ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MarkBam] 궁 (Goong) Palace #แบมแบมป่วนวัง

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.51K
      26
      23 ก.พ. 60


    Chapter 2

     

     

    สามวันแล้วที่องค์รัชทายาทยังไม่ได้ข่าวน้องสาวของตัวเอง ตอนนี้เจ้าชายทั้งสองเรียกทหารคนสนิทเข้าพบพร้อมกับสั่งให้เพิ่มกำลังตามหาอีกและแน่นอนมันยังต้องเป็นความลับ และเพราะคำสั่งจากพระชาราที่เรียกพวกเขาเข้าไปพบเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ก็คือพิธีหมั้นและแต่งงานระหว่างเจ้าหญิงองค์เล็กกับองค์ชายจากเมืองจีน ที่สัญญากันไว้ในวัยเยาว์
     

    "หรือว่าเราควรบอกพระบิดาเรื่องการหายตัวไปของเจ้าหญิงโบมี ถึงวันนี้อ้างไม่เข้าเฝ้าได้ แต่ยังไงวันพิธีก็ต้องรู้ แล้วถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนั้นมันคงจะไม่ดีแน่ๆ"
     

    "องค์ชายต้วนจะมาเมื่อไหร่" แจบอมหันมองน้องชายตัวเองที่ไม่ยอมตอบแล้วยังจะถามเขากลับมาอีก
     

    "เห็นว่าคณะเดินทางจะมาถึงวันมะรืนนี้"
     

    "ห๊ะองค์ชายรีบร้อนมากไปรึเปล่า" เจ้าชายรองของวังเบะปากบ่น ก่อนจะเงียบเพื่อคิดหาทางออก
     

    "เห็นว่าทางจีนมีปัญหา องค์ชายอาจะมาพักกับเราพักใหญ่จนกว่าเรื่องจะสงบ"
     

    "ลี้ภัยมาแต่งงานสินะ" องค์รัชทายาทไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาปล่อยให้น้องชายนั่งใช้สมองคิดหาหนทาง ส่วนตัวเองไปช่วยงานราชการกับท่านราชครู ระหว่างทางก็สวนกับเพื่อนคนจีน ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อย
     

    "พวกท่านจะจับข้าขังในวังไปตลอดไม่ได้หรอกนะ ข้าก็มีพ่อมีแม่นะ" เสียงหนึ่งดังขัดความคิดของเจ้าชายรอง
     

    "งั้นเจ้าก็บอกมาว่าเจ้าหญิงอยู่ที่ไหน" จินยองผินหน้ามองก่อนจะหันกลับมาเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
     

    "ถ้าข้ารู้ข้าบอกไปตั้งแต่วันแรกแล้ว"
     

    "ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกคนจีนแซ่หวัง"
     

    "ก็เป็นกันซะแบบนี้ เจ้าหญิงถึงเบื่ออยากออกเที่ยวนอกวัง"
     

    "ข้าไม่เห็นว่าจะเกี่ยวตรงไหน"
     

    "นี่แหละ เกี่ยวสุดๆ พวกท่านกะเกณฑ์เจ้าหญิงมากเกินไป"
     

    "เจ้าหญิงเลือกเกิดไม่ได้ ท่านต้องเข้าใจ ไม่ใช่แค่เจ้าหญิง ข้าและองค์รัชทายาทก็อยากจะเกิดมาใช้ชีวิตอิสระ ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้หรอกนะ"
     

    "ข้าเข้าใจท่านนะ งั้นสนใจเที่ยวนอกวังสักวันไหม? ข้าพาทัวร์เอง"
     

    จินยองไม่ได้ตอบ แต่การหันไปสั่งทหารว่าเขาจะออกไปเดินเล่นที่ศาลาริมน้ำเป็นการส่วนตัวนั้นเป็นคำตอบได้อย่างดี คนจีนยิ้มแล้วรีบเดินตามออกไป... เขาได้ออกนอกวังบ้างแล้ว ที่จริงเขารู้ทางหนีออกนอกวังทุกทางเป็นอย่างดี แต่เพราะอยากจะแสดงความบริสุทธิ์ใจเรื่องเจ้าหญิงที่หายตัวไปนั้นเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ
     

