KerberoS
ดู Blog ทั้งหมด

" ไฮโซ " สังคมผู้ดีหรือสังคมแห่งการดูถูก

เขียนโดย KerberoS


          ดีครับเพ่น้องชาวเด็กดีทุกคน  ช่วงนี้ก็เป็นช่วงปิดเทอมกันแล้วสินะครับพี่น้อง  ไม่ว่าจะเป็นเหล่านักเรียนหรือนักศึกษาที่ไม่คิดจะลงเรียนซัมเมอร์  ผมมั่นใจว่าทุกคนคงจะออกไปเที่ยวกันช่วงปิดเทอมกันบ่อยมากถึงมากที่สุดเลยก็เป็นได้สินะครับ  และแน่นอนครับว่าการจะไปเที่ยวปิดเทอมให้สนุกนั้น  มันก็ขาดไม่ได้ที่จะต้องกอดคอเพื่อนรักเพื่อนสนิทในแก๊งและก๊วนของตัวเองพากันไปหลาย ๆ คนเพื่อเพิ่มอรรถรสความมันส์และความสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยงอย่างแน่นอน  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนชนชั้นไหนก็ตาม  แต่ทุกคนเคยคิดถามตัวเองกันบ้างรึเปล่าครับ  ว่าเพื่อนในแก๊งในก๊วนของเราที่ร่วมเฮฮาไปกับทริปการท่องเที่ยวของเรานั้นเค้ามองเราในฐานะอะไรบ้าง  หรือว่าที่เราไปเลือกคบกับเพื่อนคนนั้นเพราะอะไร  ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของเรื่องเล่าในวันนี้ของผมครับซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้องเรียนหรือเพื่อนร่วมแก๊งของเรานั่นเอง


          ผมเชื่อว่าชาวเด็กดีหลาย ๆ คนคงจะเคยผ่านการเรียนมัธยมกันมาแล้วทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นจากโรงเรียนวัดของรัฐบาลหรือโรงเรียนของพวกหน้าหวาน ๆ ของเอกชน  ซึ่งในเรื่องนี้ผมจะพูดแค่ในโรงเรียนเอกชนก็ละกันนะครับพี่น้อง ( เอาล่ะสิมึงเริ่มเปิดประเด็นอีกแล้วไงจะโดนพวกนี้เกลียดกูอีกมั้ยเนี่ย ) ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนเอกชนทุกคนก็ต้องพูดกันเป็นเสียงเดียวกันอย่างแน่นอนว่า  ค่าเทอมม่างแพงสัด ๆ เลยนะเว้ยเฮ้ยไม่รู้ว่าพวกมึงเรียนกันไปได้ยังไงหรืออะไรประมาณนี้ล่ะนะ  ก็จะไม่ให้มันแพงได้ไงล่ะครับพี่น้องเอ้ย  คิดดูดิโรงเรียนเหี้ยไรวะเก็บเงินค่าเทอม ๆ หนึ่งเกือบแสน  โดยเฉพาะพวกระดับ ม.ต้น หรือ ม.ปลาย เนี่ยแม่งเก็บกันทีพ่อแม่ผู้ปกครองแทบจะหมดตัวกันเลยทีเดียว  บางบ้านแม่งถึงกับแทบต้องขุดหาปลวกแดกกันไปข้างนึงเลยทีเดียว  เพราะฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ ที่เค้ามีเงินพอส่งลูกเรียนได้จนจบ  ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลเลยครับยกตัวอย่างแค่เพื่อนร่วมงานแม่ผมซึ่งผมจะเรียกแกว่าน้าก็ละกัน  แกทำงานเป็นนักการภารโรงเหมือนแม่ผมเลยครับ  แต่ลูกสาวของน้าคนนี้นี่สิเธอเป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี


          ก็ไม่รู้ว่าเชื้อพ่อหรือเชื่อแม่มันแรงนะ  เธอเป็นคนที่หัวสูงมากถึงมากที่สุดเลยล่ะตัวเธอ  ประมาณว่าถ้าเธอคนนี้มาเดินท่ามกลางฝูงชนทีนี่  หัวม่างได้ติดเพดานกันอย่างนั้นเลยทีเดียว  ทั้ง ๆ ที่แม่ของน้องเค้าก็เป็นแค่นักการเหมือนแม่ผม  ที่มีเงินเดือนอย่างมากก็แค่หมื่นต้น ๆ แทบจะไม่พอเลี้ยงครอบครัวอยู่แล้ว  เมื่อสมัยที่เธอเรียนอยู่ ม.ปลาย เธอดันอยากจะเข้าอัสสัมชัญบางรักซึ่งเป็นโรงเรียนมีชื่อมาก  ที่ไม่ว่าใครในเมืองหลวงนี้ก็รู้จักกันทั้งนั้นแถมอยู่ใกล้แฟลตตำรวจที่น้องเค้าและผมอาศัยอยู่อีกต่างหาก  และชาวเด็กดีก็คงจะมีหลายคนต้องเรียนอยู่หรือเคยเรียนอยู่บ้างล่ะผมพูดถูกมะ  ซึ่งชื่อเสียงของโรงเรียนนี้ก็อย่างที่ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้วนั่นก็คือ  มันเป็นแหล่งรวมของกลุ่มคนชนชั้นสูงหรือไฮโซที่พวกเรารู้จักกันนั่นเอง  เพราะไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยันค่าเทอมและการจะเดินทางมาเรียนที่นี่  ต่างก็เป็นของแบรนด์ดัง ๆ และมีราคาแพง ๆ กันทั้งนั้น  ซึ่งพวกโลโซแบบกระผมนี้อย่าว่าแต่จะเข้าไปเรียนเลย  แค่เดินผ่านหน้าประตูยามแม่งยังแทบจะเดินมาไล่กูไปไกล ๆ จากประตูใหญ่ของโรงเรียนกันเลยทีเดียว  และยิ่งเด็กในโรงเรียนนี้ไม่ต้องพูดถึงเลยแค่หางตามันยังไม่อยากจะมองเด็กนักเรียนที่ใส่กางเกงสีกากีหัวเกรียนแบบพวกกูเลยพี่น้อง  เออใช่เซ่กูมันเด็กโรงเรียนรัฐบาลนี่หว่าเด็กวัดพุทธอย่างกูจะมาสู้อะไรกับเด็กวัดคริสต์อย่างพวกมึงล่ะสาด  แค่มันดันเสือกเป็นทางผ่านไปบ้านกูเท่านั้นแหละโว้ย  อาจจะมีมองบ้างแต่ก็แค่มองเพราะกูดันเดินไปขวางหน้าทางเดินที่พวกแม่งเดินอยู่ก็เท่านั้นแหละ  แถมมองแบบหัวจรดเท้าแบบในละครดังหลังข่าวอีกด้วยนะสาด  เออกูขอโทษครับพี่ที่ไปขวางทางเดินพี่เอานะพี่นะ  จะเรียกค่าทำขวัญจากผมเท่าไหร่เหรอครับ ถุย!! มึงเอาทนายมาคุยกับกูเลยมาจะได้รู้แล้วรู้รอดไปแสด  ว่าไอ้ที่กูไปเดินขวางหน้าพวกมึงเนี่ยกูผิดข้อกฎหมายมาตราไหนมั่ง  เดี๋ยวกูใช้ค่าเสียหายให้ไอ่แฝรดดดด


          เอาล่ะกลับมาที่น้องคนนี้กันต่อ  หลังจากที่เธอได้สอบเข้าเรียนใน ม.ต้น ของโรงเรียนนี้ได้อย่างสมใจของเธอแล้ว  ก็เป็นเรื่องน่ายินดีครับที่อย่างน้อยน้องเค้าก็ตั้งใจเรียนเพื่อจะได้สอบเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ตามที่ตั้งใจ  แต่ก็อย่างว่าแหละครับเมื่อเราไปอยู่ในสังคมแบบนี้แล้วเราก็ควรจะทำตัวให้เป็นคนในเมืองนั้น ๆ ดังสุภาษิตที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามนั่นไง  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเธอคนนี้ก็ต้องไม่ยอมน้อยหน้าเหล่าไฮโซในรั้วของโรงเรียนนี้อย่างแน่นอน  เริ่มต้นจากสิ่งแรกที่น้องเค้าร้องขอต่อผู้เป็นแม่ก่อนเลยนั่นก็คือกระเป๋าหนัง Jacob ซึ่งเป็นกระเป๋านักเรียนที่เด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ทุกคนจะต้องมี  ไม่งั้นจะเข้ากลุ่มกับใครเค้าไม่ได้แล้วก็จะเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเดี๋ยวไม่มีเพื่อนไว้ให้ปรึกษาเรื่องงานกลุ่มหรือให้เข้ากลุ่ม


