ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #16 : Manace Emerging

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.55K
      6
      8 ก.พ. 65

    Manace Emerging








    เฟรินไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ร่างโปร่งของหัวขโมยหายวับไปจากคลองสายตาเด็กหนุ่มก่อนปรากฏตัวอีกครั้งในระยะประชิด รวดเร็วเสียจนนักดาบแทบไม่มีเวลาคิดยามทิ้งกายไปด้านหลังเพื่อหลบฝ่ามือของหัวขโมยที่พุ่งใส่หมายกระแทกเข้าปลายคางเด็กหนุ่มไปได้อย่างเฉียดฉิว

    นักดาบกัดฟันกรอด ใช้มืออีกข้างยันพื้นเพื่อดีดตัวกลับ ก่อนพลิกมือเสือกดาบแทงไปข้างหน้าด้วยความเร็วไม่แพ้กัน คมดาบสะกิดข้างแก้มขณะขโมยเอี้ยวตัวหลบให้พอได้โลหิต ทว่าหัวขโมยกลับยิ้มบางก่อนใช้มืออีกข้างคว้าแขนที่ถือดาบอย่างถนัดถนี่ 

    คริสโตกระพริบตาอย่างแปลกใจเล็กน้อยก่อนภาพเบื้องหน้าจะพลิกคว่ำคะมำหงายเมื่อถูกหัวขโมยตวัดเท้ารวบขาก่อนหมุนตัวทุ่มข้ามศีรษะ

    "เหวอ" นักดาบเผลอหลุดเสียงร้องด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะได้สติรีบปล่อยดาบลงกับพื้น พลางสลัดแขนที่หัวขโมยจับโดยการพลิกหมุนตัวอย่างเร็วกลางอากาศก่อนที่ร่างจะสัมผัสพื้น พลางดีดตัวถอยไปตั้งหลักอีกด้านของเวที

    นักดาบแห่งเอเธนส์จ้องมองร่างโปร่งของหัวขโมยด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งประหลาดใจในพละกำลังที่ไม่สมกับรูปร่างโปร่งบางใต้เสื้อผ้าที่ดูหลวมโพรก ทั้งทึ่งในไหวพริบและความว่องไวอย่างที่เขาไม่รู้จะเรียกว่า 'สมกับเป็นหัวขโมย' ดีหรือไม่

    แวบหนึ่งคริสโต เอเดรียนรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าที่เขาว่ากันว่าคนป้อมอัศวินนั้นเป็นพวกซ่อนคมในฝักเป็นจริงแท้ โดยเฉพาะหัวขโมยตรงหน้า ดวงตาสีทองของเด็กหนุ่มเป็นประกายจ้าด้วยความตื่นเต้น

    ดาบที่หล่นอยู่ถูกเรียกกลับเข้ามือเจ้าของด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกขณะตั้งท่า ดาบมือเดียวสองคมในมือขนานกับไหล่ ใบดาบทรงใบไม้ของเขาสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายอันตราย

    "ทีแรก ข้านึกว่าเจ้าเป็นแค่โจรกระจอกที่โชคดี แต่ดูเหมือนเจ้าจะเป็นของจริงนะ เฟริน เดอร์เบอร์โรว์" 

    "แล้วข้าดูเหมือนหัวขโมยเก๊หรือยังไง" หัวขโมยว่าพลางยักไหล่ ส่งรอยยิ้มยียวน หากดวงตาสีน้ำตาลของหัวขโมยกลับวาววับไม่แพ้นักดาบ อาจเพราะการประมือกันเมื่อครู่ได้เผยคมของเด็กหนุ่มจากเอเธนส์ให้เห็นแล้วว่าคมไม่แพ้ผู้อื่นในป้อมอัศวิน

    หนึ่งหัวขโมยหนึ่งนับดาบเล่นเกมจ้องตากันครู่ใหญ่ แล้วในชั่วพริบตานั้น ดาบในมือคริสโต เอเดรียนก็จ้วงแทงใส่ร่างของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว ซ้ำยังดุดันกว่าที่ผ่านมา บอกให้รู้ว่ายามนี้นักดาบแห่งเอเธนส์ 'เอาจริง' 

