ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ThE KiNgDoM! มหาอาณาจักรเกมออนไลน์ทะลุโลก

    ลำดับตอนที่ #7 : ถ้ำอาถรรพ์ วันเริ่มต้นแห่งความซวยที่ไร้จุดจบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.52K
      2
      17 ก.ค. 52

    ตำนานหน้าที่ 6 ถ้ำอาถรรพ์
     
     
                “เฮ้~ ทางนี้ๆ”เสียงนั่นทำให้รัตติรีบเดินเข้าไปหา อันที่จริงต่อให้ไม่เรียกรัตติก็สามารถหาทั้งคู่ได้อย่างไม่ยากเย็น...ก็ในเมื่อบริเวณรอบๆถ้ำมันไม่มีคนจนไม่ต่างกับป่าช้าสักเท่าไหร่
     
                “เมื่อวานไฟดับล่ะสิ พี่พวกเราก็ไม่ได้เล่นเหมือนกัน โทรมาบ่นใหญ่เลย”คิมหันต์พูดเจื้อยแจ้วไม่ถือสา
     
                “อ้าว...พวกนายไม่ได้กรุงเทพเหรอ?”เด็กหนุ่มผมดำถามอย่างงงๆ
     
                “อืม...ก็นะ ตอนนี้ไม่ได้อยู่”บอกครึ่งนึงที่เหลือไม่บอก ปล่อยให้งง คิมหันต์ยิ้มน้อยๆ รัตติถึงกับส่ายหัวอย่างเซ็งจิต แต่แล้วดวงตาคู่สวยก็บังเอิญไปสะดุดเข้ากันอะไรบางอย่างที่มันดูขัดๆผิดธรรมชาติอย่างแรง...
     
                ...ทำไม...ทำไม...และทำไม..มัน...?? มันถึงได้มีมือคนโผล่ออกมาจากพื้นได้เนี่ย!? แถมยังกวักเรียกตูอยู่ยิกๆอีกต่างหาก!!
     
                “อะ...คิมหันต์ นายเคยเห็นต้นไม้ที่มีรูปร่างเหมือนมือคนรึเปล่า...?”รัตติถามเสียงแปร่งพลางยิ้มแห้งๆ
     
                ...ใช่แล้วต้นไม้ๆ มันต้องเป็นหญ้าอะไรสักอย่างแน่ๆ
     
                “ไม่เคยนี่ มีอะไรรึเปล่า...เย้ย!! นั่นมันอะรั๊ย~!!”คนถูกถามถามกลับแต่ก็ตรัสรู้ได้ทันที...เมื่อรัตติชี้ให้ดูต้นไม้ที่ว่า...
     
                “เอ่อ...แล้วเหมันต์ล่ะ...”รัตติหันไปถามคนใจเย็นที่สุด แต่คำตอบก็คือการส่ายหน้าช้าๆ ตาสีฟ้าจ้องมือที่เริ่มจะผุดขึ้นมาอีกตาไม่กระพริบ
     
                “...”และความเงียบ...ทั้งสามคนสบตากันไปมาเหมือนจะขอความเห็น และยิ่งลนลานหนักขึ้นเมื่อมือนั้นผุดขึ้นมาสูงขึ้นเหมือนจะออกมาหาพวกเขา
     
                ...น่าขยะแขยงพิกล...
     
                “...สัตว์อสูร[1]เพอร์เซโฟนี’ ระดับ 40 ปรากฏกาย...ผู้เล่นที่ถูกสัตว์อสูรระดับมินิบอสสังหาร เพิ่มระยะเวลาในการเกิดใหม่เป็น 8 ชั่วโมง...แต่เนื่องจากในขณะนี้ระบบยังรวนเล็กน้อยเนื่องจากมีผู้เล่น ‘หน้าโง่’ ไปฆ่าล้างบางพยัคฆ์สายวสันต์ และสัตว์อสูรจำนวนมากบริเวณเส้นทางธวลาวายุ เวลาเกิดใหม่อาจจะนานกว่านั้น และทางระบบไม่ขอรับผิดชอบกรณีใดๆหาก ระดับ และไอเทมสูญเสียมากกว่าปกติ เนื่องจากความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเหล่าผู้เล่นเอง ขอบคุณค่ะ...” ระดับมินิบอส รานีแห่งปรโลก
     
    กึก...ทั้งสองคนที่ถูกคำว่าหน้าโง่ดังปักฉึกเข้ากลางหน้าผากนิ่งค้างไปหลายวินาทีก่อนที่จะสบสายตากันอย่างอาฆาตมาดร้าย...
     
    ...เสียงจากระบบของเกมนี้มันช่างน่า...(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)...
     
    ...ถึงจะคิดแบบนั้น...คำตอบที่ได้จากการประชุมทางสายตาก็เป็นเหมือนตอนเฮียพยัคฆ์ไม่มีผิด...นั่นก็คือ...
     
                เผ่น!!! ทั้งสามสวมวิญญาณหลวงพ่อโกย วิ่งไปทางปากถ้ำอย่างไม่คิดจะรอให้เจ้าของมือนั้นโผล่พ้นออกมาจากพื้น!!!
     
                แว้ก~!! อย่าตามมานะเฟ้ย!!
     
                เห็นแก่จรรยาบรรณสิ่งลี้ลับ(ถ้ามันมีอ่ะนะ) อย่ามายุ่งกับผม~!!
     
                ...แฮ่กๆ เฮือก!!! ระหว่างที่ไอ้บ้าสองตัวกำลังกรีดร้องโหยหวนค่อนไปทางปัญญาอ่อนเหมันต์ที่กำลังวิ่งไปหอบไปก็สะดุ้งเฮือก...เมื่อสิ่งลี้ลับที่รัตติพูดถึงมันดันไม่เห็นแก่จรรยาบรรณ(ซึ่งมันก็คงไม่มีอยู่แล้ว)โผล่พรวดมาอยู่ข้างหน้าตัวเอง
     
                ...หญิงสาวเจ้าของใบหน้างดงามจับใจ เส้นผมสีทองล้อมกรอบใบหน้าหวานละมุนชวนหลงใหลยาวเคลียไหล่แบบบาง ร่างอ้อนแอ้นอรชรภายใต้ชุดสีขาวพิสุทธิ์ตรึงตรา หากรอยยิ้มบางปนอำมหิตที่ปรากฏบนใบหน้ากลับทำให้เหมันต์ขนลุกซู่ ไม่หลงใหลไปกับความงามปานเทพธิดาของเธอ
     
    ใบหน้าใต้เงาผ้าคลุมยังคงเรียบเฉยแม้เหงื่อเม็ดเป้งจะจะหยดแหมะๆ และโดยที่ไม่มีใครคาดคิด(แม้แต่ตัววิญญาณสยองที่เลือกหลอกหลอนผิดคน…อาแมน) ดาบเล่มยักษ์ที่เคยสำแดงเดชฆ่าหั่นศพสัตว์อสูรมานับร้อย(หรืออาจจะมากว่านั้น)ก็ฟาดใส่มันเข้าเต็มเหนี่ยว!!!
     
