คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : PERCENT: 09%
PERCENT 09%
ผ่านเหตุการณ์ที่สนามแข่งรถมาเกือบเดือนแล้วและนั่นยิ่งทำให้มิททีระวังตัวมากขึ้น ส่วนแบมแบมถูกฝึกหนักกว่าเดิมและมันจะต้องหนักกว่านี้ก่อนจะถึงวันนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นรึเปล่าที่ทำให้แบมแบมเก่งขึ้นมากกว่าเดิมเยอะ ประสาทการรับรู้ไวมากขึ้นแถมยังหายตัวไปที่นู่นที่นี่ได้แล้วแม้ยังไม่ค่อยคล่องมากนัก
เหมือนเรื่องการเป็นครึ่งคนครึ่งมิททีของแบมแบมคงไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว เพราะช่วงนี้แบมแบมโดนถามบ่อยเหลือเกินเกี่ยวกับเรื่องที่เขามีเลือดมนุษย์ในตัวด้วยซึ่งแบมแบมเองก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปมากนัก เพราะจินยองบอกว่าเลือดมนุษย์ในตัวอาจทำให้พวกมิททีบางกลุ่มอยากจะลิ้มลองมันซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆเขามั่นใจ
จีมินหายดีและกลับมาเรียนเป็นเพื่อนแล้วนั่นคือเรื่องดีแต่ไม่รู้ทำไมบางครั้งแบมแบมสังเกตความว่างเปล่าในแววตานั้นมันไม่ใช่ว่าน่ากลัวแต่กลับหดหู่มากกว่าแต่มันก็แค่แวบเดียว เธอดูผอมลงไปจากเมื่อเดือนก่อนเยอะจนทำให้แบมแบมอดเป็นห่วงไม่ได้แถมอีกคนยังเอาแต่ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้เปลี่ยนจากสแกนม่านตาเป็นสแกนบัตรแล้วหรอ” แบมแบมถามเมื่อเหตุว่าประตูทางเข้าไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนเดิมแล้วแค่เพราะเขาไม่ได้มาเรียนไม่กี่วัน
“ใช่มันถูกเปลี่ยนเมื่อวานนี้ แล้วนี่บัตรของนายมันมีรอยนิ้วมือฝังอยู่ในบัตร” จีมินยืนถุงบัตรที่ถูกเก็บอยู่ในซองอย่างดีให้อีกคน
“แล้วถ้าบัตรถูกขโมยล่ะ”
“มันเป็นเครื่องสแกนพร้อมทั้งตรวจลายนิ้วมือบนบัตร มิททีทุกคนถูกทำประวัติอยู่แล้วไม่มีใครสักคนที่ล่องลอยนะ แต่มันก็มีข้อบกพร่องเยอะกว่าแบบเก่าฉันไม่ขอพูดแล้วกันเพราะเราอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการอีกเรื่อยๆนั่นแหละ” จีมินตอบก่อนจะสแกนบัตรที่เครื่องซึ่งเครื่องก็ต้องใช้รหัสประจำตัวอีกทีเหมือนกัน
ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นๆให้ปวดหัวแบมแบมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งจีมิน เรื่องเมื่อวันก่อนตอนที่ฝึกเสร็จแล้วกำลังจะกลับหอไปนอนแต่จู่ๆก็มีมิททีกลุ่มนึงมาทักนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกถ้าอีกฝ่ายไม่ตะโกนใส่เขาด้วยน้ำเสียงเหมือนโกรธแค้นกันมาเป็นสิบๆชาติ
“พวกนอกคอก”
โอเคยอมรับว่าแปลกใจมากที่จู่ๆมิททีหลายคนรวมตัวกันแกล้งเขาเรียกเขาว่าพวกนอกคอก แถมตอนต้องฝึกด้วยกันพวกนั้นไม่เคยออมแรงเลยสักนิดเดียว แบมแบมไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่รึเปล่าเพราะพวกนั้นก็เป็นมิททีเหมือนที่ครึ่งหนึ่งในตัวเขาก็เป็นถ้าบอกจินยอง มาร์คหรือแม้กระทั่งยูคยอมทุกคนจะคิดว่าเขาเป็นตัวปัญหาไหม
“เป็นอะไรเปล่า ฉันเห็นนายเงียบๆมาหลายวันแล้วนะ” จีมินเอ่ยทักเมื่อเธอสังเกตเห็นความผิดปกติได้สักสองสามวันแล้วไม่ว่าจะที่โรงเรียนตอนเช้าหรือตอนนี้แบมแบมก็จะเอาแต่เงียบเหมือนมีเรื่องอะไรที่คิดอยู่แต่ไม่ยอมบอก
“เปล่าหรอกฉันแค่กังวลเรื่องซ้อมน่ะ” แบมแบมโกหก เขารู้ดีว่าถ้าพูดออกไปไม่พ้นจะเป็นเรื่องใหญ่ จีมินเป็นพวกคนตรงๆเธอแสดงออกแบบที่เธอคิดนั่นคงไม่ดีแน่ถ้าพูดออกไปตอนนี้
“แน่ใจหรอ มีอะไรก็บอกได้เราเพื่อนกันนะ” จีมินยังรบเร้าเพราะดวงตาสีดำขลับคู่นี้โกหกไม่เก่งจริงๆ
“แน่ใจ ไปซ้อมกันเถอะสายมาห้านาทีแล้ว” แบมแบมหลบสายตาจ้องมองพื้นแล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
วันนี้การซ้อมในที่โล่งหรือการฝึกใช้อาวุธและทักษะการต่อสู้ถูกเปลี่ยนให้เป็นวิชาบรรยาย แบมแบมสนอกสนใจใคร่รู้มากกว่าการออกไปฝึกซ้อมข้างนอกนั่นอีก วิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์มันเหมือนการเลือกธาตุสำหรับมิททีในห้องนี้มีอยู่เกือบสี่สิบคนและธาตุแต่ละคนจะแล้วแต่ตระกูลที่ตัวเองเกิดบางคนก็ดูได้จากราศีและปีเกิด
