ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [นิยายแปล] Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru

    ลำดับตอนที่ #36 : 2-15 Episode 12

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.9K
      100
      27 ต.ค. 59

    Chapter 2Turbulence in Royal Capital

    Episode 12 การต่อสู้ที่ปิดฉากลง

    นับตั้งแต่เริ่มสงคราม, มันเป็นอะไรที่บ้าและทรงอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อ เหล่าขุนนางผู้เป็นศัตรูของกองทัพมอนเตอร์ถูกโจมตีด้วยพลังและเวทมนต์ที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน ถึงอย่างนั้นการโจมตีครั้งถัดมากลับไม่มาถึงเสียที พวกเขาจึงเชื่อกันว่าการโจมตีระดับนั้นไม่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง, โดยไม่รู้เลยว่าพลังที่ว่าก็คือ ดินปืน และพลุไฟ –อา เพราะพวกนั้นขอใช้ดินปืนจุดพลุไฟ ตอนที่กำลังดื่มไปเชียร์ไปอย่างสบายอกสบายใจเท่านั้นเอง –เท่านั้นจริงๆ

    เพิ่มเติมจากนั้น, เหล่ามอนเตอร์ที่ประจำอยู่ที่ทุ่งราบอาคีระเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

    เริ่มด้วยการมองแม่ทัพของฝ่ายขุนนาง, ผู้ซึ่งถูกตัดสินว่าเป็นศัตรู และพุ่งเข้าโจมตี ทันทีด้วยความรู้สึกฮึกเหิมและกระหายชัยชนะ

    จำนวนทหารที่เหลืออยู่ของอาณาจักรเอมาทีเกิน 28,000 ขณะที่จำนวนมอนเตอร์มีเพียง 10,000

    ในทางทฤษฎีย่อมสามารถใช้รูปแบบการต่อสู้ 3 คนต่อ 1 ตัวได้สบาย ดังนั้นจึงมีค่าทัดเทียมกัน แต่ทว่า, ต่างจากรูปแบบการต่อสู้ทั่วไป, ผลต่างของจำนวนส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มกันต่อสู้

    พวกเราชนะได้!!”

    ขุนนางทุกคนต่างก็เชื่อเช่นนั้น คำสั่งแรกจึงแบ่งทหารอาสาออกเป็นกลุ่มๆ และสั่งไปอยู่ที่แนวหน้า เพื่อรักษากองทัพส่วนตัว

    ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมาก แต่บรรดาขุนนางก็ไม่ได้เห็นดีไปกว่าเครื่องสังเวย—อา พวกเขามองว่าคนที่ให้การสนับสนุนเจ้าชายที่สามเป็นผู้ทรยศ และอาจก่อกบฏได้ การกำจัดทิ้งไปจึงเป็นเรื่องที่ชอบธรรม—ทหารอาสาทั้งหลายพากันถืออาวุธดินเหนียวและชุดเกราะที่สร้างขึ้นหยาบๆ ถึงแม้พวกเขาจะยืนอยู่เฉยๆอย่างหมดท่ากลางดงศัตรู ก็อาจจะถูกทุบด้วยนักรบโทรลล์ หรือถูกหวดด้วยการโจมตีของฝูงก๊อบลิน

    กองกำลังอันน่าสะพรึงกลัวจู่โจมไปทั่วบริเวณ แต่งแต้มภาพวาดขุมนรกอันทุกข์ทรมานให้ปรากฏต่อสายตา

    ในสภาพที่สับสนวุ่นวายและโกลาหลเช่นนี้, กองทัพของพวกขุนนางที่คอยยืนพร้อมอยู่ด้านหลังจึงยิงลูกธนูออกมามากมายราวกับสายฝน และยังให้นักเวทย์ยิงธนูน้ำแข็งเสริมด้วย โดยไม่สนว่าจะถูกมิตรหรือศัตรู

    จากนั้น, เรียกทหารม้ากลับเข้ามา ทิ้งให้ทหารที่สลับเข้ามาแทนกำจัดผู้มีชีวิตรอด--เป็นภาพที่เห็นได้ทุกที่บนสนามรบ

    ศึกนี้ถูกตัดสินไว้แล้ว! แค่สัตว์ชั้นต่ำ ต่อให้รวมตัวกันก็ไม่ใช่ปัญหา!

