คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : เจ้าหญิงคาเรน
25
เจ้าหญิงคาเรน
คฤหาสน์หลังนั้น สร้างไว้แข็งแรงดียิ่ง การจะบุกเข้าไปจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไปเช่นกัน
เสียงม้าและเสียงคน ดังมาจากเบื้องขนอง ท่าทางคงเพิ่งกับจากงานเทศกาล เสียงพูดคุยดังกันเบาๆพอได้ยิน หากจับความไม่ค่อยได้ ทว่าที่พร้อมเพรียงอย่างยิ่งคือเสียงฝีเท้าม้า ซึ่งเหยาะย่างมาแบบช้าๆ บ่งบอกถึงสายพันธุ์ดีและการฝึกฝนล้ำเลิศ เรียกให้รอยสรวลคนประทับอยู่ในเงามืด ยากแก่การมองเห็นกว้างขึ้นทันควัน
ซาฟา อิมรีอา ให้อย่างไรก็ยังน่ายกย่องในเรื่องหนึ่ง
หมอนี่ ฝึกม้าและขี่ม้าได้ดีจนเรียกว่าเก่งกาจเลยทีเดียว.....เคยประลองม้าด้วยกันครั้งหนึ่ง ม้าทรงของพระองค์พ่ายแพ้เพราะวิ่งเข้าเส้นชัยช้ากว่าตัวของหมอนั่นเพียงเส้นยาเดียว แต่เจ็บพระทัยอยู่นานเหมือนกัน
สู้กับซาฟาบนหลังม้า มิใช่เรื่องฉลาดนัก
และนั่น คนที่ขี่ม้านำหน้ากลับมานั่นแหละซาฟา ใบหน้าคร้ามของคนผิวขาว ทว่าตากแดดตากลมมาอย่างสมบุกสมบันทำให้ดูเติบโตกว่าความเป็นจริง ทั้งที่อายุก็สิบเก้าเหมือนกัน หากความเป็นชายโดยแท้ ทำให้อีกฝ่ายดูแข็งแรงมากกว่า และภายใต้เสื้อสะอาดสะอ้านก็เป็นกล้ามเนื้อหนาเป็นมัด บ่งบอกถึงความรักการออกกำลังกายของเจ้าของ มือใหญ่หยาบกร้านไม่น่าสัมผัส เพราะกวัดแกว่งดาบมาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ
คาเรนเคยทรงชื่นชมและนับถือฝีมือคนๆนี้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเกลียดอย่างรุนแรง เมื่อทรงทราบว่าคนที่ประสงค์จะปลงพระชนม์พระองค์คือหมอนี่ ไม่ใช่จัสติน เรโอวา แพะรับบาปคนนั้น
น่าเสียดาย.....ราชวงศ์วาเนบลีไม่อาจได้คนผู้นี้ไว้รับใช้
ซาฟาเก่งในด้านเพลงดาบ ทั้งรบและรุก อาจจะพอๆกับคาร์ซาร์กระมัง แต่ด้านความบ้าบิ่นและมีใจต่อสู้ต่างกันลิบเลยทีเดียว คาร์ซาร์อาจจะเหนือกว่าก็ในด้านไหวพริบในการเอาชนะโดยไม่เปลืองแรงเท่านั้นเอง
นี่คือศัตรูที่พระองค์โปรดปรานทีเดียว
การสูญเสียศัตรูเช่นนี้......สมควรอาลัยอย่างยิ่ง
ม้าสิบห้าตัว และคนสิบห้าคนลับรั้วหินแข็งแกร่งไปแล้ว วรองค์สูงโปร่งจึงได้ออกจากเงามืดมาประทับอยู่เบื้องหน้าคฤหาสน์ เนตรสีน้ำผึ้งทอดมองอย่างแน่วแน่ ขณะหัตถ์ขวาขยับดาบขึ้น ประกายสีเงินสว่างวาบในความมืดราวกับยินดีที่ได้ทำหน้าที่เสียที
กระแสลมพัดแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หอบเอาความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจพัดเข้าไปในคฤหาสน์ หิมะที่แค่โปรยปรายในตอนแรก กลายมาเป็นตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง ม่านสีขาวทึบจากธรรมชาติ ทำให้มองภาพเบื้องพักตร์แทบไม่เห็น
แต่หิมะ.....คือตัวตนของคาเรนอย่างแท้จริง
ยามหิมะโปรยปราย.....คาเรนจะไม่ทรงพ่ายแพ้เป็นอันขาด
และความแปรปรวนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ก็ทำให้คนที่เพิ่งกลับเข้าไปในคฤหาสน์ต้องกลับออกมาดูอีกครั้งหนึ่ง คราแรกเป็นเพียงสองคนที่ตามหลังซาฟาไปเท่านั้นที่ชักม้าออกมา และเมื่อไม่สามารถหาคำตอบให้กับปรากฏการณ์ประหลาดได้ ทั้งหมดก็แห่กันออกมาดูอย่างแปลกใจ
