สายลมจ้าวหัวใจ ภาค 1 ย้อนอดีต : แม่ทัพใหญ่ผู้ไร้พ่ายของแผ่นดิน
แอนแอ๊นแอ๋น !!! ไรท์อยากแต่งนิยายใหม่อ่ะ คราวนี้เป็นนิยายย้อนอดีต หากแต่ขออธิบายให้เข้าใจก่อน ลองเอาตอนแรกมาให้ลองอ่านกัน
ชื่อเรื่องยังไม่แน่นอนเน้อ
-นางเอกเรื่องนี้ย้อนไปไม่ได้เป็นฮองเฮาแต่อย่างใด ไม่ได้ตายแล้วเกิดใหม่กลายเป็นเด็กสาวอัจฉริยะ
-นางไม่ได้เป็นลูกสาวบุญธรรมคณะพ่อค้าชื่อดังที่ไหนแต่เป็นคนใช้ต่างหาก
-นางเอกเน้นใช้สมองและไม่ใช่อัจฉริยะที่เก่งในทุก ๆ เรื่อง ( แต่ถ้าเป็นบางเรื่องก็ยอมรับ )
-นางเอกเราต้องผจญหลาย ๆ อย่างในยุคอดีต ไม่ได้หน้าตาดี สวยใส หรือน่าทะนุถนอมแต่อย่างใด ทว่าเป็นสายอึด ถึก ทนเต็มขั้น
-นางเอกเราซื่อบื้อ ฉลาดในบางเรื่องและอย่างที่บอก...ไม่ได้ย้อนไปเป็นฮองเฮาหรือนางสนมของพระเอก ไม่ได้อยู่สุขสบายเพราะเจอแต่ความซวย
-นิยายเรื่องนี้แบ่งเป็นสองภาค ภาคหนึ่งเป็นภาคย้อนอดีตและภาคสองเป็นภาคปัจจุบัน ( ถ้ามีโอกาศแต่งอ่ะนะ )
-ไม่อิงประวัติศาสตร์ (มั้ง)
-และสุดท้าย...พระเอกหล่อมาก !!! ( พระเอกแกหล่อทุกเรื่องแหละ ไรท์ ! )
มาดูย่อ ๆ กันหน่อย
นาง...เป็นหญิงแปลกประหลาดที่ไม่เหมือนหญิงใด ๆ ที่ข้าเคยพบ
นาง...ไม่ได้น่าทะนุถนอมหรือหน้าตาน่าพิศมอง ทว่ากลับสะกิดความสนใจข้าครั้งแล้วครั้งเล่า
นาง...ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนกในกรง ทว่าเกิดมาเพื่อเป็นสายลมที่รักในอิสระ
และนาง...ไม่ต้องการให้ใครปกป้อง ทว่าเป็นผู้เอือนเอ่ยคำสัตย์ว่าจะปกป้องข้าตราบสิ้นลมหายใจ
นางผู้แปลกประหลาด...นางซึ่งเป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นคนสนิทขององค์ฮ่องเต้หรือตัวข้า !
เด็กสาวธรรมดา ๆ ที่อายุ 18 ปีจำต้องหยุดชีวิตธรรมดาเมื่อช่วยเหลือเด็กหญิงคนหนึ่งไม่ให้ถูกรถชน ทว่าถูกชนเสียเอง ! แต่แทนที่จะพบตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาลหรือตายไปแล้วกลับพบว่าตัวเธอย้อนไปอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังเหยียบย่ำอยู่บนแผ่นดินใหญ่อย่างประเทศจีน !
'เอาเถอะ...ถือว่ามาเที่ยว แม้จะห่างไกลถึงเกือบพันปีก็ตาม'
มันคือความคิดของเด็กสาวประหลาดที่กลายมาเป็นแม่ทัพในตำนานและเป็นผู้ครอบครองดวงหทัยขององค์เหนือหัวแห่งแผ่นดินจีน
ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ พระพักตร์และรูปโฉมล้วนงดงามปานเทพสลัก ทว่ามีนิสัยโหดเหี้ยมและเลือดเย็น ไม่ว่าสมองหรือความสามารถล้วนเป็นที่น่าชื่นชมและน่าย้ำเกรง ทว่าอดีตกำลังย้อนกลับมาเพื่อบีบคั้นพระองค์อีกครั้งทำให้แผ่นดินใหญ่ที่พระองค์ปกครองเข้าสู่สงคราม เพื่อช่วงชิงอำนาจที่เป็นใหญ่ แม้จะมีบุคคลมากความสามารถรอบกายทว่าตัวพระองค์กลับให้ความสนใจหญิงสาวนางหนึ่งที่แปลกประหลาดกว่าที่เคยพบ
'เจ้าเป็นหญิงทว่ามีความสามารถมากมายเกินกว่าที่ข้าจะคาดเดา ที่สำคัญ...สายลมเช่นเจ้าเหตุใดจึงยินยอมหยุดข้างกายข้า'
'เพราะนายเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เราจะหยุดอยู่ข้าง ๆ ยังไงล่ะ'
บทนำ
หลิ่งอี้...
หลิ่งอี้...
หลิ่งอี้...
เสียงทุ้มแปลกหูเอ่ยเรียกชื่อใครบางคนแผ่วเบา ซ้ำไป...ซ้ำมาจนคนฟังรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเสียงนั้นมีแต่ความอาลัยอาวรณ์และหมองหม่นจนเกินที่ใครจะนึกได้
“ เจ้านี่ชอบนอนบนพื้นหญ้าเสียจริง ” เสียงเย็นเยียบแต่แฝงความอ่อนละมุนเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมภาพพร่าเลือนของใครคนหนึ่งที่ยืนเหนือใครอีกคนที่นอนมองท้องฟ้า บนหญ้าสีเขียวขจีอย่างสบายอารมณ์ คน ๆ นั้นหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดตอบสำเนียงคล้ายคลึงกันแต่ดูแตกต่างเล็กน้อย
“ ก็มันนอนสบายกว่าเตียงไม้เป็นไหน ๆ นายก็ลองสิ ”
ร่างในเสื้อคลุมสีเข้มทรุดลงนั่งตาม ทำให้คนที่รู้สึกเหมือนยืนมองอยู่ห่าง ๆ ต้องพยายามเพ่งพิศร่างทั้งสองมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่จะพูด สมองได้ยินสองเสียงคุยโต้ตอบไปมาอีกทั้งคนที่มาทีหลังนั้นนั่งบังคนที่นอนอยู่ ทำให้สุดท้ายกลายเป็นความฝันที่ดูอะไรไม่ออกสักอย่าง
“ เจ้า...ทรมาณหรือไม่กับการต้องทนใส่หน้ากากนี้มาเนิ่นนาน ”
“ อยู่ ๆ ทำไมถึงถามล่ะ ? ” เสียงเรียบเฉยที่พูดเปรยเป็นคำถามดูจะสร้างความแปลกใจให้ร่างที่นอนอยู่ไม่น้อย
“ ข้าแค่อยากรู้...”
“ ถ้าถามว่าทรมาณไหม ? ตอบตามตรงมันก็ลำบากนิดหน่อยล่ะนะ ...แต่มันก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้ ที่เรายังอยู่ ณ ที่แห่งนี้ อยู่ทนอันตรายที่ทุกวินาทีล้วนมุ่งมาที่เรานั่นก็เพราะท่าน...” คนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ รู้สึกได้ว่าผู้พูดนั้นกำลังยิ้มจางๆ
“ ท่านเลยถามใช่หรือไม่ ว่าสายลมนั้นจะหยุดอยู่ที่ใดได้บ้าง แต่เรายังไม่มีคำตอบให้ท่าน แต่ตอนนี้...เราขอบอกว่าเราไม่รู้ว่าสายลมอื่นจะหยุดอยู่ที่ใด แต่สายลมนี้จะหยุดอยู่ที่ท่าน ”
“ เจ้า...”