    ด้วยความเชื่อมั่นในชัยชนะ รอยยิ้มด้วยความพอใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าแม่ทัพฝ่ายขุนนางแต่ละคน แต่อย่างไรก็ตามการคงทนของศัตรูกลับไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์และกองกำลังของพวกเขาที่ลดลงไปตามเวลาที่ผ่านไป ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ เริ่มขมวดคิ้ว และเหงื่อเย็นๆเริ่มไหลต่างน้ำ

    เรื่องบ้าอะไรกัน?! พวกมันมาจากไหนกันมากมาย!? แล้วยังตั้งใจสู้ไม่หยุดหย่อน ราวกับไม่รู้จักความตาย!

    เข็มที่ชี้ไปทางอาณาจักรเอมาทีเมื่อตอนต้นค่อยๆเบนมายังจักรวรรดิสีเลือดอย่างเชื่องช้า แต่ดูราวกับไม่มีทางย้อนกลับไป

    ◆◇◆◇

    อืม ปกติพื้นที่ของAll-Rise(TL: ฟื้นคืนชีพทั้งหมดในพื้นที่) คือ 8x8 ช่อง ยังดีที่ตอนนี้ก็คือในรัศมี 50 เมตร…”

    โดยไม่สนความเป็นมิตรหรือศัตรู, ผมยืนอยู่ท่ามกลางหมู่ทหารที่ค่อยๆทิ้งร่างสู่ทะเลเลือด และเรียกใช้สกิลนักบุญAll-Rise

    แสงไฟสลัวๆลอยจากไม้เท้ายาวในมือดอกกุหลาบแห่งความลับลอยไปรอบๆ เหล่าซากศพที่ฟื้นมาจากความตายลุกขึ้นมองไปรอบๆอย่างมึนงง

    ถึงไม่สนว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ก็ไม่รู้จะพูดว่าเป็นเรื่องสบายๆดีไหม.... ให้ตายสิ รู้สึกเหมือนนกบ้าบางตัวบินมาด่าว่าโง่เสียจริง อ่า เปลือง MP โดยใช่เหตุจริง

    ขณะพึมพำกับตัวเอง ผมก็เคลื่อนที่แล้วใช้All-Riseอีกครั้งโดยไม่มีหยุด

    แต่ทว่าAll-Riseก็ไม่เหมือนกับResurrectionเพราะสามารถฟื้นเลือดได้เพียง 20% เท่านั้น มิโคโตะที่ตามมาทีหลังจึงใช้สกิลฟื้นฟูแบบวงกว้างสายฝนเทพธิดาฟื้นเลือดให้เต็ม

    เพราะการฟื้นคืนชีพนั้นไม่เกี่ยงทั้งมิตรและศัตรู กลุ่มที่ฟื้นขึ้นมาด้วยกลุ่มสองกลุ่มจึงตกอยู่ในสับสนและกระโจนเข้าต่อสู้กันอีกครั้ง, แต่อย่างไรก็ตาม

    อา, เหล่าข้า(รับใช้)แห่งจักรวรรดิเอมาทีที่ฟื้นคืนชีพเอ๋ย, จงรีบไปยังแถวหน้าซะ! สงครามกระจายตัวไปไกลแล้ว อย่าได้ช้า! แล้วก็, ผู้คนจากอาณาจักรเอมาทีเอ๋ย เราจะไม่ขัดขวางถ้าเจ้าคิดจะต่อต้านพวกขุนนางทั้งหลายที่ได้สละพวกเจ้า, ทำแม้แต่โจมตีพวกเจ้าจากเบื้องหลัง แต่เราผู้นี้จะไม่ฟื้นคืนชีพให้อีก หากคิดจะไล่ตามเราเมื่อเราจากไป จะไม่ได้รับอนุญาตให้ยกเว้น, เท่านี้ละ