ซาฟาเป็นคนแรกที่เขม้นมองไปในม่านหิมะ แล้วระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นอย่างถูกใจ
“ทุกคน จงดูเบื้องหน้าให้ดี แล้วจะพบว่าคฤหาสน์ของเรานั้น บัดนี้ได้มีโอกาสต้อนรับเจ้าชายแห่งคาโนวาลแล้ว”
อีกสิบสี่คนมองตามอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อเห็นเงาดำๆของวรองค์สูงโปร่งท่ามกลางหิมะตกหนัก ทุกคนก็เอามือแตะดาบที่แขวนตรงเอวทันที
สำหรับทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหม เจ้าชายคาเรนเปรียบเสมือนทรราช.....ทุกคนจึงชิงชังและเกรงกลัวยิ่งนัก
แต่แล้วหิมะก็จางลงทันควัน ราวกับต้องการให้ทุกคนได้เห็นพักตร์งามราวรูปสลัก เนตรสื่อความหมายลึกซึ้ง และความสง่างามของรูปลักษณ์แห่งพระองค์ใหญ่ เจ้าหญิงแห่งคาโนวาล
ใช่ เจ้าหญิงแห่งคาโนวาลที่ทรงพระสิริโฉมนัก ต่อให้อยู่ในชุดมอมแมมของเด็กหนุ่ม และทรงดาบปราบมารเล่มใหญ่ รัศมีความสง่างามพิลาสล้ำก็ยังเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน มันทำให้ทหารผู้กำลังขี่ม้ารู้สึกบังอาจเหลือเกิน ที่ยังนั่งอยู่เหนือพระองค์เช่นนี้ ดังนั้นจึงพากันลงจากหลังม้าแล้วถวายคำนับกันโดยพร้อมเพรียงอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่ซาฟาก็ตะลึงพรึงเพริดอย่างคาดไม่ถึง
แต่ในที่นี้ คงมีเพียงซาฟาเท่านั้นที่รู้ว่า คนตรงหน้าหาใช่เจ้าชายสามแผ่นดินไม่ แต่เป็นเจ้าหญิงองค์โตผู้กุมอำนาจมหาศาลต่างหาก
ช่างสง่า....และงามสมพระเกียรติทีเดียว
“พี่น้องทุกคน กลับเข้าไปในคฤหาสน์ก่อนเป็นไร ดูท่า พระองค์ใหญ่จะธุระกับเราเสียแล้ว”
และบัดนี้ ก็เหลือเพียงทั้งสองยืนอยู่นอกรั้วหิน กั้นกลางด้วยหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างบ้าคลั่ง ต่างฝ่ายต่างถืออาวุธประจำตัว เตรียมต่อสู้โดยไม่ถอยสักก้าว
“ไม่นึกเลยว่า ฝ่าบาทจะเสด็จมาถึงที่นี่”
ซาฟาเอ่ยเรื่อยๆ นึกชมชอบดวงตาคู่นั้นอย่างบอกไม่ถูก มันงดงามยิ่งกว่าอัญมณีทั้งหมดที่เขาเคยพบมา และเจิดจรัสซึ่งกว่าเพชรยอดมงกุฎใดๆ น่าเสียดายที่เขามองไม่ชัดนัก แต่ให้ตายเถอะ ถ้าทำได้น่ะอยากจะคว้าตัวมาดูให้ใกล้ๆเสียจริง
ไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่ได้รู้ว่าเจ้าของเนตรงามคู่นั้นเป็นเจ้าหญิงผู้เก่งกาจ เขาก็มีความคิดนี้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก.....ท่านพ่อที่ว่าเขาบ้าหรือหลงกลน่ะ ไม่มีทางรู้หรอก ว่าเจ้าหญิงสุดแสบนี่สวยขนาดไหน
สวยที่สุด....ก็ตอนดุร้ายที่สุด
เหมือนนางสิงห์อย่างนี้.....หาได้ที่ไหนอีก
“ขอทรงพระกรุณา บอกกระหม่อมหน่อยได้ไหมพระเจ้าค่ะ ว่าทรงเสด็จมาทำไมที่นี่”
เนตรงามฉายรอยโศกเศร้าหลุบต่ำ พักตร์คมคายเรียบสนิท ก่อนตรัสเรียบเรื่อย ทว่ามั่นคงดุจเป็นประกาศิต
“คราก่อน จัสติน เรโอวา คนของเจ้า คิดลอบทำร้ายเรา”
“อ้อ คิดว่าเรื่องอะไร แต่คนผู้นั้นก็ถูกจับเข้าหอคอยคุมขังไปแล้วนี่พระเจ้าค่ะ”
“เราเป็นคนนำมันออกมา”
คราวนี้ สีหน้าของทหารหนุ่มชักเปลี่ยนแปร ดวงตาสีดำคู่นั้นเริ่มกลอกไปมาอย่างหาทางออก มองแล้วทำให้ดูไม่น่าเชื่อยิ่งกว่ายอมสารภาพออกมาเสียอีก