เพราะแบมแบมเป็นมนุษย์มาก่อนไม่ได้อยู่ในหมวดเดียวกับพวกที่เป็นมิททีมาตั้งแต่เกิดหรือต้นตระกูลก็เป็นมิททีนั่นเลยทำให้เขาล้าหลังเพื่อนๆไปเยอะ มันเหมือนกับตอนที่เขามาเรียนที่เกาหลีใหม่ๆไม่มีผิด ไม่รู้ภาษา วัฒนธรรมตามเพื่อนในห้องไม่ค่อยจะทันตอนนี้แบมแบมก็รู้สึกแบบนั้น
การมาของผู้ชายร่างใหญ่ทำให้แบมแบมไม่เข้าใจ จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นแนะนำตัวถึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วอาจารย์สอนวิชาคณิตในโลกจริงๆเป็นพ่อมดเหมือนนิชคุณ อาจารย์เบอร์นาร์ดหรือนักเรียนเรียกกันว่าอาจารย์ปาร์คผู้เคร่งขรึมในห้องเรียนจะเป็นพ่อมดที่มีคนละบุคลิกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“พวกเธอทุกคนควรรู้ไว้ว่าเวทมนตร์ที่มีมันซ่อนอยู่ในตัวเธอแต่ละคน แต่ทางเซนต์ดิมิทรีห้ามให้มีการใช้เวทมนตร์เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบถึงความเป็นอยู่ในโลกมนุษย์ของพวกมิทที ธาตุแต่ละธาตุมันบ่งบอกถึงพลังแต่ละอย่างของแต่ละคนโดยเฉพาะพวกเธอทุกคนในห้องนี้คือคนที่เกิดในคืนพระจันทร์เต็มดวง มันทำให้เธอแข็งแกร่งกว่ามิททีพวกอื่นที่ไม่ได้เกิดในคืนพระจันทร์เต็มดวง และเป็นไปได้ว่าอาจจะมีใครสักคนในนี้ที่สามารถใช้เวทมนตร์เพื่อควบคุมธาตุทั้งสี่ได้
แต่เป็นไปได้เหมือนกันว่าอาจจะยังไม่มีมิททีสักคนที่มีพลังอย่างที่ฉันพูดมา การฝึกธาตุคือการรวบรวมความรู้สึกจากภายในเธอต้องเป็นหนึ่งเดียวกับมันไม่งั้นเป็นไปได้ว่าเวทมนตร์อาจจะทำให้พวกเธอหลงคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น มันเหมือนดาบสองคมมีทั้งข้อดีและข้อเสียเพราะแบบนี้เราถึงยังไม่เคยให้มีการใช้มันนอกห้องเรียนจริงๆจังๆสักที” อาจารย์ปาร์คร่ายยาวเกี่ยวกับวิชาที่ต้องเรียนและเมื่อพูดถึงเวทมนตร์ทุกคนในห้องดูตั้งใจฟังแต่ก็มีบางคนกระซิบกระซาบกันเรื่องเวทมนตร์ที่ตนเองมี
“แล้วพวกเมิร์คมีเวทมนตร์เหมือนเราไหมครับ” แบมแบมยกมือถามนั่นเหมือนเป็นความคิดที่ผิมมหันต์เมื่อทุกคนในห้องจับจ้องเขาเป็นตาเดียวจีมินก็ด้วย เธอหัวเราะเบาในลำคอเหมือนขำที่เพื่อนตัวเล็กตกเป็นเป้าสายตา
“เป็นคำถามที่ดีมากคุณกันต์พิมุกต์ เมิร์คมีเวทตร์เหมือนเราเพราะต้นตระกูลของมิททีกับเมิร์คมาจากต้นตระกูลเดียวกันคือแวมไพร์ แม้ว่าสายพันธุ์จะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามกาลเวลาแต่มิททีกับเมิร์คก็ไม่ต่างจากพี่น้องกันหรอกนะ ซึ่งนั่นหมายความว่าเมิร์คมีเวทมนตร์ธาตุเหมือนเราแต่ว่าเป็นไปได้ที่ตอนนี้มันอาจจะถูกเปลี่ยนเป็นการใช้เวทมนตร์ในทางผิดๆเรียกว่าเวทมนตร์ดำ ตัวอย่างเช่นเมิร์คสามารถสะกดจิตมิททีได้ดีกว่าพวกนั้นสามารถทำให้มิททีกลายเป็นพวกมันได้โดยใช้พลังพวกนี้แหละ”
คำตอบของอาจารย์ปาร์คทำให้ทั้งห้องเสียงดัง แบมแบมได้ยินมิททีสาวคนนึงเธอบ่นเกี่ยวกับมิททีกับเมิร์คมีอะไรเหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออกว่ามิททีมีดีกว่าเมิร์คตรงไหน ทุกคนในห้องเหมือนจะแตกตื่นเรื่องที่เมิร์คเองก็มีเวทมนตร์ธาตุและนั่นทำให้อาจารย์ปาร์คต้องตะโกนให้ทุกคนเงียบเสียงลง
“ถึงมีเวทมนตร์เหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันไปหมด สภาพแวดล้อมและสิ่งที่เธอคิดกับสิ่งที่เมิร์คคิดต่างกันอยู่มาก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นจุดย้อนแย้งกันระหว่างมิททีกับเมิร์ค”
“หมายถึงพลังของแต่ละคนขึ้นอยู่กับอุปนิสัยและการใช้ของแต่ละคนหรอครับ” เป็นอีกครั้งที่แบมแบมถาม
อาจารย์ปาร์คหัวเราะนิดๆแล้วพยักหน้า “ประมาณนั้น ถ้าพวกเธอใช้มันในทางที่ดีมันก็จะส่งเสริมในทางที่ดี แต่ถ้าใช้ในทางไม่ดีมันก็จะเป็นภัยมาเล่นงานพวกเธอ”
เรื่องราวต่างๆจากปากอาจารย์ถูกจดลงในสมุดบันทึกเล่มเล็ก แบมแบมอยากจะเก็บทุกๆอย่างเอาไว้เพราะตอนนี้ทางเดียวที่จะทำให้เขามีชีวิตต่อไปอีกนานๆคือการฝึกตัวเองให้แข่งแกร่งขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเรียนเกี่ยวกับธาตุมากไปรึเปล่าจู่ๆหน้ากระดาษก็จดอะไรสักอย่างที่คิดขึ้นมาได้มันคือคาถาที่นิชคุณเคยสอนไว้เมื่อเดือนก่อน
“ใช้มันซะถ้าเธอจำเป็น” นี่คือสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวมาตลอดแต่ไม่มีสักครั้งที่ทดลองใช้แม้กระทั่งตอนสู้กับเยริน ไม่รู้เพราะว่ากลัวหรือมันรวดเร็วจนลืมไปว่าตัวเองก็พอมีอะไรที่น่าจะป้องกันตัวได้บ้าง อย่างน้อยตอนนี้เขาก็พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้วโดยเฉพาะเรื่องการใช้เวทมนตร์