    ผมพูดทุกสิ่งที่อยากพูด (เพราะสามารถฟื้นคืนได้แค่ภายใน 30 นาทีที่ตาย, ผมจึงเสียเวลาที่นี้ไม่ได้) แล้วจากไป

    อันที่จริง, ในเวลาถัดมาผมก็ได้ยินว่า ทหารอาสาส่วนใหญ่ถอนตัวจากสนามรบด้วยสภาพเลื่อนลอยเหมือนถูกเอาวิญญาณไป

    “…เจ้าคิดว่าเราอ่อนโยนขึ้นหรือไม่, มิโคโตะ อามาริ?”

    ทันใดนั้น, ระลึกถึงอัศวินสวมหน้ากากบางคนในสนามรบ ผมถามกับทั้งสองคน

    ในเรื่องนี้ –ตั้งแต่ต้นแล้ว หาใช่เรื่องที่องค์หญิงจำเป็นต้องกังวลไม่เจ้าค่ะ

    ไม่ว่าองค์หญิงปรารถนาจะช่วยเหลือหรือจะทารุณทรมาน ดิฉันก็ล้วนแต่ยินดีทั้งนั้นเจ้าค่ะ

    “…อา, ขอบคุณ

    เข้าใจละ, เป็นงั้นเองสินะ

    อืม ถ้างั้น,ก็เริ่มงานกันต่อเถอะ!!”

    ให้กำลังใจตัวเองแล้วผมก็วิ่งไปทั่วสนามรบราวกับสายลม

    ◆◇◆◇

    ผลลัพธ์นั้นเห็นได้ชัดเจนราวกับกลางวันและกลางคืน

    จักรวรรดิสีเลือดที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ทุกประการค่อยๆตีกรอบกองทัพอาณาจักรเอมาทีทีละด้าน, ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บแล้ว ยังไม่มีกำลังเสริมและถูกทอดทิ้งจากพวกขุนนาง, ยิ่งไปกว่านั้นเหล่ากองกำลังภายใต้จักรวรรดิสีเลือดยังพร้อมเหยียบย้ำพวกเขา ไม่ให้เหลือใครแม้แต่คนเดียว

    —หะ,หนี....ไม่, ถอยทัพ!”

    ขุนนางฝ่ายราชวงศ์ที่รอดตายควบม้าศึกของตนเอง, พยายามหนีไปจากสนามรบด้วยความเร่งรีบสุดชีวิต

    เหล่าคนสนิทที่อยู่ใกล้เคียงมองหน้ากัน แล้วถามยืนยันอย่างไม่แน่ใจ

    แล้วจะเอาอย่างไรกับทหารที่ต่อสู้อยู่ละขอรับ, ต้องส่งสัญญาณถอยทัพให้หรือไม่?”

    อย่าโง่น่า! การถ่วงเวลาให้พวกเราถอยทัพ, เป็นหน้าที่ของพวกชั้นต่ำอยู่แล้ว! ตอนที่พวกนั้นต้านมอนเตอร์เอาไว้ พวกเราก็รีบหนีไปจากที่นี้ดีกว่า!”

    ฟังเสียงตะโกนด้วยหน้าแดงก่ำ คนสนิทของเขาก็พยักหน้าให้กันและตะเกียกตะกายกันขึ้นม้าของตัวเอง

     

    “…ไม่ไหวๆ, นี่มันไม่รับผิดชอบกันเกินไปหน่อยหรือไง?”

     

    ขณะนั้นเองก็เกิดแรงระเบิดขึ้นหน้าขบวนของพวกเขา ม้าที่ตกใจพากันสะบัดคนบนหลังแล้ววิ่งหนีออกไปจากสนามรบ, ทิ้งเจ้าของเอาไว้เบื้องหลัง

    เหมือนกันทั้งม้าทั้งเจ้านายเลยนะ.......