ร่างที่นอนพลิกตัวลุกขึ้น คุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าอีกร่างขณะเผยยิ้มเล็กน้อย
“ ในนามแม่ทัพใหญ่แห่งต้าฉี (ฉีที่ยิ่งใหญ่) ข้าขอให้สัตย์สาบานจะปกป้องฝ่าบาทจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทั้งลมหายใจ ร่างกายและทุกสิ่งอย่างของกระหม่อมมอบให้ฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียว หากใครถือฝ่าบาทเป็นทรราช ข้าก็จักเป็นข้ารับใช้ทรราช หากใครถือฝ่าบาทเป็นมารร้าย ข้าก็จักเป็นข้ารับใช้มารร้ายและจะใช้ทุกสิ่งอย่างปกป้องฝ่าบาทและแผ่นดินของฝ่าบาทตราบเท่าสายลมหอบนี้จะกระทำได้ ”
“ เจ้า...เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดสิ่งใดออกมา ” ร่างสูงนิ่งงันขณะไต่ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พระองค์อยากจะแย้มยิ้มอย่างโง่งมออกมาเหลือเกินที่รู้สึกดีใจลึก ๆ กับสิ่งที่ได้ยิน แม้จะรู้ดีว่าเส้นทางสายนี้อันตรายสำหรับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่พระองค์เอง...ก็ตัดใจขับไล่อีกฝ่ายให้ห่างตนไม่ได้เช่นกัน
“ รู้สิ นอกจากนี้แล้ว... ” ผู้ที่เพิ่งเอ่ยคำสาบานไปหลัด ๆ หยุดหายใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างกว่าเก่ายามกระชากแผ่นหนังบาง ๆ บนใบหน้าออกเผยโครงหน้าคุ้นตาที่ดูแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย “ ในฐานะสหายของเจ้า คนธรรมดาสามัญอย่างข้าก็สาบานกับฟ้าดินอีกว่าแม้ข้าจะไม่ได้อยู่ในฐานะแม่ทัพใหญ่แห่งต้าฉี แต่แค่อยู่ในฐานะผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งก็จะขอปกป้องสหายคนนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่เช่นเดียวกัน อย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าในครั้งแรกที่เจอกันไง...ถ้าเราพบกันอีก มันคือพรหมลิขิตที่เราจะได้เป็นสหายกัน อย่างที่เจ้าบอกว่าเชื่อ ”
“ ........ ” พระองค์ไม่ได้ขานรับ เพียงถอดถอนหายใจด้วยความระอา เมื่อมองมือที่ยื่นมาหาพระองค์ ณ เบื้องหน้า มือที่มักยื่นมาในเวลาที่ต้องการและไม่ต้องการในเวลาเดียวกัน...มือที่พระองค์ไม่เคยปฏิเสธได้แม้สักครั้ง
“ ใช่แล้ว...ข้าและเจ้าเป็นสหายกันด้วยพรหมลิขิต แต่เจ้าก็ยังเป็นคนที่ซื่อบื้อและโง่เง่าไม่เปลี่ยนเลย หลิ่งอี้... ”
ก่อนภาพของคนทั้งคู่จะกลายเป็นสั่นไหวคล้ายวัตถุตกกระทบลงบนผืนน้ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอีกสถานที่หนึ่งโดยที่ผู้เฝ้ามองแทบไม่ทันรู้สึกตัว กลิ่นคาวเลือดฉุนหนักลอยปะปนในอากาศที่พื้นเต็มไปด้วยซากศพมากมาย ทว่าคนฝันกลับมีความรู้สึกคล้ายชินชาอย่างน่าประหลาด จนกระทั่งพบเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังชุลมุนอยู่ริมผา โดยมีคนอีกกลุ่มอยู่ห่าง ๆ เธอเห็นชัดว่าร่างริมผาพร้อมคนอีกหลายคนหันหน้ามองคนอีกกลุ่ม หลายคนเคลื่อนร่างออกจากหน้าผาเหลือเพียงคนสองคน ก่อนใครคนหนึ่งจะถูกแทงจากคนข้างหลังจนดาบเล่มหนาทะลุออกมา
“ ท่านแม่ทัพ ! ” หลากเสียงหลายสำเนียงตะโกนก้องเรียกร่างที่ถูกแทงอย่างตกตะลึงเช่นเดียวกันกับคนที่ถูกลอบทำร้าย เพราะคนเฝ้ามองอยู่ไกลเกินไปทำให้เห็นเพียงเลือนลางว่าอีกฝ่ายเอ่ยอะไรบางอย่างกับคนที่แทงตนเองก่อนเบือนหน้าไปมองใครอีกคนที่อยู่กลางวงล้อมของคนกลุ่มใหญ่
ริมฝีปากของเธอและอีกฝ่ายคล้ายเอ่ยประสานพูดคำบางอย่าง
“ ...ขอ...โทษ ” ก่อนผู้ถือดาบจากด้านหลังจะกระชากอาวุธออกจนสายโลหิตพุ่งจากบาดแผลออกมาไม่หยุดยั้ง อีกฝ่ายโซเซไปมา ก่อนร่างจะเอนไปด้านหลังทั้งที่สายตายังไม่ละจากใครบางคน มือเปื้อนเลือดพยายามยื่นและไขว่คว้ามือที่ห่างไกลของใครอีกคนไว้จนกระทั่งร่วงหายไปจากหน้าผา
เจ้าของความฝันเบือนหน้าไปมองคนอีกกลุ่ม ร่างหนึ่งในชุดเกราะหนักที่ได้สติแผดเสียงกรีดร้องออกมาราวคนที่กำลังขาดใจ ใบหน้าคมคายเย็นชาที่เธอเพิ่งเคยเห็นชัด ๆ เป็นครั้งแรกเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พยายามพุ่งไปทางร่างที่ตกหน้าผาไป แต่ถูกรั้งไว้โดยกลุ่มคนที่ถืออาวุธปกป้อง สุดท้ายอีกฝ่ายจึงทำได้เพียงขานชื่อของใครคนนั้นอย่างคนที่สูญเสียสิ่งสำคัญไป
“ หลิ่งอี้ !!! ”
6 โมง 15 นาที
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
ร่างที่นอนหลับอยู่ลืมตาขึ้นหลังหูได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานสีหม่นเก่า ๆ ที่คุ้นตาเธอทุกครั้งที่ตื่นนอน ร่างสูงที่ค่อนไปทางอวบ ๆ ยันตัวลุกจากที่นอนพลางก้มมองมือตัวเองด้วยความสงสัยเมื่อมันแบค้างราวกับพยายามไขว่คว้าอะไรบางอย่างไว้
“ ฝันเลือน ๆ นั่นอีกแล้ว ” พึมพำกับตัวเองอย่างมึน ๆ ก่อนลุกขึ้นเพื่อเริ่มกิจวัตรประจำวันของตัวเองและทำความสะอาดร่างกายให้พร้อมเพราะวันนี้เธอมีงานต้องทำแทนเพื่อนที่ขอลางาน กระจกแผ่นใหญ่สะท้อนภาพเด็กสาวอายุ 18 ที่มีหน้าตาธรรมดาเหมือนคนทั่วไป มีหู มีตา มีจมูกและปากที่ยิ่งกว่าธรรมดา อาจยกเว้นนัยน์ตาสีนิลที่มองสบ แม้มีความง่วงงุนแฝงอยู่แต่ก็มั่นคงและมีสติครบถ้วน
เธอคือวายุลักษณ์ อัศนโรจน์ หรือสายลม เด็กสาวที่ตอนนี้อยู่ด้วยตัวคนเดียวด้วยสารพัดงานที่ต้องทำเพราะบิดามารดาที่เสียไปหลังอุบัติเหตุ
เมื่อเธอจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว วายุลักษณ์จึงแต่งตัวให้สุภาพด้วยเสื้อสีเข้มพร้อมแจ๊คเก็ตบริษัทขนส่งพัสดุแห่งหนึ่งพร้อมกางเกงเครื่องแบบ หมวกที่มีตราบริษัทถูกสวมบนหัวรวบผมสั้น ๆ ขึ้นเก็บลวก ๆ อย่างคนที่ไม่ค่อยใส่ใจในภาพลักษณ์
เด็กสาวอมยิ้มเมื่อนึกถึงรายได้พิเศษวันนี้ ช่วงเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้รับการตอบรับแล้ว เธอจึงมีเวลาว่างมาทำงานเสริมเก็บเงินพิเศษ งานส่งของก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ งานที่เธอทำเพื่อหารายได้
วายุลักษณ์ผิวปากหวือในลำคอ ก่อนสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งกับกระจก รอยยิ้มบาง ๆ ถูกจุดที่ริมฝีปากเพื่อเริ่มวันใหม่ ขณะมองสบดวงตาสีนิลที่สะท้อนภาพของตนออกมา เธอพูดกับตัวเอง
“ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะ ”
พร้อมกับที่เธอลืมเลือนความฝันอันน่าตะขิดตะขวงใจนั่นไป
แต่ดูท่าวันนี้วายุลักษณ์จะซวยไปหน่อย
“ อย่าเข้ามานะโว๊ย ! ไม่งั้นยิงหัวนังเด็กนี่แน่ ! ”
“ ใจเย็น ๆ ครับ อย่าทำร้ายตัวประกัน ”
ปืนบาเร็ตต้าสีดำด้านถูกจ่อเข้าที่ศีรษะของตัวประกัน ซึ่งถูกล็อคคอจากข้างหลังเอาไว้ โจรปล้นร้านทองที่เพิ่งหลบหนีจากการจับกุมของตำรวจกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความลนลานเมื่อถูกตำรวจล้อม แต่ดีที่ฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไม่ได้เข้ามาใกล้จนเกินไปเพราะตัวประกันในมือเขา ตามจริงเขาอยากจะคว้าหญิงสาวตัวเล็ก ๆ มามากกว่าแต่เพราะเด็กส่งของนี่ผลักคนที่เขาหมายตาไว้ออก พอจวนตัวเลยต้องคว้าเด็กนี่มาแทน
“ ให้ตายเถอะ ” วายุลักษณ์บ่นงึมงำ “ ทำงานนอกถิ่นวันเดียวเจอแจ็คพอตซะงั้น ” วันนี้เธอมีส่งพัสดุแถวเยาวราชเป็นที่สุดท้ายก่อนจะเลิกงาน แต่กลับกลายเป็นว่ามีคนร้ายปล้นร้านทองวิ่งหนีตำรวจมาทางเธอ จนกระทั่งถูกล้อม เธอที่ตาไวและเห็นคนร้ายที่ลนลานกำลังจะคว้าผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นโล่ เธอก็เลยผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ทันคิด ผลคือกลายเป็นถูกโจรล็อกคอ จับมาเป็นตัวประกันแทน