“เธอกลับไปก่อนเลยก็ได้ฉันว่าจะไปเข้าห้องน้ำก่อน” แบมแบมบอกจีมินหลังจากที่อาจารย์ปาร์คเดินออกจากห้องไป ห้องเรียนเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจผิดจากเมื่อครู่นี้ลิบลับ จีมินลังเลแต่สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป
ห้องน้ำเป็นอะไรที่อยู่ลึกจนแบมแบมนึกบ่นในใจเหมือนกันว่าเซนต์ดิมิทรีจะสร้างแบบนั้นเพราะอะไร ขาเรียวก้าวฉับๆเข้าไปในห้องน้ำที่ข้างในราวกับห้องอะไรสักอย่างที่หรูหรามันใหญ่กว่าห้องที่หอเขาอีกแถมยังมีฝักบัวติดอยู่ทั้งสองข้างมันเหมือนห้องน้ำนักกีฬา แบมแบมจัดการทำธุระส่วนตัวเสียงกุกกักจากข้างนอกทำให้นึกแปลกใจว่านอกจากเขายังมีคนหลงมาเข้าห้องน้ำในนี้อีก
“ไงไอ้นอกคอก”
แบมแบมถอนหายใจออกมาหน่ายๆ เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองไปทำอะไรรึเปล่าพวกมิททีกลุ่มนี้เลยตามรังควานเขาไม่เลิก แบมแบมไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไปแม้พวกนั้นจะตะโกนด่าทอเขาต่างๆนาๆ ร่างเล็กล้างมือจากอ่างล้างหน้าจู่ๆน้ำก็พุ่งออกมาสุดแรงและกระเด็นเปียกตัวเขา เส้นผมเปียกแฉะจนน้ำหยดลงมาเปียกชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนเกือบหมด
“ทำไมไม่สู้วะไอ้นอกคอก แน่จริงก็สู้สิ” มิททีคนนึงพูดพร้อมกับผลักร่างของแบมแบมจนกระเด็น ดวงตาของทุกคนดูเย้ยหยัน
“มันไม่มีน้ำยาไงไม่เห็นจะต้องสงสัยอะไร”
“พวกคุณต้องการอะไรจากผม” แบมแบมเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
“แกมีอะไรที่มีค่าที่ฉันต้องอยากได้ด้วยหรอ อืม..ถ้างั้นออกไปจากที่นี่สิเหม็นขี้หน้าพวกมนุษย์”
คำตอบที่ได้ทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน มิททีนี่ไม่ต่างมนุษย์จริงๆอย่างที่จีมินเคยพูดไว้ไม่มีผิดว่าต่อให้เป็นอะไรที่มีกำลังหรือดูพิเศษแต่ก็ไม่ต่างจากมนุษย์ ชิงชัง ขี้อิจฉาและไม่มีเหตุผล
“งั้นผมขอตัวแล้วกัน” ตัดบทจบเพราะรู้เลยว่าเถียงไปพวกนี้ก็ไม่เข้าใจ
“ฉันไม่อนุญาต”
ร่างของแบมแบมลอยหวือด้วยฝีมือมิททีที่เขาคุ้นหน้าแต่ไม่รู้จักกันก่อนจะถูกยกตัวลอยและเหวี่ยงลงกับพื้นก่อนที่น้ำจากฝักบัวจะถูกเปิดด้วยเวทมนตร์ ความเจ็บแปลบจากการถูกเหวี่ยงโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาร้าวไปทั้งสะโพก
“ลุกขึ้นมาสิไอ้นอกคอก!” ถึงจะบอกให้แบมแบมลุกแต่พวกนี้ก็ดึงคอเสื้อเขาขึ้นมาก่อนจะจัดการเขาด้วยน้ำอีกรอบนั่นมันทำให้แบมแบมสำลักจนแสบไปทั้งโพรงจมูก
ความเจ็บปวดจากการถูกบีบคอยังไม่เท่าเจ็บใจที่โดนหัวเราะเพราะเขาสู้พวกนี้ไม่ได้ แบมแบมกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาก่อนดวงตาจะเปลี่ยนสี ปากเล็กขมุบขมิบอะไรสักอย่างหลังจากนั้นน้ำจากฝังบัวไหลแรงกว่าเดิมแถมก๊อกน้ำยังถูกน้ำดันจนหลุด พวกนั้นตกใจก่อนจะปล่อยแบมแบมให้เป็นอิสระ
“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่งกับผม!” แบมแบมตะโกนเสียงดัง จ้องหน้าทุกคนผ่านน้ำที่ไหลไม่หยุดทีละคน
“แกคิดว่าแกคนเดียวจะสู้อะไรได้! แกมันพวกนอกคอก!”
“งั้นก็คอยดูว่าพวกนอกคอกทำอะไรคุณได้บ้าง”
เพล้ง!
กระจกห้องน้ำแตกกระจายทุกบานก่อนที่แบมแบมจะพุ่งตัวเข้าไปบีบคอทุกคน เขี้ยวงอกยาวออกมาจากปากรอยยิ้มในแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น ไหล่ลาดนั่นถูกแบมแบมกัดจนเหวอะหวะก่อนจะถูกเหวี่ยงออกไปชนผนังห้องน้ำอย่างแรง
“แม่งเอ้ย มึงกัดกูหรอ!” มิททีที่โดนกัดกำลังจะกระโจนมาหาแบมแบมด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดถ้าไม่ติดว่ามีมือของใครสักคนดึงไว้
“สนุกพอรึยัง” น้ำเสียงนิ่งๆทำให้ทุกคนในนั้นจ้องมองการมาของคนแปลกหน้าแล้วน้ำทั้งหมดก็หยุดไหล
“ไงสนุกพอรึยัง ตอบมาสิ” ยูคยอมจ้องทุกคนด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกแต่ที่แน่ๆไม่ใช่แววตาที่ดีเท่าไหร่นัก ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความกลัว ยูคยอมเหวี่ยงมิททีผู้โชคร้ายจนกระเด็นเขากระโจนเข้าหามิททีในห้องน้ำทุกคนและจัดการการเหวี่ยงและบีบคอทุกคน นี่แหละยูคยอมตัวจริง
“คุณ..”