    ทว่ายังเป็นหัวขโมยที่ไวกว่าเล็กน้อย เฟรินพลิกตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียดทุกครั้ง เรียกเสียงเชียร์จากรอบเวทีเป็นระยะ แม้คริสโตจะพยายามรุกไล่อย่างไร หัวขโมยก็พลิ้วกายหลบไปได้เสียทุกครั้ง กระทั่งคนรุกไล่เริ่มหอบหายใจกระชั้น เฟรินก็พลิกกลับเป็นฝ่ายโจมตี หัวขโมยฟันศอกใส่แขนก่อนหมุนกายเตะ ทว่าเด็กหนุ่มจากเอเธนส์ยกแขนขึ้นกันได้ทันก่อนถอยร่นไปอีกฟาก

    เฟรินพุ่งตัวตาม หากต้องชะงักเมื่อคริสโตเปลี่ยนท่าที่ถือดาบ เด็กหนุ่มถือดาบตั้งฉากโดยหันปลายดาบชี้ลงพื้นก่อนร่ายเวทย์ ใบดาบของเขาคล้ายเปล่งแสงเรื่อเรือง แล้ววงเวทย์ก็ปรากฏขึ้นบนพื้นเวที ตามด้วยแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อนร่างใหญ่ของโกเล็มหินค่อยปรากฏขึ้น เรียกเสียงฮือฮาจากรอบข้างเวทีได้อีกระลอก

    สิ้นแสงเรื่อเรือง โกเล็มหินเหยียดยืนจังก้ากลางเวทีก่อนขยับร่างใหญ่โตของมันไปมาจนเกิดเสียงครืดคราด ดวงตากลวงโบ๋เปล่งแสงสีทองก่อนคำรามก้อง

    "ดูสิว่าเจ้าจะยังไวพอรับมือโกเล็มหินของข้าได้หรือไม่ เดอเบอโรว์" เด็กหนุ่มจากเอเธนส์ว่าพลางชี้ปลายดาบมายังเฟริน เป็นสัญญาณให้โกเล็มหินพุ่งตรงเข้าโจมตีใส่หัวขโมย เฟรินแค่นยิ้ม

    "เล่นของใหญ่เชียวนะ...ผ่าปฐพี" สิ้นเสียง ดาบเล่มใหญ่ปรากฏขึ้นในมือหัวขโมย ก่อนเฟรินจะตวัดใช้มันรับหมัดของโกเล็มที่เหวี่ยงลงมา

    เสียงโลหะกระทบหินดังสนั่น แรงปะทะส่งให้หัวขโมยถอยร่นตามแรงไปหลายก้าว โกเล็มยักษ์ไม่ปล่อยให้เฟรินมีเวลาตั้งตัวมากนัก มันก้าวตามติดและปล่อยหมัดต่อเนื่อง หากเฟรินยังใช้ดาบใหญ่ปัดออกได้ทุกครั้ง ให้คนชมได้แต่ตกตะลึงและพากันส่งเสียงเชียร์ลั่น

    "เจ้าบ้าเฟรินออกจะผอมบาง ถึงมันจะกินจุเหมือนยักษ์มารก็เถอะ แต่มันไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกัน" ครี้ด ธันเดอร์เอ่ยออกมาด้วยความสงสัยในที่สุดหลังจากเฝ้าดูการต่อสู้ของโกเล็มยักษ์และหัวขโมยมาพักใหญ่

    "เพิ่งรู้ว่าการที่เจ้าเหลือตาข้างเดียวจะทำให้สายตาเจ้าฝ้าฟางขนาดนี้ เจ้าทึ่มครี้ด เบิกตามองให้กว้างๆ อย่าให้ไอ้ตัวแสบนั่นหลอกสิ" 

