้จริง

๑๘. อื่น ๆ หากแนวนิยายของคุณไม่เข้ากับประเภทที่กล่าวมาเลยสักอันเดียว หมวดอื่นๆ ก็คงจะเหมาะสมกับคุณที่สุดแล้วล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบทความของอะไรก็สามารถอยู่ในหมวดนี้ได้ โดยไม่มีข้อบังคับใดใด (แต่ถ้าเป็นหมวดมีสาระต้องไปอยู่อีกที่นึงนะ!!)

                ฮูเล่!! ในที่สุดก็หมดเสียที หากมีใครพบข้อข้องใจ สงสัยอะไรหรืออยากแนะนำอะไรเพิ่มเติมให้กับเพื่อนๆ ที่เข้ามาศึกษาก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลยจ๊ะ มีข้อแม้อย่างเดียวคือ อย่าใช้ภาษาวิบัตินะคะ

"Slow but Sure = ช้าๆ ได้นิยายเล่มงามเจ้าค่ะ อิอิอิ"

o(.>...<.)o



ความคิดเห็น

Mr-musashi
Mr-musashi 26 พ.ค. 50 / 04:29

ดีเลยคับขอบคุงคับผม