ตอนแรกวายุลักษณ์ก็รู้สึกหวั่น ๆ กับมัจจุราชที่จ่อหัวตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความที่มีนิสัยเฉื่อยชาจนบางทีก็หัวช้า พอรู้สึกตัวอีกทีสติก็ถูกรวบรวมจนไม่มีแม้แต่อาการตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น กลายเป็นสมองที่เริ่มหาทางเอาตัวเองออกจากจุดนี้แทน นี่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นข้อดีได้หรือไม่
“ คุณต้องการอะไรบอกมา แต่อย่าทำร้ายตัวประกัน ! ” เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งตะโกนบอก มือถือปืนเล็งไปที่คนร้าย เช่นเดียวกับตำรวจนายอื่น ๆ
เอาไงดี
วายุลักษณ์ที่รู้สึกอยากเกาหัว เริ่มเรียบเรียงลำดับความคิดใหม่ที่จะทำให้เรื่องนี้จบอย่างสงบ หัวเธอเริ่มย้อนไปในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อสอน
“ ลม จำไว้นะลูกสมมติว่าลูกถูกผู้ร้ายเอาปืนจ่อหัว อย่างแรกที่ลูกควรทำคือตั้งสติ ”
“ อย่างที่สอง ต้องดูเวลาและท่าทางของคนร้ายที่เหมาะสมในการเอาอาวุธปืนออกจากอีกฝ่าย โดยไม่ทำให้เกิดอันตรายกับตัวลูก ”
“ และอย่างที่สาม หลังเอาอาวุธให้พ้นมือคนร้ายแล้ว ลูกต้องทำให้คนร้ายหมดสติและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เพื่อความปลอดภัยของลูก เข้าใจใช่ไหม ? ลม ”
“ อย่างแรกต้องตั้งสติ โอเค... ” วายุลักษณ์พึมพัมกับตัว สูดลมหายใจลึก ๆ สังเกตเห็นว่าเริ่มมีรถนักข่าวมาจอดรอทำข่าวแล้วทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ 15 นาทีเท่านั้น แสดงได้เป็นอย่างดีว่านักข่าวสมัยนี้หูผีจมูกมดเพียงใด
“ อย่างที่สองต้องดูท่าทางและการเคลื่อนไหวที่จะไม่ทำให้เกิดอันตราย ” เธอเหลือบมองปืนที่เริ่มเลื่อนมาจ่อขมับเธอเพราะคนร้ายพยายามล็อกคอเธอให้กระชับขึ้นเนื่องเพราะเธอสูงถึง 170 เซนติเมตรขณะที่คนร้ายสูงประมาณ 180 เซนติเมตร แต่ถึงอย่างนั้นด้วยสรีระของวายุลักษณ์ทำให้ดวงตาของเธอมองช่องว่างของคนร้ายออก
“ ต้องปลดอาวุธก่อนสินะ... ” นัยน์ตาสีนิลกวาดมองไปรอบ ๆ มีฝูงชนมุง ปิดทางหนีของคนร้ายไว้โดยมีตำรวจล้อมวงในอีกที หลายคนถือโทรศัพท์ถ่ายคลิปวิดีโอโดยวายุลักษณ์คิดว่าคงไม่ดีหากหน้าตาเธอถูกเผยแพร่ออกไป ดีที่ตั้งแต่ตอนแรกเธอพยายามก้มหน้าต่ำตลอดจนกระทั่งเห็นนายตำรวจทำท่าจะเขยิบเข้ามามากขึ้นโดยพยายามไม่ให้คนร้ายรู้ตัว แต่โจรปล้นร้านทองก็ใช่ว่าจะตาบอดมองไม่เห็น อีกฝ่ายเลยอ้าปากเตรียมจะตะโกนออกไป
“ อย่าเข้ามา !!! ” เสียงที่ตะโกนลั่นอย่างเฉียบขาด ทำเอานายตำรวจทุกนายชะงักปลายเท้าที่เดินเข้าหาคนกลางวงล้อม แม้แต่คนร้ายเองก็ตาม เนื่องจากคนตะโกนไม่ใช่คนร้ายปล้นชิงแต่กลับเป็นเด็กสาวที่ถูกจับเป็นตัวประกัน เธอยังก้มหน้าต่ำท่ามกลางความฮือฮาของฝูงชนที่เริ่มงุนงงและสังเกตอากัปกิริยาของเด็กสาวที่ดูไร้ความหวาดกลัวต่อปืนอย่างสิ้นเชิงทำเอาวายุลักษณ์อยากจะตะโกนบอกว่า ' ไม่ได้ไม่กลัว แต่ไม่มีเวลาให้กลัวโว๊ย ' ซะเลย
“ อย่าเข้ามานะโว๊ย ! ” คนร้ายที่ถูกแย่งซีนตะโกนบ้างพร้อมกดปืนที่ศีรษะวายุลักษณ์มากขึ้น แต่เด็กสาวก็ไม่ได้ขยับตัวอะไรมาก เพียงแค่ดึงหมวกลงมาปิดใบหน้าและพยายามหลบกล้องวิดีโอจากไทยมุงและกล้องนักข่าว ตาเหลือบมองรถมอเตอร์ไซค์สีดำที่ติดโลโก้ขนส่งของบริษัทแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นบริษัทที่เธอทำงานเสริม มันจอดอยู่ริมฟุตบาทระยะทางไม่ได้ไกลนัก
ปกติแล้วรถของบริษัทจะให้เฉพาะเด็กประจำที่ต้องขับไปส่งพัสดุในสถานที่ไกล ๆ และยาวนานต่อเนื่อง ดีที่เธอรีบไปแต่เช้าทำให้จองมอเตอร์ไซค์คันนี้ทันถึงจะไม่มีใบขับขี่แต่เด็กส่งพัสดุทุกคนก็มีเส้นอยู่ในวงตำรวจทั้งนั้น ดังนั้นยังถือเป็นโชคดีของเธอที่มีมันในการหลบออกไปหลังจัดการที่นี่เสร็จ
“ รถยนต์ที่คุณขอเราเตรียมไว้ให้แล้ว ปล่อยตัวประกันได้แล้ว ” นายตำรวจหยิบโทรโข่งตะโกนบอกหลังถูกสั่งให้หารถยนต์เพื่อใช้ในการหลบหนีของคนร้าย
วายุลักษณ์ที่เห็นคนร้ายเผยยิ้มด้วยความโล่งใจ ผุดยิ้มบ้างเมื่อแขนที่ล็อคคอเธอเผลอผ่อนแรงเช่นเดียวกับปืนที่จ่ออยู่
“ ไม่มีทางโว๊ย ! ต้องรอฉันหนีก่อน ไม่งั้นก็อย่าหว...อ้าก ! ”
คนร้ายที่ตอบกลับมีอันต้องร้องลั่นเมื่อตัวประกันในอ้อมแขน ง้างมือข้างที่ถูกปืนจ่ออยู่ออกจากศีรษะตัวเอง บิดข้อมือเขาดังกร็อก ! จนเขาต้องปล่อยมือออกจากปืนที่ถืออยู่ เจ้าของรองเท้าผ้าใบเก่า ๆ เตะปืนไปอีกทางอย่างรวดเร็วพร้อมพึมพำข้อความบางอย่างในลำคอ
“ หลังเอาอาวุธให้พ้นมือคนร้ายแล้ว ต้องทำให้คนร้ายหมดสติและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เพื่อความปลอดภัย ”
พลั่ก !
เท้าเดิมที่เตะปืนออกด้านข้างเตะเข้าที่ข้อเข่าทำให้เสียหลักอย่างหนักแน่นเต็มเท้า ก่อนแขนจะแทงศอกเข้าลิ้นปี่อีกฝ่ายเต็มรัก คนร้ายสะดุ้งเฮือก ตัวงอด้วยความจุกจนไม่ทันหลบหมัดที่พุ่งเสยคางอย่างจังจนมึนไปครู่หนึ่ง ตัวเซจะล้มแต่กลับถูกมือหยาบของตัวประกันคว้าแขนไว้อย่างมั่นคงไม่ให้ล้มก่อน และสุดท้ายคือปลายเท้าซ้ายที่พลิกหมุนเพื่อเพิ่มแรงเหวี่ยงให้เท้าขวา จัดการฟาดแข้งเข้าที่ซอกคอคนร้ายอย่างหนักหน่วงจนร่างหนากลิ้งไปสามตลบเพราะแรงเตะที่มหาศาลพร้อมกับมือที่ปล่อยจากแขนคนร้าย
พลั่ก ! ตุบ !
“ ต้องเยือกเย็น ต้องแม่นยำและรวดเร็ว ขอบคุณวิชาคาราเต้ภาคบังคับจริง ๆ ” จนถึงตอนนี้วายุลักษณ์อดหัวเราะในลำคอไม่ได้ ใครจะไปนึกว่าวิชาคาราเต้ตอนม. 4 ที่ถูกโรงเรียนเตรียมทหารบังคับในคาบวิชาพละจะได้เอามาใช้จัดการคนร้ายแบบนี้ เด็กสาวเหลือบมองโจรปล้นร้านทองเล็กน้อยด้วยสายตาเห็นใจ
“ ขอโทษจริงๆ พี่ชาย แต่ถ้าเอารถของบริษัทกลับไปคืนช้ากว่านี้จะโดนหักเงินเอา บ๊าย ” เธอพูดส่งท้ายก่อนเดินฝ่ากลุ่มคนออกไปอย่างรวดเร็วและป้องกันไม่ให้ถูกตำรวจเรียกตัวไว้ ทิ้งให้คนมุงและเหล่าตำรวจนิ่งอึ้งกับการจัดการคนร้ายแบบม้วนเดียวจบ กว่าพวกเขาจะรู้สึกตัว พนักงานขนส่งในชุดยูนิฟอร์มบริษัทแห่งหนึ่งก็เหวี่ยงตัวเองขึ้นมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกประจำชุด แล้วสวมหมวกกันน็อคบึ่งรถหายไปแล้ว
กลายเป็นว่าโจรปล้นร้านทองที่หลบหนี สุดท้ายก็ถูกตัวประกันที่จับไว้จัดการซัด หลับยาวไปถึงวันใหม่แบบไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็อยู่ในคุกเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นวายุลักษณ์จึงไม่รู้เลยว่าเรื่องของเธอกลายเป็นข่าวฮอตเพราะไอ้การจัดการโจรเนี่ยแหละ
บทที่ 1
เด็กสาวประหลาด กับ กำไลหยกที่ประหลาดกว่า
ในห้องทำงานเล็ก ๆ ที่ดูเงียบสงบ มีร่างเด็กสาวคนหนึ่งกำลังขะมักขะเม้นอ่านเอกสารในมือด้วยท่าทางจริงจัง จนเมื่อกระดาษแผ่นสุดท้ายถูกวางลง ใบหน้าท้วม ๆ ที่ผู้เฝ้ามองทุกคนลงความเห็นว่าธรรมดาที่สุดก็ปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจขึ้น
“ โอเคเลย เดือนนี้ไม่มีปัญหาสินะคะ พี่จันทร์ ” เธอเอ่ยถามหญิงสาวที่อยู่ในชุดเสื้อสูทสีเทาอ่อนซึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน อีกฝ่ายเป็นหญิงวัย 28 เกล้าผมสูงให้สะดวกต่อการทำงานและสวมแว่นตาเก่า ๆ ที่มีร่องรอยผ่านการใช้งานมามากพอสมควร ทำให้ผู้มองดูดวงตาสีนิลคมกริบของหญิงสาวได้ไม่ชัดเจน แต่ไม่เป็นปัญหากับเด็กสาวที่มองเลขาอย่าง จันทร์แรม พงพนา อดีตลูกน้องคนสนิทของพ่อเธอได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้จันทร์แรมก็กลายมาเป็นมือขวาคนสนิทของเธอแทน
