คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : 2-15 Episode 12
Chapter 2
– Turbulence in Royal
Capital
Episode 12 การต่อสู้ที่ปิดฉากลง
นับตั้งแต่เริ่มสงคราม,
มันเป็นอะไรที่บ้าและทรงอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อ เหล่าขุนนางผู้เป็นศัตรูของกองทัพมอนเตอร์ถูกโจมตีด้วยพลังและเวทมนต์ที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน
ถึงอย่างนั้นการโจมตีครั้งถัดมากลับไม่มาถึงเสียที พวกเขาจึงเชื่อกันว่าการโจมตีระดับนั้นไม่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง,
โดยไม่รู้เลยว่าพลังที่ว่าก็คือ ดินปืน และพลุไฟ –อา
เพราะพวกนั้นขอใช้ดินปืนจุดพลุไฟ ตอนที่กำลังดื่มไปเชียร์ไปอย่างสบายอกสบายใจเท่านั้นเอง
–เท่านั้นจริงๆ
เพิ่มเติมจากนั้น,
เหล่ามอนเตอร์ที่ประจำอยู่ที่ทุ่งราบอาคีระเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
เริ่มด้วยการมองแม่ทัพของฝ่ายขุนนาง,
ผู้ซึ่งถูกตัดสินว่าเป็นศัตรู และพุ่งเข้าโจมตี
ทันทีด้วยความรู้สึกฮึกเหิมและกระหายชัยชนะ
จำนวนทหารที่เหลืออยู่ของอาณาจักรเอมาทีเกิน
28,000 ขณะที่จำนวนมอนเตอร์มีเพียง
10,000
ในทางทฤษฎีย่อมสามารถใช้รูปแบบการต่อสู้
3 คนต่อ 1 ตัวได้สบาย ดังนั้นจึงมีค่าทัดเทียมกัน แต่ทว่า,
ต่างจากรูปแบบการต่อสู้ทั่วไป, ผลต่างของจำนวนส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มกันต่อสู้
“พวกเราชนะได้!!”
ขุนนางทุกคนต่างก็เชื่อเช่นนั้น
คำสั่งแรกจึงแบ่งทหารอาสาออกเป็นกลุ่มๆ และสั่งไปอยู่ที่แนวหน้า
เพื่อรักษากองทัพส่วนตัว
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมาก
แต่บรรดาขุนนางก็ไม่ได้เห็นดีไปกว่าเครื่องสังเวย—อา พวกเขามองว่าคนที่ให้การสนับสนุนเจ้าชายที่สามเป็นผู้ทรยศ
และอาจก่อกบฏได้ การกำจัดทิ้งไปจึงเป็นเรื่องที่ชอบธรรม—ทหารอาสาทั้งหลายพากันถืออาวุธดินเหนียวและชุดเกราะที่สร้างขึ้นหยาบๆ
ถึงแม้พวกเขาจะยืนอยู่เฉยๆอย่างหมดท่ากลางดงศัตรู ก็อาจจะถูกทุบด้วยนักรบโทรลล์ หรือถูกหวดด้วยการโจมตีของฝูงก๊อบลิน
กองกำลังอันน่าสะพรึงกลัวจู่โจมไปทั่วบริเวณ
แต่งแต้มภาพวาดขุมนรกอันทุกข์ทรมานให้ปรากฏต่อสายตา
ในสภาพที่สับสนวุ่นวายและโกลาหลเช่นนี้,
กองทัพของพวกขุนนางที่คอยยืนพร้อมอยู่ด้านหลังจึงยิงลูกธนูออกมามากมายราวกับสายฝน
และยังให้นักเวทย์ยิงธนูน้ำแข็งเสริมด้วย โดยไม่สนว่าจะถูกมิตรหรือศัตรู
จากนั้น,
เรียกทหารม้ากลับเข้ามา
ทิ้งให้ทหารที่สลับเข้ามาแทนกำจัดผู้มีชีวิตรอด--เป็นภาพที่เห็นได้ทุกที่บนสนามรบ
ศึกนี้ถูกตัดสินไว้แล้ว! แค่สัตว์ชั้นต่ำ ต่อให้รวมตัวกันก็ไม่ใช่ปัญหา!
