ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] CENTRALIA - KRISYEOL , EXO [SEASON 1]

    ลำดับตอนที่ #12 : [FIC] CENTRALIA - KRISYEOL , EXO - PART 10

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.93K
      10
      20 มี.ค. 66


    (ตัวละคร สถานที่ เหตุการณ์ในเรื่องถูกสร้างขึ้นมาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริง)




    CENTRALIA – PART 10




    เมื่อนานมาแล้วก่อนที่เกาะนี้จะมาเป็นเซนทราเลีย เคยเป็นเกาะของเกาหลี ในระหว่างเกิดสงครามมีทหารชาวตะวันตกได้ยึดเกาะแถบนี้เอาไว้ได้4เกาะ แล้วนำเกาะทั้ง4ขึ้นถวายให้กับกษัตริย์พระองค์นึงนามว่า ANSUZ (อันซัส) จากนั้นพระองค์จึงสร้างปราสาทและสร้างเมืองไว้ที่เกาะแห่งนึงที่ยึดมาได้ ซึ่งเกาะนั้นใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะอื่นๆ พระองค์จึงตั้งชื่อเกาะนั้นว่าอันซัส ส่วนอีก3เกาะก็สร้างเมืองเล็กๆ ไว้เช่นเดียวกัน ต่างกันก็แต่ไม่มีตัวปราสาทหรือสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนเกาะอันซัสก็แค่นั้น



    อันซัสมีภรรยาอยู่หลายคนและมีบุตรอยู่4พระองค์


    องค์ที่1 CENTRALIA (เซนทราเลีย)

    เป็นบุตรชายคนแรกที่เกิดกับสาวชาวเกาหลี นางเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาในเกาะนั้น นางอยู่ที่นั่นก่อนที่เกาะจะถูกยึดเสียอีก ต่อมานางเปลี่ยนชื่อเป็น PERTH (เพิร์ธ) นางต่างจากภรรยาคนอื่นๆ ของอันซัสด้วยเชื้อชาติ อีกทั้งนางไม่ใช่หญิงสาวที่มาจากตระกูลผู้ดีพวกชนชั้นสูง

    องค์ที่2 HAGALAZ (ฮากาลาซ) บุตรชาย

    องค์ที่3 BERKANA (เบอกานา) บุตรสาว

    องค์ที่4 NAUTHIZ (นอธิซ) บุตรสาว



    เมื่อบุตรทั้ง4โตขึ้น อันซัสจึงยกเกาะทั้ง3เกาะให้แก่บุตรของพระองค์ พระองค์ได้ประทานเกาะให้แก่

    HAGALAZ (ฮากาลาซ) BERKANA (เบอกานา) NAUTHIZ (นอธิซ)

    ยกเว้น CENTRALIA (เซนทราเลีย) ที่เป็นบุตรคนแรก


    ภรรยาคนอื่นๆนั้นเกลียดชังเซนทราเลียและเพิร์ธมากเพราะเซนทราเลียเกิดมาจากหญิงสาวเกาหลีที่เป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมาที่ไม่ได้มาจากตระกูลผู้ดีแบบพวกเธอ อีกทั้งเพิร์ธยังเป็นคนเอเชียอีกด้วยซึ่งต่างจากพวกเธอทุกอย่าง นางเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาแต่อันซัสยกนางอย่างข้ามหน้าข้ามตา พร้อมทั้งยังแต่งตั้งให้นางเป็นราชินีอีกด้วย ภรรยาคนอื่นๆไม่ชอบใจและเป็นกังวลอย่างมาก นางได้เป็นราชินีและเซนทราเลียยังเป็นบุตรชายคนแรก พวกนางกลัวว่าอันซัสจะสละบัลลังให้กับเซนทราเลีย พวกนางจึงหาทางที่จะปลิดชีพเซนทราเลียก่อนที่เซนทราเลียจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ในตอนนั้นเซนทราเลียมีพระชนมายุเพียงแค่14พรรษาเท่านั้น แต่มันไม่ง่ายเลยที่พวกนางจะรอบสังหารบุตรคนโตอย่างเซนทราเลียได้ เพราะเซนทราเลียนั้นมีสิ่งศักสิทธิ์ต่างๆคอยปกป้องพระองค์อยู่ ตั้งแต่วันแรกที่พระองค์ลืมตาดูโลก ไม่ว่านางจะส่งคนไปลอบสังหารเซนทราเลียอย่างไรก็ไม่มีใครสามารถสังหารพระองค์ได้เลย ใครที่คิดทำร้ายหรือหวังจะลงมือก็สิ้นใจตายไปเสียก่อนแบบไม่มีสาเหตุหรือไม่ก็ถูกอะไรบางอย่างทำร้ายจนถึงแก่ความตายไปเสียเอง