“ ค่ะ แต่มีบางเมนูที่หลังดูยอดขายแล้วจะทำการผลัดเปลี่ยนเป็นรายการอื่นค่ะคุณลักษณ์ ” วายุลักษณ์ หรือ สายลม เอนกายพิงเก้าอี้เก่า ๆ ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ ดวงตาสีนิลสุกใสของเด็กสาวร่างท้วมมีความขบขันไม่น้อย เมื่อได้ยินหญิงสาวผู้สูงอายุกว่าเรียกอย่างให้ความเคารพและสุภาพจนเธอต้องยิ้มกระดาก
“ บอกแล้วไง เรียกลมเฉย ๆ ก็ได้ คำว่าคุณเคินอะไรนั่นอย่าใช้เลยค่ะ ” เธอบอกอย่างระอาเล็กน้อยเพราะเมื่อเดือนที่แล้วที่เจอกัน เธอยังเพิ่งบอกจันทร์แรมไปหยก ๆ ว่าให้เรียกชื่อเฉย ๆ แต่พอมาฟังใหม่ไหงกลับไปเป็นอย่างเดิมเสียได้
“ ดูเหมือนว่าวันนี้จะเจอเรื่องน่าลำบากเข้านะคะ ” เลขาสาวพูดขึ้นเปรย ๆ ทำให้วายุลักษณ์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยกมือเกาแก้มเก้อ ๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร
“ ยังข่าวไวเหมือนเดิมนะ แต่มันเป็นเรื่องของโชค วันนี้เลยดูดวงซวยนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ” เธอหัวเราะตบท้าย ก่อนจะหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาที่หรี่ลงของจันทร์แรม หญิงสาวเคยเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยสืบข่าวของพ่อเธอ ลาออกมาพร้อมลูกน้องในสังกัดบางส่วนที่ตอนนี้แยกย้ายกันหางานทำหลังหยุดอาชีพทหาร แต่ก็ยังคอยช่วยเหลือหญิงสาวและส่งข่าวให้เป็นระยะ ทำให้สายข่าวของจันทร์แรมดูจะกว้างไกลและรู้ในหลาย ๆ อย่างที่หลายคนไม่รู้ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเธอมีส่วนด้วยหรือเปล่า เพราะเด็กสาวเป็นคนขอให้จันทร์แรมคอยสังเกตุการณ์หลาย ๆ อย่างเพื่อผลประโยชน์ของร้านอาหารแห่งนี้
แต่ไม่รู้ทำไม ไหงกลายเป็นว่าคนของเลขาเธอคอยติดตามเธอและระวังภัยให้แทนซะงั้น เรื่องถูกจับเป็นตัวประกันเองเพิ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงก็รู้มาถึงหูจันทร์แรมซะแล้ว
“ ระวังหน่อยก็ดีนะคะ เลิกทำงานเสริมแล้วนั่งสบาย ๆ บ้างเถอะค่ะ ” เลขาสาววางแฟ้มชุดใหม่ให้ วายุลักษณ์เท้าคาง เธอคงต้องชินซะแล้วกับคำพูดสุภาพของจันทร์แรมที่ไม่ว่าจะปรามยังไงก็ยังเหมือนเดิม
“ ถ้าเลิกจะเอาเงินที่ไหนมาบริหารร้านล่ะคะ อีกอย่างหนูอายุน้อยกว่าพี่จันทร์ เลิกใช้คำสุภาพแบบนั้นเถอะ ”
“ ไม่ได้หรอกค่ะ ถึงคุณจะอายุน้อยกว่าแต่ก็เป็นเจ้านายของดิฉัน เป็นการสมควร...” ก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบประโยค วายุลักษณ์ก็ยกมือห้ามก่อนแล้วทำตีหน้าเข้มไปให้ แม้จะยิ้มเผล่ขี้เล่นในตอนหลังก็ตาม
“ งั้นหลังเลิกงานเรียกลักษณ์ หรือ ลมเฉย ๆ นะคะ ? ” รอยยิ้มใส ๆ ที่ชวนเธอแพ้ทางทุกครั้งทำให้จันทร์แรมจำใจต้องพยักหน้า แต่ใบหน้าสวยสง่าที่เคยเย็นชากลับมีรอยยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นนายจ้างที่อายุน้อยกว่าเธอรับกระดาษอีกแผ่นไปดูพลางผิวปากหวือสบายอารมณ์
เด็กสาวอายุ 18 ปีที่กำลังทำงานไม่สมตัว คือ วายุลักษณ์ อัศนโรจน์ มีชื่อเล่นว่า ลม ( แต่เจ้าตัวชอบให้เรียกลักษณ์ ) แม้จะเห็นร่างท้วม ๆ ใบหน้าธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นเช่นนี้ เธอเป็นถึงเจ้าของร้านอาหารขนาดกลางที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในย่านนี้เลยทีเดียว และที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือเด็กสาวเข้ามาบริหารร้านแห่งนี้ในตอนที่เพิ่งอายุได้ 14 ปีเท่านั้น หลังจากเมื่อ 5 ปีก่อน ผู้เป็นบิดาและมารดาของเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้จะจบพิธีศพไปแล้วแต่เพราะญาติ ๆ ของเด็กสาวไม่ต้องการตัวภาระ ทำให้วายุลักษณ์ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อมีชีวิตรอดในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้
ฟังดูน่าสงสารแต่จันทร์แรมรู้ดีว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กแต่ได้รับการสืบทอดความเข้มแข็งมาจากผู้เป็นบิดาอย่างดี นภา อัศนโรจน์ อดีตนายทหารที่เกษียรตัวเองเพื่อมาอยู่กับครอบครัวและเป็นถึงอดีตหัวหน้าของเธอนั้นได้เลี้ยงลูกสาวคู่กับภรรยาสุดรัก สาริษา อัศนโรจน์ มาเป็นอย่างดี
ในงานศพที่เหล่าลูกน้องเก่าและลูกน้องที่ร้านอาหารซึ่งเป็นกิจการของผู้เป็นบิดามาร่วมไว้อาลัย เธอยังจำได้ดีตอนเห็นเด็กสาวอายุ 13 ปีที่ไร้หยาดน้ำตายามมองภาพของบิดาและมารดาซึ่งเลี้ยงดูตนมาทั้งชีวิต ดวงตาสีนิลเข้มนั้นแม้จะแห้งผากยามมองสายตาสงสารของคนรอบข้างและสายตาที่ราวกับตัวเด็กหญิงเป็นภาระ แต่ไม่นานมันก็กลายเป็นความเฉยชาและความเข้มแข็งที่ก่อตัวขึ้นด้วยความเร็วที่น่าขนลุก
ไม่หลั่งน้ำตา...เมื่อไม่มีคนอยากช่วยเธอก็ไม่ร้องขอ...และเด็กสาวก็ทำสำเร็จ ปีแรกหลังสูญเสียผู้เป็นบิดามารดาไป แม้เงินเก็บของคนทั้งคู่ยังมีอยู่บ้างแต่วายุลักษณ์ก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางพอต่อการรักษาร้านอาหารของพ่อและการใช้ชีวิตประจำวัน บ้านหลังเล็กของครอบครัวเธอที่ตั้งใจจะย้ายเข้ากลายเป็นถูกตั้งขาย เธอจึงทำงานหนักทุกอย่างด้วยหยาดเหงื่อของตนเพื่อรักษาร้านอาหารก่อน โดยตอนแรกหยิบยืมแรงจากลูกน้องเก่าที่เคยเป็นทหารในหน่วยของนภา แต่ปีต่อมาก็สามารถกลับมาเปิดร้าน 'นิรันดร์กาล' ได้อย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับเงินที่พยายามเก็บเพื่อซื้อบ้านหลังเล็กคืน
การบริหาร ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและปรับสูตรทำให้ร้านอาหารแห่งนี้เป็นที่ชื่นชอบจากปากต่อปากและมันยังคงเปิดมาได้ถึง 4 ปีอย่างยาวนานเพียงเพราะการบริหารจัดการของวายุลักษณ์ เจ้านายของเธอที่มีความสามารถไม่เด็กตามอายุ
“ หืม...มีอะไรหรือเปล่าคะ พี่จันทร์ ? ” เด็กสาวที่มองกระดาษในมือถามอย่างแปลกใจเมื่อรับรู้ถึงสายตาของเลขาคนสวยที่มองมา จันทร์แรมกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เอ่ยเบี่ยงประเด็นไปอีกทาง
“ แล้วจะรับของว่างหน่อยไหมคะ ดิฉันจะได้เตรียมให้ ”
วายุลักษณ์ยิ้มกว้างตามนิสัยสบาย ๆ บิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกร็อบ จนเธอชักหวั่นว่าจะมีกระดูกในตัวร้าวตามเสียงด้วยหรือเปล่า ?
“ ก็อยากอยู่นะคะ แต่อีก 1 ชั่วโมงเดี๋ยวก็ได้เวลางานของหนูแล้ว ว่าจะออกไปแล้วน่ะค่ะ ” เด็กสาวร่างท้วมลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าซึ่งเป็นชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เก่า ๆ ให้เรียบร้อยเล็กน้อยแล้วเดินนำจันทร์แรมออกจากห้องทำงาน ทำให้จันทร์แรมต้องส่ายหัวเพราะเจ้านายคนนี้นอกจากจะทำงานไม่สมอายุแล้วยังรับทำงานอีกสารพัดงานเพื่อเงิน เงิน เงินและก็เงินอีกด้วย