          ซึ่งมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มสงสัยสิครับว่า ผ.อ. โรงเรียนนี้มันเป็นคนตั้งกฏเกณฑ์เรื่องนี้หรือยังไงวะ  ว่าต้องให้เป็นกระเป๋าหนังสีดำยี่ห้อ Jacob ใบละหลายร้อยจนเกือบจะขึ้นหลักพันซะขนาดนั้น  ไม่งั้นทางโรงเรียนจะไม่ให้เรียนต่อในโรงเรียนนี้และเพื่อนฝูงจะไม่รับกูเข้าเป็นคนในกลุ่มงั้นเรอะ  กูไม่เข้าใจครับพี่น้อง  ถ้าสมมุติว่ากูเข้าไปเรียนแล้วกูสะพายถุงย่ามลายผ้าขาวม้าของไทย ๆ เข้าไปในโรงเรียนนี้  เพราะกูเป็นพวกที่ไม่ชอบถือกระเป๋าหนังเนี่ย  กูจะโดนมึงไล่ออกมาเหมือนกับว่ากูไม่ใช่เด็กนักเรียนที่นี่อย่างนั้นเหรอทั้ง ๆ ที่กูก็สอบเข้ามาเหมือนกับไอ้พวกไฮโซบ้า ๆ กางเกงน้ำเงินนั่นที่เดินกันขวักไขว่อยู่ข้างในเนี่ย  หรือถ้ากูเข้าไปได้แล้วกูจะเข้าไปทำความรู้จักเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ ที่มันนั่งเรียนอยู่ข้าง ๆ กูเองเนี่ย  แม่งจะเดินหนีเพราะเห็นว่ากูเป็นเสมือนเชื้อโรคไข้หวัด 2010 ชนิดใหม่ที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้  เพราะว่ามึงสะพายถุงย่ามลายผ้าขาวม้าเข้ามาเรียนอย่างนั้นเรอะพี่น้องครับ


          มันไม่ใช่อ่ะครับที่ใคร ๆ จะมากำหนดกฏเกณฑ์การคบเป็นเพื่อนกับไอ้แค่เรื่องที่ไม่มีกระเป๋า Jacob มาโรงเรียน  ถ้ามีกฏเกณฑ์ที่ว่ากระเป๋านักเรียนต้องเป็นสีดำอย่างนี้ก็เออโอเคกูจะเอากระเป๋าสีดำมาให้มึงก็ได้  แต่มันจำเป็นเหรอที่ต้องเป็นของแบรนด์ที่เขียนว่า Jacob ซึ่งใบหนึ่งแม่งไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะนั่น  กูก็เอากระเป๋าสีดำมาแล้วตามที่ระเบียบมันกำหนดใว้เนี่ย  แต่แค่ไม่ได้เป็นของแบรนด์เหมือนกับคนอื่น ๆ เค้าก็แค่นั้น  พวกมึงถึงกับไม่อยากยุ่งกับกูเลยเรอะกูทำผิดอะไรมาครับเนี่ย  กูไปเยี่ยวรดหน้าบ้านพวกมึงรึเปล่ามึงถึงไม่คบกูเป็นเพื่อน  เพราะแค่กูไม่มีกระเป๋า Jacob อย่างนั้นเหรอ  ทั้ง ๆ ที่กูก็สอบเข้ามาเหมือนกับพวกมึง  แต่แค่ฐานะทางบ้านกูไม่ค่อยดีเหมือนพวกมึงเลยไม่มีเงินจะไปซื้อกระเป๋าอย่างว่าก็เท่านั้น  กระเป๋าเดิมของกูแม่งก็ยังใช้ได้ดีอยู่ไม่ได้สึกไม่ได้ขาดแต่อย่างใด  จำเป็นด้วยเหรอที่กูต้องเปลี่ยนใหม่  เพื่อที่จะมีเพื่อนอย่างพวกมึงมาคุยกับกูเนี่ย  ถ้าเป็นงั้นกูออกไปอยู่โรงเรียนรัฐบาลดีกว่ามั้ย  ไม่ต้องมานั่งทำตัวเป็นพวกไฮโซบ้ายอแบบนั้น  เห็นแล้วแม่งอึดอัดว่ะทนกันไปได้ยังไงวะอยู่กับคนพวกนี้  ผิดกับเด็กโรงเรียนรัฐบาลที่กูเรียนอยู่คนละขั้วเลยนะนั่น  พวกนี้ต้องเรียกว่าไปไหนไปกันเฮไหนเฮนั่นกันเลยแหละครับ  ผมว่าเราอยู่แบบโลโซอย่างนี้สบายใจกว่าเยอะเลยครับ  ได้เพื่อนสนิทกันที่ภายในมากกว่าสนิทกันที่รูปลักษณ์ภายนอกหลายเท่าเลยว่ะ  ต่อให้เราไม่ว่าจะเป็นใครมาจากชนชั้นไหนก็ไม่มีการดูถูกชนชั้นเหมือนกับพวกกลุ่มสังคมที่เรียกตัวเองว่าผู้ดีทั้ง ๆ ที่กลุ่มคนเหล่านั้นต่างหากที่ดูแย่กว่ากลุ่มโลโซหรือกลุ่มรากหญ้าอย่างพวกเรา ๆ เยอะเลยว่ะพี่น้อง