เสียงแหบๆเรียกยูคยอมจากมุมหนึ่งของห้องน้ำ รอยบาดยาวมันทะลุเสื้อผ้าจนเห็นเนื้อนวลเหวอะหวะ ยูคยอมส่ายหัวแล้วเดินเข้าไปอุ้มร่างเล็กขึ้นมาแนบอกจ้องมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยแผลและเลือดสีแดงสด
“คิดว่าจะสู้กับพวกนั้นได้รึไง นายนี่มันโง่จริงๆให้ตาย”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ยูคยอมกลับกระชับอ้อมกอดแน่น แบมแบมสะอื้นจนตัวสั่นไม่ใช่เพราะกลัวแต่เป็นเพราะร่างกายกำลังต่อสู้กับเวทมนตร์ที่ใช้ มันเกินควบคุมและรุนแรงกว่าที่คาดคิดเอาไว้เขาเกือบจะฆ่ามิททีคนนั้น
“หยุดร้องได้แล้วมันน่ารำคาญรู้ไหม ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว”
“ฮึก...คุณ...”
แบมแบมสลบไปแล้วแต่มันก็ควรจะสลบอยู่หรอกอีกคนใช้กำลังเกินความสามารถที่มี ยูคยอมเห็นตั้งแต่ตอนที่แบมแบมทำให้น้ำทั้งหมดไหลแรงกว่าเดิมไม่ใช่เพราะอีกคนเป็นธาตุน้ำนั่นคือพลังของธาตุดินที่ใช้พละกำลังในการทำให้มันพังเยอะกว่าเดิม เวทมนตร์ที่เกินควบคุมและความไวมันทำให้ยูคยอมพอใจอยู่บ้าง เหมือนที่เจียบอกไม่มีผิดว่าแบมแบมกำลังจะเก่งขึ้น
ร่างสูงวางคนที่ไม่ได้สติลงในอ่างอาบน้ำ เสื้อผ้าที่ฉีกขาดถูกถอดออกจนหมดทั้งตัวมีแต่รอยแผลแต่มันกำลังสมานเข้าหากัน ยูคยอมอาบน้ำให้อีกคนในอ่างอาบน้ำนั่นและจัดการถอดอันเดอร์แวร์สีดำออกเพื่อที่จะอุ้มอีกคนไปที่เตียง
ร่างขาวเนียนทำให้ยูคยอมสำรวจมองมันด้วยความสนใจ ตัวบางผอมเหมือนผู้หญิงไม่มีผิดยูคยอมคิดในใจ ร่างเล็กถูกวางลงบนเตียงยูคยอมจัดการใส่กางเกงให้เสร็จสรรพ เขาถือเสื้อไว้ในมือพลางสำรวจคนตัวเล็กไปด้วย รอยแผลเริ่มจะดีขึ้นจากที่เห็นครั้งแรก ยูคยอมขึ้นคร่อมก้มลงสูดสมความหอมจากซอกคอลิ้นร้อนเลียแผลที่ยังมีเลือดไหลอยู่เบาๆ
“หวังว่าแผลนายคงจะหายเร็วขึ้น” ยูคยอมกระซิบข้างหูแล้วลุกขึ้นจัดการใส่เสื้อให้ร่างเล็กพร้อมกับห่มผ้า
ถ้ามิททีมีทั้งดีและไม่ดี
กับมิททีสักคนก็คงมีมุมอ่อนโยนและแข็งกร้าวไม่ต่างกัน…
“แจ็คสันเอามือออกไปจากเอวฉันเดี๋ยวนี้!” มาร์คตะโกนเสียงดัน มือเรียวตีแขนแกร่งของคนรักแรงๆด้วยความหมั่นไส้
“เป็นเดือนแล้วนะมาร์คที่ฉันกับนายไม่ได้...”
“หุบปากเดี๋ยวนี้เลยแจ็คสัน!!” คนพูดหน้าขึ้นสีจนแจ็คสันอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมานั่งแล้วหอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่
มาร์คชอบมาขลุกอยู่กับแจ็คสันเวลาที่พ่อกับแม่ของแจ็คสันไม่อยู่บ้าน ใช่...พ่อแม่ของแจ็คสันเริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่แถมยองจียังไม่เลิกราเข้ามาวนเวียนเพียงแต่ว่าหล่อนไม่กล้าที่จะทำร้ายมาร์คเหมือนก่อนๆก็เท่านั้น
พ่อแม่ของแจ็คสันยังไม่รู้ว่ามาร์คเป็นมิททีพวกเขาแค่คิดว่ามาร์คคือเพื่อนสนิทที่โรงเรียน มาร์คไม่เคยรบเร้าให้แจ็คสันจัดการเรื่องนี้เพราะเขาเข้าใจดีว่านักล่าทุกคนคงไม่ยอมให้แจ็คสันมาคบกับพวกแวมไพร์อยู่แล้วโดยเฉพาะกับพ่อแม่แจ็คสันด้วยแล้วคงยากมากที่จะยอมรับมาร์คในฐานะคนรักของลูกชายสุดที่รัก
“อย่ารุ่มร่ามแบบนี้สิแจ็คสัน เดี๋ยวพ่อแม่นายก็รู้หรอก” มาร์คเอ่ยเตือนแจ็คสันเมื่ออีกคนยังไม่เลิกที่จะมุดเข้าไปในเสื้อมาร์คพรมจูบหน้าท้องบาง
“ไม่เอาน่ามาร์คนายก็รู้ว่าพ่อแม่ฉันกลับพรุ่งนี้” แจ็คสันท้วง
มาร์คผลักแจ็คสันจนตกโซฟาใบหน้าหวานบูดบึ้ง แต่เหมือนแจ็คสันจะไม่เข้าใจเขาขมวดคิ้วแล้วจิ๊ปากอย่างขัดใจ เพราะมาร์คชอบกลัวจนมากเกินไปทั้งๆที่เขาก็บอกแล้วแท้ๆว่าพ่อแม่ของเขากลับพรุ่งนี้แต่มาร์คก็ยังจะพูดแต่เรื่องของพ่อกับแม่เขาไม่เลิก