ร้านอาหารของวายุลักษณ์เป็นร้านขนาดกลาง พื้นปูด้วยหินอ่อนลายเทาขาว โต๊ะทำจากไม้เนื้อแข็งสีสวยที่แบ่งตามขนาดและโซน โดยติดกับเคาท์เตอร์รับเครื่องดื่มและขนมจะเป็นที่นั่งเดี่ยวที่มีเก้าอี้สูงเรียงราย และแบ่งไปเป็นโซฟาสีแดงสดใสชิดผนังไม้ กับโต๊ะขนาดเล็กประมาณสองคนนั่ง โต๊ะขนาดกลางสี่คนและขนาดใหญ่หกถึงสิบคนพร้อมเก้าอี้ ตัวเคาท์เตอร์จะติดกำแพงหน้าสุด ครัวและห้องทำงานของเธออยู่ทางขวามือส่วนทางซ้ายเป็นประตูเข้าร้าน บรรยากาศภายในเน้นสีครีมและสีส้มอ่อนบวกกับแสงจากโคมไฟนวลทำให้ได้ความสงบเงียบ เหมาะแก่การทานอาหารเป็นส่วนตัว แบบครอบครัวหรือนั่งทำงาน ชุดเก้าอี้และโต๊ะติดประตูจะทำด้วยบานกระจกให้เห็นผู้คนผ่านไปมาและให้ลูกค้าภายนอกสามารถมองเห็นภรรยากาศภายในร้านได้ ส่วนเมนูจะเป็นตั้งแต่อาหารไทยถึงอาหารต่างประเทศทั้งยังมีเมนูพิเศษที่บางวันอาจเป็นของหวานหรืออาหารที่ทำยากเป็นพิเศษอีกด้วย
นอกจากนี้เธอยังทำการซื้อกลิ่นหอมสบาย ๆ อย่างกลิ่นดอกไม้ที่มีลักษณะเด่นมาเป็นหนึ่งในการเสริมภาพลักษณ์ เช่นวันจันทร์จะเป็นกลิ่นหอมของดอกมะลิ กลิ่นเย็น ๆ ชวนสบายใจ วันอังคารดอกกุหลาบ หรือวันศุกร์ดอกลีลาวดี ยิ่งไปกว่านั้นคือกลางร้านจะมีต้นไม้ใหญ่ที่สูงชิดเพดานร้านพร้อมต้นไม้อื่น ๆ แบ่งครึ่งอีกฝั่งเป็นทางยาวซึ่งไม่ได้ปลูกในกระถาง แต่ตั้งเป็นแนวกำแพงอิฐทอดยาว ซึ่งพวกเขาลงแรงขุดเจาะพื้นร้านและลงหน้าดินเองเลยทีเดียว เพราะเหตุนี้ภายในร้านจึงสดชื่นอยู่เสมอและดูสบายตา ทำให้ร้านของเธอมีลูกค้าเข้ามาเสมอ ๆ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจ เพราะตอนเด็ก ๆ คาดหวังที่จะได้ช่วยผู้เป็นพ่อบริหารร้านทำให้เธอศึกษาเรื่องแบบนี้มาไม่น้อย แม้จะได้ใช้เร็วกว่าที่คาดคิดก็ตาม และเพราะสถานการณ์ที่บีบคั้นที่ต้องให้เด็กสาวคอยตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ ผลักดันให้วายุลักษณ์เป็นคนที่สุขุมมักคิดอะไรให้รอบคอบอยู่เสมอเนื่องเพราะเธอรำลึกอยู่เสมอว่าเธอมีลูกน้องอีกหลายชีวิตที่หวังพึ่งพาเธอ
“ สวัสดีครับพี่ลม ” ต้นข้าว เด็กหนุ่มอายุ 16 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในพนักงานของเธอทักด้วยสีหน้ากระตือรือร้น วายุลักษณ์พยักหน้ารับทำให้อีกฝ่ายต้องเอ่ยถามแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม
“ จะไปทำงานแล้วหรือครับ ”
“ อืม ถ้าไปสายเดี๋ยวเขาหักเงินเอา ” เด็กสาวว่าอย่างขัน ๆ งานที่เอ่ยถึงไม่ใช่งานในร้านอาหารแห่งนี้ทว่าหมายถึงงานพิเศษอื่น ๆ ที่เธอรับทำไปด้วยเรียนไปด้วยต่างหาก มันมีมากมายเสียจนเขายังเครียดแทนตั้งแต่ทำงานในร้านอาหารอื่น ส่งหนังสือพิมพ์ ส่งดอกไม้หรือแม้แต่รับแปลเอกสารมากมายสลับกันไปในแต่ละวันของสัปดาห์ เด็กหนุ่มเคยถามเธอด้วยความข้องใจว่าทำไมต้องทำเพิ่มเมื่อมีร้านอาหารแห่งนี้แล้ว เขาจึงได้รับคำตอบว่า
“ พี่เป็นเจ้านายคน ถูกอย่างที่ต้นพูดว่าร้านแห่งนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน หากในวันข้างหน้าร้านเราเผชิญวิกฤตด้านการเงินล่ะ ? เงินของร้านไม่พอต่อลูกน้องพี่ทุกคนหรอกนะ เพราะอย่างนั้นพี่ถึงต้องทำงานเพิ่มเผื่อป้องกันไว้ก่อน ” เจ้าของดวงตาสีนิลลึกล้ำที่ไม่ว่ามองสบกี่ครั้งก็รู้สึกมั่นคงและอบอุ่นใจ ทำให้เด็กหนุ่มต้นข้าวรู้สึกเทิดทูนอีกฝ่ายยิ่งไปอีก ทั้งเมื่อยามเกิดวิกฤตจริง รุ่นพี่สาวผู้เป็นนายจ้างของเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความสามารถมากเพียงใดในการบริหาร
เขาต้องหลุดจากห้วงภวังค์เมื่อวายุลักษณ์หวนเข้าสู่งาน
“ เด็กใหม่ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ? ” เจ้าของร้านหมายถึงพนักงานใหม่ของร้านที่เพิ่งเข้ามาเมื่อเดือนก่อน ร้านแห่งนี้มีพนักงานรวมทั้งหมดราว ๆ 10 คนได้ รวมพนักงานใหม่ไปแล้วด้วยทำให้ดูเยอะเอาการ
“ เรียบร้อยดีครับพี่ลม ไม่มีปัญหาอะไรแถมขยันขันแข็งน่าดู ” ต้นข้าวเอ่ยเมื่อนึกถึงพนักงานสามคนที่เด็กสาวรับมาใหม่และเป็นคนเลือกเองกับมือ
วายุลักษณ์ยิ้มน้อย ๆ เธอเจอบุคคลทั้งสามที่มาขอสมัครงานทำ และจากการที่คัดกับมือเธอเองทำให้เธอรู้ว่าคนทั้งสามมีความสามารถไม่น้อย แม้จะมีความลึกลับอยู่บ้างแต่มันก็ไม่เสียหายที่เธอจะรับมาไว้ทำงานใกล้ตัว
ยิ่งอันตราย...บางครั้งอยู่ไกลไปเกินผลักไสหรือมองเห็น ก็ควรจัดไว้ใกล้ ๆ สายตาเป็นดีที่สุด
นั่นคือสิ่งที่วายุลักษณ์คิดและกระทำมาตลอด ดังนั้นลูกน้องของเธอทุกคนล้วนจริงใจและเป็นคนดีทุกคน
“ เจ้านายคะ ” จันทร์แรมที่เพิ่งวางหูโทรศัพท์เปิดสมุดที่พกติดตัวมาแล้วแจ้งเสียงเรียบ “ ทางร้านคุณ...ได้แจ้งมาว่าเพิ่มราคาสินค้าในครั้งนี้กว่าปกติ 20% แต่จะทำการลดให้เป็นพิเศษหากทางร้านเราทำการซื้อของเพิ่มเป็นครึ่งหนึ่ง จะให้โทรไปสั่งของเพิ่มไหมคะ ? ”
หัวสมองของเธอเริ่มแจกแจงสิ่งที่ได้ยิน หลังคำนวณผลได้ผลเสียก็เอ่ยปฏิเสธเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า
“ ไม่ต้องหรอก ช่วงนี้อากาศร้อนมาก ของที่เราสั่งส่วนใหญ่เป็นของสด ถึงซื้อมาก็เสียของอยู่ดี ฝากปฏิเสธทางนั้นไปแบบรักษาน้ำใจหน่อยนะคะพี่จันทร์ ”
“ เข้าใจแล้วค่ะ ” จันทร์แรมโค้งให้เล็กน้อย ดวงตาหลังกรอบแว่นทอความชื่นชมลึก ๆ วายุลักษณ์กวาดตามองภายในร้านอาหารที่สร้างจากน้ำพักน้ำแรงเธอด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจเมื่อมองไปยังรอยยิ้มของลูกค้าและเหล่าพนักงานของเธอ
“ หมดเรื่องแล้ว มีอะไรโทรแจ้งไปนะคะพี่จันทร์ พี่ไปก่อนล่ะต้น ” เด็กสาวร่างท้วมหันไปสั่งกับเลขาสาว รับกระเป๋าเป้สะพายไหล่ข้างหนึ่งแล้วบอกลาคนอื่น ๆ ในร้าน เด็กหนุ่มมองแล้วพูดอย่างจริงใจ
“ เดินทางดี ๆ นะครับ ”
“ อืม ” วายุลักษณ์รับคำยิ้ม ๆ เอามือไขว้หลังขณะก้าวเดินเอื่อย ๆ ออกจากร้าน แต่ยังไม่ทันได้หมุนตัวไปทางจุดหมาย ก็ต้องสะดุดตากับหญิงสาวฝั่งตรงข้ามที่กุมขมับกับรถเต่าโฟลว์ดีสีน้ำเงินคันเล็ก ที่ดูท่าว่าจะเกิดปัญหาหนัก อีกฝ่ายกวาดตามองซ้ายขวาเหมือนจะหาตัวช่วย แต่ประเทศไทยสมัยนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็ไม่มีใครคิดสนใจหรอก และหลังเด็กสาวเอียงคอมองสีหน้าร้อนใจของหญิงสาวคนดังกล่าว เธอก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหา
'ถ้ามีผู้ต้องการความช่วยเหลือ หากไม่เกินความสามารถเรา เราก็ควรยื่นมือช่วยเหลือ'
นั่นคือคำสอนของบิดาที่ทำให้วายุลักษณ์ไม่รีรอที่จะก้าวไปหาหญิงสาวแปลกหน้า
“ มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะคุณนาย ” ไม่แปลกที่เธอจะเดาเช่นนั้น เมื่ออีกฝ่ายใส่ชุดและเครื่องประดับที่ดูหรูหราไม่น้อยราวกับเป็นผู้มีอันจะกิน และนั่นเรียกความสนใจจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี
“ โอ้...ขอบคุณมาก ๆ ฉันขอยืมมือถือเธอหน่อยได้ไหมจ้ะ แบตโทรศัพท์ดันมาหมดก่อนเสียได้ ” เธอบ่นงึมงำ เอ่ยเสียงภาษาไทยชัดเจน
“ นี่ค่ะคุณนาย ” เธอส่งโทรศัพท์รุ่นเก่ากึกไปให้ มือขาวเนียนอย่างคนรวยยื่นมารับทำให้เธอสะดุดตากับเครื่องประดับที่ข้อมือขวาของอีกฝ่าย
กำไลหยก...สีครามเหลือบม่วงอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
ดูท่าจะแพงไม่น้อยแฮะ
เด็กสาวร่างท้วมคิดอย่างขำ ๆ แม้จะรู้สึกถึงความประหลาดของกำไลนั่นแต่เธอก็ปัดมันออกไป แล้วดึงความสนใจไปที่รถเจ้าปัญหา
หญิงสาวหุ่นบางในชุดเสื้อแขนยาวสีครีมและกางเกงแบรนด์หรูสีดำเอ่ยเป็นภาษาจีนอ่อย ๆ ที่เธอฟังออกบ้างไม่ออกบ้างกับปลายสาย ทำท่าขอโทษขอโพยอีกฝ่ายแม้วายุลักษณ์จะคิดไม่ผิดที่อีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งต่างชาติก็ตามที