    เขาเห็นใจเจ้าชายทั้งสอง แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าหญิงอยู่ที่ไหน เจ้าหญิงโบมีไม่ได้บอก คงเพราะกลัวว่าจะตามเจอตัวได้ง่าย ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี แต่จะว่าไปแล้วเขาว่าเขาเดาได้นะว่าอยู่ที่ไหน เขามั่นใจว่าหลังจากที่เจ้าหญิงเที่ยวเล่นสมใจแล้วจะกลับมาเอง ก็เหมือนอย่างที่เจ้าชายจินยองบอกนั่นแหละ พวกเขาทั้งสามคนเลือกเกิดไม่ได้ เจ้าหญิงก็แค่อยากเที่ยวเล่นก่อนที่จะโดนจับแต่งงานกับคนที่พระราชาทรงเลือกให้ แล้วก็ใช้ชีวิตที่แสนน่าเบื่อในวังไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

     

     

     

    "ย๊าาาาาาาาาา!!!!!" ทันทีที่พ้นประตูวังออกมา คนจีนก็ตะโกนปลดปล่อยสุดเสียง จนองค์ชายรองต้องสะกิดเตือน เพราะกลัวว่าทหารที่เดินเวรยามด้านในกำแพงวังจะได้ยินเสียงสะก่อน คนโดนดุได้แต่ยิ้มกว้างส่งมาให้
     

    ทั้งสองเดินเข้ามาในตลาดหมู่บ้านใกล้วัง แม้จะเป็นช่วงหน้าหนาว แต่ก็ยังมีชาวบ้านออกมาซื้อของจับจ่ายกัน ทั้งสองเดินดูนั่นนี่ไปเรื่อย แล้วก็เลือกแวะเข้ามาที่ร้านอาหารร้านหนึ่งที่ไกด์หวังการันตีถึงความอร่อยเลิศรสยิ่งกว่าในวังอีก แล้วจากนั้นก็สั่งเมนูทั้งหมดของร้านมาให้เจ้าชายจินยองได้ชิม ทั้งสองคนนั่งกินพร้อมกับพูดคุยหลายๆ เรื่องโดนส่วนใหญ่จะเป็นหวังเจียเอ๋อที่เล่านั้นนี่ให้ฟัง ส่วนเจ้าชายก็ยอมรับถึงรสชาติอาหารที่ได้กินมันอร่อยแปลกแตกต่างจากที่เคยกินจริงๆ
     

    หลังจากอิ่มแล้วทั้งสองก็ออกมาเดินเล่น พอเห็นที่คนมุงดูกัน ไกด์หวังรีบดึงมือให้เจ้าชายเข้าไปดู มันคือการพนันขันต่อแบบง่ายๆ ที่เอาลูกหินมาเพียงลูกเดียวแล้วก็ใช้ชามสองใบสลับไปมาอย่างรวดเร็ว และให้วางเงินว่า ลูกหินนั้นอยู่ในชามใบไหน ไกด์คนจีนกระซิบว่า ขวา หลังจากที่ยืนดูรอบการพนันได้เริ่มขึ้น เจ้าชายจินยองนึกสนุกหยิบเงินออกมาเพียงสามเหรียญแล้ววางที่ชามด้าน ซ้าย แทนแล้วหันไปยักคิ้วให้ไกด์ทัวร์วันนี้ เมื่อเจ้ามือเปิดชามออกเป็น ซ้าย เจ้าชายที่ทายถูก ทำให้ไกด์หวังทำหน้าเซ็งก่อนจะเปลี่ยนเป็นบอกว่าให้เอาเงินที่ได้มานั้นเลี้ยงต๊อกเขาด้วย ทั้งสองเดินไปยังร้านขนมต๊อกมากมายหลากสีสันวางขายอยู่ เมื่อเจ้าชายมองหน้าคนขายก็รู้สึกคุ้นตา
     

    "เจ้าขายมานานหรือยัง"
     

    "นานแล้วล่ะ"
     

    "งั้นข้าเหมาหมดเลย"
     

    "ได้ๆ ดีๆ ข้าจะได้กลับบ้านสักที วันนี้หนาวกว่าทุกวันจริงๆ" น้ำเสียงที่ดูดัดพยายามให้เสียงใหญ่แบบผู้ชายผิดกับรูปร่างตัวที่เล็กเหมือนผู้หญิง ไม่นานก็มีผู้ชายตัวใหญ่กว่านิดหน่อยอีกคนเข้ามาช่วยเก็บของ เจ้าชายส่งขนมให้ไกด์หวัง ก่อนจะจ้องทั้งสองคนอีกครั้ง
     