“มีเหตุผลหน่อยสิมาร์ค” แจ็คสันลุกขึ้นนั่งข้างๆ น้ำเสียงนั่นยังเหมือนเดิมเพราะแจ็คสันรู้ว่าถ้าเขาโกรธมาร์คจะยิ่งโกรธมากขึ้น
“เพราะมีเหตุผลไงแจ็คสัน ฉันรู้ว่านายยังไม่พร้อมฉันปกป้องเรื่องของเราอยู่นะ” มาร์คตอบกลับด้วยท่าทีจริงจังแต่นั่นยิ่งทำให้แจ็คสันสติแตก
“โถ่!มาร์คนายเป็นคนคิดมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พ่อแม่ฉันไม่ทางรู้หรอกว่าเราคบกัน”
“แล้วเมื่อไหร่ที่พร้อมจะบอกแม่หรอแจ็คสัน” เสียงที่ดังจากหน้าประตูทำให้แจ็คสันสะดุ้งโหยง ใบหน้าสวยของผู้เป็นแม่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“แม่ครับคะ..คือว่า” แจ็คสันพูดตะกุกตะกัก
“ออกไปรอข้างนอกแจ็คสัน ส่วนมาร์คแม่ขอคุยด้วยหน่อย”
แจ็คสันอิดออดแต่ก็ต้องออกไปแม้จะเป็นห่วงมาร์คแค่ไหนก็ตามเพราะเขาขัดคำสั่งแม่ไม่ได้ มาร์คมองแจ็คสันที่มองมาผ่านทางสายตาเหมือนอีกคนจะบอกเขาว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีมาร์คสัมผัสได้แบบนั้น
แม่ของแจ็คสันนั่งลงที่โซฟาใกล้ๆอีกตัว เธอมองมาร์คด้วยสายตานิ่งๆผิดจากทุกทีนั่นทำให้มาร์ครู้สึกไม่ดีเอาซะเลย เธอถอนหายใจออกมาเหมือนเหนื่อยหน่ายเพราะจริงๆก็ระแคะระคายกับความสัมพันธ์ของลูกชายกับเพื่อนสนิทหน้าหวานมาพักใหญ่แล้ว แถมเธอยังสงสัยด้วยว่ามาร์คมีอะไรพิเศษบางอย่างเพราะบางครั้งเธอเห็นเงาดำมืดอยู่ข้างหลังของมาร์ค
“แม่ไม่รู้หรอกนะว่าพวกเราสองคนไปคบกันตอนไหน” เธอพูดเสียงเรียบเหมือนใบหน้านิ่งๆตอนนี้
“คะ...คือผมกับแจ็คสันคบกันมาเป็นปีแล้วครับ” มาร์คตอบพลางจ้องมองพื้นห้องเพื่อหลบสายตา เขาไม่ได้กลัวแม่แจ็คสันมาร์ครู้ดีที่กลัวที่สุดคือการที่จะไม่มีแจ็คสันต่างหาก
“มาร์คบอกแม่ได้ไหมพูดแบบเปิดใจ มาร์คเป็นใครกันแน่ลูก” คำถามของแม่แจ็คสันทำเอามาร์คกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก
“ผมเป็นมิททีครับ”
ทั้งห้องนิ่งเงียบแต่มาร์ครู้สึกหวิวๆเขาแค่มองหน้าผู้หญิงคนนี้เขาก็รู้ทันทีว่าเธอหนักใจแค่ไหนเมื่อรู้ตัวตัวตนที่แท้จริงของมาร์คเป็นยังไง มาร์คไม่คิดโทษหรอกถ้าเธอไม่ให้มาร์คคบกับแจ็คสันต่อ แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นมาร์คก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดีเพราะเขารักแจ็คสันเกินกว่าจะจากกันแบบนี้ได้จริงๆ
“มาร์ครู้ใช่ไหมว่าบ้านของเราเป็นตระกูลนักล่า มันยากที่จะยอมรับว่าลูกชายคบกับแวมไพร์ซึ่งมันขัดแย้งและไม่เคยเกิดขึ้นในตระกูลของเราเลย”
“ครับ ผมรู้”
“ช่วยห่างจากแจ็คสันสักพักได้ไหม จนกว่าแม่กับพ่อจะยอมรับได้ถึงวันนั้นแม่จะไม่ห้ามเราทั้งคู่เลย”
คำขอร้องของเธอทำให้มาร์คพูดไม่ออก เขารู้ว่ามันยากที่จะรับแต่ลึกๆในใจมาร์คก็คิดเอาไว้ว่าพ่อแม่แจ็คสันอาจจะเห็นใจเขาสักนิด มาร์คไม่รู้ว่าห่างกันสักพักที่แม่แจ็คสันขอเขาหมายถึงคำว่าเลิกรึเปล่า
“ไม่ต้องกังวลหรอกนะ แม่รักษาสัญญาเสมอ” เหมือนเธอจะรู้ความคิดของเด็กหนุ่ม
“ตกลงครับ ถ้างั้นผมฝากบอกแจ็คสันด้วยนะครับว่าผมกลับแล้วและผมจะกลับมาขอให้คุณอย่าลืมที่บอกก็พอ”
รอยยิ้มเจื่อนๆถูกส่งให้ผู้หญิงที่แจ็คสันรักมากที่สุดก่อนมาร์คจะหายตัวไป
แจ็คสันมองประตูครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งแม่เดินออกมา เขารีบตรงดิ่งไปหาแม่มองหาคนรักที่อาจจะเดินตามมาแต่ไม่เจอ แจ็คสันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“มาร์คล่ะครับแม่”
“มาร์คไปแล้วล่ะ” เธอตอบพร้อมกับพาลูกชายไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น แจ็คสันตัวแข็งทื่อเขาตกใจกับคำตอบที่ได้รับจากแม่
“ไปไหนครับ?”
