คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #182 : เล่ม 6 - ตอนที่ 79 - ศึกชิมลาง (3-4)
มีหรือที่ซิฟเฟอร์จะไม่ทราบว่าฝ่ายตรงข้ามจะยกกำลังมาหนุนเสริม มันผู้นี้ทราบดีกว่าใครใดๆในโลกแต่ก็ยังใช้คนเพียงหยิบมือเดียวบุกจู่โจมเข้าไปภายในป้อมประดุจไข่กระทบหิน
ทันใดที่ประตูหอคอยเปิดออกทหารสองในสามที่อยู่ในหอคอยรวมแล้วประมาณพันนายก็บุกออกมาช่วยแม่ทัพทาเรียสู้ศึก ฝ่ายจักรวรรดินอร์ที่มีเพียงจำนวนน้อยนิดจึงถูกบีบอยู่ในวงล้อมคู่ต่อสู้ ไม่ว่าผู้ใดเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ล้วนคาดเดาว่าฝ่ายจักรวรรดิต้องถูกสังหารสิ้น อาจมีแค่อัศวินดำซิฟเฟอร์สามารถฝ่าทะลวงออกไปได้เพียงผู้เดียว
รอยยิ้มของซิฟเฟอร์กลับปรากฏขึ้นที่มุมปาก
อัศวินดำผมสีโลหิตมิได้ใส่ใจคำท้าทายของแม่ทัพโจนาธาน ชี้กระบี่ไปเบื้องหน้ารวบรวมเอลที่สองไว้กับร่าง จนเกิดแสงสีส้มและตราสัญลักษณ์เอลสายฟ้าพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเห็นเด่นชัด อันหมายความว่าซิฟเฟอร์กำลังจะใช้เอลสายฟ้าระดับสูงบางอย่าง ดูจากความเข้มของแสงสีส้มแล้วแสดงว่าเอลชนิดนี้ต้องไม่ต่ำกว่าระดับเหนือเมฆา อาจมีอานุภาพแตะปลายล่างสุดของระดับแห่งฟ้าก็เป็นได้
“เอลอันร้ายกาจ” แม่ทัพโจนาธานกล่าวออกมาทันทีที่เห็น พลันสะบัดกระบี่สั้นออกไปด้วยท่าอันเกรี้ยวกราด หมายจะหยุดการร่ายเอลของซิฟเฟอร์ให้จงได้
แต่โจนาธานกลับคิดผิดเสียแล้ว
แสงสีส้มที่เห็นกลับสลายลงไปในทันที ซิฟเฟอร์ที่ดูหยิ่งยโสพลันหันหน้าเข้ามาสบตากับแม่ทัพโจนาธานด้วยความสบใจ ดวงตาสีโลหิตบ่งบอกถึงแววเย้ยหยันที่ศัตรูหลงกลติดกับ แท้จริงแล้วการเปล่งสัญลักษณ์แห่งเอลสายฟ้าขึ้นสุดตัวเมื่อครู่มิได้มีเจตนาที่จะร่ายเอลแต่อย่างใด ซิฟเฟอร์ทราบว่าทันทีที่บุคคลระดับแม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามเห็นสัญลักษณ์เช่นนี้ ก็จะทุ่มเทกำลังทั้งมวลเพื่อหาทางกำจัดมันให้จงได้ ซึ่งเก้าสิบเก้าในร้อยกระบวนท่าเหล่านั้นล้วนเป็นกระบวนท่าจู่โจมที่มิได้คิดถึงการป้องกัน อัศวินดำหมายเลขสี่จึงฉวยข้อเท็จจริงนี้สร้างโอกาสการจู่โจมให้กับตนเอง สะบัดปลายกระบี่สีเงินออกไปด้วยเพลงกระบี่ที่ช่ำชอง ถ่ายเทกระแสไฟฟ้าในร่างให้ไหลไปตามโลหะที่นำไฟฟ้าที่ดีที่สุดในโลก แทงเข้าใส่ปลายกระบี่สั้นเล่มนั้น
เคร้ง!
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นตามด้วยเสียงแค่นหนักๆของแม่ทัพโจนาธาน กระแสไฟฟ้าถูกปลดปล่อยจากตัวกระบี่เงินไปยังกระบี่สั้นของแม่ทัพโจนาธาน ส่งผ่านเอลจำนวนหนึ่งเข้าทำลายระบบประสาทโดยตรง ยังดีที่แม่ทัพผู้นี้สามารถใช้เอลลมได้อย่างชำนาญ จึงประสานเอลลมเข้ากับกระบี่สั้นของตนต้านรับกระแสไฟฟ้าไว้ได้ส่วนหนึ่ง แล้วจึงใช้ท่าเท้าพิสดารก้าวหลบฉากออกมาทันท่วงที แต่กระนั้นเองเหงื่อบนหน้าผากของแม่ทัพผู้นี้ก็ต้องหยดลงสู่พื้นดิน ลอบด่าทอตัวเองในใจว่าอายุปูนนี้แล้วกลับถูกเด็กเมื่อวานซืนอย่างแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามหลอกลวง
ในการสงครามทุกชีวิตล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้าย อุบายและเล่ห์เหลี่ยมเป็นเสมือนเรื่องธรรมดาที่ทุกผู้คนต่างหยิบยกขึ้นมาใช้ หากผู้ใดเกิดประมาทไปแม้แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดินหมากผิดไปตัวหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะต้องสังเวยชีวิตให้กับฝั่งตรงข้าม ผลลัพธ์ที่ได้อาจส่งให้ตัวหมากแพ้ทั้งกระดานโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเป็นคำรบสอง
ซิฟเฟอร์ลอบเสียดายอยู่ในใจ หากเมื่อครู่มันสามารถฉวยโอกาสนี้สังหารโจนาธานลงได้ การศึกที่ป้อมวอเตอร์ดีพจะลดความยุ่งยากลงไปมากหลาย รับรองว่าฝ่ายจักรวรรดินอร์จะสามารถเข้ายึดป้อมหลังนี้ได้อย่างแน่แท้ แต่เมื่อโอกาสผ่านล่วงเลยไปก็มิอาจจะย้อนมันกลับมาได้อีกครั้ง สถานการณ์เบื้องหน้าต่างหากจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด บุรุษวัยยี่สิบสี่ปีผู้นี้ทราบถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ จึงสลัดความผิดหวังเมื่อครู่ออกไปสิ้นควบคุมสติรับการโหมกระหน่ำของกองทัพสหพันธรัฐแห่งนอร์
“แปรขบวน!”