    "หะ? เจ้าหมายความว่ายังไงน่ะคิล" นักรบร่างใหญ่ยังคงมีสีหน้างงงวย โร เซวาเรสจึงช่วยอธิบายเพิ่มเติม

    "คิลมันหมายถึงว่า เฟรินมันไม่ได้รับหมัดของโกเล็มด้วยแรงของมันตรงๆ เลยสักครั้ง มันใช้วิธีขยับตัวเบี่ยงแรงออกทันทีที่ดาบมันสัมผัสกับหมัดของโกเล็มต่างหาก" แม้จะได้ขอทานช่วยอธิบาย หากนักรบจากไนล์ยังคงมีสีหน้างงงวย

    "อธิบายอะไรยุ่งยาก เอาเป็นว่าเจ้าเปี๊ยกมันเก่งก็แล้วกัน เฮ้ยยย เฟริน จัดการเลยยย" 

    หลังจากปะทะกันพักใหญ่ สุดท้ายฝ่ายที่ดูเหมือนจะหมดแรงก่อนกลายเป็นเด็กหนุ่มจากเอเธนส์ คริสโตหอบหายใจน้อยๆ ใบหน้าของเด็กหนุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อในขณะโกเล็มหินร่างสูงใหญ่นั้นคล้ายจะเชื่องช้าลง 

    เฟรินไม่ยอมพลาดโอกาสนั้น เด็กหนุ่มเงื้อดาบใหญ่ขึ้นสูง พริบตานั้น คล้ายผ่าปฐพีจะเรืองแสงน้อยๆ ยามเฟรินฟันฉับลงมา 

    คมดาบผ่าปฐพีแยกโกเล็มออกเป็นสองส่วน ก่อนร่างของมันจะแตกกลายเป็นเศษหินกระจายเต็มลาน ในขณะที่เด็กหนุ่มผู้เรียกมันออกมายืนโงนเงนก่อนจะทรุดกายคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

    "ตุ๊กตาหินของเจ้าไม่เลวเลย เอเดรียน แต่โชคร้ายที่ดาบข้าเจ๋งกว่า" หัวขโมยโอ่พลางยกดาบขึ้นพาดบ่า อีกมือหนึ่งล้วงกระเป๋า ท่าทียียวนขัดตายิ่ง หากนักดาบจากเอเธนส์กลับยิ้มออกมาแม้ใบหน้าชุ่มเหงื่อซีดขาว

    "ดาบของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ เดอเบอโรว์ ถ้าดวงตาข้าไม่ได้ถูกลวง นั่นคงจะเป็น ดาบอาถรรพ์ในตำนานของจ้าวปีศาจ" เฟรินเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ 

    "เจ้าเป็นนักดาบที่รอบรู้ไม่แพ้ขอทาน"

    คริสโต ผุดลุกขึ้นยืนพลางตอบ

    "ไม่มีนักดาบผู้ใดในเอเธนส์ไม่รู้จักดาบเล่มนั้น เพียงแต่ไม่คิดว่าข้าจะมีโอกาสได้พิสูจน์ตำนานนั่นด้วยตนเอง" ดาบในมือถูกยกขึ้นขนานกับพื้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มตั้งท่าพร้อมสู้ต่อ หากหัวขโมยถอนใจเฮือก

     "ข้าเสียใจจริงๆ เอเดรียน" เฟรินพูดด้วยรอยยิ้มที่โร เซวาเรสเห็นจนชินตาและเตือนตัวเองเป็นรอบที่ร้อยให้ระวัง

    "เผอิญ ข้ากำลังรีบ" พูดจบหัวขโมยก็ปาของในมือที่เพิ่งชักออกมาจากกระเป๋าออกไป ก่อนจะเกิดเสียงระเบิดดังปุ้ง พร้อมควันมากมายที่โพยพุ่งออกมาจนปกคลุมไปทั้งลานประลอง

    "หืม ระเบิดควันนั่นมัน... เจ้าบ้านั่น หยิบไปตอนไหนน่ะ" คิลโวยวางพลางล้วงกระเป๋าตัวเองให้วุ่นวาย 