ด้วยความเชื่อมั่นในชัยชนะ
รอยยิ้มด้วยความพอใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าแม่ทัพฝ่ายขุนนางแต่ละคน
แต่อย่างไรก็ตามการคงทนของศัตรูกลับไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์และกองกำลังของพวกเขาที่ลดลงไปตามเวลาที่ผ่านไป
ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ เริ่มขมวดคิ้ว และเหงื่อเย็นๆเริ่มไหลต่างน้ำ
เรื่องบ้าอะไรกัน?! พวกมันมาจากไหนกันมากมาย!? แล้วยังตั้งใจสู้ไม่หยุดหย่อน
ราวกับไม่รู้จักความตาย!
เข็มที่ชี้ไปทางอาณาจักรเอมาทีเมื่อตอนต้นค่อยๆเบนมายังจักรวรรดิสีเลือดอย่างเชื่องช้า
แต่ดูราวกับไม่มีทางย้อนกลับไป
◆◇◆◇
“อืม ปกติพื้นที่ของ『All-Rise』(TL: ฟื้นคืนชีพทั้งหมดในพื้นที่) คือ 8x8 ช่อง ยังดีที่ตอนนี้ก็คือในรัศมี 50 เมตร…”
โดยไม่สนความเป็นมิตรหรือศัตรู,
ผมยืนอยู่ท่ามกลางหมู่ทหารที่ค่อยๆทิ้งร่างสู่ทะเลเลือด และเรียกใช้สกิลนักบุญ『All-Rise』
แสงไฟสลัวๆลอยจากไม้เท้ายาวในมือ『ดอกกุหลาบแห่งความลับ』ลอยไปรอบๆ
เหล่าซากศพที่ฟื้นมาจากความตายลุกขึ้นมองไปรอบๆอย่างมึนงง
“ถึงไม่สนว่าเป็นมิตรหรือศัตรู
ก็ไม่รู้จะพูดว่าเป็นเรื่องสบายๆดีไหม.... ให้ตายสิ
รู้สึกเหมือนนกบ้าบางตัวบินมาด่าว่าโง่เสียจริง อ่า เปลือง MP โดยใช่เหตุจริง”
ขณะพึมพำกับตัวเอง
ผมก็เคลื่อนที่แล้วใช้『All-Rise』อีกครั้งโดยไม่มีหยุด
แต่ทว่า『All-Rise』ก็ไม่เหมือนกับ『Resurrection』เพราะสามารถฟื้นเลือดได้เพียง 20% เท่านั้น มิโคโตะที่ตามมาทีหลังจึงใช้สกิลฟื้นฟูแบบวงกว้าง『สายฝนเทพธิดา』ฟื้นเลือดให้เต็ม
เพราะการฟื้นคืนชีพนั้นไม่เกี่ยงทั้งมิตรและศัตรู
กลุ่มที่ฟื้นขึ้นมาด้วยกลุ่มสองกลุ่มจึงตกอยู่ในสับสนและกระโจนเข้าต่อสู้กันอีกครั้ง,
แต่อย่างไรก็ตาม
“อา, เหล่าข้า(รับใช้)แห่งจักรวรรดิเอมาทีที่ฟื้นคืนชีพเอ๋ย,
จงรีบไปยังแถวหน้าซะ! สงครามกระจายตัวไปไกลแล้ว อย่าได้ช้า!