สิ้นเสียงกล่าวมือซ้ายของซิฟเฟอร์ก็เปล่งประกายสีส้มสดเช่นเดียวกับกระบี่เงินในมือขวา ทั้งคู่คือเอลประทับสายวิชชุอันเชี่ยวชาญ มันปาดซ้ายทะลวงขวาสังหารเหล่าทหารใต้สังกัดแม่ทัพทาเรียราวกับผักปลา เพียงครู่เดียวทหารเกือบสิบนายต้องล้มลงจมอยู่ในกองโลหิต ส่งกลิ่นเหม็นไหม้จากการโดนสายฟ้าแผดเผาไปทั่วบริเวณ
ขณะนั้นเองบรรดาทหารหน่วยที่สองที่ติดตามซิฟเฟอร์มาก็ล้มตายไปกว่าหนึ่งในสาม ทั้งหมดแปรขบวนเป็นรูปวงกลมหันหน้าออกพร้อมที่จะรับศึกจากทุกด้าน โดยมีซิฟเฟอร์ยืนอยู่ปลายสุดของวงกลมที่หันไปเผชิญกับกองทัพม้าของทาเรีย ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นมือดีที่ซิฟเฟอร์คัดสรรมาด้วยตนเอง แม้ว่าจะบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากก็มิได้สูญเสียกำลังใจในการสู้รบ ยิ่งเมื่อพวกมันทราบอยู่แก่ใจว่าอุบายของท่านแม่ทัพมิได้หมดเพียงเท่านี้
เหตุเปลี่ยนแปลงพลันเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และเป็นเหตุเปลี่ยนแปลงที่พลิกฝ่ายเสียเปรียบให้เป็นฝ่ายมีเปรียบแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
เสียงตวาดเจื้อยแจ้วดังออกมาจากสตรีสาวผมดำว่า “หลีกทางให้กับข้า!” ผู้ใดที่ไม่ปฏิบัติตามก็ถูกมีดสั้นในมืออันเรียวงามเสียบแทงเข้าไปยังขั้วหัวใจ หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนี้เป็นการปรานีของฝ่ายตรงข้าม เพราะเพียงถูกปลายมีดกรีดเป็นบาดแผลเล็กๆก็จะต้องตายอย่างทุกข์ทรมาณ การที่ถูกปลายมีดตัดขั้วหัวใจได้รับการตายอย่างรวบรัดนั้นถือเป็นการปรานีถึงขีดสุดแล้ว
ในที่สุดอัศวินดำหมายเลขเก้าก็ปรากฏตัวขึ้นในสมรภูมิ แสงสีส้มที่พวยพุ่งขึ้นฟ้าเมื่อครู่นั้นมิได้เป็นเพียงการล่อลวงให้แม่ทัพฝ่ายตรงข้ามประมาท แต่เจตนาจริงๆก็คือเป็นสัญญาณสั่งให้ทหารหน่วยที่สามที่นำโดยอัศวินดำหมายเลขเก้าผู้นี้เข้าร่วมปฏิบัติการ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณโดยมิให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวล่วงหน้า
แพไม้ที่ทหารหน่วยที่หนึ่งทำการคุ้มกันมิใช่มีไว้เพื่อทางหนีทีไล่เพียงอย่างเดียว จุดประสงค์ที่แท้จริงกลับเป็นการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำให้กับทหารหน่วยที่สามนี้ ทหารมือดีอีกราวสองพันคนใต้การควบคุมของพริมบุกเข้ามาคลี่คลายวงล้อมให้กับซิฟเฟอร์ และเมื่อทหารหน่วยนี้บุกเข้ามาโดยที่ข้าศึกมิได้ทันตั้งตัว จึงสามารถแผลงฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ตีกระหนาบด้านขวา เข้าประจัญบานทัพม้าที่ไม่มีพื้นที่เคลื่อนไหวไม่สามารถใช้จุดเด่นเรื่องความเร็วได้เต็มที่ ความได้เปรียบที่เคยสร้างมากลับต้องมาสูญเสียไป เมื่อไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งอัศวินดำหมายเลขสี่และเก้าทั้งสองนี้ได้
แม่ทัพโจนาธานยังคงต้องพักการประมืออย่างหักโหม ก็คงมีแต่แม่ทัพทาเรียที่สามารถวัดฝีมือกับอัศวินดำได้ และมิต้องให้แม่ทัพทาเรียเสนอหน้าไป ซิฟเฟอร์เจ้าของฉายาสายวิชชุสีโลหิตกลับทะลวงเข้ามาหานางด้วยตนเอง
“คุ้มกันท่านแม่ทัพ” นายกองที่อยู่ข้างซ้ายขวาของแม่ทัพทาเรียตะโกนขึ้น ต่างคนต่างทราบว่าหากแม่ทัพทาเรียเป็นอะไรไปป้อมวอเตอร์ดีพที่แข็งแกร่งอาจย่อยยับอัปรา
กระบี่เงินของซิฟเฟอร์จึงต้องเผชิญการต่อต้านจากนายกองหลายนาย รวมไปถึงเคลย์มอร์ของแม่ทัพทาเรียเองด้วย บุคคลที่เคยได้รับตำแหน่งมือปราบชั้นหนึ่งย่อมต้องมีฝีมือพอตัว มิใช่ว่าซิฟเฟอร์เอ่ยปากจะสังหารก็สามารถสังหารได้ดั่งหยิบส้มในลัง
ผ่านไปอีกสามสี่กระบี่ซิฟเฟอร์ยังคงโลดแล่นอยู่ในสมรภูมิโดยไม่มีบาดแผล ในขณะที่นายกองคนหนึ่งต้องกระอักโลหิตเพราะทานทนกระแสไฟฟ้าที่ไหลมาตามศัสตราวุธไม่ไหว แต่ผลก็คือซิฟเฟอร์ยังมิอาจทำร้ายแม่ทัพทาเรียแม้แต่ปลายก้อยเช่นกัน ดูผิวเผินอาจพอคาดเดาได้ว่าหากซิฟเฟอร์จะมุ่งมั่นเอาชัยจริงคงจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นจำนวนห้าสิบกระบวนท่าขึ้นไป
แม่ทัพโจนาธานครุ่นคิดว่า ‘เหตุใดอัศวินดำผู้นี้ถึงได้ดันทุรังจะเข้าปะทะกับทาเรียนัก? ด้วยนิสัยใจคอของมันและการวางแผนอย่างแยบยลเหล่านี้ การดันทุรังย่อมต้องมีจุดประสงค์เคลือบแฝง หรือว่ามันต้องการพัวพันมิให้ทาเรียสามารถปลีกตัวไปทำอย่างอื่นได้?’