    ท่ามกลางกลุ่มควันนั้น คริสโตตั้งท่าเตรียมพร้อมเต็มที่ หากทันใดนั้นเอง

    "ท่าดาบเจ้าสวยดีนะ แต่ยังมีช่องว่างมากเกินไป" เสียงกระซิบดังที่ข้างหู คริสโตรีบหันตามหากสายเกินไป สันดาบของเฟรินฟาดกระทบศีรษะเขาจังๆ ก่อนร่างสูงของนักดาบจะร่วงลงกับพื้น พร้อมสติที่ขาดหาย

    เมื่อกลุ่มควันจางไป บนเวทีก็มีเพียงหัวขโมยที่ยืนอยู่ โดยมีร่างขององครักษ์แห่งเอเธนส์ นอนไร้สติอยู่กับพื้น

    "!"

    "เจ้าตัวแสบนั่น เอาจนได้สินะ" คิลมัสพูดกลั้วหัวเราะพร้อมรอยยิ้มกว้าง ดวงตาสีม่วงเต้นระริกอย่างชอบใจ หากร่างสูงของเพื่อนร่วมห้องที่ยืนข้างกันกลับส่ายหน้าน้อยๆ

    "เจ้าเล่ห์"

    "ก็สมกับเป็นหัวขโมยดีไม่ใช่หรือ คาโล" เจ้าชายเหลือบมองคนตอบ ดวงตาสีฟ้าสบกับดวงตาสีเดียวกับใบไม้ของขอทานครู่หนึ่ง ก่อนคนพูดน้อยจะตอบรับเพียงคำเดียว

    "อืม"

    โร เซวาเรส ยิ้มให้กับคำตอบนั้น หากเมื่อดวงตาสีเขียวเบนกลับไปยังร่างโปร่งบนเวที กลับปรากฏแววครุ่นคิด


    ------


    "ดูเหมือนผลจะออกมาแล้วสินะ" เจ้าชายโรเวนเอ่ยกับชิวาสที่ยืนอยู่ข้างกันเมื่อควันที่ปกคลุมเวทีจางไป ชายหนุ่มพยักหน้าให้ผู้คุมกฏ ก่อนชิวาสจะเป็นผู้ประกาศชัยชนะให้เฟรินท่ามกลางเสียงตะโกนเชียร์กึกก้อง

    "โซมาเนีย ปลดม่านพลังได้แล้ว เราจะได้พาคนเจ็บไปพัก" โรเวนเอ่ยกับผู้คุมกฏหญิงก่อนจะหมุนตัวกลับ หากสีหน้าของโซมาเนียทำให้เสนาธิการหนุ่มชะงัก

    "มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า โซมาเนีย" หญิงสาวหันหน้ามามองผู้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนเอ่ยประโยคที่เจ้าชายหนุ่มไม่คิดว่าจะได้ยิน

    "ข้าพยายามคลายเวทย์มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วโรเวน แต่เหมือนมันไม่ได้ผล"

    คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน โรเวน ฮาเวิร์ดเรียกคทาของตัวเองออกมาพลางร่ายเวทย์รัวเร็ว คทาของชายหนุ่มส่งแสงสีน้ำเงินสว่างวาบ หากม่านพลังตรงหน้าไม่เพียงไม่สลายตัวไปอย่างที่ควรจะเป็น หากกลับส่องแสงสีแดงเรื่อเรืองก่อนดูดกบืนแสงสีน้ำเงินจากคทาของเจ้าชายแห่งเจมิไนเข้าไป

    ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง รีบเรียกพลังเวทย์กลับก่อนสั่งการ