“ไปอยู่ในโลกของเขาไง ส่วนลูกต่อจากนี้ลูกจะต้องทำให้แม่เห็นว่าลูกทนได้แม้ไม่ได้เจอมาร์ค จนกว่าแม่จะมั่นใจและยอมรับได้ถึงวันนั้นแม่จะไม่ห้ามอะไรเลย”
แจ็คสันถอนหายใจแต่ก็พยักหน้าออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขารู้ว่ามาร์คก็มั่นใจในตัวเขาเหมือนกันไม่อย่างนั้นมาร์คคงไม่ยอมไปดื้อๆแบบนั้นหรอก
“ผมจะทำให้แม่รู้ว่ามิททีกับนักล่าก็รักกันได้”
50%
ตั้งแต่กลับมาจากบ้านของแจ็คสันมาร์คก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ในห้องนั่งเล่นตั้งแต่เย็นจนตอนนี้เกือบสว่าง แปลกดีที่พอคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะเปลี่ยนไปหรือไม่พ่อแม่ของแจ็คสันอาจจะรับไม่ได้มันทำให้มาร์คกังวล ถึงจะรู้ว่าแจ็คสันเชื่อใจได้แต่โชคชะตามักเล่นตลกกับทุกชีวิตในโลกนี้เสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ทำไมมานั่งอยู่คนเดียว” ยูคยอมเปิดประตูเข้ามาชะงักนิดหน่อยที่เห็นพี่ชายนั่งหน้าซึมอยู่ในกลางห้องมืดๆคนเดียว
“แค่คิดอะไรเพลินๆ” มาร์คตอบออกแค่นั้น
“เรื่องมนุษย์นั่นหรอ”
มาร์คหัวเราะแล้วพยักหน้า เขาขำทุกทีกับสรรพนามที่ยูคยอมใช้เรียกพวกมนุษย์ทั้งๆที่มนุษย์มีชื่อแต่ยูคยอมกลับเรียกทุกคนว่ามนุษย์หมดยกเว้นก็แต่โซฮี พอคิดถึงโซฮีขึ้นมายิ่งทำให้มาร์คคิดมากเข้าไปใหญ่ มาร์ครู้เขารู้ดีว่าทำไมพ่อแม่แจ็คสันถึงยากจะยอมรับเขา นอกจากเขาจะเป็นครอบครัวให้แจ็คสันไม่ได้และสักวันหนึ่งแจ็คสันก็ต้องตายไปจากโลกใบนี้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“นายคิดว่าแวมไพร์กับมนุษย์จะรักกันได้ขนาดไหน” จู่ๆมาร์คก็ถามขึ้นมาและคำถามเป็นคำถามที่ยากเหลือเกินสำหรับยูคยอม ยิ่งคิดถึงเธอที่จากไปหัวใจของยูคยอมก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง
“ถ้ารักกันจริงก็คงใครสักคนจะตายจากกันก่อนล่ะมั้ง” ยูคยอมตอบส่งๆ
“นั่นสินะ ว่าแต่นายไม่คิดว่าเด็กแบมแบมนั่นน่าสนใจบ้างหรอ”
ยูคยอมกลอกตาไปมาใส่พี่ชาย มาร์คชอบเป็นห่วงเขาในเรื่องของอดีตมาร์ครู้ดีว่าเขายังทำใจไม่ได้แต่มันคือสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันคือความทรงจำเท่านั้น ส่วนคนที่มาร์คพูดถึงยูคยอมไม่รู้เหมือนกันแต่เขาไม่ได้อยากใจดีกับแบมแบมสักเท่าไหร่แต่มันทนไม่ได้หรอกถ้าต้องเห็นใครตายอีกโดยไม่ได้ต่อสู้เลย
“พี่ก็รู้ว่าตอนนี้ผมคงรู้สึกอะไรกับใครไม่ได้” ยูคยอมพูดตอบเสียงเรียบ
“พี่รู้ดี แต่บางทีนายก็ต้องลองหาอะไรใหม่ๆให้ตัวเองบ้าง อย่างน้อยเด็กนั่นก็ไม่ใช่คนไม่ดี ไม่รู้สิถ้านายไม่รู้สึกอะไรก็ช่างเถอะ ว่าแต่เด็กคนนั้นเป็นไงบ้าง”
“พวกมิททีไม่ยอมรับเด็กคนนั้น เด็กนั่นใช้เวทมนตร์” ยูคยอมบอก
เขาเล่าถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำและมันยิ่งทำให้มาร์คตกใจที่แบมแบมเรียนรู้การใช้พลังธาตุในตัวได้เร็วกว่ามิททีหลายๆคนซะอีก แต่มิทรีเคยบอกไว้ว่าเมื่อไหร่ที่เวทมนตร์ถูกประกาศตอนนั้นสงครามก็จะคืบคลานเข้ามา
“อีกไม่นานแล้วสงครามกำลังจะมา” มาร์คพูดเสียงเครียด เขาเครียดหลายเรื่องมากจนรู้สึกว่าตัวเองตึงเกินไปทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นการตายของคนได้เลยในช่วงนี้ แม้แต่กลิ่นวิญญาณที่ตายแล้วมาร์คยังแทบไม่ได้กลิ่น
“ผมไม่รู้ว่าพวกเมิร์คจะสู้กับเราด้วยวิธีไหน แต่มั่นใจว่ามันคงไม่ใช่วิธีซึ่งๆหน้า” มาร์คพยักหน้าเห็นด้วย ไม่เคยมีครั้งไหนที่เมิร์คไม่มีแผนและแผนมักจะเป็นแผนที่ลอบกัดเสมอ นั่นเลยทำให้มิททีต้องเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดอยู่ตลอด
“แล้วนายฝึกเวทมนตร์ไปถึงไหนแล้ว ยูคยอมนายมีธาตุทั้งสี่นะแล้วเจบีก็มีมันเหมือนกัน นายไม่ควรจะมาเล่นอยู่” มาร์คเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยูคยอมเก่งก็จริงแต่ในสงครามคนที่ประมาทมักจะจบไม่สวยเท่าไหร่
มันเป็นเรื่องตลกที่ตลกไม่ออกเมื่อคนที่จะขึ้นเป็นผู้นำทั้งสองเผ่าพันธุ์ดันเป็นพวกที่มีพลังควบคุมสี่ธาตุได้ แจบอมก็เป็นหนึ่งในแวมไพร์ที่เกิดในวันพระจันทร์เต็มดวงมีธาตุดินเป็นธาตุหลักทำให้แจบอมแข็งแกร่งกว่าปกติ ส่วนยูคยอมมีธาตุน้ำเป็นหลักนั่นหมายถึงยูคยอมว่องไวและลื่นไหล ยูคยอมมีด้านที่มาร์คไม่เคยเห็นเหมือนกับที่แจบอมเองก็มี มาร์คคิดไม่ออกเลยสักนิดว่าถ้าวันนั้นมาถึงใครจะเป็นคนที่ต้องตาย ระหว่างน้องชายของเขาหรือว่าแจบอม ในเมื่อทั้งคู่ต่างเป็นแวมไพร์ที่มีพลังวิเศษเหมือนกัน