                กรี๊ดดด! ผี(?)สาวลอยละลิ่วไปกระทบผนังแล้วหล่อนตุบลงบนพื้น สร้างความพอใจแก่เจ้าของดาบพิฆาตได้เป็นอย่างดี ดวงตาสีครามคู่สวยระริกอย่างพอใจ ก่อนที่ร่างสูงในชุดคลุมสีเข้มจะเลิกหนีแล้วหันมาประจันหน้ากับเจ้าหล่อนแทน!!!
     
                “...มายาอัคคีน้ำแข็ง”เหมันต์ขยับปากขมุบขมิบเหมือนพูดอะไรบางอย่างที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินออกมาแล้วเพลิงสีฟ้าครามก็ลุกท่วมบริเวณโดยรอบให้ตกอยู่ในห้วงแห่งเพลิงสีน้ำทะเล
     
                หากแต่ไฟนั้นมันหาได้ร้อนไม่...มันช่างเยียบเย็น...ช่างหนาวเหน็บ...หนาวจนบาดผิว...ด้วยความเย็นที่เย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลก
     
                “วิ้ว~”รัตติผิวปากอย่างถูกใจพร้อมกับมองดูเปลวไฟสีครามที่ไหวระริกอยู่รอบตัว
     
                ...เย็นดีแฮะ
     
                “ดาบของเหมันต์...สวยใช่ไหมล่ะ? ก็มันนั่นเป็นถึงหนึ่งในเจ็ดศาสตราที่ขึ้นชื่อว่างดงามและแข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรนี้...งามเหมือนเปลวไฟ...แต่เย็นกว่าน้ำแข็ง...และสูงส่งดังพญาปักษา ถึงได้เรียกนามไว้...ว่าวิหคเพลิงเหมันต์...”เสียงเรียบเรื่อยอย่างหาได้ยากจากคิมหันต์ทำให้รัตติเหลือบสายตาไปมอง
     
    “ส่วนนี่คือ...มายาอัคคีน้ำแข็ง...ไฟนี้จะกำจัดศัตรูด้วยความเย็นไปถึงขั้วกระดูก...ที่ศูนย์องศาสัมบูรณ์[2]...”คิมหันต์ที่เอ่ยต่อ
     
    ...อย่างน้อยคนที่กล้าไปรนหาที่ตายในดินแดนพิศวงก็น่าจะมีอะไรให้อวดบ้างน่ะแหละ...หมอนี่น่ะ...คมในฝักของจริงเลย...
     
    เด็กหนุ่มยกมุมปากขึ้นอย่างพอใจ เหลือบมองดวงตาสีมรกตที่จับจ้องร่างของผู้เป็นน้องที่กำลังฟาดดาบอย่างงดงามราวกับร่ายรำนั้นไม่วางตา นิ้วเรียวชี้ไปมาอย่างเงียบงัน
     
    ...จุดที่นิ้วของคิมหันต์ชี้ไปล้วนแต่เป็นจุดที่เหมันต์ลงดาบ...เพราะนั่นจุดที่เพอร์เซโฟนีเผยช่องว่าง...กริยานั้นยิ่งทำให้รัตติมั่นใจว่าดาบที่ซ่อนอยู่ในฝักของคิมหันต์...คมไม่ใช่เล่นๆ ก่อนที่ดวงตาสีนิลจะกลับไปจ้องคนที่กำลังฉะกับผีสาวด้วยสายตาใคร่ครวญกึ่งชื่นชม
     
                ...ทั้งรวดเร็ว...ทั้งทรงพลัง...แต่ก็เฉียบคมและแม่นยำ...คนๆนี้...เก่ง...ใช่...เก่งมาก...
     
    แต่ก็ใช่ว่าจะไร้จุดอ่อน...รัตติพลางขยับยิ้มเยือกเย็น
     
                ...ตอนนี้คงยังไม่จำเป็นต้องบอก...หึหึหึ...
     
    ขณะที่รัตติกำลังหัวเราะอย่างโรคจิต  เพอร์เซโฟนีก็เรียกลูกสมุนออกมาอีกเป็นโขยง ฝูงวิญญาณร้ายหน้าตาไม่น่าเข้าใกล้!! เห็นดังนั้นคิมหันต์ที่อยู่ข้างๆก็เรียกยันต์ขึ้นมานับสิบ แล้วเอ่ยถามเสียงสดใส
     
    ไปลุยด้วยกันมะ?”แถมไม่รอฟังคำตอบคนหัวเขียวกระโจนพรวดเข้ากลางวงเอาหลังชนกับแฝดผู้น้องพอดิบพอดี ต่างคนต่างคอยระวังหลังให้อีกฝ่ายอย่างรู้งาน หนึ่งดาบยักษ์ฟาดฟันงดงามดั่งเทพสงคราม อีกหนึ่งใช้ยันต์ได้คล่องแคล่วสง่างามเหมือนนักพรตสูงศักดิ์
     
    ปึ้ก...จินตนาการของรัตติเป็นอันต้องหยุดชะงักเมื่อผมที่รวบไว้ของคิมหันต์ฟาดเข้ากลางหน้าเหมันต์
     
    ...ถึงคราวตายซะแล้วเอ็ง...
     
    แง้ววว พี่ขอโทษ~!”เด็กหนุ่มหัวเขียวร้องเสียงสูง เหมันต์จิกสายตาอย่างอาฆาตก่อนจะหันไประบายอารมณ์ใส่พวกวิญญาณแสนซวยแทน
     
    ปึ้ก...ผ่านไปอีกสองนาที เหตุการณ์มรณะก็กลับมาอีกครั้ง
     
    ...ยะ...เย็นไว้เหมันต์”
     
    ...”แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกสามนาที
     
    ปึ้ก...ฉิบฉ่อยแล้วตู!!!
     