          ต่อมาหลังจากที่เธอเรียนในอัสสัมชัญบางรักไปได้ไม่กี่ปี  ก็มาถึงช่วง ม.ปลาย ของน้องเค้าซึ่งช่วงนี้ผมขอเรียกว่าช่วงยุคมืดของครอบครัวนี้แล้วกันนะครับ  ทำไมถึงเป็นยุดมืดน่ะเหรอก็เพราะว่ามันเป็นยุคที่เรียกได้ว่า  มันถึงขีดสุดของการเรียนในโรงเรียนนี้ของน้องเค้าแล้วน่ะสิครับ  สาเหตุก็เพราะว่าค่าเทอมของโรงเรียนนี้ที่ม่างแพงมากถึงมากที่สุด  จนแม่ของน้องเค้าส่งเสียให้เรียนต่อไม่ไหว  เพราะระดับ ม.ปลาย นั้นทางโรงเรียนนี้ม่างเก็บค่าเทอมแพงมากถึงชนิดที่ว่า 3 ปีในระดับ ม.ปลาย นี้คุณมึงสามารถซื้อเงินสดรถยนต์ได้คันนึงกันเลยทีเดียว  จึงไม่น่าแปลกใจหรอกครับว่าทำไมพอผู้คนมาเยี่ยมเยียนโรงเรียนนี้ทีไร  มันถึงได้ขยายพื้นที่ของโรงเรียนตัวเองไปได้จนเกือบครึ่งของถนนเจริญกรุงในบริเวณนั้น  ถ้าผมจะพูดตรง ๆ แม่งก็ไม่ต่างอะไรจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีคนเข้าสมัครเรียนในแต่ละปีไม่ต่ำกว่าแสนคนนั่นแหละครับ  คิดดูสิครับโรงเรียนนี้ถ้าแม่งจับมือกับ ม.จุฬา ฯ ผมว่าแม่งคงจะขยายสาขาไปทั่วเขตบางรักกับปทุมวันเป็นแน่เลยพี่น้องเอ้ย  และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วแม่ของน้องคนนี้ก็เลยพาเธอไปลาออก  และได้พาไปหาโรงเรียนเอกชนเหมือนเดิมที่มีค่าเทอมถูกกว่าที่นี่หลายเท่า  นั่นก็คือโรงเรียนภัทรภักดีซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วนที่ตั้งอยู่ในซอยเดียวกับโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อว่าสตรีศรีสุริโยทัย  ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลหญิงล้วนที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพกันเช่นกัน  ซึ่งน้องเค้าก็ยังไม่ยอมลดทิฐิของความเป็นคนหัวสูงของตัวเองเหมือนเดิมนะครับ