    "โซมาเนีย ส่งสัญญาณเรียกลูคัสกับลอเรนซ์ ชิวาส กันทุกคนให้ออกห่างจากลานประลอง อย่าให้แตกตื่นล่ะ ข้าจะส่งสัญญาณแจ้งไธนอสและเรียกสิบสองผู้พิทักษ์ป้อม" ชายหนุ่มหันกลับไปยังลานประลอง ดวงตาเขม้นมองม่านพลังที่โซมาเนียเป็นคนสร้างด้วยความไม่เข้าใจ

    ม่านพลังนี้เป็นเวทย์ที่ถูกใช้ในงานประลองเป็นปกติ มันมีไว้เพื่อจำกัดความเสียหายให้อยู่ภายใน แต่ไม่เคยดูดกลืนพลังจากภายนอก 

    ยิ่งคิดยิ่งไม่คล้ายเวทย์เขารู้จัก

    ที่สำคัญ มันเป็นเวทย์ที่แม้จะอยู่ในระดับกลาง หากมีนักเรียนปีสูงไม่กี่คนที่สามารถใช้ได้ด้วยเงื่อนไขอันซับซ้อนของมัน และในจำนวนไม่กี่คนนั้น โซมาเนีย มิสทรัลเป็นผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญที่สุดคนหนึ่ง 

    เป็นไปไม่ได้ที่นางจะใช้เวทย์ผิดพลาด

    เช่นนั้น คำถามสำคัญอาจไม่ใช่เกิดขึ้นได้อย่างไร 

    หากเป็นฝีมือใคร?!!


    ------



    ความวุ่นวายนอกเวทีประลอง ทำให้เฟรินนึกรู้ว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น

    ไหนจะม่านพลังนี่อีก 

    โชคร้ายที่ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล หรือหัวขโมยเฟริน เดอเบอโรว์ การสร้างม่านพลังเป็นเวทย์ที่เขาไม่สันทัดเท่าไหร่ เพราะเป็นเวทย์ที่ค่อนข้างซับซ้อนและใช้เวลามากเกินไปในการสร้างมันขึ้นมา

    ทั้งม่านพลังนี่ยังแข็งแกร่งยิ่ง ขนาดที่ผ่าปฐพียังไม่สามารถสร้างแม้แต่รอยขีดข่วน เฟรินจึงสรุปในใจได้ว่า นอกจากรอให้คนสร้างปลดม่านพลังนี่แล้ว เขาไม่มีหนทางอื่นที่จะออกไปจากเวทีหินนี่เลย

    หัวขโมยเงยหน้ามองพระอาทิตย์อย่างท้อใจ นี่ก็เที่ยงวันแล้ว หากเขาต่อรองกับเจ้าขอทานเปลี่ยนจากมื้อเที่ยงเป็นมื้อเย็นแทนจะได้ไหมนะ

    หากทันใดนั้น เฟรินกลับสัมผัสถึงจิตมุ่งร้าย

    เขารีบหันกลับไปมอง ทว่าก็มีเพียงตัวเขาเองกับเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้สติที่พื้นในม่านพลังที่คนในไม่อาจออก คนนอกไม่อาจเข้า

    ดวงตาสีน้ำตาหรี่ลงอย่างครุ่นคิด สายตาจ้องไปยังภายนอก เหมือนสถานการณ์ของเขาอาจจะแย่กว่าที่คิด ดูจากสีหน้าเคร่งเครียดของเจ้าชายโรเวน หรือการที่ผู้คุมกฏอีกสองคนวิ่งตามโซมาเนียด้วยสีหน้าไม่ต่างกับเสนาธิการฝ่ายซ้ายนัก

    ที่แย่คือเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังเผชิญกับอะไร ไหนจะจิตมุ่งร้ายเมื่อครู่

    หูแว่วเสียงขยับตัวของเด็กหนุ่ม เฟรินจึงเข้าใจว่านักดาบที่เขาเพิ่งฟาดสลบไปเมื่อครู่ฟื้นสติขึ้นมาแล้วก็นึกโล่งใจว่า เด็กหนุ่มจากเอเธนส์ผู้นี้อาจจะพอรู้วิธีปลดม่านพลังนี้ก็ได้ หากไม่ทันอ้าปากถาม หูพลันได้ยินเสียงโลหะแหวกอากาศ 