    คิมหันต์คิดอย่างหวาดหวั่น เมื่อดาบที่ฟาดพวกวิญญาณอยู่ดีๆถูกปักลงบนพื้นส่วนเจ้าของดาบก็เอียงคอพลางหักนิ้วด้วยท่าทางน่ากลัว...ไปดีนะ สาธุ...
     
                ส่วนผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างรัตติก็ขยับยิ้มเนือยๆอย่างอ่อนใจแล้วเขี่ยซากของวิญญาณที่ยังไม่หายไปเข้ามาสำรวจก่อนจะพึมพำเป็นเชิงบ่น
     
    ใจร้อนกันจริงๆ ไม่ไหวๆ ของแบบนี้มันต้องหาจุดอ่อนจุดแข็งก่อนเข้าซัดสิครับ หึๆๆ”…ตอนแรกนึกว่าไอ้สองปิศาจที่ซัดพวกเราอยู่กลางวงนั่นน่ากลัวแล้ว… แต่เทียบไม่ติดกับไอ้ตัวที่นั่งยิ้มแล้วสำรวจซากวิญญาณแบบไม่รู้สึกรู้สาแถมยังหัวเราะโรคจิตนั่นสักนิด!!
     
    หลังจากนั่งชำแหละซากอยู่นานสองนานรัตติก็คลี่ยิ้มหวาน จากการสำรวจแล้ว อืม..ดูจากสภาพศพแล้ว...ผลจากการโจมตีทางกายภาพแทบจะเป็นศูนย์ แต่ท่าทางเวทย์มนต์จะค่อนข้างได้ผลดี...
     
    ฟึ่บ! ชั่วพริบตาดวงตาสีถ่านแปรเปลี่ยนเป็นสีอื่น...จากดำเป็นม่วง ม่วงเป็นน้ำเงิน เป็นฟ้า เขียว เขียวอ่อน เหลือง เหลืองทอง สีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเปลือกไม้ ส้ม ส้มอมแดง แดง แดงจัด แดงคล้ำดั่งโลหิต ก่อนที่จะกลับเป็นสีดำสนิทอีกครั้งอย่างน่าพิศวง...
     
    เพอร์เซโฟนี และวิญญาณพวกนี้สังกัดธาตุพิเศษสายวิญญาณกึ่งธาตุน้ำ มิน่ามายาอัคคีน้ำแข็งที่เป็นธาตุไฟกึ่งธาตุน้ำแถมยังควบธาตุลมเข้าไปอีกถึงไม่ค่อยได้ผล เพราะที่ชนได้ต้องเป็น ธาตุดิน...หรือไม่ก็...สายฟ้า!
     
    รัตติคิด พลางแสยะยิ้มที่มุมปากทำให้เหล่าวิญญาณพากันชะงักด้วยความสยอง(ขนาดผียังกลัว) ซึ่งไม่รอให้เสียโอกาสไปเฉยๆสองร่างที่อยู่กลางวงล้อมวิญญาณช่วยกันอัดซ้ำแบบไม่ให้ตั้งตัวจนไม่นานทั้งคู่ก็มาสมทบกับรัตติที่ตอนนี้งัดเอาดาบคู่ล้างมารมากำไว้ในมือ
     
    ...”พอได้ยินรัตติกระซิบบอกแผนทั้งคู่ก็แทบหุบยิ้มไม่มิด และเมื่อสามอสูรเผยอยิ้มพร้อมกัน...
     
    เหล่าวิญญาณก็แทบอยากจะตายไปให้พ้นๆ!!
     
    ...พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกช้างด้วย~!!
     
    เป็นไปตามแผน(ฆาตกรรม?) ในอีกหนึ่งนาทีต่อมาฝูงวิญญาณนอนทอดซากไปหมดทำให้ เพอร์เซโฟนีที่เหลือเลือดอยู่น้อยนิดขนหัวลุกอย่างช่วยไม่ได้!!
     
    ...พวกแกไม่รู้จักให้เกียรติสุภาพสตรีที่สวยและหุ่นดีอย่างฉันรึไงยะ!?...
     
    อย่างเจ๊น่ะเขาไม่เรียกสุภาพสตรี แต่เป็นผีหลอกวิญญาณสยอง!!!!
     
    REPLAY>>>
     
                สายลมคิมหันต์ปายันต์สามแผ่นรวดไปด้านหน้าทำให้เกิดระเบิดขนาดย่อมขึ้น พร้อมกับร่างของรัตติที่พุ่งออกไปนอกวงล้อมของเหล่าวิญญาณ ดาบคู่เล่มสวยในมือมีสายฟ้าแล่นเปรี๊ยะอยู่อย่างน่ากลัวแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทำอันตรายแก่คนถือได้แม้แต่ปลายนิ้ว
     
                ถัดมาเปลวเพลิงสีครามก็ลุกลามขึ้นแช่แข็งร่างโปร่งแสง พร้อมกับดาบสายฟ้าที่ฟันลงซ้ำ วิหคเพลิงเหมันต์ปรากฏไฟลุกโชจช่วงอย่างน่าชม แต่ไม่ใช่ในความคิดของผู้ที่จะถูกมันฟัน!!
     
                อีกไม่กี่วินาทีต่อมาร่างของรัตติก็วิ่งวนครบรอบวงกวาดดาบฟันพวกที่อยู่รอบนอกตายไปอีกเกือบสิบตัว แต่ก็โดนเล่นไปไม่ใช่น้อย เลือดลากเป็นทาง...
     
                ผ่านไปอีกหลายวินาทีตอนนี้สองแฝดหันหลังชนกันเหมือนตอนแรกในขณะที่รัตติยังคงวิ่งวนไปวนมาในฝูงวิญญาณ เส้นทางที่เด็กหนุ่มวิ่งผ่านปรากฏแต่ซากร่างของวิญญาณราวกับเส้นทางแห่งความตาย
     
                และพอถึงวินาทีสุดท้ายรัตติก็ตะโกนขึ้น!!
     
