ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์
ผลต่อมารดา
1.การติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อที่ถุงน้ำคร่ำ (chorioamnioitis)
2.การคลอดก่อนครบกำหนด
3.ระยะที่ 2 ของการคลอดยาวนาน ทำให้เกิดการคลอดแห้ง (Dry labour)
ผลต่อทารก
1.การติดเชื้อ จากถุงน้ำคร่ำแตกเป็นระยะเวลานาน
2.ภาวะการหายใจล้มเหลว (Respiratory Distress Syndrome : RDS) ถ้าทารกคลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์
3.ภาวะขาดออกซิเจน (Fetal distress) จากภาวะสายสะดือถูกกดทับจากการที่น้ำคร่ำรั่วออกมา
4.ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ได้ (IUGR)
การรักษา
1.ประเมินตรวจหาอายุครรภ์ที่แน่นอน โดยการซักประวัติ การตรวจครรภ์ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อดูขนาดของ biparietal diameter ตลอดจนการทำ amniocentesis เพื่อทดสอบความสมบูรณ์ของปอด โดยถ้าพบว่า Lecithin Sphingomyelin (L:S ratio) ได้มากกว่า 2:1 แสดงว่าปอดของทารกน่าจะสมบูรณ์ดี หรือการทำ Shake test ให้ผลบวกตั้งแต่หลอดที่ 3 เป็นต้นไป ก็แสดงว่าปอดของทารกน่าจะสมบูรณ์ดีเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อพิจารณาในการตัดสินใจให้คลอด
2.การประคับประคองการตั้งครรภ์ให้ดำเนินต่อไปจนถึงครบกำหนดคลอด โดยงดการตรวจภายใน ใส่ผ้าอนามัยไว้และเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรืออาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และให้หญิงตั้งครรภ์นอนพักให้มากที่สุด
3.กรณีอายุครรภ์ระหว่าง 34-36 สัปดาห์ ควรทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง โดยอาจจะรอไว้ 16-24 ชั่วโมง เพื่อเร่งการเจริญของปอดทารก (Lung maturity) และลดอุบัติการณ์ของ RDS โดยการให้ glucocorticoid ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อคลอดภายหลังเริ่มให้ยาไปแล้ว 24 ชั่วโมง
4.กรณีมีการติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำ (chorioamnionitis) จะพิจารณาให้คลอดทันที โดยไม่คำนึงถึงอายุครรภ์ ทั้งนี้จะให้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด พิสูจน์ได้ว่ามีการติดเชื้อของถุงน้ำคร่ำ และจะต้องรีบให้ทารกคลอดเร็วที่สุด
ภาวะเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดคลอด
(Premature labour)
การเจ็บครรภ์ก่อนครบกำหนดคลอด คือ การเจ็บครรภ์คลอดที่เกิดขึ้นเมื่อายุครรภ์อยู่ระหว่าง 28-37 สัปดาห์ หรือก่อนอายุครรภ์ครบ 259 วัน
สาเหตุ
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด แต่มีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันดังนี้
1.อายุน้อยกว่า 19 ปี อายุมากกว่า 40 ปี การได้รับการดูแลไม่ดีพอในระยะตั้งครรภ์ ฐานะทางเศรษฐกิจและภาวะทางสังคมต่ำ การสูบบุหรี่ การได้รับยา diethylstilbestrol (DES) และการดื่มเหล้า
2.ปัจจัยที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกลดลง เช่น รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด เคยคลอดก่อนกำหนดมาก่อน ปากมดลูกปิดไม่สนิท เคยผ่าตัดมดลูกมาก่อน เคยแท้งในไตรมาสที่สองมาก่อน ภาวะความดันโลหิตสูงในระยะตั้งครรภ์ เป็นเบาหวานในระยะตั้งครรภ์ ปัจจัยดังกล่าว มีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อยลง กระตุ้นให้ prostaglandin หลั่งออกมากระตุ้นให้เกิดการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดคลอดได้
3.ปัจจัยด้านการติดเชื้อ ได้แก่ การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
4.ปัจจัยที่ทำให้มดลูกขยายมากเกินไป ได้แก่ ครรภ์แฝด และครรภ์แฝดน้ำ กระตุ้นให้เกิดการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดคลอดได้
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติและอาการแสดง
2.การตรวจการหดรัดตัวของมดลูกอย่างน้อย 30 นาที พบมดลูกหดรัดตัวอย่างน้อย 1 ครั้ง ใน 10 นาที โดยหดรัดตัวนานอย่างน้อย 30 วินาที ตรวจภายในพบปากมดลูกเปลี่ยนแปลงชัดเจน หรือปากมดลูกเปิดมากกว่า 2 ซม. หรือปากมดลูกบางมากกว่า 80%
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจสอบอายุครรภ์ น้ำหนักทารก และหาสาเหตุของการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดคลอด
ผลต่อมารดา
1.เกิดการคลอดก่อนกำหนด โดยไม่สามารถยับยั้งได้ (Spontaneous pretermlabour)
2.ได้รับความไม่สุขสบายจากการได้รับยาระงับการหดรัดตัวของมดลูก (tocolytic drugs) หัวใจเต้นเร็วมากขึ้น ใจสั่น และกลัว
3.ถ้าทารกขาดออกซิเจน (fetal distress) จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด การผ่าตัดจะทำให้มารดาได้รับผลข้างเคียงจากการที่ได้รับยาสลบ และภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
ผลต่อทารก
1.อัตราตาย พบได้มากที่สุดในช่วงอายุครรภ์ 23-28 สัปดาห์ มีโอกาสเกิดภาวการณ์หายใจล้มเหลว (respiratory distress syndrome : RDS) ซึ่งเป็นผลจากปอดยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
2.ผลข้างเคียงของยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก ทำให้หัวใจและหลอดเลือดของทารกได้รับภยันตราย กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นต้น
การรักษา
1.การประคับประคองให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไป
1.1 การนอนพักอย่างเต็มที่ เพื่อลดการกดทับของทารกที่มีต่อปากมดลูก โดยเฉพาะการนอนตะแคงซ้าย จะช่วยให้เลือดเลี้ยงมดลูกได้มากขึ้น
1.2 การให้ยาระงับการเจ็บครรภ์คลอด (tocolytic agent)
ความคิดเห็น