          จนกระทั่งเธอเรียนจบ ม.ปลาย เพื่อไปเรียนต่อที่รั้วมหาวิทยาลัยต่อไป  แล้วรู้มั้ยครับว่าเธอเรียนที่ไหน  ใช่เลยครับมหาลัยที่เธอเลือกเรียนก็ไม่ใช่ที่ไหนเลยซึ่งทุกคนก็รู้จักกันดีเช่นเดียวกับโรงเรียนอัสสัม ฯ นั่นแหละ  มันคือ ม.กรุงเทพ สาขากล้วยน้ำไทครับพี่น้องไม่ใช่รังสิตนะเออ  ซึ่ง ม.กรุงเทพ นี้ก็เช่นเดียวกันครับ  เป็นมหาลัยที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของนักศึกษาจากนานาชาติกันเลยทีเดียว  ไม่ต่างกับการเรียนที่โรงเรียนนานาชาติเลยนั่นแหละครับ  เพราะมีนักศึกษาหลายประเทศมาก  แต่ก็เป็นธรรมดาครับที่หลาย ๆ มหาลัยก็มีการเรียนการสอนแบบนักเรียนแลกเปลี่ยนอันนี้ไม่แปลกเท่าไหร่  อีกทั้งเฉพาะค่าหน่วยกิตของมหาลัยนี้  ซึ่งผมเองก็ไม่รู้นะว่าเฉพาะที่นี่รึเปล่า  ไม่ว่าจะเป็นสาขาไหนก็ตามหน่วยกิตนึงไม่ต่ำกว่าพันหกอ่ะนะครับ  ซึ่งถ้าคิดรวม ๆ 4 ปีแล้วล่ะก็อาจจะตกเกือบ ๆ ครึ่งล้านหรือมากกว่านั้นถ้าคุณสอบไม่ผ่านและลงซ่อม  ซึ่งก็ไม่ต่างจากการเรียน ม.ปลาย ที่อัสสัมหรอกครับ


          แต่มันเกี่ยวกับสังคมชั้นสูงของเรื่องนี้ยังไงน่ะเหรอครับ  มันเกี่ยวแน่นอนครับ  เพราะว่าคณะที่น้องคนนี้เค้าเลือกเรียนนั้น  เธอก็ยังคงคอนเซปต์ของความเป็นคนหัวสูงของเธออยู่นั่นก็คือ  คณะคอม ฯ อินเตอร์หรือก็คือการเรียนร่วมกับเพื่อน ๆ นักศึกษาชาวต่างชาตินั่นเองครับ  มาถึงตรงนี้ก็ยังเป็นเรื่องน่ายินดีอยู่ครับที่เธอมองการณ์ไกล  ไปถึงอนาคตในการหางานทำในต่างประเทศขนาดไอ้กูเองยังอยากเรียนเลยอินเตอร์เนี่ย  ติดอย่างเดียวเท่านั้นแหละฐานะทางครอบครัวมันไม่เอื้ออำนวยไม่เหมือนกับคุณน้าเพื่อนแม่ผมคนนี้เค้า  ที่มุ่งมั่นดันลูกสาวตัวเองเต็มที่ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็แทบจะหาเงินมาส่งเสียลูกสาวเกือบจะไม่ได้  จนถึงกับต้องทำอาชีพเสริมนอกจากการเป็นนักการภารโรงแบบแม่ผมนั่นก็คือ  น้าคนนี้เค้ามาขอแม่ผมเปิดร้านขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งแม่กูนั่นหรือก็ใจดีเอื้อเฟื้อมากม๊าก  อนุญาตให้น้าเค้าเปิดร้านขายของที่ห้องพักในแฟลตชั้นเดียวกัน  จนบ้านตัวเองไม่มีกำไรเข้าร้าน  ถ้าไม่ได้เพราะงานจากทาง สน. มาช่วยนั่นก็คือการดูแลคอร์ดแบดมินตันให้กับเหล่าตำรวจซึ่งเป็นสมาชิกของโรงพัก  แม่ผมคงอยู่ไม่ได้เหมือนกันแหละครับ  ซึ่งหลังจากเรื่องนี้แม่ผมกับน้าคนนี้ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย  และจากเพื่อนสนิทก็กลายเป็นคู่แข่งไปโดยปรืยาย  เพราะน้าคนนี้แกขายของที่เรียกได้ว่าตัดราคาจากร้านของครอบครัวผมไปจนไม่มีลูกค้าเข้าร้านของบ้านผมกันเลยทีเดียว  เพื่อที่บ้านของเขาจะได้กำไรในส่วนนั้นไปเป็นเงินค่าขนมให้ลูกสาวจอมหัวสูงคนเดียวของพวกเขา  ซึ่งผมคิดว่าน้องเค้าคงจะพกเงินไปวันละ 100 บาท เช่นเดียวกับผมนั่นแหละ  เพียงแต่ว่า 100 บาท ของผมนั้นเทียบกับของเธอแล้ว  ของผมใช้อย่างมากแค่ 40 บาท เท่านั้นแหละครับพอเป็นค่าข้าวกลางวันเวลาไปราม ฯ ที่เหลือผมก็เก็บออมเข้าบัญชีไปเพื่ออนาคตของตัวเอง