                “เรียบร้อย!”สิ้นเสียง ยันต์สีเหลืองหกใบก็พุ่งไปยังเป้าหมาย... แต่ละปลายของดาวหกแฉกที่รัตติเขียนด้วยเลือด!! ใช่แล้ว! ที่เขาอุตส่าห์วิ่งวนไปวนมาแถมยังทนเจ็บเลือดออกนี่ก็เพราะจะทำพิธีบูชายัน เอ๊ย! ไม่ใช่ ทำตามเงื่อนไขทักษะพิเศษของดาบคู่นี่ต่างหากล่ะ หึๆๆ
     
                “เหล่าอสูรร้ายแฝงกายอยู่บนฟากฟ้า หากได้ยินบัญชา จงฟาดฟันลงมาผลาญศัตรูข้าให้สิ้น Thunder storm!![3]”รัตติเอ่ยพร้อมกับปักดาบลงบนพื้นดินแล้วสายฟ้าที่ใหญ่กว่าธรรมดาหลายร้อยเท่าก็ฟาดเปรี้ยงลงกลางวงเวทย์ สายฟ้าไร้รูปร่างแล่นไปตามพื้นดิน แต่ถูกกักอยู่เพียงภายในของดาวหกแฉก ยิ่งมียันต์ของคิมหันต์เสริมก็ดูจะทำให้มันวินาศสันตะโรได้สะใจจริงๆ
     
                คลื่นสายฟ้าที่ฟาดลงมาราวกับทัณฑ์สวรรค์ ทำให้เหล่าวิญญาณตายกันเกลื่อน เหมือนเหตุล้างบางแมลงสาปในห้องครัว (ดูมันมันเปรียบ)
     
    กลับสู่โหมดปัจจุบัน...
     
                สามร่างนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นอย่างไม่แคร์สายตาใคร หลังจากกวาดวิญญาณพวกนั้นไปหนนึงก็ยังต้องฟัดกับเพอร์เซโฟนีต่อ อาเจ๊นั่นขนาดจะตายยังมิวายระเบิดตัวเองอีกเป็นการสาปส่งพวกเขาอีก…เล่นเอาเหนื่อยแทบตาย...
     
    คนนะครับไม่ใช่เครื่องจักรถึงจะหน้าตาดีก็เหนื่อยเป็น!!(เกี่ยวมั๊ย)
     
                “ฮ่า...ระดับขึ้นแล้ว ชิ! ฆ่าไปร่วมสามร้อยตัว แถมบอสอีกตัว ทำไมขึ้นแค่ระดับเดียววะ?...พวกนายอ่ะ”เหมันต์ไม่ได้ตอบแต่ขีดๆดาบไปบนพื้น
     
                ‘2’เมื่อเห็นตัวเลขคิมหันต์ก็ลุกพรวดเขย่าน้องตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
     
    ปึ้ก!
     
                แสกหน้า ได้แต้ม... สันมือฟาดหนักๆเข้ากลางหน้าผากของพี่ชาย พร้อมกับรอยยิ้มสะใจอย่างหาได้ยากยามเมื่อคนหัวเขียวมันลงไปนั่งชักดินชักงออยู่ที่พื้น
     
    “ทำไมของผมไม่กระเตื้องเลยอ่ะ...”คำตอบเสียงแว่วๆของรัตติทำให้อีกสองคน หันมามอง พวกเขาระดับกันตั้ง 40 กว่ายังขึ้นกันคนละนิดละหน่อย แต่เจ้าหมอนี่เพิ่งจะ 22 เองไม่ใช่รึไง?
     
                “นาย...ยังไม่ได้เปลี่ยนคลาสเลือกสายอาชีพงั้นเหรอ?”
     
                “ก็ยังนะสิครับ ก็บอกแล้วไงว่าผมพึ่งจะเข้าเล่นเกมเมื่อวานนี้เอง ทำไมเหรอครับ?”รัตติถามเสียงซื่อเมื่อเห็นสีหน้าของคิมหันต์
     
                “เปล่าไม่มีอะไร...เข้าไปในถ้ำปริศนากันเหอะ...เฮ้ย!”ด้วยความเหม่อคิมหันต์สะดุดซากวิญญาณที่ยังกองสุมกันไว้
     
                แว้ก! ร่างสูงเซแซ่ดๆไปไกลจนเกือบจะปะทะกับผนังถ้ำอยู่รวมร่อ
     
    เคราะห์ดีที่เหมันต์เอื้อมมือเข้ารวบปลายผมของคิมหันต์ไว้ทันไว้ก่อนหัวเขียวๆของใครบางคนจึงไม่กระทบกับผนังถ้ำ แต่...
     
    ผึง!! ผมสวยๆ(แต่เป็นสีเขียว)จนขนาดผู้หญิงยังอิจฉา(ถึงแม้มันจะเป็นสีเขียว)ถึงกับขาดติดมือเหมันต์(ย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นสีเขียว!! ) พอแล้วเว้ย!! จะย้ำนักย้ำหนาทำก๋วยจั๊บอะไรฟร่ะ!! หัวตูเป็นสีเขียวแล้วใครจะทำไม!! ไอ้คนแต่งนี่ เดี๋ยวพัดฆ่าหั่นศพหมกถังน้ำมันเอาไปถ่วงอ่าวไทยซะหรอก!!! : คิมหันต์
     
    และแน่นอนเมื่อปลายผมหลุดมือออกไป ก็ไม่มีอะไรขวางกั้นทางรักระหว่างหัวของคิมหันต์และผนังถ้ำอีกต่อไป!! ทั้งคู่จึงจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม...
     
    ดังปึ้ก!
     
                “โอ๊ย!!!!”
     
    “...ฮึ่ย!”ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะสบถจบคำ
     
    ครืด...
     
                ผนังถ้ำตันๆเลื่อนเปิดเผยทางเข้าลับได้แบบที่ไม่มีใครคาดคิด!! และหนำซ้ำทางเข้าปกติที่อยู่ห่างออกไปก็ปิดลงอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะรู้ตัว เพราะตอนนี้ทั้งสามคนคิดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า...
     
                ...เมื่อไหร่จะเลิกจองเวรพวกตูซะทีวะ!!ไอ้คนแต่งงงงงง~~~ พวกเรายังซวยไม่พออีกรึงายยยยยย~~
     
    ..............................................
     
                (ไอ้)คุณคนแต่ง!!!...จะจองล้างของผลาญพวกผมไปถึงไหนกันคร้าบ!!...รัตติคิดแล้วทรุดลงใช้มือทุบพื้นอย่างเจ็บใจ!!
     