ทันใดที่ความคิดของแม่ทัพโจนาธานสิ้นสุด อัศวินดำหมายเลขเก้านามว่าพริมก็นำพาลูกน้องจำนวนหนึ่งร้อยคนปลีกตัวออกมาจากทหารหน่วยที่สามทั้งสองพันนาย ร้อยคนนี้สวมชุดสีดำมีปลอกแขนสีส้มสดเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวมิอาจเปรียบกับทหารชนชั้นมือดีทั่วไป ที่ปลอกแขนนั้นจะมีสัญลักษณ์อื่นใดไปได้นอกจากตราสัญลักษณ์รูปสายฟ้าของตระกูลชไวน์
พริมนำนักรบตระกูลชไวน์ทั้งร้อยนายกระโดดโลดโผนฝ่าเส้นทางเข้าไปสู่หอคอยตะวันตกเฉียงเหนือได้สำเร็จ เมื่อประตูเปิดออกทุกประการก็ง่ายขึ้นเป็นเท่าตัว หอคอยที่แข็งแกร่งกลับเผยจุดอ่อนของมันเองออกมา อัศวินดำหมายเลขเก้าส่งเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ทำลายรังผึ้ง” ขึ้นทันที
‘ทำลายรังผึ้ง’ เป็นรหัสลับของการปฏิบัติการทำลายหอคอยที่มีการป้องกันอ่อนแอที่สุด เป็นแผนที่ซิฟเฟอร์วางเอาไว้ตั้งแต่ยกกองทัพมาประชิดป้อมวอเตอร์ดีพเมื่อสิบกว่าวันก่อน มันทำการศึกษาสภาพแวดล้อมของป้อมวอเตอร์ดีพทั้งหมด ค่อยๆศึกษาชัยภูมิของฝ่ายตรงข้ามจนทะลุปรุโปร่ง แล้วค่อยจงใจออกอุบายหันเหความสนใจไปที่เหล่าทหารลาดตระเวณ ปั่นหัวแม่ทัพใหญ่ฝ่ายตรงข้ามให้ระแวงไปต่างๆนานา โดยตนเองสั่งสมหน่วยรบทั้งสามหน่วยจัดสร้างแพไม้อย่างลับๆ หมายจะทำลายแนวป้องกันไปแถบหนึ่ง เมื่อทันทีที่กองทัพของทาลอสผู้เป็นบิดารุดมาสมทบหมดสิ้น เส้นทางการบุกตีป้อมวอเตอร์ดีพที่แข็งแกร่งก็จะเปิดออก ด้วยศักยภาพของจอมพลผู้ร้ายกาจ มีหรือที่ป้อมปราการที่ปรากฏช่องโหว่จะไม่ถูกทำลาย?
‘ไม่ได้การ!’ แม่ทัพโจนาธานที่พอจะคาดเดาออกว่าพริมจะทำอะไรมีสีหน้าซีดเผือด กลั้นใจรุดไปยับยั้งอัศวินดำหมายเลขเก้าผู้นี้ พร้อมสั่งการว่า “ปิดประตูหอคอย ป้องกันข้าศึกอย่าให้เข้าไปข้างในได้”
“สายไปแล้วเด็กน้อย” พริมกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย้ายวน ตามด้วยเสียงแผดร้องของทหารผู้เฝ้าประตูหอคอยทั้งสอง ที่โดนมีดผีเสื้อสีครามปาดเข้าที่คอหอยสิ้นใจในบัดดล
ผลของปฎิบัติการทั้งหมดอยู่ที่วินาทีนี้!
เมื่อแม่ทัพโจนาธานเข้าประชิดหอคอยได้ก็รำกระบี่สั้นเข้าห้ำหั่นกับพริม แม้ว่าตัวเขาจะยังคงได้รับบาดเจ็บแต่ฝีมือของพริมก็มิได้เก่งกาจไปกว่าเขาในตอนนี้เท่าใด ด้วยท่าเท้าพิสดารก็ช่วยให้หลบหลีกมีดผีเสื้อสีครามที่เป็นจุดแข็งของฝ่ายตรงข้ามได้สิ้น ส่วนตัวเขาเองก็ใช้กระบี่สั้นแทงออกในแง่มุมที่คาดไม่ถึง สร้างความกดดันให้กับอัศวินดำหญิงอยู่เนืองๆ
พริมทราบว่าหากมิอาจสลัดแม่ทัพผู้นี้ก็คงไม่สามารถเข้าไปในหอคอยได้ แต่นางกลับไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เมื่อนักรบตระกูลชไวน์ทั้งร้อยนายในขณะนี้ล้วนดำเนินการเข่นฆ่าอยู่ภายในหอคอยแล้ว แสงสีส้มปรากฏขึ้นมาเป็นระยะๆตามด้วยเสียงตูมตามที่เกิดจากอำนาจสายฟ้า ขอเพียงนางพัวพันบุคคลผู้นี้ได้อีกระยะหนึ่ง มีหรือที่หอคอยแห่งนี้จะไม่ถล่มลงมา?