    "พวกท่านเป็นคนเมืองนี้หรือ"
     

    "ไม่ใช่หรอก ข้ามาจากทางใต้น่ะ พวกข้าไปก่อนนะ ขอบคุณพวกท่านมาก" หลังจากพูดจบทั้งสองรีบเก็บของแล้วเดินหนีไปทันที เจ้าชายจะเดินตามแต่ก็ถูกหวังเจียเอ๋อดึงแขนไว้
     

    "ท่านจะทำอะไร"
     

    "ตามเจ้าหญิงกลับวังน่ะสิ"
     

    "ปล่อยโบมีไปเถอะ ข้าเชื่อว่านางแค่อยากจะเที่ยวเล่นสักพักแล้วนางคงจะกลับวังเอง"
     

    "สักพักไม่ได้แล้ว มะรืนนี้องค์ชายคู่หมั้นจะมาถึงเกาหลี อีกไม่กี่วันก็จะต้องเข้าพิธีแล้ว"
     

    "ถ้าท่านบังคับนางตอนนี้ ข้าเชื่อว่าโบมีจะหนีออกมาอีก"
     

    "แต่มันคือชื่อเสียงของราชวงศ์นะ กลับวังกัน ข้าคงจะต้องบอกกับเจ้าชายแจบอม"
     

    แล้วทั้งสองเดินกลับวังกันโดยไม่มีใครเอ่ยพูดใดๆ ออกมาอีกเลย เมื่อแอบเข้ามาได้สำเร็จโดยไม่มีผู้ใดสงสัยนอกเสียจากองค์รัชทายาทที่นั่งจิบชาทำหน้าเซ็งๆ อยู่ในห้องอ่านหนังสือ จินยองเคาะประตูตามมารยาทแต่ไม่รอให้คนด้านในตอบ เจ้าชายก็เปิดประตูเข้าไปทันที
     

    "ข้าเจอเจ้าหญิงโบมีแล้ว"
     

    "ห๊ะไหน รีบเอาตัวเจ้าหญิงมา ข้าอยากจะจับมาตีจริงๆ"
     

    "ไม่มี ไม่มา"
     

    "อะไรของเจ้าเนี่ยจินยอง ยังไงเหรอเจียเอ๋อ" เมื่อน้องชายทำหน้าเซ็งๆ แล้วกระแทกตัวนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเขา องค์รัชทายาทเลยถามเพื่อนตัวเองที่เดินตามหลังกันมา
     

    "แบบนี้นะ ข้าชวนเจ้าชายจินยองไปเที่ยวนอกวัง"
     

    "ห๊ะนี่พวกเจ้าทำอะไรกัน"
     

    "ใจเย็นๆ ข้าก็แค่คิดว่า ลองออกๆ ไปตามหาเองดู ข้าคาดเดาน่ะว่า เจ้าหญิงจะไปไหนได้บ้าง แล้วก็บังเอิญเจอ แต่ว่า...เจ้าหญิงก็หนีไปได้"
     

    "มันเป็นเพราะเจ้าไง ถ้าเจ้าไม่ดึงข้าไว้ ข้าก็ตามโบมีทันแล้ว"
     

    "แล้วพวกเจ้าได้คุยอะไรบ้าง ได้บอกหรือเปล่าว่าองค์ชายคู่หมั้นจะมาถึงแล้วน่ะ"
     

    "ก็ข้าจะตามไปบอกนี่แหละ แต่นายหวังมาขวางข้าไว้ซะก่อน" เจ้าชายจินยองยังคงหงุดหงิดอยู่
     

    "ทำไมถึงทำเช่นนั้นล่ะ เจียเอ๋อ มันสำคัญกับราชวงศ์ข้านะ" องค์รัชทายาทยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลของเพื่อนตัวเอง เพราะครั้งนี้มันสำคัญจริงๆ งานหมั้นหมายของสองแผ่นดิน ซึ่งจะมาผิดนัดหรือยกเลิกทางเขาจะเสียชื่อได้
     

    "คือข้าคิดว่า ถ้าตามกลับมาตอนนี้ เจ้าหญิงก็จะหนีออกไปอีก เราควรรอให้นางเที่ยวจนพอแล้วกลับมาเองดีกว่า"
     