    อันซัสประกาศว่าเมื่อเซนทราเลียมีพระชนมายุ18พรรษา พระองค์จะสละบัลลังก์และบุตรที่ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ต่อจากพระองค์ก็คือเซนทราเลีย จากวันที่อันซัสประกาศเช่นนั้น ภรรยาคนอื่นๆของพระองค์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่พวกนางที่เป็นภรรยาเท่านั้นหรอกที่ไม่พอใจ เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงก็ไม่พอใจเช่นกัน


    วันนึงเอลิซ่ามารดาของฮากาลาซบุตรคนที่2 ได้ให้สาวใช้ไปซื้อยาพิษมา เพื่อที่จะนำไปใส่ในถ้วยชาแล้วนำชาไปให้ราชินีและเซนทราเลียดื่ม ช่วงค่ำในคืนก่อนที่เอลิซ่าจะให้สาวใช้ลงมือ อันซัสได้ยินเสียงร้องโหยหวน เสียงร้องไห้คร่ำครวญอยู่นานจนพระองค์รำคาญ พระองค์จึงให้ทหารไปตามหาต้นตอเสียงที่พระองค์ได้ยิน ไม่นานนักทหารจับตัวเจ้าของเสียงนั้นมาได้ พระองค์ถึงตกใจเมื่อได้เห็นเจ้าของเสียงร้องโหยโหน นางเป็นผู้หญิง มีนัยน์ตาแดงก่ำ มีฟันแหลมคม มีเท้าเหมือนเป็ดและนางผมยาวยุ่งเหยิงปิดหน้าปิดตา นางคือแบนชี


    อันซัสถามนางว่าเหตุใดนางถึงเข้ามาในปราสาทนี้ได้ทั้งๆ ที่มีทหารมากมายขนาดนี้และเหตุใดนางจึงร้องไห้คร่ำครวญแบบนั้น นางบอกว่านางจะให้พร3ประการแลกกับการปล่อยตัวนางไป พระองค์จึงบอกนางว่าไม่ต้องการพร3ประการ นางจึงพูดต่อว่าเหตุที่นางมาร้องไห้คร่ำครวญแบบนี้เพราะมีคนในครอบครัวพระองค์จะสิ้นพระชนม์ แน่นอนล่ะว่าพระองค์ไม่เชื่อที่แบนชีบอก แบนชีจึงบอกว่าให้พระองค์ลองดูในวันรุ่งจะมีสาวใช้ของเอลิซ่าไปหาซื้อยาพิษและจะนำมาใส่ในถ้วยชาให้บุตรที่ชื่อว่าเซนทราเลียและราชินีดื่ม พระองค์ไม่เชื่อแบนชีจึงสั่งทหารนำตัวแบนชีไปขังไว้ แต่พระองค์ก็ให้ทหารคอยจับตาดูเอลิซ่าภรรยาของพระองค์และสาวใช้ทั้งหมด เช้าวันรุ่งขึ้นทหารได้ทำตามรับสั่งของอันซัสโดยการตามดูพฤติกรรมของสาวใช้นางนึงที่ออกไปจากปราสาท ช่วงหัวค่ำของวันนั้นพระองค์จึงจับตาดูพฤติกรรมของสาวใช้คนนั้น จนเห็นว่าสาวใช้คนนั้นหยิบซองสีน้ำตาลเล็กๆ ขึ้นมาแล้วเทผงบางอย่างลงไปในถ้วยชาก่อนที่จะนำไปให้เซนทราเลีย พระองค์ตกใจมากที่คำบอกของแบนชีเป็นจริง จากนั้นสาวใช้ได้เดินถือถ้วยชาตรงไปที่ห้องนั่งเล่นที่เซนทราเลียและราชินีอยู่ทันที พระองค์จึงเดินตามนางไปอย่างเงียบๆ จนสาวใช้นางนั้นเคาะประตูห้องก่อนที่นางจะเดินเข้าไป พระองค์จึงเดินไปที่ห้องนั้น พระองค์เห็นบุตรชายของตนกำลังจะดื่มชาในถ้วย พระองค์จึงห้ามไว้ก่อนที่เซนทราเลียจะดื่มมันเข้าไป เซนทราเลียวางถ้วยชาลงตามที่อันซัสสั่ง อันซัสสั่งให้ทหารของพระองค์ไปตามเอลิซ่าภรรยาอีกคนของพระองค์มา