แล้วก็, ผู้คนจากอาณาจักรเอมาทีเอ๋ย
เราจะไม่ขัดขวางถ้าเจ้าคิดจะต่อต้านพวกขุนนางทั้งหลายที่ได้สละพวกเจ้า,
ทำแม้แต่โจมตีพวกเจ้าจากเบื้องหลัง แต่เราผู้นี้จะไม่ฟื้นคืนชีพให้อีก หากคิดจะไล่ตามเราเมื่อเราจากไป
จะไม่ได้รับอนุญาตให้ยกเว้น, เท่านี้ละ”
ผมพูดทุกสิ่งที่อยากพูด
(เพราะสามารถฟื้นคืนได้แค่ภายใน 30 นาทีที่ตาย, ผมจึงเสียเวลาที่นี้ไม่ได้) แล้วจากไป
อันที่จริง,
ในเวลาถัดมาผมก็ได้ยินว่า
ทหารอาสาส่วนใหญ่ถอนตัวจากสนามรบด้วยสภาพเลื่อนลอยเหมือนถูกเอาวิญญาณไป
“…เจ้าคิดว่าเราอ่อนโยนขึ้นหรือไม่, มิโคโตะ อามาริ?”
ทันใดนั้น,
ระลึกถึงอัศวินสวมหน้ากากบางคนในสนามรบ ผมถามกับทั้งสองคน
“ในเรื่องนี้
–ตั้งแต่ต้นแล้ว หาใช่เรื่องที่องค์หญิงจำเป็นต้องกังวลไม่เจ้าค่ะ”
『…ไม่ว่าองค์หญิงปรารถนาจะช่วยเหลือหรือจะทารุณทรมาน
ดิฉันก็ล้วนแต่ยินดีทั้งนั้นเจ้าค่ะ』
“…อา, ขอบคุณ”
เข้าใจละ,
เป็นงั้นเองสินะ…
“อืม ถ้างั้น,ก็เริ่มงานกันต่อเถอะ!!”
ให้กำลังใจตัวเองแล้วผมก็วิ่งไปทั่วสนามรบราวกับสายลม
◆◇◆◇
ผลลัพธ์นั้นเห็นได้ชัดเจนราวกับกลางวันและกลางคืน
จักรวรรดิสีเลือดที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ทุกประการค่อยๆตีกรอบกองทัพอาณาจักรเอมาทีทีละด้าน,
ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บแล้ว
ยังไม่มีกำลังเสริมและถูกทอดทิ้งจากพวกขุนนาง,
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่ากองกำลังภายใต้จักรวรรดิสีเลือดยังพร้อมเหยียบย้ำพวกเขา
ไม่ให้เหลือใครแม้แต่คนเดียว
“—หะ,หนี....ไม่, ถอยทัพ!”
ขุนนางฝ่ายราชวงศ์ที่รอดตายควบม้าศึกของตนเอง,
พยายามหนีไปจากสนามรบด้วยความเร่งรีบสุดชีวิต
เหล่าคนสนิทที่อยู่ใกล้เคียงมองหน้ากัน
แล้วถามยืนยันอย่างไม่แน่ใจ
“แล้วจะเอาอย่างไรกับทหารที่ต่อสู้อยู่ละขอรับ,
ต้องส่งสัญญาณถอยทัพให้หรือไม่?”
“อย่าโง่น่า!
การถ่วงเวลาให้พวกเราถอยทัพ, เป็นหน้าที่ของพวกชั้นต่ำอยู่แล้ว!
ตอนที่พวกนั้นต้านมอนเตอร์เอาไว้ พวกเราก็รีบหนีไปจากที่นี้ดีกว่า!”
ฟังเสียงตะโกนด้วยหน้าแดงก่ำ
คนสนิทของเขาก็พยักหน้าให้กันและตะเกียกตะกายกันขึ้นม้าของตัวเอง
“…ไม่ไหวๆ, นี่มันไม่รับผิดชอบกันเกินไปหน่อยหรือไง?”
ขณะนั้นเองก็เกิดแรงระเบิดขึ้นหน้าขบวนของพวกเขา
ม้าที่ตกใจพากันสะบัดคนบนหลังแล้ววิ่งหนีออกไปจากสนามรบ,
ทิ้งเจ้าของเอาไว้เบื้องหลัง
“เหมือนกันทั้งม้าทั้งเจ้านายเลยนะ.......”