    ฝุ่นผงที่ลอยฟุ้งเพราะแรงตกจากหลังม้า, หรืออย่างน้อยก็อย่างนั้น, จางลง พวกเขาก็เห็นอัศวินในชุดเกราะสีแดงและหน้ากากสีแดงก่ำ

    --คนคนนี้, รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    บรรยากาศอบอุ่นอันคุ้นเคยแทรกซึมเข้าสู่ทรวงอก แต่ก่อนที่จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ชายคนนั้นก็หันมาหาพวกเขาแล้วเผยยิ้มอย่างไร้ความเกรงกลัว ขณะวางดาบยาวพักไว้บนไหล่

    ใช้ไม่ได้เอาซะเลยนะ ทั้งที่เป็นผู้นำแต่กลับสละทหารแล้ววิ่งหนี ดูอย่างองค์หญิงของพวกเราสิ อุตส่าห์วิ่งไปทั่วสนามรบ เพื่อช่วยทหารสักคน

    แก, เป็นใครกัน?!”

    หนึ่งในผู้ติดตามที่ทนไม่ไหวร้องถาม, ชายคนนั้นไขว้ดาบลงมาแล้วตอบ

    จักรวรรดิสีเลือด, หนึ่งในผู้ติดตามฮิยูกิ-ซามะ, มาโรโดะ

    ห๊ะ--!”

    ในขณะที่ผู้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพหน้าซีดเผือก ชายที่เรียกขานตัวเองว่ามาโรโดะ, ก็ก้าวมาข้างหน้าราวกับร่ายรำ แล้ววาดดาบออกไปในแนวขวาง

     

    --เกลียวคลื่นถาโถม

     

    ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว, ทั้งคนที่กำลังชักดาบออกมา คนที่กุมดาบเอาไว้ หรือแม้แต่คนที่กำลังจะหนี ทุกคนต่างกลายเป็นซากศพอย่างเงียบงัน

    เพียงคนเดียวที่รอด, ขุนนางที่อยู่หลังทุกคน

    “…จริงๆเลยนะ, เจ้านี่ช่างโชคร้ายเสียจริง ฉันในตอนนี้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยั้งมือไว้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เอาละ ตามคนของเจ้าที่ไปรออยู่ในนรกก่อนแล้วกัน เอิร์ลวิโรเลส (Earl Villoresi) (TL:ถึงจะยังเหลือเยื่อบางๆ (ความเป็นมนุษย์) แต่เจ้าตัวก็เปลี่ยนไปแล้วจึงใช้คำว่า ฉัน ที่เป็นทางการมากกว่า ผม แต่มุมมองที่มีต่ออีกฝ่ายทำให้ใช้คำว่า เจ้า)

    เหม่อมองไปยังคนที่ก้าวเข้ามาใกล้ ทั้งรูปร่างและน้ำเสียงที่หลุดออกจากปาก ช่างคุ้นเคยจนท่านเอิร์ลตะลึงงัน

    “…มะ, มาโรโดะ?, ไม่, กะ, แก, ....ไม่สิ, ท่านคือ เจ้าชาย... แอช-…”

    คนที่ใช้ชื่อนั้นนะ ตายไปแล้ว, คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าก็แค่ซากศพ...ที่จะหายไปในไม่ช้า และเหลือเพียงแต่ มาโรโดะเท่านั้น

    พูดเช่นนั้นแล้ว เขาก็ตวัดดาบไปตรงหน้า

    ที่มุมหนึ่งของสนามรบ, ทุกชีวิตก็ถึงจุดจบ

    ท่ามกลางความเงียบสงบไม่สมเป็นสนามรบ มาโรโดะถอนหายใจแล้วกระซิบกับความว่างเปล่า

     

    ถ้าเธอเห็นผมในตอนนี้, เธอจะเสียใจ หรือว่าจะโกรธแค้นที่ไม่สามารถปกป้องเธอเอาไว้ได้กัน…”

     

    —เจ้าต้องการคำตอบแบบไหนกันละ? เจ้าไม่คิดหรือว่าดวงวิญญาณของเธอคนนั้นจะอยากให้เจ้ามีความสุข?