    เมื่อเอลิซ่ามาถึงพระองค์จึงบอกให้เอลิซ่าดื่มชาที่สาวใช้ของตนนำมาให้เซนทราเลีย แต่เอลิซ่าไม่ยอมดื่มมัน อันซัสจึงบอกให้สาวใช้คนนั้นดื่มมันแทน สาวใช้คนนั้นหน้าเปลี่ยนสีในทันทีที่อันซัสรับสั่งให้ตนดื่มชาถ้วยนั้น นางรู้ดีว่าในชาถ้วยนั้นมีอะไร นางจึงมองไปที่นายหญิงของตน แต่นายหญิงของตนกลับไม่ช่วยอะไรนางเลย สาวใช้นางนั้นได้แต่นั่งร้องไห้ส่ายหน้าไม่ยอมดื่ม อันซัสจึงถามนางว่าทำไมไม่ดื่มหรือเพราะในชาถ้วยนั้นใส่อะไรลงไป นางเอาแต่ร้องไห้ส่ายหน้าไปมา อันซัสจึงสั่งให้ทหารเอาชาในถ้วยนั้นกรอกปากนาง ทหารกำลังจะกรอกชาในถ้วยนั้นเข้าปากสาวใช้ ราชินี(เพิร์ธ)จึงขอร้องอันซัสให้ปล่อยนางไป นางคงทำไปเพราะมีคนสั่งนาง อันซัสจึงบังคับให้สาวใช้พูดความจริงออกมา สาวใช้จึงบอกความจริงว่านางถูกนายหญิงสั่งให้ทำ ทหารจึงรีบจับตัวเอลิซ่าเอาไว้ก่อนที่นางจะหนี