ฝุ่นผงที่ลอยฟุ้งเพราะแรงตกจากหลังม้า,
หรืออย่างน้อยก็อย่างนั้น, จางลง
พวกเขาก็เห็นอัศวินในชุดเกราะสีแดงและหน้ากากสีแดงก่ำ
--คนคนนี้,
รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
บรรยากาศอบอุ่นอันคุ้นเคยแทรกซึมเข้าสู่ทรวงอก
แต่ก่อนที่จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ชายคนนั้นก็หันมาหาพวกเขาแล้วเผยยิ้มอย่างไร้ความเกรงกลัว
ขณะวางดาบยาวพักไว้บนไหล่
“ใช้ไม่ได้เอาซะเลยนะ
ทั้งที่เป็นผู้นำแต่กลับสละทหารแล้ววิ่งหนี ดูอย่างองค์หญิงของพวกเราสิ
อุตส่าห์วิ่งไปทั่วสนามรบ เพื่อช่วยทหารสักคน”
“แก,
เป็นใครกัน?!”
หนึ่งในผู้ติดตามที่ทนไม่ไหวร้องถาม,
ชายคนนั้นไขว้ดาบลงมาแล้วตอบ
“จักรวรรดิสีเลือด,
หนึ่งในผู้ติดตามฮิยูกิ-ซามะ, มาโรโดะ”
“ห๊ะ--!”
ในขณะที่ผู้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพหน้าซีดเผือก
ชายที่เรียกขานตัวเองว่ามาโรโดะ, ก็ก้าวมาข้างหน้าราวกับร่ายรำ
แล้ววาดดาบออกไปในแนวขวาง
“--「เกลียวคลื่นถาโถม」”
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว,
ทั้งคนที่กำลังชักดาบออกมา คนที่กุมดาบเอาไว้ หรือแม้แต่คนที่กำลังจะหนี
ทุกคนต่างกลายเป็นซากศพอย่างเงียบงัน
เพียงคนเดียวที่รอด,
ขุนนางที่อยู่หลังทุกคน
“…จริงๆเลยนะ,
เจ้านี่ช่างโชคร้ายเสียจริง ฉันในตอนนี้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยั้งมือไว้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
เอาละ ตามคนของเจ้าที่ไปรออยู่ในนรกก่อนแล้วกัน เอิร์ลวิโรเลส (Earl
Villoresi)” (TL:ถึงจะยังเหลือเยื่อบางๆ (ความเป็นมนุษย์)
แต่เจ้าตัวก็เปลี่ยนไปแล้วจึงใช้คำว่า ‘ฉัน’ ที่เป็นทางการมากกว่า ‘ผม’
แต่มุมมองที่มีต่ออีกฝ่ายทำให้ใช้คำว่า ‘เจ้า’)
เหม่อมองไปยังคนที่ก้าวเข้ามาใกล้
ทั้งรูปร่างและน้ำเสียงที่หลุดออกจากปาก ช่างคุ้นเคยจนท่านเอิร์ลตะลึงงัน
“…มะ,
มาโรโดะ?, ไม่, กะ, แก, ....ไม่สิ, ท่านคือ เจ้าชาย... แอช-…”
“คนที่ใช้ชื่อนั้นนะ ตายไปแล้ว, คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าก็แค่ซากศพ...ที่จะหายไปในไม่ช้า
และเหลือเพียงแต่ มาโรโดะเท่านั้น”
พูดเช่นนั้นแล้ว
เขาก็ตวัดดาบไปตรงหน้า
…ที่มุมหนึ่งของสนามรบ, ทุกชีวิตก็ถึงจุดจบ
ท่ามกลางความเงียบสงบไม่สมเป็นสนามรบ
มาโรโดะถอนหายใจแล้วกระซิบกับความว่างเปล่า
“ถ้าเธอเห็นผมในตอนนี้,
เธอจะเสียใจ หรือว่าจะโกรธแค้นที่ไม่สามารถปกป้องเธอเอาไว้ได้กัน…”
“—เจ้าต้องการคำตอบแบบไหนกันละ?