“ ขอบคุณจริง ๆ จ้ะ หนู ? ” คำเว้นชื่อทำให้เธอต้องยิ้มบาง ตอบกลับอย่างสุภาพ
“ วายุลักษณ์ เรียกลักษณ์หรือลมก็ได้ค่ะ คุณนาย ”
“ คุณนายอะไรกัน ” หญิงสาวพูดเสียงกลั้วหัวเราะ รู้สึกถูกใจเด็กสาวรุ่นลูกตรงหน้าแปลก ๆ แล้วแนะนำตัวบ้าง “ เรียกฉันว่า ซิน ก็ได้ ” และยิ่งต้องถูกใจขึ้นไปอีกเมื่อเด็กสาวยกมือไหว้และรับคำอย่างนอบน้อม
“ ค่ะ คุณซิน จะว่าอะไรไหมคะที่หนูจะตามคนรู้จักมาดูรถคันนี้ให้ ดูแล้วอาการมันไม่หนักมากนัก ”
“ นานไหมจ้ะ ? ”
“ ไม่หรอกค่ะ คนรู้จักหนูพอซ่อมรถได้ คุณซินจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าอู่นาน ” เธอนิ่งไปเล็กน้อยแล้วผายมือไปยังร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเชื้อเชิญ “ ถ้ายังไงไปรอในร้านของหนูก่อนก็ได้ค่ะ หนูรับรองว่าคนของหนูไม่มีทางทำอะไรเสียหายกับรถของคุณนายเด็ดขาด ”
วายุลักษณ์พูดเสียงเน้นหนักแน่นเป็นการรับรองความไม่มั่นใจของหญิงสาว ดวงตาที่ฉายความมั่นใจเต็มเปี่ยมสะกิดความสนใจจาก ซิน หรือ ฉีเยว่ซิน (月欣 เยว่ซิน แปลว่า ดวงจันทร์แห่งความสุข ) สาวลูกครึ่งไทย-จีน อายุ 40 กว่าปีที่ยังคงใบหน้าสาวราวหญิงวัย 20 กว่าอยู่
“ งั้นรบกวนด้วยนะจ้ะหนูลม ” เธอเรียกขานเด็กสาวรุ่นลูกอย่างสนิทสนม ก้าวเข้าไปในร้านก็ต้องเลิกคิ้วสูงแปลกใจ ที่เห็นพนักงานในร้านทักทายเจ้านายของพวกเขาอย่างเริงร่าปนหยอกเย้าเมื่อคนเป็นเจ้าของร้านที่ก้าวออกไปไม่กี่นาทีก็เข้ามาอีกรอบ ดวงตาของแต่ละคนล้วนฉายความเคารพเทิดทูนและเชื่อใจมากเกินกว่าที่ใครจะคาดถึงได้
และนั่นทำให้เธอต้องประเมินเด็กสาวที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ๆ นั่นใหม่เสียแล้ว
“ เชิญค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปตามคนรู้จักก่อนนะคะ ” วายุลักษณ์ว่าพลางค้อมศีรษะให้อย่างสุภาพเพื่อไปตามนายช่างที่เป็นหนึ่งในลูกน้องเก่าของพ่อเธอ เพียงหญิงวัยกลางคนทรุดนั่ง น้ำเปล่าหนึ่งแก้วก็ถูกวางโดยเด็กหนุ่มหน้าใสที่เป็นหนึ่งในพนักงานของร้านทันที
“ ขอบใจนะจ้ะ ” ต้นข้าวนั่นเองที่เป็นคนเสิร์ฟน้ำให้ถึงที่ เพราะเขาเป็นคนแรกที่เห็นว่าวายุลักษณ์ก้าวเข้ามาใหม่พร้อมแขกแปลกหน้า เขาจึงได้ตระเตรียมน้ำท่าให้เรียบร้อยก่อนแล้ว
“ ไม่เป็นไรครับ แขกของพี่ลมพวกเราก็ต้องดูแลให้ดี ” เด็กหนุ่มพูดอย่างสุภาพแล้วขอตัวจากไปเพื่อไปช่วยงานคนอื่น ๆ ต่อ ทำให้หญิงสาวมีเวลาในการกวาดตามองไปรอบ ๆ โต๊ะ แม้เป็นเวลาเย็นไม่มากนักทว่าลูกค้าภายในร้านก็ยังมีเยอะอยู่ดีจนเหล่าพนักงานต้องวิ่งวุ่นเพื่อรับออร์เดอร์และเสิรฟ์อาหาร ดูวุ่นวายไม่น้อยน้อยทว่าจากการมอง เมื่อวายุลักษณ์ก้าวไปยังที่ใด พนักงานจะหยุดในสิ่งที่กระทำอยู่เพื่อโค้งตัวให้เจ้าของร้านที่แม้จะก้าวอย่างรีบร้อนแต่มีรอยยิ้มสบายอารมณ์ตอบรับตลอดเวลา
ไม่น่าเชื่อว่าการกระทำเหล่านี้จะเป็นของพนักงานที่มีเจ้านายเป็นเพียงเด็กสาวอายุแค่ 18
ไม่นานเด็กสาวร่างท้วมก็เดินนำมาพร้อมชายวัยกลางคนสูงใหญ่ ดูทะมัดทะแมงไม่น้อย เอ่ยแนะนำสั้น ๆ ว่าคือเอกชัย ลูกน้องในร้านที่พอซ่อมเครื่องยนต์เป็น แล้ววายุลักษณ์ก็ทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามกับเยว่ซินซึ่งเริ่มต้นสนทนา
“ เป็นเจ้าของร้านนี้มานานหรือยังจ้ะ หนูลม ”
“ ก็ราว ๆ เกือบ 5 ปีได้แล้วค่ะ ” คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นขณะประเมินอายุเด็กสาว อดถามไม่ได้ว่า
“ แล้ว...ปีนี้หนูอายุเท่าไหร่แล้วจ้ะ ? ”
“ 18 ค่ะ ปีนี้ 18 แล้ว ” วายุลักษณ์ยิ้มน้อย ๆ แล้วเล่าให้หญิงสาวตรงหน้าฟังเอื่อย ๆ “ คุณพ่อกับคุณแม่หนูเสียไปเมื่อ 5 ปีก่อน หนูเลยต้องเข้ามาบริหารแล้วก็ทำงานเก็บเงินเพื่อรักษาร้านของคุณพ่อไว้น่ะค่ะ ”
“ ...เสียใจด้วยนะจ้ะ น้าขอโทษด้วยที่พูดเรื่องแบบนี้ไป ” ไม่รู้ทำไมเธอถึงเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้าขนาดนี้ ใบหน้าหวานหลังแว่นตากันแดดหลุบมองเด็กสาวที่ยังฉีกยิ้มมาให้ บรรยากาศสงบ ๆ รอบตัวและกลิ่นดอกไม้อ่อน ๆ ชวนให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ได้ผ่อนคลาย...เหมือนกับตัวเจ้าของร้านเองที่เพียงคุยด้วยก็รู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ ไม่เป็นไรค่ะ ” เธอส่ายหัวเล็กน้อย มองสบดวงตาหลังแว่นกันแดดอย่างมั่นคง “ เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้ว ”
สายตาเหมือนผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามากยิ่งทำให้หญิงสาวถูกใจวายุลักษณ์มากขึ้นไปอีก ดวงตาสีดำที่มองสบไม่มีร่องรอยความเจ็บปวด มีแต่ความเข้มแข็งที่มากเกินกว่าเด็กคนหนึ่งจะมีได้ ทั้งยังเป็นสายตาที่ทำให้ผู้สบรู้สึกมั่นคงโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ถือเป็นสายตาที่ดี แม้อีกฝ่ายจะเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาธรรมดาแต่ถ้าใครได้รู้จักนิสัยจริง ๆ ของเด็กสาวคงรู้สึกสนิทใจได้ไม่ยากเหมือนกับเยว่ซินแน่
“ คิก ๆ หนูเป็นคนที่แปลกนะจ้ะ รู้ตัวไหม ” วายุยักษณ์เอียงหัวเล็กน้อยแล้วเกาแกรก ๆ ทำสีหน้าทบทวนแล้วยิ้มแห้งสบาย ๆ ให้
“ ก็มีคนบอกแบบนี้บ่อยเหมือนกัน แต่หนูจะคิดว่ามันเป็นคำชมว่าหนูไม่เหมือนใครแทนล่ะกันค่ะ ” คำพูดทีเล่นทีจริงยิ่งทำให้หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะ นานมากแล้วที่ได้ไม่สนทนากับใครได้สบาย ๆ ซึ่งพวกเธอพูดคุยกันได้เข้าขาเป็นอย่างดีเนื่องเพราะเอกชัยบอกว่าใช้เวลาซ่อมไม่นานนัก เธอจึงเอ่ยรั้งตัววายุลักษณ์ให้อยู่เป็นเพื่อนและรู้ด้วยว่าเดี๋ยวเด็กสาวก็จะไปทำงานเสริม คำตอบที่ได้รับช่างถูกใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอเป็นคนที่แปลกจริง ๆ ทำอะไรที่ไม่เหมือนเด็กสาวอายุเท่ากันทำแม้แต่น้อย
“ เรื่องเล่นหุ้นมีอะไรก็ปรึกษาฉันได้นะจ้ะ ” หญิงสาววัยกลางคนจดเบอร์ของเธอใส่กระดาษแล้วเลื่อนส่งให้เด็กสาวที่บอกว่าเพิ่งเริ่มสนใจและเล่นเรื่องหุ้นได้ไม่นานเพราะอยากลองสั่งสมประสบการณ์ แต่จากที่เธอฟัง...แม้ปากจะบอกว่าเพิ่งเริ่มเล่นแต่การพูดจา หึ ๆ ...มันมืออาชีพชัด ๆ จังหวะนั้นเองเด็กสาวก็จดจ้องที่ข้อมือขวาของหญิงสาวอีกครั้ง
“ ......... ” เธอมองนิ่งเหมือนต้องมนตร์สะกด เหมือนลืมเลือนหลาย ๆ อย่างตอนมองกำไลหยกสีครามเหลือบม่วงที่ส่องประกายแวววาว ภาพบางอย่างโผล่แวบเข้ามาในหัว ภาพบุรุษเรือนผมสีดำยาวในชุดจีน ดวงหน้าคมคายหล่อเหลาเสียจนชวนสะกดใจทว่าไม่ใช่กับเด็กสาวที่กวาดตาเพ่งมองชุดอีกฝ่าย
ชุดโบราณจังแฮะ...
หากเป็นคนอื่นต้องสงสัยว่าภาพอีกฝ่ายเป็นใครทั้งที่ยังไม่เคยพบทว่าเธอกลับให้ความสนใจที่ชุดเสียได้ และวายุลักษณ์ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือเรียวพัดผ่านไปมาที่หน้า
“ มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ ? ” เยว่ซินถามอย่างแปลกใจเมื่อจู่ ๆ สาวน้อยตรงหน้าก็นิ่งค้าง เหลือบมองมือขวาที่สวมเครื่องประดับเพียงอย่างเดียวที่ข้อมือเธอ ทั้ง ๆ ที่ดูมันเป็นเพียงเครื่องประดับธรรมดา...
“ ข...ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ กำไลหยกของคุณซินสวยมากค่ะ หนูเลยเสียมารยาทมอง ” เธอยิ้มเก้อ ๆ ให้ แต่เป็นกำไลหยกที่เธอคุ้นตาอย่างน่าประหลาดจริง ๆ แม้สมองจะค้นภาพกำไลหยกว่าเคยเห็นที่ไหนหรือเปล่าก็ตาม...