                จะด้วยความที่คนแต่งหงุดหงิด...รำคาญ...เซ็ง...มุกตัน(?) หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่แน่ๆความซวยของทั้งสามยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด!! เพราะมือที่ทุบลงไปดันไปทุบเข้ากับปุ่มกลไกอีกอันเข้าพอดี!!(น่าน...มุกเก่าเอามารีไซเคิล)
     
                ครืด...ประตูที่สายลมคิมหันต์เปิดเปิดกว้างขึ้นและปรากฏช่องทางสำหรับลงไปด้านล่างของถ้ำ ทำให้สองพี่น้องกระพริบตาปริบๆ
     
                ตกลงไอ้คนแต่งมันหมดมุกแล้วใช่มั๊ย!? เอ๊ยไม่ใช่! มันมีทางอยู่ตรงนี้ได้ไงฟะ!? ด้วยความเหวอรับประทานสายลมคิมหันต์ถึงกับลืมบทพอสำนึกได้ก็แหลแทบไม่ทัน แต่ก็ต้องแอบเศร้าเมื่อได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างลอยมาแว่วๆ
     
                ...ลดค่าตัว...ลดค่าตัว...ฮิ้ว~ ลดค่าตัว...ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเสียงใคร
     
                ...ง่ะ! งก!!...เถียงไปก็เปล่าประโยชน์หนุ่มหล่อ(?)หัวเขียวจึงได้แต่เก็บอาการเซ็งสนิทแล้วกลับเข้าสู่เนื้อเรื่องต่อ (แอบเนียนเล่นมุกแป้กได้ตั้งหลายบรรทัด เรานี่เก๊งเก่ง ฮ่าๆๆๆ ไม่มีใครชมเรา เราชมตัวเองได้ เหอะๆๆ)
     
                “เอาไง?”คิมหันต์ถามเสียงเซ็งๆ(ยังไม่หายเครียด ถูกลดค่าตัว! ชิ!)
     
                สองคนที่ถูกถามก็มองหน้ากันอย่างขอความเห็น สัญชาติญาณรู้สึกตงิดๆว่าเรื่องซวยๆจะเกิดขึ้น เพราะไอ้คนแต่งมันคงยังไม่เลิกจองเวรง่ายๆ
     
                ...ถึงจะหนียังไงก็คงต้องไปซวยที่อื่นต่ออยู่ดี เอามันที่นี่แหละ ขี้เกียจเดิน!!
     
                เป็นเหตุผลที่ดีซะไม่มีอ่ะ...เมื่อตกลงกันเสร็จสามปิศาจก็พากันไต่ลงไปตามทางเดินลับที่เพิ่งปรากฏและได้พบกับ...บทกลอนแปลกๆที่สลักไว้ที่ผนัง
     
    ...ผู้มาเยือนจงหยุดและฟังข้า
    หากท่านก้าวเข้ามา ณ แดนนี้
    ไม่ว่าท่านจักเก่งกล้าพันทวี
    อาจไร้ฤทธีแก้ปริศนาถ้ำมายา...
    ...ปัญญากล้าคือสิ่งที่ควรรักษ์
    หากจมปลักความโง่งมไร้รักษา
    ความจริงมิใช่สิ่งที่เห็นด้วยตา
    จงหลับลาแล้วเปิดใจอย่ากังวล... 
     
                “อืม...”รัตติพึมพำกับตัวเองแล้วอ่านกลอนนั้นทวนอยู่สองสามรอบจนจำได้ขึ้นใจ  แต่ว่า(แต่อีกแล้ว!? แต่บ่อยจริงๆนิยายเรื่องนี้!!) ง่ะ...ผมแค่จะบอกว่าในถ้ำนี้มันน่าจะโคตรมืด เพราะอยู่ใต้ดินไม่น่าจะมีแสงอะไรส่องมาให้เห็นได้สิจริงมั๊ย?? แล้วผมจะอ่านกลอนที่สลักไว้บนผนังถ้ำนี่ได้ไงอ่ะ?
     
                เฮ้ย!!ลืม!! : รัตติกาลอันมืดมิด
     
                “อะแฮ่มๆ นี่ไง ชั้นใช้ยันต์จุดคบเพลิงไว้แล้ว”คิมหันต์พูดก่อนจะชี้คบไฟที่ว่าบนผนังถ้ำแบบแกนๆ
     
    ...รอดตัวไปเรา เฮ้อ~...อย่าสงสัยบ่อยนะ หัวใจจะวาย หวิดไปแล้ว...
     
    ชิ้ง...สายตาทิ่มแทงจากคนอ่านทำให้เรากระอักเลือด
     
                แค่กๆๆ พอๆๆ กลับเข้าเรื่องเหอะ ตอนนี้นี่นอกเรื่องบ่อยจริงๆ
     
                อย่าสงสัยให้มันมากความ ไปกันเหอะน่า...สายตาวิ้งๆของเหมันต์ที่เกิดจากแสงของคบไฟตีความออกมาได้ว่าเจ้าตัวกำลังรำคาญ สองหนุ่มที่เหลือจึงพากันเดินตามร่างสูงที่เดินนำอย่างไม่เกรงใจเจ้าที่ไปต้อยๆ ไม่ผิดกับลูกหมาเดินตามเจ้านายสักเท่าไหร่
     
                กึก...แต่เดินๆไปทั้งสามก็ต้องหยุดเมื่อทางด้านหน้าถูกแบ่งยิบย่อยออกไปไม่ต่ำกว่าสิบทาง!!
     
    มันจะมีทางแยกเยอะเอาโล่รึไงวะเนี่ย!? พอเห็นทางแยกรัตติก็ปวดหัวตุบๆ จะต้องไปทางไหนก็ไม่มีป้ายบอก ตูจะตรัสรู้ได้มั๊ย!! บ่นเสร็จก็ยืนกอดอกพลางหรี่ตาลงอย่างหงุดหงิดเต็มแก่ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเหมือนทางที่อยู่ตรงหน้าไปต่อว่าบุพการีของเขายังไงหยั่งงั้น และดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยิ่งบูดสนิทเมื่อดวงตาไม่เห็นอะไรที่ผิดแปลกไปจากธรรมชาติให้มันสังเกต
     
                จากความหมายของกลอน...บทแรกคงจะท้าทายพวกเขา...ส่วนบทที่สอง...บอกว่าให้ใช้หัวคิดรึเปล่า? อืม...ปัญญากล้าคือสิ่งที่ควรรักษ์...หากจมปลักความโง่งมไร้รักษา...ความจริงมิใช่สิ่งที่เห็นด้วยตา...จงหลับลาแล้วเปิดใจอย่ากังวล...
     