    อันซัสโกรธมากที่ภรรยาคนที่2ของพระองค์ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ อันซัสจึงรับสั่งให้ทหารนำตัวนางไปที่ห้องโถงแล้วเรียกภรรยาและบุตรของตนทั้งหมดมารวมตัวกันที่ห้องโถง เมื่อทุกคนมาถึงฮากาลาซบุตรชายคนที่2เห็นมารดาของตนถูกทหารจับตัวไว้ จึงวิ่งเข้าไปหามาดารของตน แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวมารดาของตนได้ อันซัสสั่งให้ทหารจับตัวฮากาลาซไว้ไม่ให้เข้ามา แล้วประกาศเรื่องเลวร้ายที่ภรรยาคนนี้ของตนทำให้ทุกคนที่อยู่โถงนั้นได้รับรู้ถึงสาเหตุก่อนที่พระองค์จะสั่งให้ทหารเอาชาถ้วยนั้นกรอกปากเอลิซ่าภรรยาของตนต่อหน้าภรรยาคนอื่นๆและบุตรคนอื่นๆ พระองค์เองก็เสียใจที่ต้องทำเช่นนี้ แต่เพื่อไม่ให้คนอื่นคิดปองร้ายราชินีและเซนทราเลีย พระองค์จึงต้องจัดการให้เห็นเป็นตัวอย่างจะได้ไม่มีใครคิดที่จะทำอีก ราชินี(เพิร์ธ)ขอร้องให้พระองค์ลงโทษนางด้วยวิธีอื่น แต่พระองค์ไม่รับฟังที่ราชินีร้องขอ ฮากาลาซบุตรคนที่2ในตอนนั้นมีพระชนมายุ12พรรษาก็ร้องไห้อ้อนวอนขอร้องอันซัสแต่อันซัสก็ไม่สนคำขอร้องนั้น พระองค์คิดว่าถ้าภรรยาของตนไม่ได้คิดชั่วร้ายถึงขั้นจะปลิดชีวิตราชินีและเซนทราเลียพระองค์คงไม่มีทางทำเช่นนี้แน่ หากแต่จะลงโทษด้วยวิธีอื่นแทน เมื่อทหารกรอกชาถ้วยนั้นเข้าไปในปากนาง ไม่นานนางก็ล้มลงพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากปากของนาง อันซัสยืนมองภรรยาของตนที่ค่อยๆสิ้นลมไปต่อหน้าต่อตา ไม่นานนางก็สิ้นใจต่อหน้าทุกคน อันซัสยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกก่อนที่จะสั่งให้ทหารเอาร่างของภรรยาคนนี้ไปทำพิธีที่เกาะฮากาลาซ เกาะที่ตนยกให้บุตรคนที่2 เกาะนั้นถูกตั้งชื่อให้เป็นชื่อของบุตรตน HAGALAZ(ฮากาลาซ) หลังจากเหตุการณ์นั้นฮากาลาซบุตรคนที่2ก็ถูกย้ายให้ไปอยู่ที่เกาะของตนเพราะพระศพของมารดาถูกย้ายไปที่นั่น อันซัสสั่งให้จัดพิธีให้สมพระเกียรติและสั่งให้ก่อสร้างปราสาทฮากาลาซ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างต่างๆให้เหมือนกับเกาะอันซัสเพราะในวันนึงฮากาลาซต้องขึ้นปกครองเกาะนั้น


    หลังจากเหตุการณ์วันนั้นไม่กี่เดือน ภรรยาคนที่3ที่ชื่อเทเรซ่า(น้องสาวของเอลิซ่าภรรยาคนที่2) นางคิดจะแก้แค้นให้พี่สาวของตน นางจึงจ้างพวกนักฆ่าให้มาลอบสังหารเซนทราเลีย แต่ก็ยังไม่มีใครสักคนที่นางส่งมาแล้วปลิดชีวิตเซนทราเลียได้เลย คนเหล่านั้นไม่ตายก็สติไม่ดี นางไม่รู้จะทำยังไงจนวันนึงนางได้รู้เรื่องพวกไสยศาสตร์มนต์ดำจากที่สาวใช้ของนางคุยกันว่า มีแม่มดวูดูนางนึงมีนามว่า มารีลาโว พวกชาวบ้านรํ่าลือกันว่านางสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์โดยใช้มนต์ดําของวูดู เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นนางจึงให้สาวใช้พาไปหาแม่มดวูดูคนนั้น วันรุ่งขึ้นนางบอกกับอันซัสว่านางจะไปเกาะของบุตรเพื่อดูแลความเป็นอยู่ของชาวบ้านและดูความคืบหน้าสิ่งปลูกสร้างอื่นๆในเมืองอีกด้วย แต่แท้จริงแล้วนางเดินทางไปหาแม่มดวูดู นางต้องใช้เวลาเดินทางอยู่นานนับอาทิตย์กว่าจะถึง เมื่อไปถึงนางพบกับหญิงชราคนนึงที่เฝ้าโลงศพของมารี นางจึงบอกหญิงชราคนนั้นว่านางจะใช้มนต์วูดูสาปคน หญิงชราจึงบอกให้นางเคาะ3ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา3รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ3หน แล้วเปล่งชื่อมารีออกมาดังๆ จากนั้นก็ให้นางบอกจุดประสงค์ว่าจะให้มารีดลให้ศัตรูของนางวิบัติอย่างไร นางกล่าวไปว่า “ในวันที่เซนทราเลียพระชนมายุครบ18พรรษาและในวันพิธีแต่งตั้งวันนั้นขอให้คำสาปนี้เกิดผล ทำให้ชีวิตของเพิร์ธและเซนทราเลียนั้นพังพินาศย่อยยับ ค่อยๆหมดลมหายใจต่อหน้าผู้คนมากมายเหมือนพี่สาวของเธอ”