เจ้าไม่คิดหรือว่าดวงวิญญาณของเธอคนนั้นจะอยากให้เจ้ามีความสุข?”
เสียงใสตอบเขา
“…บางทีนะ,
องค์หญิง”
พาด「ดอกกุหลาบแห่งความลับ」ไว้บนไหล่ซ้าย,
ฮิยูกิยืนอยู่ที่นั้นโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว
“ขอโทษนะ,
แต่เก็บน้ำตาของเจ้าเอาไว้ก่อนได้ไหม? ตอนนี้สงครามจบแล้ว
แต่ดูเหมือนจะเกิดจลาจลขึ้นที่เมืองหลวง ช่วยไปทำให้มันสงบอย่างที่ควรเป็นที”
“จลาจล…”
มาโรโดะพูดอย่างไม่อาจสงบอารมณ์ได้อยู่ใต้หน้ากาก
ฮิยูกิยักไหล่เบาๆ
“ใช่
ถึงอย่างไรบทสรุปสงครามก็ถูกประกาศแล้ว ด้วยฝีมือของทหารอาสา
กลุ่มคนที่ไม่พอใจในพวกขุนนางจนถึงตอนนี้จึงพากันลุกฮือแล้วก่อจลาจล –อา
ดูเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ใครสักคนปลูกไว้จะเริ่มแตกหน่อ”
“…อา, เป็นเช่นนั้นเอง”
พึมพำเสียงค่อย,
มาโรโดะ...ดูราวกับนักเดินทางที่ในที่สุดก็ปลดสัมภาระอันหนักหนาลงได้เสียที,
เขาถอนหายใจอย่างปลอดโปร่ง
“นั่นละ,
ถ้านายยังมีเรื่องที่จะทำก็ไม่ควรช้า ประเดี๋ยวจะไม่ทันพลที่ยกทัพไปที่เมืองหลวงเอานะ?”
“ทราบแล้วขอรับ
มีหลายสิ่งที่ผมต้องไปทำจริงๆ”
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกอยากถามสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่
แต่จนสุดท้ายเธอก็ไม่ได้ถามสิ่งใด
มองไปยังมาโรโดะที่ดูจะโล่งอกขึ้น,
และถามอย่างตรงไปตรงมา
“องค์หญิง
เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว ผมจะขอยืมอกท่านมาร้องไห้ได้หรือไม่?”
“–วะ, ว่าไงนะ?!—ไปร้องไห้คนเดียวสิ!”
ฮิยูกิกอดหน้าอกของตัวเองแล้วถอยห่างออกไป
“อา
ผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากร้องไห้ซบอกผู้หญิงเวลาเจ็บปวดนะขอรับ”
“ตะ-แต่ไม่ดีกว่าหรอ
ถ้าไม่ใช่หน้าอกแบนๆอย่างฉัน, อย่างของโซเฟียเป็นไง? หน้าอกเธอใหญ่
ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว” (TL:
เผื่อใครนึกไม่ออก โซเฟีย คือ เจ้าหญิงออร์คตอนท้ายเล่มหนึ่งจ้า)
“…คุณผู้หญิงออร์ค?
ผมคงถูกรัดคอตาย”
ทิ้งมาโรโดะที่ฝันสลายไว้,
ฮิยูกิวิ่งหายไปราวกับสายลม
“ไม่ไหว, ไม่ไหว” เกาแก้มของตัวเอง,
มาโรโดะหันหน้าไปทางเมืองหลวง “สงสัยจังว่าเขาจะยังรอผมอยู่ไหมนะ…”
เขาพึมพำชื่อใครบางคน
แต่ไม่มีใครได้ยิน
End
Author Notes
ฟุ, สุดท้ายก็จบลงด้วยดี ไม่พังพินาศไปไกล
ภาคเมืองหลวงกำลังจะจบแล้ว
Talk: สงสัยจังว่ามาโรโดะพึมพำชื่อใคร จะใช่.....หรือเปล่านะ
//หัวเราะ
ความคิดเห็น