    หัวขโมยเบี่ยงร่างหลบโดยสัญชาตญาณ เมื่อหันกลับมาก็พบร่างสูงของนักดาบยืนตระหง่าน มือที่ยกค้างในอากาศบอกเฟรินว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นฝีมือเด็กหนุ่มผู้นี้เอง

    "อะไรกัน ข้านึกว่านักดาบจะถือศักดิ์ศรีเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ลอบแทงคนข้างหลังเสียอีก" พูดพลางยกมือจับที่คอ ความรู้สึกเสียวแปลบเมื่อครู่ และสัมผัสเปียกชื้นที่ค่อยๆ ซึมผ่านถุงมือที่สวมบอกว่า แม้เขาจะเลี่ยงแผลฉกรรจ์ได้ทัน แต่ไม่อาจหลบพ้นคมดาบทั้งหมด

    นี่มันเรื่องอะไร

    คริสโตยังยืนนิ่ง หากดาบที่ถูกขว้างออกไปเมื่อครู่กลับมาอยู่ในมือแล้ว

    "ถ้าเจ้าอยากประลองใหม่ ข้าก็พร้อมจะเป็นคู่มือให้เจ้าทุกเมื่อนะเอเดรียน เอาไว้เจ้า-" ไม่ทันจบประโยค เฟรินต้องรีบยกดาบขึ้นรับดาบของคริสโตที่ฟาดฟันลงมา เสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วบริเวณเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ภายนอกลานประลองให้กลับมาอยู่บนเวทีอีกครั้ง

    "นี่มันอะไรกัน การประลองจบไปแล้วไม่ใช่รึไง" บรรดานักเรียนที่ยังหลงเหลืออยู่ส่งเสียงถามกันเซ็งแซ่ ซึ่งรวมถึงหัวหน้าชั้นปีหนึ่งอีกสองคนด้วย

    นักดาบแห่งเอเธนส์โจมตีใส่เฟรินราวทะเลคลั่ง ดาบของเขาเหวี่ยงสะเปะสะปะใส่หัวขโมยครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยพลังที่เทียบกับตอนประลองไม่ได้จนเฟรินรู้สึกผิดปกติ กระทั่งเมื่อประจันดาบในระยะประชิด ได้เห็นใบหน้าของคริสโต เอเดรียนชัดๆ นี่เองที่เฟรินตระหนักว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง

    เพราะแม้มือจะถือดาบฟาดฟันกับเฟรินในตอนนี้ หากดวงตาของคริสโต เอเดรียน กลับไม่ได้จับจ้องกับการต่อสู้เบื้องหน้าแม้แต่น้อย หากดูเลื่อนลอยราวกับจิตของเขาอยู่ที่แห่งอื่น

    เฟรินใช้แรงที่มีทั้งหมดผลักนักดาบออกไป ก่อนฉวยโอกาสยกเท้าถีบเข้ากลางลำตัวเต็มแรง ร่างสูงของนักดาบผงะหงายก่อนล้มลงไป หากเพียงอึดใจเดียวก็ผุดลุกกลับขึ้นมาใหม่ ราวกับตุ๊กตา

    ...หรือ จะถูกควบคุม เฟรินคิดอย่างตระหนก ใจประหวัดนึกไปถึงสิ่งที่ชิวาสพูดในที่ประชุมคราวก่อน

    พวกปีศาจเข้ามาลักพาตัวชาวเอเดนหายสาบสูญไปไม่น้อย

    หากเฟรินรีบปัดความคิดนั้นออกไป และตั้งรับการโจมตีครั้งใหม่ของเด็กหนุ่ม ในขณะที่สมองหมุนเร็วรี่หาทางออกที่ดูจะยังมองไม่เห็น