    ในวันที่เทเรซ่าขอไปอยู่ที่เกาะของบุตร อันซัสได้ยินพวกสาวใช้พูดกันว่า มีสาวใช้นางนึงได้พาเทเรซ่าไปหาแม่มดวูดู อันซัสจึงบังคังให้สาวใช้พูดออกมาว่าเรื่องมันเป็นเช่นไร เมื่ออันซัสรู้ว่าภรรยาของตนมีความคิดเลวร้ายเช่นนั้น อันซัสจึงสั่งให้ทหารออกตามนางไปเพื่อจับตัวนางมาก่อนที่นางจะใช้มนต์วูดูสาปเซนทราเลีย สหายคนสนิทได้บอกอันซัสว่าให้รีบแต่งตั้งเซนทราเลียเป็นกษัตริย์ในวันรุ่งขึ้น เพราะกว่านางจะไปถึงที่ของแม่มดวูดูคงใช้เวลาอยู่นานนับอาทิตย์ อันซัสจึงถามสหายคนสนิทว่าเหตุใดจึงต้องแต่งตั้งเร็วเช่นนี้ เพราะเซนทราเลียมีพระชนมายุเพียงแค่14พรรษาเท่านั้น สหายคนสนิทจึงบอกอันซัสว่า ถ้าเซนทราเลียได้เป็นกษัตริย์ก่อนที่ภรรยาของอันซัสจะใช้คำสาป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกที่บนเกาะแห่งนี้จะปกป้องเขาเมื่อเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ สหายคนสนิทได้บอกอีกว่า ในวันที่เซนทราเลียเกิดนั้น มีมังกรตัวนึงที่เคยคอยติดตามดูแลปกป้องอันซัสเมื่อครั้งที่พระองค์ยังเป็นเด็กมาติดตามดูแลปกป้องเซนทราเลียตั้งแต่วันแรกที่เซนทราเลียเกิดจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ไม่มีใครเห็นนอกเสียจากมันต้องการจะให้เห็นหรือเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม สหายคนสนิทยังเชื่ออีกว่าเซนทราเลียก็คงเคยเห็นมังกรตัวนั้นอย่างแน่นอนและพระองค์เองก็คงจะเคยเห็นเช่นกันในตอนเด็ก


    อันซัสนึกอยู่นานพระองค์เลื่อนมือมาจับสร้อยที่พระองค์สวมใส่อยู่ที่ลำคอ สร้อยเส้นนี้พระองค์ได้มันมาจากบิดาของพระองค์ตอนที่พระองค์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์จำได้ว่าพระองค์เคยเห็นมังกรจริงแต่ไม่บ่อยนักและมันก็นานมาแล้ว เมื่อพระองค์นึกได้พระองค์จึงเอ่ยขึ้นว่า มังกรตัวนั้นมีนัยน์ตาสีแดง ปลายหางเป็นหนามและมีลูกไฟใช่หรือไม่ สหายคนสนิทยิ้มให้พระองค์ก่อนจะพูดว่า ใช่พะยะค่ะ 