    "แล้วเมื่อไรจะพอล่ะ แล้วถ้าเที่ยวสนุกจนลืมหน้าที่ ลืมสิ่งที่นางเป็นล่ะ"
     

    "ข้าว่า ข้ารู้จักเจ้าหญิงดีพอนะ โบมีมีความรับผิดชอบ และรู้หน้าที่ของตัวเองดี พวกท่านทั้งสองเป็นพี่น่าจะรู้จักนางดีกว่าข้านะ"
     

    "แล้วโบมีสบายดีใช่ไหม"
     

    "พวกนางดูสบายดี" คนจีนหนึ่งเดียวตอบให้ เพราะเอาจริงๆ องค์รัชทายาทคงแค่เป็นห่วงน้องสาว
     

    "เฮ้อออออ เจอตัวแต่ตามกลับมาไม่ได้ แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อไป" เจ้าชายจินยองเอนตัวนอนฟุบไปกับพื้นโต๊ะ
     

    "ข้าจะส่งคนออกไปตามหาเจ้าหญิง หยุด ฟังข้าก่อน" เมื่อเห็นเพื่อนตัวเองจะค้านเลยยกมือห้าม แล้วบอกสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปต่อ "ข้าไม่ได้จะตามหรือจับนางกลับมา ข้าแค่จะส่งคนไปเพื่อบอกข่าวให้นางรู้ว่าคู่หมั้นนางจะมาถึงวันมะรืนนี้แล้วเท่านั้นเอง" แล้วองค์รัชทายาทก็สั่งทหารให้เรียกทหารหญิงฝีมือดี ซูจี เข้าเฝ้าและสั่งงานตามที่ตัวเองคิดหาทางออกได้ที่สุดตอนนี้





     

    "ยื่นมือเจ้ามา" มือเรียวยกยื่นไปหาคนตรงหน้าตามคำสั่ง มือหนาค่อยๆ จับปลายแขนเสื้อร่นขึ้นเผยให้เห็นข้อมือขาว แล้วก็ล้วงเข้าไปในเสื้อด้านในของตนเอง สร้อยเชือกที่ถูกถักเชื่อมต่อกันหลายสีปรากฏตรงนั้น จากนั้นชายคนนั้นก็ผูกมันเข้ากันบนข้อมือเล็ก ขยับดึงรัดให้พอดี ไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป
     

    "ให้แบมหรอ?"
     

    "อื้อ ข้าให้เจ้า แบมแบม" หลังจากใส่เสร็จก็เงยหน้ามองคนตัวเล็ก แบมแบมพยายามเพ่งมองใบหน้าชายตรงหน้า แต่มันดูเบลอจนมองไม่ชัดถึงแม้จะอยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้ และผู้ชายคนนั้นก็ก้มลงจูบที่สร้อยบนข้อมือเขา พร้อมกับบอกว่า "ข้าอดนอนสามวันเพื่อถักให้เจ้าเลยนะ วันที่เจ้าถอดมัน หมายถึงวันที่เจ้าไม่รักข้าแล้ว"
     

    "ข้าบอกตอนไหนว่ารักท่าน ท่านมั่วแล้ว" ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ใบหน้าของคนตัวเล็กก็เห่อแดงและมันเพิ่มความร้อนไปทั้งหน้าอีกกับเสียงทุ้มที่ตอบมา
     

    "เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ และเรื่องเมื่อคืนยืนยันได้เป็นอย่างดีนะ แบมแบม" ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะค่อยๆ จางหายไปเปลี่ยนเป็นทางเดินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่กำลังเคลื่อนตัวสวนทางกับเขาไปอย่างรวดเร็ว... ตอนนี้เขากำลังวิ่ง
     

    วิ่ง? เขาวิ่งทำไม?
     

    เขาเองก็ไม่รู้ ได้ยินเสียงคนตะโกนตามหลังมาฟังไม่ได้ศัพท์และเหมือนจะอยู่อีกไกล แต่เขาก็ยังคงวิ่งต่อไป สองมือซ้ายขวาสลับกันปาดน้ำตาบนใบหน้า

     

    เขาร้องไห้?

     

    สุดท้ายเขาก็สะดุดล้ม...

     

    "แบมแบม!!!" เสียงเรียกนี้อีกแล้ว



     

    เฮือก!!!