    หรือคราวนึ้เขาจะเข้าตาจนแล้วจริงๆ


    ---------



    ในขณะที่การต่อสู้ภายในม่านพลังกำลังเป็นไปอย่างดุเดือด ภายนอกก็โกลาหลไม่แพ้กัน

    ทันทีที่คริสโต เริ่มโจมตีใส่เฟริน นักเรียนป้อมอัศวินที่ยังรั้งรอสหายอยู่ทั้งสองฝั่งก็แทบจะลุกฮือเข้าทำร้ายกัน โดยเริ่มจากครี้ด ธันเดอร์ นักรบเลือดร้อนจากไนล์ที่ตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มจากเอเธนส์เป็นฝ่ายลงมือก่อน ก่อนเด็กหนุ่มเลือดร้อนจะพุ่งเข้าตะลุมบอนกับกลุ่มเด็กหนุ่มจากเอเธนส์ ลงท้ายด้วยการลงไม้ลงมือตีกันอุตลุต ร้อนถึงชิวาส และลอเรนซ์ที่เพิ่งมาสมทบต้องเข้ามาห้ามทัพกึ่งคาดโทษ พร้อมส่งเด็กหนุ่มทั้งหมดกลับไปเขียนจดหมายสำนึกผิดในห้องพักของตนเอง

    หากภายใต้ความโกลาหลวุ่นวายนั้น นอกจากเสนาธิการฝ่ายซ้ายที่กำลังพยายามคลายม่านพลัง และอีกสองผู้คุมกฏที่เฝ้าคุมสถานการณ์รอบๆ มีเพียงสามคนที่ไม่ละสายตาไปจากการต่อสู้บนเวทีประลองเลย

    เจ้าชายคาโล วาเนบลี คิลมัส ฟีลมัส และโร เซวาเรส

    "เจ้าว่ามันผิดปกติไหม คาโล คิล" โร เซวาเรสเป็นคนทำลายความเงียบนั้นก่อน ดวงตาสีเขียวใบไม้ของเขามีแววครุ่นคิด

    "เจ้านั่น ทั้งที่ก่อนหน้ายังใช้เพลงดาบเป็นระเบียบ ตอนนี้กลับฟาดฟันไร้รูปแบบสิ้นดี และทั้งที่ดาบมันมุ่งร้ายถึงเพียงนั้น แต่ข้ากลับไม่รู้สึกถึงจิตสังหาร" นักฆ่าตอบเสียงเครียด ใบหน้าไร้ร่องรอยสนุกสนานเช่นเคย

    "แล้วเจ้าล่ะ คิดว่ายังไงคาโล"

    "ทำลายม่านพลังก่อน ค่อยช่วยคน"

    "เจ้าชายโรเวนน่าจะพยายามอยู่ เจ้ามีวิธีหรือคาโล" คาโล วาเนบลีไม่ตอบคำถามนั้น หากเรียกคทาออกมาแทนคำตอบ


    ------



    ภาพการต่อสู้ภายในทำให้รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่เป็นนิจเลือนหายไปจากใบหน้า ดวงตาสีดำสนิทใต้กรอบแว่นวาววับราวกับมีไฟคุกรุ่นอยู่ภายใน

    ลูคัส ซาโดเรียกำหมัดแน่น

    จนใจที่เขาไม่อาจใช้พลังได้เต็มที่ จึงไม่อาจใช้กำลังฝืนทำลายม่านพลังตรงหน้า 

    โซมาเนียบอกเขาว่า นางใช้เวทย์ตามปกติที่ใช้ทุกครั้ง และตอนแรกก็ไม่มีปัญหาอะไรกระทั่งการประลองจบลง หากเมื่อนางจะคลายมนต์กลับไม่สามารถทำได้ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    ดวงตาสีดำสนิทของเขาเหลือบมองเจ้าชายโรเวน ฮาร์เวิร์ด เมื่อเขามาถึง โรเวนบอกกับเขาว่าดูเหมือนม่านพลังของโซมาเนียถูกแทรกแซงโดยใช้ข่ายเวทย์ประหลาดซึ่งเจ้าชายแห่งเจมิไนไม่เคยเห็นมาก่อน ซ้ำสีหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่มตอนนี้บ่งบอกว่าเขายังหาไม่เจอว่าเป็นข่ายเวทย์ใด 