ทันใดที่คิดได้เช่นนั้นพริมก็เปลี่ยนวิธีต่อสู้ แสงสีดำปรากฏขึ้นมาที่บริเวณข้อมือขาวผ่อง ใช้เอลที่หกร่ายเอลกระบี่ใต้เงามืด สร้างมือสีดำที่เกิดจากความมืดมิดขึ้นมาที่บริเวณเงาของตน ใช้มือซ้ายควบคุมกระบี่ใต้เงามืดในขณะที่มือขวาเกาะกุมมีดผีเสื้อสีครามหมายกรีดเข้าใส่แม่ทัพโจนาธาน
“ตายเสียเถิด” พริมกล่าววาจาเรียบง่ายบางเบาด้วยใบหน้าอันสละสลวยและรอยยิ้มที่ตราตรึง เพียงแต่ประโยคที่กล่าวออกมานั้นขัดกับสีหน้าและน้ำเสียงอย่างสิ้นเชิง
แม่ทัพโจนาธานเห็นกิริยาเช่นนั้นก็ด่าทอกลับไปว่า “นางมารแพศยา” หมายจะบันดาลโทสะเด็กสาวอายุสิบแปด ส่วนตนเองที่มีวัยวุฒิสูงกว่าจึงแกล้งเป็นโกรธคุ้มคลั่ง เพื่อล่อลวงให้นางมารผู้นี้ตายใจ
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นจากภายในหอคอยพร้อมกับแสงสีส้มสว่างจ้าอยู่เป็นระยะๆ ก้อนหินก้อนอิฐที่บุผนังของหอคอยพังทลายลงมาทุกครั้งที่ได้ยินเสียง เป็นที่แน่ชัดว่าปฏิบัติการทำลายรังผึ้งใกล้จะบรรลุเป้าประสงค์
ไม่มีผู้ใดภายนอกทราบว่าสถานการณ์ในตัวหอคอยเป็นอย่างไร แต่พวกเขาล้วนทราบว่าหากปล่อยเป็นเช่นนี้ไปอีกระยะหนึ่ง หอคอยอันสูงตระหง่านจะต้องถล่มลงมาในไม่ช้า
หลังจากเหตุการณ์ที่นครหลวงเอนเซลเลียร์รังลับในเอนเซลก็สิ้นสุดลง พวกของนายกองบาวาเรียทั้งสิบสองจึงถูกโยกย้ายมาประจำการอยู่ที่ป้อมวอเตอร์ดีพ ในฐานะของรองแม่ทัพดูแลหอคอยทิศตะวันออกที่เชื่อมติดกับถนนสู่เอเวอร์เกรซ
เมื่อมีรถม้าสองคันพุ่งเข้ามาสู่ป้อมวอเตอร์ดีพอย่างรวดเร็วประกอบกับเหตุไฟไหม้ที่กำแพงฝั่งตะวันตก ทุกสิ่งทุกอย่างจึงผิดสังเกตเป็นอย่างยิ่ง รองแม่ทัพบาวาเรียที่พึ่งทำความดีความชอบได้เลื่อนตำแหน่งพลันส่องกล้องจากหอคอยสูงมองลงไปยังเบื้องล่าง สำรวจที่รถม้าทั้งสองคันนั้นอย่างละเอียดละออ
“เปิดประตูด่วน” รองแม่ทัพบาวาเรียสั่งการทันควันทันทีที่เห็นใบหน้าของบุคคลที่อยู่ในรถนั้น ว่าหนึ่งในบุรุษคือนายกองชั้นพิเศษลูท ออร์นิเทียที่เคยร่วมเหตุการณ์ในเอนเซลเลียร์ด้วยกัน
รถม้าทั้งสองพุ่งตรงผ่านประตูเข้าไปในป้อมวอเตอร์ดีพถูกเหล่าทหารโบกให้หยุดยั้งลงบริเวณประตูขึ้นหอคอย ลูทมองออกมาเห็นบุคคลหน้าคุ้นตาจึงทักทายว่า “นายกองบาวาเรีย”
ปาร์กเกอร์ที่ปัจจุบันได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายกองกล่าวตอบแทนว่า “ท่านรองแม่ทัพบาวาเรียต่างหากท่านลูท”
รองแม่ทัพบาวาเรียพลันกล่าวตัดบทว่า “เรื่องเล็กน้อยอย่าพึ่งกล่าวถึง ในขณะนี้หอคอยทางตะวันตกเฉียงเหนือถูกจู่โจมจากกองกำลังของจักรวรรดินอร์ ดูเหมือนว่าข้าศึกจะสามารถบุกฝ่าแนวกำแพงเมืองและคูน้ำรอบนอกเข้ามาได้แล้ว ท่านแม่ทัพทาเรียและท่านแม่ทัพโจนาธานยกกำลังพลเข้าไปเสริมแต่ไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร”
ตูม!