“ผมไม่อยากจะใช้เท่าไหร่ พี่ก็รู้ว่าเวทมนตร์ของผมมันรุนแรงอย่างน้อยมันอาจจะทำให้มิททีเลวร้ายลงหรือมากกว่านั้นจะเป็นการประกาศสงครามซะเปล่าๆ”
“พี่เข้าใจแต่ไม่กี่วันก็จะสอบปลายภาคแล้ว อย่าลืมล่ะว่าใกล้ถึงวันทดสอบอีกแล้ว คราวนี้เราจะไปทดสอบกันบนเขานะจะได้ไปพักผ่อนช่วงปิดเทอมสักพัก” มาร์คบอกเพื่อให้ยูคยอมจำเอาไว้จะได้ไม่ต้องตามหาตัวกันให้วุ่นเหมือนปีก่อนที่ไม่ยอมไปแถมยังหายไปอีก
“รู้แล้วน่า”
“เฮ้พี่น้องสองคนไม่หลับไม่นอนรึไงกัน” จินยองเดินลงมาจากบันได เขาทักทายมาร์คและยูคยอมด้วยรอยยิ้มกวนๆ
จินยองเป็นพวกนอนดึกแค่ไหนก็ตื่นเช้าซึ่งมาร์คคิดว่าจินยองเหมือนมิททีเข้าไปทุกวันๆในเรื่องการนอน จินยองยังมีสุขภาพแข็งแรงดีโดยไม่จำเป็นต้องพักผ่อนแปดชั่วโมงต่อวันเหมือนมนุษย์ สมแล้วที่เป็นองครักษ์อันดับต้นๆ
“คุยเรื่องการทดสอบครั้งต่อไปกันอยู่แต่นายมาก็ดีแล้ว ฉันอยากจะให้นายช่วยจัดการพวกมิททีบางกลุ่มหน่อย พวกที่มีวิสัยทัศน์แคบน่ะก่อนมันจะบานปลายฉันไม่อยากให้พวกเมิร์คมองว่ามิททีทะเลาะกันเอง” มาร์คสั่งให้จินยองไปคุยหรือไม่ก็หาวิธีอะไรก็ได้เพราะเรื่องมันอาจจะบานปลายมิททีบางคนแข็งข้อ ถึงมิททีจะอยู่กันอย่างสันติแต่ในความสันติมักจะมีคนคิดขวางโลกแล้วพวกนั้นก็จะทำให้สูญเสียได้ตลอดเพราะชักจูงง่าย
“โอเคเลยบางทีก็ต้องใช้กำลัง ว่าแต่ปีนี้ก็จะไปบ้านพักบนเขาอีกใช่ไหม” จินยองเอ่ยถาม เพราะตั้งแต่เจอแจบอมคราวนั้นจินยองก็ฝึกหนักขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่าฝั่งนั่นจะทำยังไงกับอนาคตข้างหน้าแต่จินยองก็จะสู้และปกป้องยูคยอมกับมาร์คในฐานะซอร์ ต่อให้ยูคยอมจะเก่งกว่าที่เขาจะพูดคำว่าปกป้องก็เถอะจินยองก็อยากจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด
“ที่เดิมเลย อาทิตย์หลังจากสอบของพวกมนุษย์เสร็จเราจะไปกันทันที ฉันสังหรณ์ใจไงไม่รู้สิเหมือนว่าเมิร์คใกล้เข้ามาแล้ว” มาร์คพูดพร้อมขมวดคิ้วเป็นปม “แต่ฉันห่วงนายที่สุดนะจินยอง”
เจ้าของชื่อหัวเราะออกมาแห้งๆ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า มันคงไม่มีอะไรเกินกว่าครั้งนั้นแล้วมาร์ค”
มาร์คส่ายหัวยังไงเขาก็ยังเป็นห่วงเพื่อนรักอยู่ดี สำหรับมาร์คจินยองเหมือนพี่น้องเหมือนคนในครอบครัวมากกว่าจะคิดว่าจินยองเป็นองครักษ์ จินยองเสียสละให้เขาได้ทุกอย่างและทำทุกอย่างเพื่อมิททีมาตลอดนั่นแหละถึงเป็นเหตุผลให้มาร์คกลัวว่าแจบอมจะทำให้คนในครอบครัวของเขาเจ็บหลังจากที่ทำเจ็บมาแล้วครั้งนึง
“แล้วนายไปค้างบ้านแจ็คสันไม่ใช่หรอ” จินยองเปลี่ยนเรื่อง
“เฮ้อ..เพราะเรื่องนี้แหละที่ทำให้ฉันกลุ้มใจ” มาร์คถอนหายใจแล้วพิงหลังกับโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ทะเลาะกับแจ็คสันหรอ”
“มากกว่านั้นอีก พ่อแม่แจ็คสันรู้เรื่องที่ฉันคบกับหมอนั่นแถมยังรู้เรื่องที่ฉันเป็นมิททีแล้วด้วย” จินยองเลิกคิ้วสูงพลางจ้องหน้ามาร์ค “เกิดอะไรขึ้น”
มาร์คพูดเรื่องแจ็คสันให้จินยองฟังด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยูคยอมที่อยู่ใกล้ๆก็นั่งฟังด้วยเหมือนกัน มาร์คเล่าว่าแม่ของแจ็คสันขอให้เขาห่างจากแจ็คสันจนกว่าเขาจะยอมรับเรื่องทั้งหมดได้ จินยองเบิกตากว้างด้วยความตกใจมือเรียวตบบ่ามาร์คเบาๆ
“แล้วพวกเขาได้บอกนายไหมว่านานแค่ไหน”
มาร์คส่ายหน้า
“ไม่ได้บอกแต่ฉันหวังว่าเขาจะไม่แยกฉันกับแจ็คสันออกจากกันก็พอนานแค่ไหนฉันก็รอได้” มาร์คพูดแววตาของเขาจริงจังและมันทำให้จินยองเห็นใจมาร์คมาก จินยองเข้าใจอยู่หรอกว่าแจ็คสันกับมาร์คยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบปกติแต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผิดซะหน่อย อย่างน้อยสองคนนั้นก็รักกันจริงๆ
ยูคยอมจ้องมาร์คด้วยสายตานิ่งๆเขารู้ดีว่ามาร์คน่ะเข้มแข็งแค่ไหนเพราะมาร์คไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่คนเข้มแข็งก็ใช่ว่าจะอ่อนแอไม่เป็นซะหน่อย แวมไพร์แตกต่างจากมนุษย์เรื่องพละกำลังแต่ในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด
“ต่อให้พวกนั้นผิดคำพูด มนุษย์นั่นก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รักกับพี่ต่อเองแหละอย่าคิดมากไปเลย” ยูคยอมพูดขึ้นหวังว่ามันจะช่วยให้พี่ชายของเขารู้สึกดี