“ หนูหมายถึง...นี่หรือ ? ” เสียงหวานมีความแปลกใจแฝงอยู่ เอนกายพิงเก้าอี้ ยกขาไขว้ห้างขณะมือขวาชูกำไลหยกให้เธอเห็นชัด ๆ
“ ค่ะ ” วายุลักษณ์พยักหน้าอย่างงง ๆ แม้จะหรี่ตาลงชั่วแวบหนึ่งที่รู้สึกเหมือนกำลังเจรจาธุรกิจบางอย่าง ปรับให้ตัวเธอเปลี่ยนท่านั่งให้ผ่อนคลายกว่าเดิมแต่แฝงความกดดันตอบกลับไปอย่างไม่รู้ตัว
“ ชอบจริงหรือจ้ะ ? ” เจ้าของกำไลถามอีกครั้ง
“ ค่ะ สีครามเหลือบม่วงเข้มสวยมากเลยค่ะ ” เด็กสาวตอบกลับชัดถ้อยชัดคำด้วยความชื่นชมจากใจจริง แม้จะเผลอมองที่กำไลหยกสีสวยนั่นอีกครา และหากเธอมองไม่ผิด...เธอเห็นเหมือนมันส่องแสงสีแดงอ่อน ๆ ยิ่งสร้างความคุ้นเคยมากขึ้นให้กับเธอ ภาพฝันเลือนลางเมื่อเช้าผุดวาบพร้อมมือเรียวข้างซึ่งสวมใส่กำไลสีครามคล้ายคลึงกันที่หนึ่งในสองคนที่เธอเห็น
บังเอิญ...หรือเปล่า ?
งั้น...ถ้าเธอจะให้กำไลนี่กับเด็กคนนี้คงไม่เป็นอะไร
เยว่ซินคิดในใจ มองใบหน้าเด็กสาวที่เอียงคอมองเหมือนไร้เดียงสาผิดแต่แววตาเข้มแข็งและหนักแน่นเหมือนผู้ใหญ่เท่านั้นที่ทำให้เธอตัดสินใจถามหยั่งเชิงอีกครั้ง
“ น้าจะให้กำไลนี่กับหนู...ถ้าหนูตอบคำถามให้น้าได้พอใจมากพอดีไหม ? ” แต่วายุลักษณ์ก็ปฏิเสธเสียงเนิบ
“ ไม่จำเป็นค่ะ หนูไม่ได้อยากได้มัน อีกอย่างเครื่องประดับสวย ๆ ก็เหมาะกับคนสวย ๆ อย่างคุณซินมากกว่า ” น้ำเสียงที่ตอบไม่มีวี่แววอยากได้ มีแต่ความจริงใจเต็มเปี่ยมเพราะมั่นใจนัก แต่เยว่ซินกับฉีกยิ้มบอก
“ และถ้าเกิดมันมีมาเพื่อหนูล่ะ ”
“ ? ”
“ ถ้าเกิดว่าคนที่รักของหนูต้องตกอยู่ในอันตรายทั้งถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจร้ายจากคนมากมาย หนูจะทำยังไง จะเข้าไปร่วมมือกับคนที่จะทำร้ายคนที่หนูรัก หรือจะเข้ากับคนที่รักซึ่งถูกกล่าวว่าเป็นปีศาจร้าย ” ดวงตาคมวาวมองเด็กสาวตรงข้ามที่แสดงสีหน้าครุ่นคิด รวดเร็วทันใจ วายุลักษณ์ยืดตัวตรงแล้วตอบเสียงไม่ดังมากนักแต่ชัดเจนในโสตประสาทของหญิงสาวที่รอฟัง
“ หนูไม่รู้หรอกนะคะว่าสำหรับคนอื่นจะว่าคนที่หนูรักว่าเป็นปีศาจร้ายหรือไม่ และถึงเขาจะเป็นจริงหนูก็ไม่สนใจ ” คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ มองเด็กสาวรุ่นลูกที่เอ่ยวาจาหนักแน่นดั่งคำสาบาน
“ แต่หากมีใครคิดร้ายกับคนที่หนูรัก หนูก็จะเป็นยิ่งกว่าปีศาจร้ายในสายตาคนอื่นโดยไม่สนใจคำพูดใด ๆ ...ไม่สนวิธีการใด ๆ เพื่อผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวที่จะปกป้องเขาคนนั้นค่ะ ” นั่นคือสิ่งที่เธอทำมาตลอดเช่นกัน...พนักงานในร้านแห่งนี้เปรียบดั่งครอบครัวของเธอทุกคน ครอบครัวสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่...ใครที่กล้าคิดร้ายกับ 'คนของเธอ' แม้แต่คนเดียว มันไม่มีทางได้อยู่ดีมีสุขแน่ !
วายุลักษณ์คิดในใจด้วยแววตาวาวโรจน์และเชื่อมั่นว่าเธอสามารถกระทำได้ไม่ยากนัก เธอไม่สนใจสายตาใครว่าจะมองยังไงแต่เธอสนแค่ความสุขของคนสำคัญรอบตัว ทำให้เยว่ซินที่อึ้งไปเล็กน้อยฉีกยิ้มถูกใจ ถอดกำไลเรือนนั้นออกแล้ววางบนโต๊ะ ให้เด็กสาวที่เธอว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว...ที่จะรับมันไป
“ ขออีกคำถามนะจ้ะ สำหรับหนูอะไรคือการสัญญาที่หนักแน่นมั่นคงที่สุด ” เธอยิงคำถามต่อแม้จะพึงพอใจกับคำตอบเมื่อครู่แล้วก็ตาม
“ การสัญญาที่หนักแน่นมั่นคงที่สุด ” เด็กสาวเลิกคิ้วสูงขณะทวน การสัญญาที่หนักแน่นที่สุดงั้นเหรอ ?...
“ ในนามแม่ทัพใหญ่แห่งต้าฉี (ฉีที่ยิ่งใหญ่) ข้าขอให้สัตย์สาบานจะปกป้องฝ่าบาทจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทั้งลมหายใจ ร่างกายและทุกสิ่งอย่างของกระหม่อมมอบให้ฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียว หากใครถือฝ่าบาทเป็นทรราช ข้าก็จักเป็นข้ารับใช้ทรราช หากใครถือฝ่าบาทเป็นมารร้าย ข้าก็จักเป็นข้ารับใช้มารร้ายและจะใช้ทุกสิ่งอย่างปกป้องฝ่าบาทและแผ่นดินของฝ่าบาทตราบเท่าสายลมหอบนี้จะกระทำได้ ”
เสียงหนึ่งดังกึกก้องในหัวเธอจนต้องนิ่วหน้ากับสิ่งที่ผุดขึ้นมา จนเยว่ซินต้องขมวดคิ้วกับท่าทางเหมือนปวดหัวของเด็กสาว แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่อาการ วายุลักษณ์ก็ตอบสวนกลับมาแล้ว
“ สัตย์สาบานค่ะ...สำหรับหนู...สัตย์สาบานถือเป็นการสัญญาที่สำคัญที่สุด คำสัญญา...ที่ไม่มีทางทำผิดได้ ” เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเลือกตอบแบบนั้น แต่บางที...เชื่อสัญชาตญาณตัวเองคงดีที่สุดเวลามันร่ำร้องเตือน
“ ......... ”
“ ......... ”
“ น่าพอใจมาก...มันเป็นของหนูแล้วจ้ะ ” รอยยิ้มสวยที่ฉีกกว้างสร้างความลังเลใจให้เด็กสาว ใบหน้าท้วม ๆ กระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อถูกยัดเยียดของที่ดูมีราคาไม่น้อยให้
“ เอ่อ...คุณซินคะ หนูว่า...”
“ มันเป็นของหนูจริง ๆ อีกอย่าง...เพราะหนูทำให้ฉันเจออะไรบางอย่างที่น่าสนใจและทำให้ฉันชอบมาก ๆ ” คิ้วหนาของเด็กสาวเลิกขึ้น กวาดตามองไปรอบตัวแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ คิดว่าอาจหมายถึงร้านอาหารของเธอ...ไม่คาดคิดว่ามันจะหมายถึงตัวเธอเอง
“ งั้นวันหลังก็เชิญมาร้านนี้อีกนะคะ หนูยินดีต้อนรับเสมอ ”
“ คิก ๆ ขอบคุณจ้ะ สวมมันหน่อยสิจ้ะ ฉันอยากเห็น ” เมื่อหญิงสาวคะยั้นคะยอ วายุลักษณ์จึงหยิบมันมาสวมแต่โดยดีและอีกครั้งที่เธอเห็นมันกลายเป็นสีแดงอ่อน ไม่ต่างจากเยว่ซินที่ตาเบิกกว้างเล็กน้อยยามเห็นเด็กสาวสวมใส่
“ มันเป็นของตกทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของฉันเชียวนะ ให้กับเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ” เด็กสาวตาโต ทำท่าจะถอดคืนทันทีแต่ก็ถูกเสียงของเอกชัยที่เดินเข้ามาหาพวกเธอขัดเสียก่อน
“ รถเรียบร้อยแล้วหนูลม ใกล้เวลาไปทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ ? ” เสียงของคนคุ้นเคยที่เอ่ยเป็นการเตือนทำให้วายุลักษณ์ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อนึกขึ้นได้ ผุดลุกขึ้นมองนาฬิกา อีกเพียงยี่สิบนาทีก็จะถึงเวลางานของเธอและนั่นทำให้สาวลูกครึ่งต้องเอ่ยดักคอเมื่อเห็นเธอทำท่าจะถอดกำไลออกอีกรอบ
“ น้าบอกจริง ๆ ว่าให้หนู รักษามันให้ดีก็พอแล้ว สัญญาได้ไหมจ้ะ ? ” คำถามอ่อนหวานเชิงเว้าวอนปนกดดันทำให้ลักษณ์ต้องโคลงหัว รู้เลยว่าเจอผู้ใหญ่ที่ร้ายกาจเข้าแล้วสิ แต่ก็ยิ้มรับเมื่อก้มลงมองกำไลหยกสีครามที่ข้อมือขวาของเธอ
“ ค่ะ หนูสัญญา ขอลาก่อนนะคะคุณซิน แล้วพบกันใหม่ ” เด็กสาวยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมแล้วหมุนตัวไหว้เอกชัยอีกครา รับกระเป๋าเป้จากจันทร์แรมที่ตอนแรกเธอลืมไปเสียสนิท พลางยิ้มแห้ง ๆ ให้
พอพนักงานในร้านเห็นเด็กสาวกำลังออกจากร้านก็ตะโกนเซ่งแซ่
“ เดินทางระวังนะครับพี่ลม ! ”
“ แล้วมาบ่อย ๆ นะ ”
“ สวัสดีแล้วพบกันใหม่ครับคุณวายุลักษณ์ ”
“ โชคดีค่ะ ”