ทันใดที่รองแม่ทัพบาวาเรียกล่าวจบสายฟ้าสีส้มก็ผ่าฟาดลงมาจากเบื้องบน ตามติดด้วยแสงสีส้มที่ส่องเข้มสว่างจ้าทะลวงขึ้นไปถึงชั้นเมฆ
สตีเฟ่นที่ทราบดีว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใดพลันกล่าวว่า “ไม่ได้การ! ผู้ลงมือคืออัศวินดำหมายเลขสี่ซิฟเฟอร์”
บลูเองก็ทราบฝีมือฝ่ายตรงข้ามไม่แพ้กันจึงกล่าวว่า “เชิญท่านรองแม่ทัพขึ้นรถม้านำทาง พวกเราต้องรีบไปถึงที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด อัศวินดำผู้นี้มีฝีมือร้ายกาจยิ่ง”
ลูทไม่พูดไม่จาฉุดรั้งรองแม่ทัพบาวาเรียขึ้นมาบนรถม้าทันที หันไปหาสารถีผู้นั้นกล่าวว่า “รีบไปให้ด่วนที่สุด ก่อนที่เรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น”
ทันใดที่สารถีกล่าวคำว่ารับทราบรถม้าก็แล่นออกไปพร้อมกับแสงสีเขียวจากเอลที่สาม บลูประสานมือเข้าด้วยกันยืนอยู่หลังสุดของรถม้า ส่งพลังจากประตูบานที่หนึ่งถึงสี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเอลวายุพัดพาและกระแสลมปรารถนาช่วยเร่งความเร็วหนุนเสริมม้าเทียมรถทั้งสองตัวไปอีกขั้นหนึ่ง รถม้าของบุรุษหนุ่มทั้งสองจึงรุดหน้าไปเร็วกว่ารถม้าของสตีเฟ่นและลาโทน่าด้วยความเร็วเท่าตัว
เสียงฝีเท้าม้าหลายพันตัวดังกึกก้องมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในขณะที่รองแม่ทัพบาวาเรียปีนขึ้นไปยังที่นั่งข้างสารถี ยืนชูป้ายรองแม่ทัพตลอดการเคลื่อนไหวในป้อมปราการวอเตอร์ดีพช่วยเปิดทางให้กับรถม้าโดยสาร พลางกล่าวกับพวกลูทว่า “รับรองว่าพวกศัตรูต้องมีเป้าหมายในการถล่มหอคอยหลังนั้น หากพวกเราสูญเสียหอคอยไปหลังหนึ่งการป้องกันแนวรบหนึ่งในแปดทิศจะพังทลายลง เปิดช่องว่างให้ศัตรูฉกฉวยได้ง่าย เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มเมื่อครู่แสดงว่าทัพม้าของท่านแม่ทัพทาเรียเปิดฉากพุ่งทะลวงเข้าใส่ข้าศึกแล้ว วินาทีชี้ชะตาคงจะใกล้เข้ามาถึง”
เสียงอาวุธกระทบกันในระยะสั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องฆ่าฟันของเหล่าทหารตึกธงมังกร บลูมองไปยังทิศนั้นด้วยสายตาแหลมคมประดุจเหยี่ยว นัยน์ตาสีน้ำเงินสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างผิดปกติขึ้นที่บริเวณกำแพงเมืองด้านนอก พอเขาหันไปมองเพื่อนสนิทก็พบว่าอีกฝ่ายหนึ่งลอบหลังเหงื่อเย็นเยียบ จ้องเขม็งไปยังตำแหน่งที่เขามองแสดงว่ารู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน
บลูวิเคราะห์สถานการณ์แล้วกล่าวว่า “ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ช่วยเหลือมาสมทบ ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครแต่ไม่แน่ว่าอาจเป็นอัศวินดำที่ร้ายกาจอีกคนหนึ่ง พวกเราคงต้องตัดตรงไปทางเหนือบริเวณกำแพงที่ลุกไหม้เหล่านั้น” ระหว่างที่บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินกล่าวมือของเขาทั้งสองข้างยังคงรักษาระดับของอนุภาคเอลที่สามได้อยู่อย่างต่อเนื่อง มิได้ทำให้ความเร็วของรถม้าตกลงแม้วูบหนึ่ง
สารถีพยักหน้ารับคำลงแส้เร่งม้าไปอย่างรวดเร็ว ภาพของหอคอยก็เห็นปรากฏแก่สายตารวมไปถึงภาพของอัศวินดำผมสีโลหิตผู้นั้น ที่แหวกว่ายอยู่ในคมดาบคมกระบี่ต่อสู้ได้ไม่เป็นรองฝ่ายแม่ทัพทาเรียที่ใช้พวกมากเข้ากลุ้มรุม พลันได้ยินเสียงแผดร้องของบรรดาทหารทั้งสองฝ่ายอยู่เป็นระยะๆ ทหารของฝ่ายจักรวรรดิรวมแล้วมีจำนวนน้อยกว่าฝ่ายสหพันธรัฐแต่ก็ดูเหมือนว่าจะสู้ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ผลของการสู้รบยังไม่ทราบว่าจะออกหัวหรือก้อยกันแน่
ลูทที่มีสายตานายพรานชี้มือไปที่บริเวณทางเข้าหอคอยกล่าวว่า “ดูนั่น!”
บลูกวาดสายตาตามไปทันทีเห็นโจนาธานแห่งตึกธงดาบกำลังจับกระบี่สั้นเข้าห้ำหั่นอยู่กับอัศวินดำหมายเลขเก้าที่พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในใจรุ่มร้อนยิ่งเมื่อทราบว่าหากโจนาธานพลาดพลั้งถูกมีดผีเสื้อสีครามบาดเข้าใส่แม้แต่แผลหนึ่งจุดจบของขุนพลตึกธงดาบผู้นี้คงจะมาถึงในไม่ช้า
ลูทใช้มือซ้ายขวากระชับกระบี่คู่ที่สะพายไว้ข้างเอวกล่าวว่า “ข้าจะไปช่วยเขา”
บลูทราบว่าอย่างไรก็ไม่อาจหยุดสหายสนิทผู้นี้ได้จึงกล่าวว่า “จำคำที่จอมแพทย์วีกล่าวไว้ให้ดี”
ลูทพยักหน้าครั้งหนึ่งนึกถึงเรื่องข้อเท็จจริงของพิษในกาย หากครั้งนี้เขาถูกพิษผีเสื้อสีครามอีกครั้ง โอกาสที่จะถูกพิษใต้หุบเขาไม้ดอกครอบงำจนกลายคุ้มคลั่งอย่างสุนัขป่าขนดำก็มากขึ้นอีกหนึ่งส่วน ครุ่นคิดส่วนครุ่นคิดกระทำส่วนกระทำ พรานหนุ่มกระโดดลงจากรถม้าโลดแล่นด้วยซันไปยังหอคอยทันที
ขณะที่ลูทยังกระโดดลงไปอย่างไม่ทันไร แสงสีส้มส่องสว่างเล็ดรอดออกมาจากตามหน้าต่างหอคอยหลายบาน หอคอยสูงตระหง่านพลันเกิดเสียงระเบิดดังถล่มทลายขึ้นติดต่อกัน เศษอิฐเศษหินปลิวเวียนว่อนลงมาจากท้องฟ้า สถานการณ์เบื้องหน้าเปลี่ยนไปอีกระลอกหนึ่ง
บลูเปลี่ยนแผนการตามที่เคยกำหนดไว้ในใจทันที จับตามองภาพการสู้รบวิเคราะห์สถานการณ์ใหม่อีกครั้ง จากนั้นจึงหันไปบอกกล่าวกับรองแม่ทัพบาวาเรียสองสามประโยค เกี่ยวกับแผนการที่ตนเองพอจะนึกได้ในนาทีคับขันเช่นนี้ แล้วก็กระโดดลงจากรถม้าโลดแล่นตามสหายสนิทไปทันควัน
ศึกชิมลางที่ฝ่ายจักรวรรดิเป็นผู้เดินหมากก่อนจะมีผลเป็นอย่างไร?