     

    ร่างเล็กสะดุ้งตื่นลืมตามองเพดานในความมืด เขามองซ้ายขวาเป็นห้องที่คุ้นเคยก็ถอนหายใจออกมา
     

    ... แค่ฝันสินะ
     

    มือเรียวลูบไปที่แก้มตัวเองพบว่ารอยคราบน้ำตายังคงอยู่ นี่เขาร้องไห้แบบในฝันจริงๆ ด้วยงั้นหรือ?
     

    มันคงจะปกติเพราะใครๆ ก็ฝันได้ แต่มันต้องไม่ใช่ฝันแบบเดิมๆ ซ้ำๆ กันแบบนี้สามวันติด ใช่ เขาฝันแบบนี้มาสามวันแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาเดินทางมาถึงเกาหลี เขามองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียง ตีห้าเองหรอเนี่ยตาเรียวอดไม่ได้ที่เหลือบมองสร้อยเชือกหลายสีเส้นนั้นที่วางอยู่ข้างๆ
     

    ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันนะ
     

    ถ้ามาคิดดูอีกที สามวันที่ฝันแบบนี้ สามวันที่เขามาถึงเกาหลี มันคือสามวันที่เขาหยิบสร้อยข้อมือนี้มา
     

    จะเกี่ยวกันไหมนะ?
     

    แบมแบมนอนคิดวนไปวนมากับสิ่งที่เขาฝัน ใบหน้าผู้ชายที่ให้สร้อยข้อมือถึงจะมองเห็นไม่ชัดในสายตา แต่มันชัดเจนในความรู้สึก ความรู้สึกที่เขาเองก็บอกไม่ได้ คุ้นเคย... รักใคร่...
     

    รักงั้นหรอ?
     

    เขารักกับผู้ชายคนนั้นอ่ะนะ บ้าไปแล้ว แบมแบมสลัดหัวไปมาจนไม่กลัวว่าหัวจะหลุดออกมาจริงๆ เพราะถ้าเขามีแฟนจริง สาวๆ คงเสียใจกันค่อนโลกแน่ๆ (เว่อร์มาก)
     

    เสียงนาฬิกาหัวเตียงดังปลุกตอนเข็มสั้นชี้เลขหก เข็มยาวชี้เลขเก้า มือเรียวกดปิดเสียงเตือน จะเจ็ดโมงแล้ว นี่เขานั่งคิดถึงเรื่องราวของผู้ชายในฝันเกือบสองชั่วโมงเลยหรอเนี่ย เขาลุกขึ้นจัดการตัวเองให้เรียบร้อย พอออกจากห้องแล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เงียบผิดปกติ ทุกวันพี่ชายเขาจะเปิดทีวีดูข่าว จิบกาแฟที่โซฟา แต่วันนี้หายไปไหนนะ พอเดินไปจะหยิบนมที่ตู้เย็นก็เห็นโพสอิทสีเหลืองมีลายมือที่เป็นภาษาไทยเขียนตัวโย้เย้ว่า

     
     

    มีงานด่วนที่ปูซาน ต้องค้าง 2-3 วัน ช่วงบ่ายจะโทรหา

    จาก พี่ชายสุดหล่อ
     

     

    น้องชายของสุดหล่อหัวเราะเบาๆ แล้วเปิดตู้เย็นหยิบนมรสจืดไปกล่องนึง นั่งลงที่โซฟาเปิดทีวีฟังข่าวซะหน่อย ผู้ประกาศข่าวชายกำลังรายงานสภาพอากาศของกรุงโซลวันนี้ ช่วงเย็นอาจจะมีฝนตกงั้นหรอ
     

    เสียงเรียกเข้าจากเครื่องมือสื่อสารสีขาวดังมาจากในห้องนอน แบมแบมเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนอีกรอบ เดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร มีคนเดียวแน่ๆ เพื่อนในเกาหลีของเขา
     

    ยูคยอมโทรมาชวนไปเที่ยวเอเวอแลนด์ สวนสนุกของเกาหลี นี่เจ้ายูคเห็นเขาเป็นเด็กหรือไงกันนะ แต่ก็ตอบตกลงไป ก็กลัวเพื่อนคนเดียวจะเสียใจนี่นา เพื่อนคนดีให้เวลาเด็กน้อยเตรียมตัว โดยจะมารับที่หน้าคอนโดตอนสิบโมง
     

    เมื่อถึงเวลานัด เพื่อนยูคกะเวลาได้พอดีมากๆ แบมแบมโดดขึ้นรถทันที แต่พอรถเคลื่อนไปได้หน่อย เด็กน้อยก็ให้หยุดรถแล้ววิ่งกลับขึ้นไปที่คอนโดอีกครั้ง เขารู้สึกว่าตัวเองลืมของ แต่พอกลับขึ้นมาแล้วก็เดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้อยู่หลายรอบ สุดท้ายก็มายืนในห้องของตัวเอง มองไปรอบๆ ห้อง เขานึกไม่ออกว่าลืมอะไร แล้วจู่ๆ สายตาก็เห็นขดเชือกหลายสีบนโต๊ะหัวเตียง
     

    สร้อยข้อมือ?
     