    ...ความจริงมิใช่สิ่งที่เห็นด้วยตา...จงหลับลาแล้วเปิดใจอย่ากังวล...ไม่เห็นด้วยตา?...หลับลา...แล้วเปิดใจ?? คราวนี้คิ้วผูกกันยุ่ง ก่อนที่ดวงตาคู่คมก็ปิดลงอย่างหงุดหงิด ไม่ให้มองด้วยตาตูปิดตาก็ได้ฟะ!
     
    โห...เล่นง่าย
     
    และแล้วก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง (เออ...ถูกอีก ใครเป็นคนแต่งเนี่ยมักง่ายสุดๆ เออลืมไปตูเองนี่หว่า)
     
    ...มีอะไรอยู่ตรงนั้นรึเปล่านะ...หืม เหมือนมีแสงวาบอยู่ใต้เปลือกตาแต่พอลืมตากลับไม่เห็นอะไร แปลกดี...คิดพลางมือก็เอื้อมคว้าไปด้านหน้าเยื้องๆไปทางด้านซ้ายและสัมผัสกับผนังเย็นเฉียบ นิ้วเรียวไล้ไปตามสันที่นูนขึ้นของผนังถ้ำที่มีลักษณะคล้ายกับตัวหนังสือ
     
    ...จงเดิน...เดิน อืม...จงเดินสู่ทางเบื้องหน้า...ทางเบื้องหน้างั้นหรือ?
     
    รัตติลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วภาพที่เห็นก็คือผนังถ้ำสีทึม รอยยิ้มวูบหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้า ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วเล่นเอาอีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆขนลุก แล้วเด็กหนุ่มก็บอกข้อความที่อยู่ตรงผนังถ้ำนี้แก่ผู้ร่วมทาง
     
    “จงเดินสู่ทางเบื้องหน้า มันสลักไว้แบบนี้ คุณคิดว่า‘ทางเบื้องหน้า’ที่พูดถึงเนี่ยคือ‘ทาง’ไหนในไอ้สิบๆทางนี้กันล่ะ?”ดวงตาสีฟ้าและสีเขียวฉายแววครุ่นคิด เหมันต์ชี้ไปทางที่อยู่ตรงกับแยกที่พวกเขาเดินมาอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่ ทำให้รัตติขยับยิ้มกว้างมากว่าเดิม
     
    ร่างสูงคิดจะเดินไปสำรวจทางที่ตนเลือกดูกลับถูกมือเรียวของพี่ชายรั้งไว้ก่อน พอหันมาด้วยสายตาไม่เข้าใจหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งก็ชี้ไปทางผนังที่รัตติลูบคลำๆดูเมื่อครู่ พร้อมกับแย้มรอยยิ้มกวนๆ ซึ่งรัตติก็พยักหน้าอย่างพอใจ
     
    “ถูกต้องครับ...คำตอบคือผิดหมด นี่ต่างหากล่ะ”ว่าพลางก็ตบๆผนังเบาๆ
     
    ดาบคู่เจ็ดเปลี่ยนถูกสั่งให้กลับไปอยู่ในสภาพที่เป็นพลองท่ามกลางสายตาระยิบระยับของคิมหันต์
     
    และพลองด้ามงามก็ถูกกระแทกกับผนังนั้นเต็มแรง!!
     
    ส่วนผลที่ปรากฏคือ...
     
    ทิ้งรอยขีดไว้เท่ารอยแมวข่วน...แป่ว...เจ้าของพลองถึงกับเบ้หน้า เมื่อคนแต่งทำให้เขาหน้าแตกชนิดที่ว่าหมอไม่รับเย็บ สองคนที่เหลือส่ายหน้าปลงสังเวช แล้วแฝดพี่ที่จู่ๆเซลล์สมองเติบโตขึ้นกะทันหัน(นี่แหละที่เขาว่าคนบ้ากับอัจฉริยะต่างกันแค่หน้ากระดาษบางๆ...ในกรณีของคิมหันต์มันบางมากๆ)ก็ส่งซิกซ์ให้เหมันต์ที่ยืนนิ่งหน้าตาย
     
    ทำให้แฝดน้องเจ้าของดวงตาคู่สวยสีครามถอนหายใจเซ็งชีวิต ดาบวิหคเพลิงเหมันต์เล่มยักษ์ถูกยกขึ้นขนานกับพื้นแล้วเสือกแทงเข้าเต็มๆผนังถ้ำ เป็นผลให้ดาบนั้นจมมิดไปเกือบครึ่งด้าม!!
     
    รัตติถึงกับเอ๋อรับประทาน!!
     
    ถึกโคตร!!
     
                คิมหันต์ยิ้มเผล่อย่างพอใจเมื่อเห็นสีหน้าอึ้งกิมกี่ของรัตติ ก่อนที่มือขาวๆของเหมันต์จะกดดาบลากลงมาอีกครั้งจนหินถูกหั่นเป็นก้อนๆเหมือนหั่นเค้ก...(น่ากลัวหลายนะนี่) โดยที่สีหน้าเรียบเฉยใต้เงาผ้าคลุมนั้นแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง
     
    รัตติแอบจดไว้ในใจว่าถ้าต้องทำลายอะไรซักอย่างจะนึกถึงเหมันต์เป็นคนแรก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ...ด้วยความปลง...ใครๆก็บอกว่าผมเหมือนปิศาจ (ถึงจะจริงก็เหอะ) แล้วคุณจะเรียกสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้ว่าอะไรล่ะครับ?
     
    ...คนหน้าตาดี เหมันต์หันมาตอบด้วยสายตาทั้งๆที่หน้ายังนิ่ง
     
    ง่ะส์!!...เหวอครับเหวอ นับวันผมยิ่งต้องอึ้ง ทึ่ง เสียว(?) กับนิสัยประหลาดๆของสองแฝดนี่มากเข้าทุกที...แต่ยังไงเหมันต์ก็เป็นแฝดกับคิมหันต์...ไม่เอาน่า...เอาเหมันต์คนเดิมกลับมา!!!
     