กระบี่สั้นตระกูลวิลล์กระทบกับมีดผีเสื้อสีครามส่งเสียงดังติงตัง
แม่ทัพโจนาธานกัดฟันพัวพันอัศวินดำคนนี้ไว้โดยสามารถหลบการจู่โจมทั้งหมดของฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าเท้าพิสดาร ขอเพียงร่างกายไม่ถูกมีดบาดสักแห่งหนึ่งรับรองว่าสตรีนางนี้ไม่มีวันทำอะไรเขาได้ อัศวินดำสตรีนางนี้เจ้าเล่ห์แสนกลมิใช่น้อย ไม่ยินยอมติดกับดักบันดาลโทสะของเขาแม้สักครั้ง อีกทั้งตลอดการต่อสู้ล้วนกรีดกรายสายตาที่เย้ายวนใจเสมอ ขอเพียงบุรุษหลงใหลสูญเสียสมาธิพักหนึ่งก็จะตกเป็นเหยื่อพิษผีเสื้อสีครามทันที
ขณะนั้นเองพลุสีเขียวสองดอกก็ถูกจุดขึ้นจากบริเวณตัวป้อมปราการวอเตอร์ดีพ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากองกำลังหลักสองหมื่นหกพันนายนำโดยเจ้าเมืองจูเลียสและซิลิเซียกำลังเดินทางเข้ามาสมทบ ขอเพียงทัพนี้เดินทางมาถึงรับรองว่ากองกำลังทั้งหมดของอัศวินดำจะต้องพินาศดับสูญ
แม่ทัพโจนาธานเห็นสัญลักษณ์ดังกล่าวจึงมีกำลังใจขึ้นอีกอักโข สะบัดกระบี่สั้นแทงในแง่มุมเฉียงๆเข้าใส่พริมอย่างไม่ยั้งมือ ปลายกระบี่กวาดเอาปลายเส้นผมดำขลำขาดวิ่นไปสองสามเส้น
พริมรำคาญใจยิ่งนักที่ไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งรูนได้ในขณะนี้ ติดที่สภาวะรอบข้างเต็มไปด้วยทหารของฝ่ายตน หากเรียกคิเมร่าออกมารับรองว่าทำลายหอคอยแห่งนี้ได้จริงอยู่ แต่ทหารฝ่ายตนอีกนับพันและมือดีใต้สังกัดตระกูลชไวน์คงไม่อาจมีชีวิตรอดกลับไป ซึ่งการสังหารพวกเดียวกันนั้นผิดวินัยร้ายแรงของกองทัพจักรวรรดิ นางจึงเปรียบเสมือนบุคคลที่มีวิชาแต่มิอาจจะนำออกมาใช้ได้ เมื่อต้องพัวพันกับศัตรูในสภาวะที่จำกัดคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นเองเมื่อนางเห็นการเปลี่ยนแปลงของแม่ทัพโจนาธาน ที่มีกำลังใจมากขึ้นอย่างผิดหูผิดตาก็ทราบได้ว่ากองกำลังของฝ่ายตรงข้ามกำลังหนุนเนืองเข้ามา
สตรีชาวเอนเซลมองทะลุไปถึงการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้าง “ฝืนธรรมชาติ” มากเกินไปของแม่ทัพโจนาธาน จึงคาดเดาเดาได้ว่าการโจมตีของซิฟเฟอร์เมื่อครู่นี้ต้องมีผลต่อมันไม่มากก็น้อย การยืนหยัดในปัจจุบันล้วนเป็นการฝืนร่างกายทั้งสิ้น จึงเกาะกุมเอาจุดอ่อนนี้ให้เป็นประโยชน์ ยกเลิกเอลกระบี่ใต้เงามืดเปลี่ยนเป็นเอลที่ชื่อว่าบดบังตะวัน
เอลบดบังตะวันของเอลแห่งความมืดมีผลคล้ายกับเอลเจิดจ้าดั่งสุริยันของเอลแห่งแสง นั่นก็คือพุ่งเป้าหมายไปที่ศัตรูมิให้มองเห็นได้แจ่มชัด เอลเจิดจ้าดั่งสุริยันจะใช้แสงสว่างทำให้ดวงตาทั้งสองพร่ามัวไปชั่วครู่ ในขณะที่เอลบดบังตะวันจะดูดกลืนแสงสว่างรอบข้างมิให้แสงสว่างที่สะท้อนวัตถุตกไปยังนัยน์ตาของเป้าหมาย หากเทียบกันแล้วเอลเจิดจ้าดั่งสุริยันจะส่งผลต่อการมองเห็นมากกว่าในระยะสั้น ส่วนเอลบดบังตะวันจะส่งผลในระยะยาว
แม่ทัพโจนาธานร่ำร้องในใจว่าติดกับเสียแล้ว พลันขยับกายก้าวเท้าด้วยท่าร่างพิสดารกลับไปอยู่ในจุดเริ่มต้น ไม่สามารถขยับกายพร่ำเพรื่อเปลี่ยนแนวทางการใช้กระบี่สั้นในแนวทางรัดกุม เน้นการตั้งรับมากกว่าการรุก
พริมได้โอกาสจึงโหมกระหน่ำมีดผีเสื้อสีครามใส่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับเสียงระเบิดดังตูมตามที่ทำลายโครงสร้างชั้นบนสุดของหอคอยไปแล้ว ผนังส่วนหนึ่งถล่มลงมาเบื้องล่างเผยให้เห็นร่างของนักรบชุดสีส้มหลายคนกำลังต่อสู้กับพวกทหารใต้สังกัดตึกธงมังกรที่ต่างอาบโลหิตกันแทบทุกคน เสียงโห่ร้องของทหารฝ่ายจักรวรรดิดังขึ้นทันตาเห็นกดดันกองทัพฝ่ายสหพันธรัฐเข้าไปอีก