จินยองพยักหน้าขึ้นลง
“เห็นด้วยกับยูคยอม ยังไงแจ็คสันก็ต้องมาแน่ไม่นานหรอก”
ทั้งสามคนแยกย้ายกันไปหลังจากนั่งคุยกันเรื่องทั่วไปและเรื่องกิจกรรมที่จะไปทำกันบนเขา ยูคยอมอาสาที่จะพาแบมแบมไปเองเพราะมาร์คกับจินยองจะล่วงหน้าไปก่อนตอนเช้า
บ้านพักบนเขาถูกสร้างขึ้นมาเมื่อสิบปีก่อนจริงๆมันเป็นพื้นที่ของพ่อเขาเอง มาร์คเลยเอามันมาสร้างเป็นบ้านพักแต่เพิ่งจะได้ไปก็สองสามปีให้หลังถึงได้ทำการปรับแต่งมันใหม่อีกครั้งแน่นอนสไตล์มันดีกว่าตอนนั้นเยอะ บนเขามีต้นไม้ล้อมรอบอากาศเย็นสบาย มันเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเมิร์คเพราะนิชคุณเป็นคนลงอาคมป้องกันไว้และมันมีก็มิททีบางคนเฝ้าอยู่ด้วยนั่นทำให้ไม่มีใครเข้าไปอยู่และมันก็ใหม่อยู่เสมอเพราะมีคนดูแล
ยูคยอมมองคนที่นอนอยู่บนเตียงนิ่งๆทั้งที่ตื่นแล้วแถมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขายืนมองอยู่ เขากระแอ้มในลำคอเรียกความสนใจจากคนบนเตียง แบมแบมเด้งตัวขึ้นมายิ้มเจื่อนๆเหมือนเด็กที่ทำผิดมาแล้วโดนครูจับได้ รอยตามตัวจางลงมันไม่ได้ผลอะไรมากหรอกแผลเล็กน้อยแค่นั้นถึงจะให้เหวอะหวะแต่ก็ใช้เวลาไม่นานเพราะตอนนี้แบมแบมแข็งแกร่งขึ้นด้วยทำให้ร่างกายสามารถสมานแผลตัวเองได้รวดเร็วกว่าตอนแรกๆ
“ขอบคุณที่ช่วยผม” แบมแบมพูดเสียงแหบ “ถ้าไม่ได้คุณผมต้องตายแน่ๆ”
“ถึงไม่มีฉันนายก็ไม่ตายหรอก” ยูคยอมตอบออกไปสั้นๆ
“แต่คุณช่วยพาผมมาที่นี่” แบมแบมแย้ง เขาสลบไปแต่ก่อนหน้านั้นเขาได้ยินเสียงยูคยอมและมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด เขาสัมผัสได้ถึงยูคยอมจริงๆ
“ช่างมันเถอะ นายโอเคแล้วใช่ไหม” ยูคยอมตัดจบเรื่องเมื่อวาน
“ครับ ผมไม่เป็นไรเลย ผมเหมือนแข็งแรงขึ้นยังไงก็ไม่รู้” แบมแบมจับรอยแผลจางๆที่แขน เขาจำได้ว่าก่อนมันจะจางแผลค่อนข้างเหวอะหวะ
แบมแบมเงียบเมื่อยูคยอมไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาอีกแบมแบมถึงได้ไม่กล้าพูดอะไร ยิ่งรู้ว่าอีกคนขี้รำคาญถ้าเขาเซ้าซี้อาจจะโดนเหมือนวันก่อนหมายถึงโดนกัดคอ แบมแบมไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอกแต่เขารู้สึกแปลกๆมากกว่าตอนที่เขี้ยวของอีกคนฝังอยู่ที่คอและยิ่งแผ่นอกก็ยิ่งรู้สึกเหมือนจะตายซ้ำเป็นรอบที่สอง ใจเขาเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมากลิ่นกายยูคยอมมันน่าหลงใหลแบบที่เขาอธิบายออกมาไม่ถูก
สารภาพตรงๆว่ายิ่งเข้าใกล้ยูคยอมก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ มันเหมือนอีกคนแผดเผาเขาในบางครั้งมันกลับรู้สึกอบอุ่นแต่บางเวลามันก็เหน็บหนาว แบมแบมจำได้ว่าคำเตือนของจินยองคืออะไรและมันเป็นข้อห้ามที่เขากำลังฝ่าฝืนว่าจะไม่รู้สึกอะไรหรือหลงใหลไปกับรูปร่างหล่อเหลาแบบนั้น ไม่สิมันยิ่งกว่าความหล่อมันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่มากกว่านั้นอีก
“อาทิตย์หน้านายจะต้องทดสอบอีกครั้งและครั้งนี้มันจะหนักกว่าเดิม”
แบมแบมเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“หลังสอบเสร็จหรอครับ” เสียงใสเอ่ยถาม เขานึกว่าจะได้พักผ่อนซะอีกเพราะโรงเรียนจัดทัศนศึกษาวันปิดเทอม
“หวังว่าจะได้ไปเที่ยวรึไง ในสถานการณ์แบบนี้นายต้องแข็งแกร่งให้เยอะที่สุด” ยูคยอมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ครับ แล้วคุณจะร่วมด้วยไหม” แบมแบมถามและเขาหวังจะให้ยูคยอมตอบว่าใช่เพราะตอนนี้เขาอยากจะสู้กับยูคยอมแบบจริงจังอีกครั้ง
“นายอยากให้ฉันไปรึเปล่าล่ะ” รอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์ ยูคยอมเปลี่ยนสีหน้าไวจนแบมแบมรู้สึกขนลุกซู่ ร่างสูงลุกจากเก้าอี้สาวเท้าไปใกล้ๆคนตัวเล็กที่นั่งอยู่เตียง
“ถ้าครั้งนี้นายแพ้ฉันจะกัดนาย….” ยูคยอมนิ่งเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นและมันทำให้แบมแบมตัวแข็งทื่อ
“ทั้งตัว”
รู้สึกว่าแต่งมาตั้งแต่เดือน 1 เพิ่งได้ 9 ตอนเองTT ร้องไห้หนักมาก
จาร์คไม่ดราม่าขนาดนั้นหรอกนะคะ เพื่อเป็นขั้นตอนไปสู่การกินพี่มาร์ค ต้องมีพล็อตหน่อย
#อิอิ 55555555555 แบมเก่งขึ้นมากแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่
เรื่องเวทมนตร์อ่านให้เอาสนุกๆเนอะ นี่ฟิคแฟนตาซี T-T จะให้สมจริงเกินไปก็ธรรมดา
คอมเม้นท์ !!! และ สกรีมแท็ก #ฟิคยบ99
มาต่อแล้วววนะคะ
’ cactus
ความคิดเห็น