    ฮ่วย! ยังงี้ก็บดบังรัศมีความเด่นของผมหมดสิ! ขนาดยังไม่เปิดผ้าคลุมเหมันต์ยังมีคนมาตามกรี๊ด แล้วพอเปิดปุ๊บเรื่องนี้จะเปลี่ยนพระเอกรึเปล่าวะเนี่ย? ฮู่ย~ เครียด~ ยังไงๆผมก็ยังเป็นพระเอกนะ!! เห็นหัวผมมั่งดิ!!
     
    (เม้นท์ให้กำลังใจผมหน่อย ฮิ้ว~ : รัตติ ,นอกเรื่องอีกละ ตอนนี้นี่นอกเรื่องบ่อยจริงๆ หวังว่าไอ้คุณรัตติมันคงไม่ขอขึ้นค่าตัวเหมือนพี่โลหิตของมันหรอกนะ...เสียววูบๆ)
     
    “เฮ้ย! รัตติ ระวัง!!”เสียงของสายลมคิมหันต์กระชากคนที่กำลังเหม่อให้กลับสู่โลกของความเป็นจริง
     
    โป้ก!
     
    แต่มันไม่ทันกับที่หน้าผากขาวๆปะทะกับแง่งหินที่ยาวลงมาอย่างพอดิบพอดี
     
    “ง่า...ระวังหัว...”คนเพิ่งถูกนินทา(ในใจ)ไปหมาดๆพูดเสียงอ่อย
     
    “แล้วทำไมมาบอกหลังจากที่หัวผมโขกไปแล้วล่ะคร้าบ~ มันเจ็บน้า~”เสียงร้องของรัตติทำให้เหมันต์ที่เดินนำอยู่หน้าสุดแทบจะยกวิหคเพลิงเหมันต์ขึ้นมาสับกบาลด้วยความรำคาญ แต่ก่อนที่จะได้ทำจริงๆ (เริ่มเงื้อแล้ว...)
     
    “ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของฉัน”น้ำเสียงหวานล้ำดังแว่วขึ้นมาจากมุมมืดก่อนที่เหมันต์จะได้สับหัวรัตติจริง แล้วร่างอวบอัดสุดเซ็กซี่ในชุดหนังรัดรูปจะก้าวออกมาสู่สายตาของทั้งสาม พอเหลียวมองไปรอบๆ ถ้ำส่วนตรงนี้ดูเหมือนห้องโถงโอ่อ่า ด้านบนที่สูงขึ้นไปมีแท่งคริสตัลสีสวยระยิบระยับอยู่เหมือนโคมไฟราคาแพง ขับเน้นให้ความงดงามอย่างเป็นธรรมชาติของถ้ำดูโดดเด่น...สมกับคำว่าปราสาทที่หญิงสาวเอ่ยเรียก
     
    “คุณเป็นใคร?”รัตติถามพลางกำพลองแน่นเผื่อเหตุฉุกเฉิน ไม่ได้สนใจความสวยงามของโถงถ้ำที่อยู่รอบตัว ในเมื่อความสวยงามที่เห็น...อาจซ่อนอันตรายที่ร้ายเหลือเอาไว้
     
    “โฮะๆๆ ไม่ต้องกลัวไปหรอกเด็กๆ คิกๆๆ...ชื่อของฉันคือทูตพิทักษ์ประตู ถ้าพวกเธออยากใช้ทางนี้ผ่านไปล่ะก็...ต้องแก้ปริศนาของฉันให้ได้ก่อนนะจ๊ะ”เมื่อเห็นว่าเป็นแค่การแก้ปริศนา รัตติก็ค่อยวางใจและผ่อนแรงที่กุมพลองออกเล็กน้อย
     
    “หากแก้ปริศนาถูก...จักได้ผ่านไป...แต่ถ้าผิดเพี้ยนไปแล้วไซร้...จะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ตลอดกาล หึๆๆ”พอจบประโยคทั้งสามก็รีบหยิบอาวุธกันแทบไม่ทัน!!
     
    “ต๊ายตาย ล้อเล่นจ้ะล้อเล่น คิกๆๆ เอาล่ะๆ จะแก้ปริศนาของฉันเลยรึเปล่า?”
     
    ...เจ๊แน่ใจนะว่าแค่ล้อเล่น!?!
     
    ทั้งสามพยักหน้าหงึกหงักแม้จะยังหวั่นๆใจ ทำให้หญิงสาวเผยอยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วเสียงหวานก็เปล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
     
    “...มันคือสิ่งที่ไร้ตัวตน แต่รับรู้ได้ถึงตัวตน...คือสิ่งที่ไร้สีสัน แต่ขับเน้นให้สิ่งอื่นมีสีสัน...และคือสิ่งที่ไม่อาจแตะต้อง หากแต่สัมผัสได้ถึงการคงอยู่...ตราบที่ยังไม่เปิดเปลือกตาน่าชังนั้นเสีย...ก็จักไม่มีวันได้พบพาน...”เธอพูดช้าๆอย่างชัดเจน
     
    “อีกครั้งได้รึเปล่าครับ?”คิมหันต์เอ่ยถามด้วยเสียงไม่แน่ใจ หญิงสาวเพียงแต่เลิกคิ้ว ก่อนจะพยักน้อยๆแล้วเอ่ยทวนให้อีกครั้งด้วยท่วงทำนองเดิม แต่ดังกว่าเล็กน้อย
     
    คราวนี้เสียงหวานก้องไปทั่วทั้งโถงถ้ำกว้างขวาง สะท้อนไปมาทิ้งเสียงกังวานไว้กับความว่างเปล่า คิ้วของรัตติขมวดเข้าหากัน เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วดวงตาคู่คมก็ปิดลง ทบทวนความทรงจำที่เขาลืมไปชั่ววินาทีหนึ่ง
     
    “ไม่มีตัวตน...แต่รับรู้ได้...ไร้สี...แต่ส่งเสริมให้สิ่งอื่นมีสี...แตะต้องไม่ได้...แต่สัมผัสได้...หากไม่เปิดตาก็จะไม่เห็นมัน...หรือว่า...คำตอบก็คือ...”คิมหันต์ค่อยๆทวนช้าๆ พลันดวงตาสีมรกตก็เปล่งประประหลาดเมื่อสบเข้ากับคริสตัลสีสวยที่เหนือเพดานถ้ำ รอยยิ้มกระตุกวูบบนเรียวปากก่อนที่จะตอบอย่างมั่นใจ
     