ทันใดนั้นเองบุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงก็ได้ปรากฏกายขึ้น กระบี่เขี้ยวราชสีห์ในมือส่งเสียงคำรามดังกระหึ่ม แทงเข้าใส่อัศวินดำหมายเลขเก้าที่ช่วงหัวไหล่
“ลูท!?” พริมหันกลับมาโดยไม่ทันตั้งตัวแขนซ้ายถูกปลายกระบี่ปาดเข้าจนโลหิตหลั่งไหลออกมาเป็นแนวยาว เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามจึงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ท่านโจนาธาน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” กระบี่เขี้ยวราชสีห์ชี้ตรงไปยังใบหน้าของพริม ส่วนกระบี่เหล็กในมือซ้ายถูกยกตั้งขึ้นมาด้านข้างคอยระวังมิให้พริมเล่นลวดลายอันใดกับโจนาธาน สายตาทั้งสี่ข้างสบกันอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรลูทก็ไม่มีวันให้อภัยบุคคลที่จงใจทำร้ายยูกิให้ถึงแก่ชีวิต จึงกล่าวออกไปว่า “หนี้ของยูกิจะต้องได้รับการชดใช้”
พริมชะม้ายตามองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทางเช่นเคย กล่าวว่า “หนี้ประการใด? พี่ยูกิก็ยังคงอยู่ดีมิใช่หรือ คงมิใช่ว่าถูกพิษร้ายเล่นงานจนเสียชีวิตกระมัง?”
ลูทได้ยินเช่นนั้นก็ทราบว่าวาจามิอาจคลี่คลายปัญหาเบื้องหน้า จึงใช้กระบี่ในมือซ้ายทิ่มแทงออกไปด้วยศาสตราไร้สภาพ ตามหลักของวงจรซันเอล
เสียงถล่มของหอคอยดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง ชั้นบนสุดทั้งชั้นถูกระเบิดจนแหลกลาญ ขอเพียงทำลายโครงสร้างอีกส่วนหนึ่งหอคอยหลังนี้ก็จะถล่มลงมา
ประกายเพลิงสามสี่สายถูกสาดมาอย่างไม่หยุดยั้ง เล็งเข้าที่บริเวณข้อแขนของอัศวินดำหมายเลขสี่ บลูทราบว่าด้านหลังของมันมีผ้าคลุมเอรูไดท์ที่สามารถป้องกันเอลได้ทั้งมวล จึงรอคอยจังหวะที่บรรดานักรบใต้สังกัดแม่ทัพทาเรียรุมจู่โจมจากด้านหลัง พลันสาดประกายเพลิงออกไปใส่จุดบอดของซิฟเฟอร์
“ชิ” เสียงแค่นด้วยความไม่พอใจดังขึ้น อัศวินดำหมายเลขสี่ไม่อาจรักษากระบวนท่าที่ตนเองใช้ออก ต้องพลิกร่างไปด้านหลังยอมเปลี่ยนกระบวนท่าสูญเสียโอกาสในการโต้กลับ เพื่อหลบจากประกายเพลิงที่สาดเข้ามา
“พวกเรามาต่อกันดีหรือไม่? ครั้งก่อนที่นครหลวงเอนเซลเลียร์ข้ายังมิได้เอาคืนแม้แต่น้อย” บุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงินกล่าวทันทีที่รุดเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงหันหน้าไปบอกกับแม่ทัพทาเรียว่า “บุคคลนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเอง ท่านแม่ทัพรีบไปยับยั้งพวกที่อยู่ในตัวหอคอยเถิด”
แม่ทัพทาเรียเข้าใจในสถานการณ์เป็นอย่างดีจึงพยักหน้าครั้งหนึ่ง โบกมือให้นายกองที่ตามอารักขาบุกตะลุยเข้าไปในหอคอยด้วยกัน
“มีหรือที่อยากจะไปก็ไปได้?” ซิฟเฟอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา แทงกระบี่เงินออกไปเบื้องหน้าปรากฏสายฟ้าทะลวงออกไปตามกัน เป็นการใช้เอลอัสนีบาตฟาดทำลายในแนวขวาง ใช้เอลสายฟ้าในร่างเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานแทนท้องนภา
“มีหรือที่จะกระทำไม่ได้?” บลูกล่าวพร้อมกับใช้จิตประสาทควบคุมวิสุทธิ์ศาสตราจากกลางหลัง ให้ลอยไปรับพลังงานสายฟ้าเหล่านั้นไว้ที่ตัวกระบอง ถ่ายทอดลงสู่พื้นดินสิ้นโดยมิได้มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นหมากที่บลูคิดค้นไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าหากซิฟเฟอร์ดันทุรังจะใช้สายฟ้าตัวเขาก็จะใช้กระบองวิสุทธิ์ศาสตราแทนสายล่อฟ้า เชื่อมต่อพลังงานเหล่านั้นทิ้งลงดินไปสิ้น