          ส่วนของเธอนั้นน่ะเหรอหึ ๆ พอรึเปล่าผมยังไม่รู้เลยพี่น้อง  เพราะอะไรน่ะเหรอผมจะลองบอกของใช้ส่วนตัวของน้องคนนี้ให้ทุกท่านรับฟังกันซะหน่อย เช่น เครื่องสำอางค์หรืออุปกรณ์เสริมความงามต่าง ๆ ของน้องคนนี้อย่างต่ำต้อง 300 + นะครับพี่น้อง  ต่ำกว่านี้เธอไม่ใช้ด้วยนะจ๊ะไม่รู้ว่าเธอกลัวคันรึไงเลยไม่ยอมใช้ของถูก ๆ ที่มีขายทั่ว ๆ ไป  ถ้าเป็นครีมนวดผมที่บ้านผมใช้นะเหรอ  เอาเป็นว่าแพนทีนหลอดล่ะ 40 กว่าบาทก็ใช้ได้ทั้งบ้านแล้ว  ครีมบำรุงผิวของแม่กูยังไม่ถึง 100 เลยสาด  อีกอย่างครีมแต้มสิวที่ผมใช้อยู่ 50 กว่าบาทก็ใช้ได้โครตนานแล้วจอร์จ  แล้วเทียบดูกับของใช้ของน้องคนนี้แค่คนเดียวสิครับพี่น้อง  แล้วก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนึกว่ากูไปแอบค้นห้องผู้หญิงมานะเฮ้ย  เรื่องพวกนี้กูฟังจากปากแม่กูมาทั้งนั้น  เพราะแม่ผมกับน้าคนนี้ทำงานร่วมกันตลอดทั้งวันเลยได้คุยด้วยกันบ่อยก็เท่านั้นเอง  ซึ่งน้าคนนี้แกก็ชอบเอาเรื่องพวกนี้มาเล่าให้แม่ผมฟังนั่นแหละ  ประมาณว่าแม่งภูมิใจในตัวลูกสาวมากที่ได้เพื่อนเป็นชาวต่างชาติ  แถมมีเพื่อนรวยอีกต่างหากหรือยังไงผมก็ไม่รู้หรอกนะ  ซึ่งผมก็เข้าใจนะว่าคนเป็นแม่ก็ภูมิใจนั่นแหละที่ลูกของตัวเองได้เพื่อนดี ๆ ทั้งนั้น  แต่เคยคิดบ้างมั้ยล่ะว่าถ้าเกิดว่าลูกสาวของตัวเองใช้เงินจนหมดขึ้นมา  หรือที่ผมชอบพูดว่าเป็นโรคทรัพย์จางเนี่ย  เพื่อน ๆ ที่น้องเค้าคบ ๆ อยู่นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงไปหาคนอื่นที่มีฐานะเท่าเทียมกับพวกเค้าเหมือนกับที่ลูกสาวของตัวเองเคยเจอหรือเคยเป็นแบบนี้มาก่อนเหมือนกันน่ะ


          ก็ฝากกันเอาไว้นะครับว่ากับกลอนสั้น ๆ ที่ผมได้ไปเจอมาแล้วรู้สึกถูกใจกับท่อน ๆ หนึ่งที่ว่า


          " เมื่อมั่งมีหมู่มวลมุ่งหมายมอง  เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมาหมู "


          ทิ้งไว้เท่านี้ผมก็คิดว่าทุกคนคงจะเข้าใจนะครับว่าผมชอบท่อนนี้เพราะอะไร  แล้วอยากให้ทุกคนลองเอากลับไปคิดดูว่าการที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้เนี่ยเรามีความสุขรึเปล่า  ถ้าเรามีความสุขดีแล้วทำไมเราถึงไม่พอสักทีทั้ง ๆ ที่  แค่นี้เราก็ใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ได้มีใครตั้งข้อรังเกียจแต่อย่างใด  เรามีทั้งเพื่อนที่มีฐานะเท่าเทียมกัน  ไม่มีการดูถูกชนชั้นเฮฮาได้ทุกที่ ๆ เราไปโดยไม่รังเกียจเพื่อนใหม่ของเราที่เป็นคนที่มี ที่มา ฐานะ หรือศาสนาต่างกัน  จำเป็นด้วยเหรอที่เราต้องทำตัวให้ตัวเราเองมีฐานะเท่าเทียมกับเพื่อนร่วมห้องเรียนที่มีฐานะดีกว่าเรา  เพื่อให้เค้ายอมรับเราเป็นเพื่อนด้วยรูปลักษณ์ภายนอกโดยไม่สนใจรูปลักษณ์ภายในของเรา  ทั้ง ๆ ที่เพื่อนที่ดีที่สุดของเราที่มีอยู่นั้นไม่ได้เรียกร้องอะไรมากเลย  นอกจากความรักความห่วงใยที่เพื่อนคนหนึ่งสามารถมอบให้ได้  โดยไม่หวังผลตอบแทนที่มากมายเกินกว่าที่เพื่อนคนหนึ่งจะมีให้ได้  ถ้าเรามีเพื่อนที่มีคุณสมบัติตามนี้แล้วเราจะทำให้ตัวเราเองมีฐานะเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ อีกทำไม  ถ้าเรามีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้วและเราเห็นสิ่ง ๆ นั้นอยู่ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาเป็นเวลานาน


          เลิฟยอลลลลลลลลลลจ้าอ่ะกิ้วกร้าว


          ปล. เรื่องยาว ๆ มาอีกแล้วกูรู้สึกว่าหลัง ๆ มานี้เทคนิคการเขียนของกูจะเพิ่มขึ้นนะเนี่ยอ่ะฮิ้วววว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
ผู้ ญ ก็ต้องอัสสัมชัญคอนแวนต์ดิ
สรุป เธอ ในเรื่องที่คุณพูดมานี่กระเทย ญ หรือ ช
ภัทรภักดีก็เป็นโรงเรียนสหศึกษา อยู่ในเครือคอนแวนต์เหมือนกันหนิ ค่าเทอมอาจจะถูกกว่า แต่เรียนไปค่าอะไรจะตามมาจะรู้เอง


ละผู้ญ คนนั้นชื่อ เดียร์ อยู่แฟลตบางรัก ป่ะ
kerberos
kerberos 25 ต.ค. 53 / 13:05

ผมขอไม่เอ่ยนามบุคคลในเรื่องนี้ละกันนะครับ  คุณอาจจะรู้จักหรืออาจจะไม่รู้จักก็ได้ครับ  แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดละกันครับ  ผมยังไม่อยากถูกฟ้องหมิ่นประมาทอ่ะนะครับ

แล้วอีกอย่างผมก็ไมไ่ด้เจาะจงซะด้วยสิว่าเป็นหญิงหรือชายหรือกระเทยอย่างที่คุณว่าด้วย  ก็แล้วแต่ความเข้าใจของแต่ละคนละกันครับ  ผมแค่นำมาเล่าให้เป็นอุทาหรณ์ให้ฟังเท่านั้นเอง

ความคิดเห็นที่ 3
จริงๆแล้วรู้อะไรมั้ยว่าคนๆนี้ทำตัวไม่ถูกก้จริง
แต่พอจบมาแม่งได้ดีอ่ะ ^^''
แบบสังคมมี ความรู้ได้
คราวนี้พอได้งานดีก้มีตัง
ก้เลยไฮโซจริงๆไง555
ความคิดเห็นที่ 4
เฮ้อออ โรงเรียนเอกชนไม่ได้ดูถูกคนขนาดนั้นซะทุกโรงเรียนหรอก
อย่าเหมารวมสิ แค่บางคนบางกลุ่มเท่านั้นแหละ
เครือเซนต์คาเบรียล
อัสสัมชัญบางรัก ชายล้วนนี่ครับ ผู้หญิงไม่มี คุณเจ้าของกะทู้ แต่งเรื่องโกหกขึ้นมาแล้วหละสิ
....
.... 22 พ.ค. 58 / 22:53
ไม่รู้เรื่อง--"เเต่งเรื่องเก่งจัง--
.....
..... 22 พ.ค. 58 / 22:59
เหวยคือถ้าไม่รู้อะไรอย่ามาเสนอหน้าได้ปะค่ะ^^--"เเต่งเรื่องเก่งจริงๆไปลองเขียนเรื่องเเล้วให้พ่อเเม่ดูไปวันๆเถอะดีมะๆ