    เขารีบเดินไปหยิบมันใส่กระเป๋ากางเกง แล้วรีบลงไปหายูคยอมทันที
     

    เมื่อขึ้นรถก็โดนถามหาถึงสิ่งที่ลืม แบมแบมเลยชูสร้อยออกมาให้ดูเป็นการเฉลย ยูคยอมเลยให้ใส่ไว้ที่ข้อมือจะได้ไม่ลืมอีก และยังแซวว่าเป็นของแฟนให้ถึงต้องพกไว้ติดตัวไว้ตลอด เขาไม่กล้าบอกถึงที่มาของสร้อยเส้นนี้หรอก แล้วภาพลางๆ ของผู้ชายในฝันนั้นก็กลับเข้ามาในความคิดของแบมแบมอีกครั้ง
     

    แฟนให้มางั้นหรอ?
     

    แล้วเขาจะเขินทำไมเนี่ย!
     

    เสียงเรียกเข้าเครื่องมือสื่อสารของคนขับรถดังขึ้น เรียกสติของแบมแบมกลับมาด้วย หลังจากรับสายและคุยกันสองสามประโยคแล้วก็วางสายไป
     

    "สงสัยวันนี้ต้องงดเที่ยวก่อนล่ะ แบมแบม"
     

    "มีงานด่วนหรอ"
     

    "ก็ไม่เชิงน่ะ แต่เราต้องไปเฝ้าที่วังชาด๊องกุงแทนพี่อูยองจนถึงเย็นเลย นายจะเอายังไง กลับคอนโดไหม หรืออยากไปไหน เดี๋ยวเราไปส่ง"
     

    "เราไปที่วังด้วยได้ไหม" อย่าว่าแต่ยูคยอมที่ทำหน้าแปลกใจว่าเขาขอตามไปที่วังด้วยทำไม ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจตัวเองด้วยเหมือนกัน ที่จู่ๆ ก็พูดขอไปแบบนั้น
     

    "อยู่คอนโดก็เบื่ออ่ะ ไปอยู่เป็นเพื่อนยูคไง" เหตุผลคงฟังขึ้นเพราะยูคยอมไม่ถามอะไรต่อ เพราะเขาเองก็คิดว่ามีเพื่อนน่ารักๆ ไว้นั่งมองเล่นก็ดีกว่ามองพวกพี่เจ้าหน้าที่หน้าโหดๆ แหละวะ คนขอตามไปด้วยกำลังคิดว่าถ้ามีโอกาส จะเอาสร้อยไปวางคืนที่เดิมดีกว่า
     

    แบมแบมเดินตามยูคยอมที่ตอนนี้กำลังเดินผ่านตำหนักนั้น เขาเห็นเจ้าหน้าที่สองคนกำลังเก็บกวาดใบไม้ที่ลอยอยู่บนสระน้ำข้างตำหนัก
     

    "ยูคๆ น้ำตื้นแค่เข่าเองหรอ คิดว่าจะลึกกว่านี้ซะอีก"
     

    "ใช่ ตอนแรกเราก็คิดเหมือนแบมแบมนะ น่าแปลกเนอะ เป็นสระน้ำแห่งเดียวของทั้งหมดเลย สระน้ำที่อื่นมิดหัวเราหมดอ่ะ"
     

    "ว่าจะถามตั้งแต่วันก่อนแล้ว ทำไมตำหนักนี้ต้องมีคนเฝ้าด้วยล่ะ" แบมแบมถามสิ่งที่สงสัย แต่ยูคยอมกลับทำมือจุ๊ปากเหมือนห้ามเสียงดังแล้วลากเขาไปทางลานโล่งไกลจากเจ้าหน้าที่
     

    "ในตำหนักนั้นมีกระจก"
     