ซิฟเฟอร์ไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปสักนิดเมื่อเห็นว่าตนเองเพลี่ยงพล้ำ แต่ในทางกลับกันดวงตาสีโลหิตกลับจับจ้องมาที่ทายาทแห่งอาร์คาน่าคนปัจจุบัน ยึดถือบุคคลผู้นี้เป็นศัตรูคนใหม่อย่างไม่ใยดี หมุนร่างเข้ามาหาเป้าหมายผู้นี้ด้วยความเร็วสูง กรีดกระบี่เงินเฉียงๆด้วยกระบวนท่าที่แยบยล
บลูแทบหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อพบว่าตนเองมิอาจมองเห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามได้ชัดเจน แต่จิตประสาทยังคงอยู่ควบคุมกระบองวิสุทธิ์ศาสตราให้กลับมาสู่มือได้ทันท่วงที ปัดป้องท่ากรีดกระบี่ไปอย่างฉิวเฉียด ด้วยความฉุกละหุกตนเองจึงถูกแรงจากปลายกระบี่ดันให้เซถอยหลังไปสองสามก้าว
แสงสีส้มสาดส่องขึ้นมาอีกครั้ง ซิฟเฟอร์ใช้ศาสตราอาคมผสานเอลเข้ากับอาวุธในมือตามหลักเอลผสานศาสตรา เปลี่ยนคมกระบี่เป็นพลังงานจากสายฟ้า ทุกครั้งที่ฟันออกจะมีสนามไฟฟ้าขนาดย่อมปรากฏขึ้นกลางอากาศ หากผู้ใดเกิดอยู่ในบริเวณนั้นความต้านไฟฟ้าก็จะลดต่ำลง เป็นเหตุให้ซิฟเฟอร์สามารถส่งผ่านเอลสายฟ้าเข้าไปสู่ร่างทันที
บลูสูดลมหายใจเข้าลึกๆหาทางรับมือกับอัศวินดำเบื้องหน้า สองมือจึงโคจรเอลตามแนวทางของถ้ำไอหยก มือหนึ่งใช้อาคมแปรผันร่ายฉับพลันในขณะที่อีกมือหนึ่งใช้อาคมลวง เปล่งแสงเป็นสีเขียวจากเอลที่สามทั้งคู่
ทันใดที่มือบลูเริ่มจะเปล่งแสงดาบสุญญากาศเล่มหนึ่งพลันลอยออกไปโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซิฟเฟอร์ที่ไม่เคยทราบถึงทักษะร่ายฉับพลันจึงกะจังหวะเวลาพลาด กระบี่ที่ก่อเกิดสนามไฟฟ้าต้องวกมาป้องดาบสุญญากาศอย่างเสียมิได้ ซึ่งมันก็ทราบดีว่าจะต้องมีดาบสุญญากาศเล่มที่สองตามติด จึงสะบัดกระบี่เงินรับมืออีกครั้ง
แต่ที่ไหนได้อาคมลวงในมือขวาแทนที่จะปลดปล่อยกระบี่สุญญากาศออกมา พลันเปลี่ยนเป็นอาคมธาตุน้ำนามว่าหมอกวารี เมื่อประสมกับดาบสุญญากาศที่ยิงออกไปก่อนหน้าเอลเขตแดนความเย็นที่บลูตั้งใจจะสร้างขึ้นก็สำเร็จ ซึ่งเอลน้ำแข็งที่เป็นเอลตรงกันข้ามกับเอลสายฟ้านี้เอง มีศักยภาพเพียงพอต่อการข่มขวัญคู่ต่อสู้ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ศัตรูกล้าเข้าปะทะโดยตรง จำต้องหลีกเลี่ยงจากเหตุระเบิดได้รับบาดเจ็บ
แม้บลูไม่คิดว่าตนเองจะเอาชนะบุคคลตรงหน้าได้ แต่การที่ตนเองมีสภาพแวดล้อมอันได้เปรียบก็สามารถทดลองประมือดูสักครา
เหตุเปลี่ยนแปลงพลันอุบัติขึ้นอีกสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเหตุใดเกิดก่อนเหตุใดเกิดทีหลัง หนึ่งเป็นเหตุเปลี่ยนแปลงที่พวกแม่ทัพทาเรียไม่ทันคาดคิด นั่นคือสายฟ้าจากบนท้องนภาฟาดเข้าใส่หอคอยอย่างจัง ทำลายโครงสร้างไปแถบหนึ่งจนดูเหมือนว่าจะทรงตัวไม่ได้อีกต่อไป และสองเป็นเหตุเปลี่ยนแปลงที่พวกอัศวินดำไม่ทันคาดคิด นั่นคือพวกสตีเฟ่นและรองแม่ทัพบาวาเรียทั้งหลายชักนำทหารจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ที่กำแพงไม้ หมายจะตัดทางหนีทีไล่ของพวกซิฟเฟอร์ไปสิ้น ตามคำแนะนำของบุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงิน
ทันทีที่ซิฟเฟอร์เห็นเหตุเปลี่ยนแปลงทั้งสองก็ผิวปากดังลั่น ส่งสัญญาณถอยร่นในทันที เมื่อจุดประสงค์บรรลุแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเอาชีวิตของเหล่าลูกน้องเข้าไปเสี่ยงต่อ ฉวยโอกาสที่รองแม่ทัพบาวาเรียยังไม่สามารถทำอะไรได้สะดวกถอยร่นอย่างเป็นระบบระเบียบ ข้ามแพไม้ที่วางไว้หนีออกไปได้ทันท่วงที
แม้ว่าหอคอยจะไม่ถูกทำลายจนพังลงมาแต่ก็ถูกทำลายจนใช้การไม่ได้ไปเกินครึ่ง ทุกผู้คนต่างทราบว่าผู้ชนะในศึกชิมลางในครั้งนี้คือกองทัพของจักรวรรดิ
ความคิดเห็น