    มังกรตัวนั้นดูแลเซนทราเลียบุตรของอันซัส แต่มังกรตัวนั้นยังไม่ใช่สัตว์ประจำตัวของเซนทราเลีย อันซัสสงสัยว่าในเมื่อมังกรตัวนั้นเป็นมังกรประจำตัวของพระองค์เหตุใดมังกรจึงปกป้องเซนทราเลีย แล้วเหตุใดมังกรที่คอยปกป้องเซนทราเลียจึงไม่ใช่สัตว์ประจำตัวของเซนทราเลียด้วย สหายคนสนิทจึงบอกว่าที่มันคอยตามปกป้องเซนทราเลียบุตรของอันซัสเพราะมันรู้ว่าเซนทราเลียคือบุตรคนโตของอันซัสและมันรู้ว่าต่อไปเซนทราเลียจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป มันไม่ได้ปกป้องแต่เซนทราเลียเท่านั้น มันยังดูแลปกป้องราชินีของพระองค์อีกด้วย มันรู้ว่าพระองค์รักราชินีและบุตรชายมากเพียงใดและที่มันยังไม่เป็นสัตว์ประจำตัวของเซนทราเลียก็เพราะว่าอันซัสยังทรงเป็นกษัตริย์อยู่ มังกรตัวนั้นจึงยังไม่ใช่สัตว์ประจำตัวของเซนทราเลีย เมื่อใดที่อันซัสสละบัลลังก์ให้กับเซนทราเลียพร้อมทั้งมอบสร้อยเส้นนั้นที่พระองค์ใส่อยู่ให้กับเซนทราเลีย วันนั้นเซนทราเลียจึงเป็นนายของมันอย่างเต็มตัว


    วันรุ่งขึ้นอันซัสได้เรียกทุกคนมาที่ปราสาทพร้อมทั้งแต่งตั้งให้เซนทราเลียที่มีพระชนมายุ14พรรษาให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ทันที อันซัสเคยประกาศว่าจะสละบัลลังเมื่อเซนทราเลียมีพระชนมายุ18พรรษา ราชินีและภรรยาคนอื่นๆรวมทั้งขุนนางชนชั้นสูงพากันแปลกใจที่พระองค์สละบัลลังให้บุตรชายเร็วกว่าที่กำหนด อันซัสได้เปลี่ยนชื่อเกาะและปราสาทจาก อันซัส(ANSUZ) ให้เป็น เซนทราเลีย(CENTRALIA) พร้อมทั้งประกาศให้ทุกคนได้ทราบทั่วกัน ก่อนที่จะให้ทุกคนรีบจัดเตรียมงานขึ้นครองราชย์ให้สมพระเกียรติและให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


    อันซัสเดินทางไปเกาะเบอกานา(VBERKANA) *ชื่อของบุตรคนที่3* เพื่อไปรอภรรยาของตนเดินทางกลับมา เมื่อนางเดินทางกลับมานางจึงรู้ว่านางพลาดไปเสียแล้ว เพราะเซนทราเลียได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วนั่นเอง คำสาปที่เธอสาปแช่งไว้จึงไม่เป็นผล นางถูกอันซัสสั่งให้ทหารปลิดชีวิตนางด้วยการจับนางแขวนคอ ศพของนางถูกทำพิธีและเก็บไว้ที่เกาะเบอกานา(VBERKANA)


    เมื่อเซนทราเลียมีพระชนมายุ21พรรษา ได้อภิเษกสมรสกับหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาคนนึงนามว่า ซีเกล(Sigel) เซนทราเลียและซีเกลมีบุตรด้วยกัน7คนและเป็นบุตรชายทั้งหมดอีกด้วย


    วีเซนซา (Vicenza) 

    โอเวียโด (Oviedo)

    คิลลิ่งฟีลด์ (Killingfield)

    อัลคาแทรช (Alcatraz)

    ตารราโก (Tarraco)

    อควิเลีย (Aquileia)