“มันเป็นคนของกระหม่อมก็จริง แต่ไม่ต้องนำมันมาคืนหรอกพระเจ้าค่ะ สู้ลงโทษมันตามที่ฝ่าบาทเห็นว่าสมควรจะเข้าทีกว่า ทั้งโทษของมันนั้นก็หนักหนาสาหัสนัก ไม่น่านำมันออกมาจากหอคอยคุมขังด้วยซ้ำไปพระเจ้าค่ะ”
“ขอบใจที่เจ้าแนะนำ ซาฟา แต่เราไม่ได้มีความคิดนำมันมาคืนเจ้า” ขนเนตรเป็นแพหนากะพริบช้าๆ ประกายดาบในพระหัตถ์วาบสะท้อนให้ดวงพักตร์นั้นดูลึกล้ำ ยากแก่การคาดเดาน้ำพระทัย “เราเพียงมาทำสัญญากับเจ้า”
“สัญญา?” การทวนคำมีท่าทางไม่เข้าใจ และงงงวยพอควร “สัญญาอันใดหรือพระเจ้าค่ะ ที่คนอย่างกระหม่อมมีปัญญามอบสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการ เพื่อแลกกับความกรุณาของฝ่าบาท”
น้ำคำ....หวานหูยิ่งนัก
หากใจ....มันคดยิ่งกว่า
“เราทราบ เจ้าต้องการฆ่าเรา ซาฟา อิมรีอา”
สิ้นสุรเสียงเรียบดุจน้ำในสระ อีกฝ่ายตะลึงลานไปชั่วครู่ใหญ่ ก่อนจะรวบรวมสติเต็มที่ แล้วทูลด้วยท่าทางเป็นปกติ ทั้งที่เหงื่อชุ่มมือ....ในสภาวะอากาศหนาวเย็นเช่นนี้
“แล้วแต่จะทรงพิจารณาพระเจ้าค่ะ กระหม่อมทูลได้เพียงว่า กระหม่อมมิได้บังอาจขนาดนั้น”
นั่นถือว่าจริง....หลังจากการลอบปลงพระชนม์คราวก่อนล้มเหลว ท่านเสนาบดีกระทรวงกลาโหมผู้เป็นบิดาก็ได้บอกความจริงที่ว่าคาเรนเป็นเจ้าหญิงให้ฟัง แล้วหลังจากนั้น เขาก็ไม่บังอาจคิดหาญกล้าลอบปลงพระชนม์อีก
การทำลายดอกไม้ที่สวยงามและทนทานที่สุดในโลก....ถือเป็นความบังอาจอย่างหนึ่งเหมือนกัน
“นั่นคือสัญญาของเรา.....เราจะให้ชีวิตของเรากับเจ้า”
เนตรงามสีน้ำผึ้งฉายประกายเด็ดเดี่ยวมาในความโศกเศร้านั้น ทำเอาตาสีดำอีกคู่เบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหรี่ลงอย่างมีความนัย
“เงื่อนไข?”
แน่ละ....พระชนม์ชีพของเจ้าหญิงคาเรน ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยนที่มหาศาล
“เราให้ชีวิตเรากับเจ้า หากเจ้ามีปัญญาเอาไปได้ แต่หากไม่ได้ เราจะเอาชีวิตเจ้าแทน”
นั่นไง ทายผิดเสียเมื่อไหร่ล่ะ
“ทรงทำเช่นนี้เพื่ออะไรหรือพระเจ้าค่ะ”
“เพื่อพิสูจน์” ครานี้เนตรสีน้ำผึ้งระยิบระยับด้วยความมุ่งมั่นและแน่พระทัยยิ่งนัก “พิสูจน์....ว่าเราเป็นนักรบและกษัตริย์ รวมทั้งกษัตริย์นักรบได้”
ทำไมจะไม่ทรงทราบ....ว่าที่หลายคนไม่ยอมรับพระองค์เป็นเจ้าชายรัชทายาทเป็นเพราะสาเหตุใด
....เป็นผู้หญิง....
เหตุผลสั้นๆแสนงี่เง่า แต่ยกเอามาอ้างได้ชั่วนาตาปี น่ารำคาญที่สุด
หรือผู้หญิงต้องด้อยกว่าผู้ชายเสมอ.....ตลอดกาล
พระองค์นี่แหละจะพิสูจน์ให้ดู
“ว่าไงล่ะ เจ้าจะทำสัญญากับเราหรือไม่”
ร่างหนา สมส่วน และแข็งแรงยืดเต็มที่ ดวงหน้ากร้านมีร่องรอยความพอใจ ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายวิบวับ ราวกับมีเรื่องยินดีเกิดขึ้น และมือที่กุมดาบใหญ่ทรงอานุภาพเล่มหนึ่งก็กระชับแน่นอย่างเตรียมพร้อม
“กระหม่อมยินดีบอกไม่ถูกพระเจ้าค่ะ”
ใช่สิ....ได้รับเกียรติสูงสุดจากพระองค์ใหญ่ผู้ทรงฤทธิ์ให้ต่อสู้ด้วยโดยไม่ต้องออมมือ...จะมีอะไรดีกว่านี้อีก
เนตรสีสวย งดงามลึกซึ้งเหม่อลอยไปไกล แม้จะมองอีกฝ่ายอยู่ แล้วได้ยินคำตอบรับสัญญาแล้วก็ตาม
“รับมือ!!!!”
ความคิดเห็น