    “แสงใช่รึเปล่าครับ คำตอบคือแสงสว่าง!!”รอยยิ้มหวานหลุดออกมาจากเรียวปากของทูตพิทักษ์ประตู
     
    “...ตามสัญญา นี่คือทางที่พวกเธอต้องไป...”ร่างอรชรหลีกทางให้เผยให้เห็นทางเดินที่ทอดยาวสู่ความมืด แต่ก่อนที่ทั้งสามจะก้าวผ่านหญิงสาวไปรัตติก็หยุดเดิน แล้วรั้งเพื่อนร่วมทางทั้งสองไว้ ทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวกว้างขึ้นกว่าเดิม
     
    “...คำตอบที่ไม่ตรงคำถามจะเรียกว่าถูกได้ยังไง...ผมยังไม่คิดจะทำตามสัญญาข้อหลังของคุณนะครับ...ปริศนาของคุณไม่ใช่สิ่งที่คุณพูดขึ้นมาหรอก ใช่มั๊ย?”รัตติกล่าวถามอย่างมีชั้นเชิง ก่อนจะส่งยิ้มทะเล้นให้เธอ
     
    “ฮะ...ฮะ... ถูกต้องที่สุด นั่นล่ะ คำตอบที่ฉันต้องการ”มือเรียวตบกันเบาๆเป็นเชิงชื่นชม เด็กหนุ่มคนที่ตอบ‘คำถาม’แสนยากของเธอได้นั้นนับว่ามีทักษะด้านภาษาที่ไม่ธรรมดา แต่คนที่คิดลงไปอีกชั้นโดยไม่ใส่ใจ‘คำถาม’ของเธอ...เรียกได้ว่ามีความคิดที่พิสดาร!!
     
    “ยินดีด้วยที่ตอบถูก...”ทูตพิทักษ์ประตูกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วร่างของเธอก็หายวับไป ทิ้งไว้เพียงเศษกระดาษสีขาวขนาดประมาณฝ่ามือ เมื่อเหมันต์ก้มลงหยิบมันขึ้นมาดูพบกับข้อความซึ่งถูกเขียนอย่างวิจิตรด้วยหมึกดำไว้ว่า...
     
    ...มองหาคำตอบที่ซ่อนไว้...
     
    ดวงตาสีครามเบิกกว้างและค่อยๆหวนคิด...ใช่แล้ว...ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พูดสักคำว่าสิ่งที่เธอพูดคือปริศนาของเธอ...เธอบอกแค่ให้ ‘แก้’ ปริศนา ไม่ได้บอกให้ ‘ตอบ’ คำถาม...หนำซ้ำยังไม่ได้บอกว่าคำตอบของคิมหันต์นั้นถูกต้อง เป็นจิตวิทยาที่น่ากลัว...วินาทีนี้เองที่เหมันต์รับรู้ด้วยสัญชาติญาณว่า...
     
    ใครก็ตามที่คิดปริศนานี้ไว้...คือคนเหนือคน...แต่ใครก็ตามที่แก้ปริศนานี้ได้...
     
    มันต้องไม่ใช่คน!!!
     
    คิดเสร็จก็พยักหน้ากับตัวเองเงียบๆ เป็นเวลาเดียวกับที่อีกสองหนุ่มพากันชะเง้อมองดูข้อความที่อยู่ในแผ่นกระดาษ และพอเห็นข้อความนั้น รัตติก็เผยอยิ้มในขณะที่คิมหันต์แอบเบ้หน้า
     
    ...ถ้าปริศนาคือคำถามของผู้หญิงคนนั้น เขาตอบไม่ผิด แต่เขาตอบผิดอย่างมหันต์ เพราะปริศนาที่เธอพูดถึงคือตัวเธอเอง!!
     
                ดวงตาสีมรกตตวัดมองเด็กหนุ่มที่ยังยืนยิ้มพรายอยู่อย่างเซ็งๆที่จะ...เริ่มต้นบ่นๆๆๆๆๆๆ
                                                                                  
                “โห...คิมหันต์ถ้าผมไม่เห็นหน้าคุณล่ะก็คงนึกว่าเป็นผู้หญิงแหงแซะ บ่นซะ...เหมันต์ช่วยหน่อยสิ”



    [1] มอนเตอร์ในเกม The Kingdom แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือสัตว์อสูร มอนเตอร์ที่พบได้ทั่วๆไปที่สังกัดธาตุได้ทั้งสิบธาตุ สัตว์ภูติ คือแรร์มอนเตอร์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอน พวกนี้มักปรากฏกายในรูปร่างคล้ายมนุษย์ ส่วนใหญ่สังกัดธาตุธรรมชาติทั้งเจ็ดหรือสายไร้ธาตุ และสุดท้ายแบบที่อันตรายที่สุดคือแบบมนุษย์ มอนเตอร์ประเภทนี้ฉลาดมาก แถมยังเก่งกว่ามอนเตอร์รูปแบบอื่นที่ระดับเท่ากันอยู่หลายเท่าตัว สังกัดสายไร้ธาตุ
    [2] absolute zero หมายถึง อุณหภูมิต่ำสุดของสสาร ที่ทำให้อนุภาคหยุดอยู่การเคลื่อนที่ นั่นคืออุณหภูมิที่ -273.15 องศาเซลเซียส หรือ 0 องศาเคลวิน (พูดง่ายๆก็คือหนาวเยือกขนาดแช่งแข็งได้ถึงอะตอมนั่นเอง)
    [3] Thunder storm (ระดับ 1) ทักษะประจำอาวุธ [ดาบคู่ล้างมาร]
    รายละเอียด สายฟ้าฟาดที่มีพลังทำลายล้างมหาศาล และโจมตีเป็นวงกว้าง พลังโจมตีขั้นต่ำ 5000 จุด ระยะการโจมตีภายในวงเวทย์ดาวหกแฉกที่เขียนด้วยเลือดของผู้ทำพันธะสัญญากับอาวุธ หากวงเวทย์ใหญ่พลังโจมตีก็จะลดลง แต่ถ้าเลือดที่เขียนเข้มข้นพลังโจมตีก็จะมากขึ้น คูลดาวน์ 5 ชั่วโมง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×