    เสียงใสตอบเขา

    “…บางทีนะ, องค์หญิง

    พาดดอกกุหลาบแห่งความลับไว้บนไหล่ซ้าย, ฮิยูกิยืนอยู่ที่นั้นโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว

    ขอโทษนะ, แต่เก็บน้ำตาของเจ้าเอาไว้ก่อนได้ไหม? ตอนนี้สงครามจบแล้ว แต่ดูเหมือนจะเกิดจลาจลขึ้นที่เมืองหลวง ช่วยไปทำให้มันสงบอย่างที่ควรเป็นที

    จลาจล…”

    มาโรโดะพูดอย่างไม่อาจสงบอารมณ์ได้อยู่ใต้หน้ากาก

    ฮิยูกิยักไหล่เบาๆ

    ใช่ ถึงอย่างไรบทสรุปสงครามก็ถูกประกาศแล้ว ด้วยฝีมือของทหารอาสา กลุ่มคนที่ไม่พอใจในพวกขุนนางจนถึงตอนนี้จึงพากันลุกฮือแล้วก่อจลาจล –อา ดูเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ใครสักคนปลูกไว้จะเริ่มแตกหน่อ

    “…อา, เป็นเช่นนั้นเอง

    พึมพำเสียงค่อย, มาโรโดะ...ดูราวกับนักเดินทางที่ในที่สุดก็ปลดสัมภาระอันหนักหนาลงได้เสียที, เขาถอนหายใจอย่างปลอดโปร่ง

    นั่นละ, ถ้านายยังมีเรื่องที่จะทำก็ไม่ควรช้า ประเดี๋ยวจะไม่ทันพลที่ยกทัพไปที่เมืองหลวงเอานะ?

    ทราบแล้วขอรับ มีหลายสิ่งที่ผมต้องไปทำจริงๆ

    ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกอยากถามสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ แต่จนสุดท้ายเธอก็ไม่ได้ถามสิ่งใด

    มองไปยังมาโรโดะที่ดูจะโล่งอกขึ้น, และถามอย่างตรงไปตรงมา

    องค์หญิง เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว ผมจะขอยืมอกท่านมาร้องไห้ได้หรือไม่?”

    –วะ, ว่าไงนะ?!—ไปร้องไห้คนเดียวสิ!”

    ฮิยูกิกอดหน้าอกของตัวเองแล้วถอยห่างออกไป

    อา ผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากร้องไห้ซบอกผู้หญิงเวลาเจ็บปวดนะขอรับ

    ตะ-แต่ไม่ดีกว่าหรอ ถ้าไม่ใช่หน้าอกแบนๆอย่างฉัน, อย่างของโซเฟียเป็นไง? หน้าอกเธอใหญ่ ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว (TL: เผื่อใครนึกไม่ออก โซเฟีย คือ เจ้าหญิงออร์คตอนท้ายเล่มหนึ่งจ้า)

    “…คุณผู้หญิงออร์ค? ผมคงถูกรัดคอตาย

    ทิ้งมาโรโดะที่ฝันสลายไว้, ฮิยูกิวิ่งหายไปราวกับสายลม

    ไม่ไหว, ไม่ไหวเกาแก้มของตัวเอง, มาโรโดะหันหน้าไปทางเมืองหลวง “สงสัยจังว่าเขาจะยังรอผมอยู่ไหมนะ…”

    เขาพึมพำชื่อใครบางคน แต่ไม่มีใครได้ยิน

     

    End

    Author Notes

    ฟุ, สุดท้ายก็จบลงด้วยดี ไม่พังพินาศไปไกล

    ภาคเมืองหลวงกำลังจะจบแล้ว

    Talk: สงสัยจังว่ามาโรโดะพึมพำชื่อใคร จะใช่.....หรือเปล่านะ //หัวเราะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×