    อีห์วาซ (Eihwaz)


    เมื่อลูกคนเล็กเกิดได้ไม่กี่วันภรรยาของเซนทราเลียได้เอ่ยปากพูดกับสามีของตนว่า อยากจะให้สามีของตนสร้างโรงเรียนเพราะโรงเรียนที่ชาวบ้านสร้างนั้นมันเล็กเกินไปและไม่เพียงพอสำหรับเด็กๆในเมืองของพระองค์ รวมถึงเมืองที่อยู่บนเกาะอีก3เกาะของน้องชายพระองค์ด้วย เซนทราเลียเห็นด้วยกับภรรยาจึงมีรับสั่งให้สร้างโรงเรียนขนาดใหญ่เพิ่ม2โรงเรียน โรงเรียนประจำชายล้วนให้ชื่อว่า เซนทราเลีย และ โรงเรียนประจำหญิงล้วนให้ชื่อว่า ซีเกล พระองค์สั่งให้สร้างตึกนอนสำหรับเด็กนักเรียนที่อยู่ต่างเมืองจะได้ไม่ต้องนั่งเรือไปกลับให้เสียเวลา


    โรงเรียนประจำชายล้วนเซนทราเลียมีตึกนอนทั้งหมด 6 ตึก ตั้งชื่อตึกตามชื่อของบุตรทั้ง 6 ของพระองค์

    วีเซนซา (Vicenza)

    โอเวียโด (Oviedo)

    คิลลิ่งฟีลด์ (Killingfield)

    อัลคาแทรช (Alcatraz)

    ตารราโก (Tarraco)

    อควิเลีย (Aquileia)

    ส่วน อีห์วาซ (Eihwaz) ไม่สร้างเป็นตึกนอน แต่ให้สร้างเป็นตึกรักษา เพราะลูกคนเล็กนั้นตอนเกิดมาอ่อนแอมาก

    เซนทราเลียคิดว่าเมื่อบุตรทั้ง7ของตนโตขึ้นจะให้จัดการดูแลตึกของตนเอง พร้อมทั้งให้ช่วยดูแลความเรียบร้อยของโรงเรียนประจำทั้ง2โรงเรียนด้วย 



    ผ่านไปหลายปี



    ในคืนนึงเซนทราเลียได้ยินเสียงร้องโหยหวยคร่ำครวญของแบนชี แต่เซนทราเลียไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนั้น พอวันรุ่งขึ้นเซนทราเลียพบว่าบิดาของตนโดนคำสาป อันซัสนอนดิ้นทุรนทุรายมีเลือดไหลออกจากทวารทั้ง9 ก่อนที่พระองค์จะสิ้นสิ้นพระชนม์ต่อหน้าต่อตา หลังจากที่อันซัสสิ้นพระชนม์ไม่นานนักร่างของอันซัสก็ค่อยๆกลายเป็นหินราวกับถูกสาป สหายคนสนิทของอันซัสได้เข้าไปคุยกับเซนทราเลียทันทีหลังจัดการเรื่องพระศพของอันซัส สหายคนสนิทของบิดาได้เอ่ยถามว่าพระองค์ได้สร้างรูปปั้นต่างๆในโรงเรียนเซนทราเลียตามที่นักพยากรณ์ได้บอกไว้หรือไม่ เซนทราเลียบอกว่าสร้างตามแบบทุกอย่างและทำพิธีต่างๆตามที่นักพยากรณ์ได้บอกทั้งหมด รูปปั้นการ์กอยล์บนหอตึกนอน ทหารอัศวินหน้าประตูตึกนอน มังกร4ธาตุ ประจำอยู่ทั้ง4ทิศ โกเลมและกริฟฟินหน้าหอทองคำ โกเลมที่ตึกใหญ่เซนทราเลียและวิหาร รวมทั้งตึกสำคัญต่างๆในโรงเรียน ยูนิคอร์นหน้าตึกรักษาและรูปปั้นเทพเจ้าต่างๆภายในโรงเรียน เหตุที่ต้องสร้างเพราะว่ามีนักพยากรณ์ได้บอกว่าวันนึงจะมีหายนะมาเยือนเซนทราเลียและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่พอที่จะป้องกันได้ไม่มากก็น้อย