“ บ๊ายบายค่า มาอีกเร็ว ๆ น้า ” สารพัดเสียงที่ดังลั่นทำให้บรรยากาศภายในร้านกลายเป็นครื้นเครงทันตา ก่อนหลาย ๆ คนจะหัวเราะร่าเมื่อเห็นเจ้านายอายุน้อยหน้าขึ้นสีระเรื่อที่ถูกทำให้เป็นจุดสนใจ แต่ด้วยนิสัยทำให้เธอโบกมือลากลับยิ้ม ๆ ดั่งเดิม
“ ดูเธอจะเป็นที่รักของพนักงานในร้านนะคะ ” เย่วซินพูดเปรย ๆ ขณะมองตามไล่หลังเด็กสาวที่ออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วไม่สมร่างท้วม ๆ นั่น ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนโยนให้ขณะเอ่ยถึงผู้เป็นลูกสาวของหัวหน้าที่เขาเคารพ
“ เธอเป็นคนเข้มแข็งเหมือนอย่างพ่อกับแม่ของเธอ ชอบเอาใจใส่ แต่ไม่ค่อยอยากพึ่งพาคนอื่นเพราะกลัวทำให้ลำบาก เป็นเด็กที่นิสัยประหลาดเสียจริงแต่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกมั่นคง หรือคุณคิดว่ายังไงครับ? ” เอกชัยหันไปถามหญิงสาวยิ้ม ๆ เธอยิ้มบาง ๆ ตอบกลับแล้วพูดอย่างตรงประเด็น
“ เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างแปลก...แต่ก็เป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย ”
“ ครับ...นั่นแหละหนูลมล่ะ ” เขาหัวเราะร่า ขอตัวไปทำงานต่อ โดยปล่อยแขกเจ้านายไว้จนในที่สุด หญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน ก้าวยาว ๆ ออกจากร้านพลางมองตัวอักษรสีขาวที่เรียบเรียงเป็นชื่อบนกระจกของร้าน
'นิรันดร์กาล'
สมองของเธอยังคิดวกวนไปมาถึงกำไลหยกที่เพิ่งให้เด็กสาวไป กำไลที่เคยได้รับคำสั่งตกทอดมาว่าให้มอบต่อเด็กสาวหรือหญิงสาวคนใดก็ตามที่ชื่อมีความหมายเกี่ยวกับ 'สายลม' และเป็นที่ถูกใจของเธอ ยิ่งเธอครุ่นคิดถึงเด็กสาวคนนี้มากเท่าไหร่ ความพิศวงในใจและกังขากับสิ่งที่เธอทำก็เริ่มผุดขึ้น
“ ไม่สิ เธอเหมาะสมที่จะได้รับมันแล้ว ” เยว่ซินคิดในใจ ก่อนจะพูดเปรย ๆ กับตัวเอง
“ ฉันหวังว่าสายลมจะสามารถหยุดที่ใครสักคนได้นะ ”
สายลม...รักอิสระและอิสรภาพเสมอมา เป็นได้ทั้งสายลมคลายร้อน มอบความร่มรื่นไปทั่วแต่ก็สามารถกลายเป็นพายุร้ายยามเกรี้ยวกราดได้เช่นกัน
และสายลม...แม้มีเวลาที่แผ่วเบาแต่จะไม่มีวันอ่อนแออย่างเด็ดขาด
มาทางด้านเด็กสาวที่ก้าวฝีเท้าเร็ว ๆ เพื่อไปทำงานร้านอาหารอื่นต่อ ผมสีดำประบ่ามัดรวบไว้ด้านหลัง ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมกวาดมองไปรอบตัวอย่างคนชอบสังเกตและกลืนไปกับคนทั่วไปอย่างง่ายดาย เพราะใบหน้าที่ไร้จุดเด่นใด ๆ เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงสวยน่ารัก น่าทะนุถนอมซึ่งเธอก็รู้สึกว่าดีแล้วสำหรับคนที่ไม่ชอบเป็นจุดเด่นอย่างเธอ
นับว่าอย่างน้อยแม้เธอจะมีรูปร่างอ้วนท้วมแต่เพราะความสูงที่ได้จากผู้เป็นบิดามาเต็มเหนี่ยวและการออกกำลังกายจากงานพิเศษเป็นประจำทำให้ความสูงของเธอปาไป 170 ถือว่าสูงเกินมาตรฐานสำหรับผู้หญิงไปสุดโต่ง ก็ทำให้รูปร่างเธอไม่ดูแย่นัก
เสียงเซ้งแซ่รอบตัวไม่ทำให้เธอสนใจ จนกระทั่งเห็นข่าวช่วงเย็นที่นำเสนอถึงข่าวโจรปล้นร้านทองและตัวประกันปริศนาที่จัดการโจรจนหมอบราบคาบที่ร้านขายโทรทัศน์ เธอก็ต้องทำหน้าเจื่อน หมุนตัวไปหนีพร้อมหัวเราะแห้ง ๆ ในลำคอ ใบหน้าท้วม ๆ ก้มลงมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
“ เอ...17 : 50 น่าจะยังทันแฮะ” พอคำนวณระยะทางที่จะถึงสถานที่ทำงาน วายุลักษณ์ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแก้มตุ้ย ซึบซับบรรยากาศยามเย็นของกรุงเทพฯ ที่แม้จะเต็มไปด้วยฝุ่นละอองแต่มันเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคยที่สุดอยู่ดี แต่ขณะกำลังยืนรอรถเมล์ขาประจำก็ต้องสะดุดใจเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ย้อนกลับจากทางม้าลายเพื่อเก็บลูกบอลที่กลิ้งไปยังพื้นถนน
“ พ่อแม่ที่ไหนปล่อยลูกเก็บของกลางถนนเนี่ย ” บ่นอุบอิบกับตัวเองไปพลาง เธอก็เดินไปหยุดทางฝั่งตรงข้ามทางม้าลายมองเด็กหญิงที่หันรีหันขวาเหมือนหลงทิศ
เอี๊ยด !
เสียงเบรกรถและหักเลี้ยวอย่างฉับพลันทำให้เด็กสาวตัวสูงต้องเบิกตากว้างเมื่อ Mercedes Benz คันหรูสีดำพร้อมรถติดตามอีกสองคันอยู่ ๆ ก็หักเลี้ยวจากถนนใหญ่ฉับพลันทำให้เด็กหญิงที่อยู่กลางทางม้าลายใกล้หัวมุมเบิกตากว้าง ตัวแข็งค้างและด้วยความเร็วที่พุ่งเข้ามาทำให้หลาย ๆ คนที่เห็นส่งเสียงกรีดร้องเนื่องจากคิดว่าเด็กหญิงผู้โชคร้ายคนนั้นไม่รอดเป็นแน่
เอี๊ยด !
รถสีดำคันดังกล่าวพยายามเหยียบเบรกแต่ไม่สามารถหักเลี้ยวได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ไม่ใช่สิ่งที่วายุลักษณ์สนใจ เด็กสาวกระโจนไปหาเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนนิ่งด้วยน้ำตาคลอเบ้า มือหยาบผลักเด็กหญิงให้พ้นรัศมีรถ แม้จะรู้ดีว่าจะกลายเป็นตัวเองที่ไม่สามารถหลบรถคันนั้นพ้นก็ตาม
โครม !
กำไลหยกสีครามม่วงเรืองแสงสีแดงอ่อนชั่วขณะพร้อมสติของเด็กสาวที่เลอะเลือนไปวูบ ร่างสะท้านเฮือกรับรู้ถึงแรงเจ็บปวดที่เข้าปะทะก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกสายน้ำเย็น ๆ สาดใส่ หูแว่วได้ยินเสียงกรีดร้องของคนมากมายใกล้ ๆ หยาดโลหิตสีแดงหลั่งรินออกจากบาดแผล ก่อนจะกลายเป็นเสียงใส ๆ เสียงหนึ่งที่เหมือนพยายามเรียกสติเธอ ด้วยภาษาที่เธอไม่คุ้นเคย
“ เจ้า ! เจ้า ! ได้ยินข้าหรือไม่ ฟางเซียน ! มาช่วยแม่อุ้มนางเร็ว ! ”
“ คนจีนที่ไหนมาพูดข้างเราเนี่ย ” วายุลักษณ์คิดในใจอย่างมึนงง ดวงตาพร่าเลือนเพราะความเจ็บปวด ก่อนเปลือกตาเธอเริ่มปิดสนิทแล้วหมดสติไปอีกครั้ง แต่เธอไม่รู้เลยว่าเมื่อลืมตาขึ้น...ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไป เมื่อกำไลสีม่วงครามที่เรืองแสงมลายหายไปในทันทีที่เธอรู้สึกเหมือนถูกน้ำสาดใส่
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
|
ลำดีบเรื่องดี ตัวละครน่าสนใจ
ติดตามอ่านแน่นอนคะ
PS. เกลียดเศร้า ชอบตลก แต่เค้าก็อ่านหมด เพียงแค่คนเขียนแต่งมา
PS.
ไม่เหมือนใครดี น่าอ่านมากๆๆๆ
PS. ทุกอย่างมี 2 ด้าน เช่นเดียวกับ ราตรีที่มืดมิดแต่กลับสวยงามอย่างประหลาด ซึ่งมันแล้วแต่ว่าใครจะมองด้านไหนเท่านั้นของมันเท่านั้น เช่นเดียวกับความรัก ที่มีทั้ง ความทุกข์และความสุข
ตรงที่ตัวเอกเป็นหญิงอึด ถึก ทน ที่สู้คน และมองโลกในแง่ดี
แต่พล็อตของเรื่องไม่คล้ายนะ เราชอบแนวย้อนเวลาจีนๆ พอๆกับชอบแนวเกมส์ออนไลน์เลย
ซึ่งพล็อตนี้ เกมส์ออนไลน์เราติดหนึบกับเรวิงซ์เรียบร้อย
พล็อตจีนย้อนเวลา ขอติดกับหนูลมละกันนะ >[]<
PS. นี่คือการเร่ง!! เอานิยายมาอัพเดี๋ยวนี้!!
ส่วนเรื่องรถเสียคล้ายเรื่ง hevaen of god online เลยพูดง่ายๆเอาหลายๆเรื่องมารวมกันค่ะ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 2 มิถุนายน 2557 / 08:50
แต่ตอนหลังๆไม่คล้ายแล้ว สนุกดี น่าติดตาม นางเอกจะเป็นแม่ทัพด้วย (><) ตามหามานานแล้ว~
ชอบจ้า
PS. ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวันเดือนปีนั้นมีค่า อย่าปล่อยเลยไปทั้งๆที่ยังไม่ทำอะไรกับมัน
น่าสนุกดีค่ะๆ ><
PS. เบื่อๆ เหงาๆ.... แวะมาดูไอดีเราได้นะ แอดกันบ้างเน้อ
PS. เคา้ว่าคนตรงๆเนี้ยจะโดนสังคมรังเกียจ ใช่ไหมนะ~
ชอบๆๆๆ