    แต่อะไรบางอย่างบอกลูคัสว่า เรื่องนี้มีเดมอสเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน



    ------


    แย่ละสิ

    เฟรินอุทานในใจเมื่อคริสโตตั้งท่าจะใช้เวทย์อีกครั้ง

    ถ้าเรียกเจ้ายักษ์หินนั่นออกมาอีกตอนนี้ ท่าจะตึงมือเกินไป

    เพราะคิดเช่นนั้นเฟรินจึงพุ่งเข้าใส่ หวังสกัดไม่ให้เด็กหนุ่มร่ายเวทย์สำเร็จ ทว่าคราวนี้เฟรินคิดผิด เพราะสิ่งที่คริสโตเรียกออกมาไม่ใช่โกเล็มหิน หากเป็นกลุ่มควันโพยพุ่งออกมาจนปกคลุมไปทั่วทั้งลาน ก่อนที่ร่างของนักดาบจะหายไปในกลุ่มควัน

    "คราวนี้คิดเลียนแบบข้ารึไง" หัวขโมยยิ้มขื่น โลหิตจากแผลที่คอยังไหลซึมออกมาไม่หยุด เปรอะเปื้อนเสื้อที่สวมอยู่เป็นด่างดวงใหญ่ แขนขาเริ่มรู้สึกล้าจากการปะทะรุนแรงต่อเนื่องกับอีกฝ่ายที่คล้ายว่ากำลังวังชาจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าอย่างผิดปกติ

    ผิดปกติเกินไป

    ทว่าเฟรินไม่มีเวลาไตร่ตรองมากนัก เมื่อมีคมดาบแทงทะลวงออกมาจากกลุ่มควัน แม้หัวขโมยจะยังหลบได้หากคมดาบยังเฉือนเข้าที่ต้นแขนซ้ายให้ได้แผลเป็นทางยาว

    แผลนั้นไม่ลึก แต่ก็ยังเรียกโลหิตซึมออกมาไม่น้อยกว่าที่ต้นคอ

    "บ้าชะมัด" หัวขโมยสบถลั่นขณะยกผ่าปฐพีขึ้นรับดาบที่ฟาดฟันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หมอกควันที่บดบังสายตาทำให้ยากที่เด็กหนุ่มจะปัดป้องได้ทั้งหมด แต่ละดาบจึงสร้างบาดแผลให้หัวขโมย ทั้งการเคลื่อนไหวที่ถูกจำกัดทำให้เฟรินไม่คล่องแคล่วอย่างเคย

    คล้ายหมดความอดทน เฟรินเงื้อดาบขึ้นสูงก่อนหมุนตัวตวัดอย่างแรง เกิดเป็นคลื่นลมวูบหนึ่งพัดพาเอากลุ่มควันปลิวหายไปชั่วครู่ หากเฟรินกลับไม่พบร่างสูงใหญ่ของคริสโตอย่างที่คิด

    "หายปะ-" พริบตานั้นเองเด็กหนุ่มที่เฟรินมองหากลับมาปรากฏกายตรงหน้าเขา พร้อมใช้ด้ามดาบกระทุ้งเข้ากลางลำตัวหัวขโมยเต็มแรงจนตัวงอ หากยังพอฝืนวาดผ่าปฐพีสวนกลับไป ทว่าคมดาบของเขาสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ก่อนรอบกายจะถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควันอีกครั้ง

    หัวขโมยไอโขล่ก ในปากสัมผัสรสเค็มปร่าปนกลิ่นสนิม ดวงตาเริ่มจะพร่าเลือนจนต้องสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อจะเรียกสติกลับมาตั้งมั่นตรงหน้า หากหูแว่วคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแหบแห้งแผ่วเบา

    ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างระแวดระวัง


    "ใคร..?"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×