    หลังจากที่อันซัสสิ้นพระชนม์เพียง1วัน สหายคนสนิทของอันซัสก็สิ้นใจลงอย่างไม่มีสาเหตุ พร้อมทั้งร่างทั้งร่างกลายเป็นหินเช่นเดียวกันกับบิดาตน ในช่วงหัวค่ำนักพยากรณ์ได้เข้ามาในปราสาทเพื่อมาขอพบกับเซนทราเลีย นางบอกกับเซนทราเลียว่าให้พระองค์ส่งตัวบุตรทั้ง7ไปที่โรงเรียนทันทีก่อนที่หมอกจะเริ่มปกคลุมปราสาท นำบุตรทั้งหมดของพระองค์มาประทับตราเซนทราเลียลงบนท้ายทอยเพื่อที่สิ่งศักดิ์สิทธ์จะได้คุ้มครองบุตรของพระองค์ ให้พระองค์เปลี่ยนชื่อบุตรและให้บุตรของพระองค์ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนสามัญธรรมดาเพื่อลวงคำสาปแช่งและที่ต้องส่งตัวบุตรทั้งหมดไปที่โรงเรียนเซนทราเลีย เพราะว่าโรงเรียนถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีนักพยากรณ์รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจึงได้ให้เซนทราเลียเตรียมการรับมือกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต นางรู้เพียงว่าจะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ เซนทราเลียทำตามที่นักพยากรณ์บอกทันที เรียกตัวบุตรทั้งหมดมาประทับตราลงบนท้ายทอยเพื่อบ่งบอกว่านี่คือราชสกุล พร้อมทั้งเปลี่ยนนามให้บุตรทั้งหมดตามที่นักพยากรณ์แนะนำและจัดทหารส่วนนึงให้ติดตามดูแลบุตรของตน (ตราประทับไม่มีสีและตราจะแสดงชื่อก็ต่อเมื่อมีคนต้องการที่จะรู้เท่านั้น)


    วีเซนซา (Vicenza)  >>> อิริค

    โอเวียโด (Oviedo) >>> มินวู

    คิลลิ่งฟีลด์ (Killingfield) >>> ดงวาน

    อัลคาแทรช (Alcatraz) >>> ฮเยซอง

    ตารราโก (Tarraco) >>> จอนจิน

    อควิเลีย (Aquileia) >>> แอนดี้

    อีห์วาซ (Eihwaz) >>> ฮีชอล


    เซนทราเลียให้บุตรของตนเตรียมตัวเพื่อย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนในตอนเช้า คืนนั้นเซนทราเลียเข้าไปในห้องของบุตรชายคนโต เซนทราเลียมอบกริชคู่ของพระองค์ให้กับอิริคและบอกอิริคว่าให้เก็บมันไว้ดีๆเพราะมันเป็นของสำคัญ กริชคู่ที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เซนทราเลียบอกให้บุตรชายเข้มแข็งเมื่อไม่มีพระองค์กับมารดาดูแล และให้ดูแลน้องๆแทนพระองค์ เซนทราเลียกล่าวกับบุตรอีกว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมวันนั้นเราจะได้พบกันอีก


    จากนั้นเซนทราเลียก็เดินไปที่ห้องของบุตรชายคนเล็ก เซนทราเลียปลดสร้อยมังกรที่พระองค์สวมใส่อยู่นั้นสวมใส่ให้กับฮีชอลบุตรชายคนเล็ก เพื่อที่จะให้มังกรประจำตัวของพระองค์นั้นดูแลปกป้องบุตรคนเล็กซึ่งมีพระชนมายุ4พรรษาเท่านั้น




    * - * - * C E N T R A L I A * - * - *

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×