    "กระจกที่มีรอยร้าวอะนะ"
     

    "รู้ได้ไง"
     

    "กะ.. ก็วันนั้นที่มาได้ยินพี่คุณสั่งงานกับผู้ช่วยอ่ะ"
     

    "อ๋อ.. แล้วไป นึกว่าแอบซนปีนเข้าไปดู" ยูคยอมพูดเหมือนเห็นเขาวันนั้น เขาเลยถามต่อว่า แค่กระจกร้าวทำไมต้องเฝ้า ยูคยอมบอกว่าคนที่ให้เฝ้าคือทางฑูตของจีน ยิ่งสร้างความงงและสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก เจ้าหน้าที่ยูคเล่าต่อถึงประวัติที่มาของกระจกบานนี้ว่า
     

    กระจกบานนี้คือเครื่องบรรณาการเป็นของหมั้นหมายกับเจ้าหญิงจากองค์ชายเมืองจีน ทางจีนออกแบบและสั่งทำพิเศษจากไม้เนื้อดี และยังตกแต่งฝังด้วยหินหยกถึงร้อยชิ้น ความพิเศษคือกระจกนี้ถูกสั่งทำขึ้นมา 2 บานเหมือนกันทุกอย่าง อีกบานหนึ่งอยู่ที่จีน จัดเตรียมไว้ในตำหนักสำหรับเจ้าหญิงที่ต้องอยู่หลังจากแต่งงานแล้ว แต่สุดท้ายแล้วเหมือนว่าจะเกิดเรื่องการเมืองในจีนก่อนจะได้มีพิธีแต่งงาน ปัจจุบันกระจกใบนี้ไปอยู่ที่ไต้หวันแทน นักโบราณคดีของจีนคาดเดาว่าน่าจะถูกขนย้ายไปตอนที่จีนขยายอาณาเขต ทำให้กระจกใบนี้มีความสำคัญกับทางจีนไปด้วย และเมื่อหกเดือนก่อนที่กระจกมีรอยร้าว ทางเกาหลีแจ้งไปยังจีน ทำให้ทางการจีนขอร้องให้มีการเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด
     

    เจ้าหน้าที่พิเศษยูคยังบอกเขาอีกว่า วันที่กระจกร้าวครั้งแรก เขาไม่อยู่เพราะเขาไปรับแบมแบมที่สนามบิน เป็นการเจอกันของพวกเขาครั้งแรกนั่นเอง พอถามถึงรอยร้าวที่ทำไมถึงเพิ่มขึ้นนั้น แบมแบมก็ยิ่งเครียด เพราะมันก็คือวันที่ยูคยอมไปรับเขาสนามบินเมื่อสามวันก่อน
     

    เจ้าของผมสีบลอนด์ทองเกือบขาว เดินคิดเรื่องกระจกร้าวนั้นสลับกับมองสร้อยข้อมือของตัวเอง พอคิดอะไรเพลินจนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าได้เดินมาถึงศาลาด้านข้างของตำหนักนั้นตั้งแต่เมื่อไร สายลมเย็นพัดแรงทำให้คนตัวเล็กเริ่มเงยหน้ามองตรงหน้าเขาคือสระน้ำที่มีต้นบอนไซใหญ่ ทางขวามือเป็นตำหนักที่มีเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าอยู่ แบมแบมแปลกใจว่าเขาเดินมาถึงนี้ได้ยังไง เลยตัดสินใจที่จะหันกลับไปหายูคที่แยกออกไปคุยงานกับเจ้าหน้าที่อยู่ในศาลาใหญ่อีกด้าน แต่อะไรไม่รู้ดลใจให้เขาหันกลับไปมองยังหน้าต่างของตำหนักนั้นอีกครั้ง มือขวาล้วงเข้าไปจับสร้อยที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวเอง เขาตั้งใจจะเอามันกลับไปวางที่เดิม แต่จะเข้าไปได้ยังไง เขากำลังจะก้าวเดินหน้าต่อ จู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบมาจากช่องว่างของบานหน้าตานั้น ตากลมหลบแสงที่ส่องตรงมาเสมองไปยังเงาที่สะท้อนของสระน้ำ ทำไมมีคนยืนข้างเขาอีกแล้ว และเมื่อเข้าหันไปมองด้านข้าง เขาก็

     

    ตูม!!!!!!










    #แบมแบมป่วนวัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×