คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #46 : Season 2 | Painkiller 21 :: Father. (100%)
? cactus
Chapter 21
Father
“พ่อ”
“จ๋าลูก?”
“พี่แบคฮยอนไปไหน...” ชานยอลขมวดคิ้ว มองลูกคนเล็กที่แผ่วเสียงลงพร้อมกวาดสายตาไปรอบ ๆ
บ้านอย่างหวาดระแวงในช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้า
“พี่เขาไปช่วยดูร้านที่อินซาดงน่ะ
พอดีมีของเข้าแต่แม่เรากลับมาไม่ทัน”
“ไปแต่เช้า...” โบยอนยังไม่หยุด เด็กน้อยย่องมายืนอยู่ข้าง ๆ
คนเป็นพ่อพร้อมกอดแขนไว้แน่น ก่อนจะช้อนตามองอย่างกลัว ๆ “หรือว่าพี่จ๋าหายไปตั้งแต่เมื่อคืน...”
ชานยอลหลุดขำ เขาวางแก้วกาแฟลงแล้วยีผมฟู ๆ
ของคนเพิ่งตื่นแล้วกดจมูกหอมศีรษะทุยฟอดใหญ่ “จะหายไปได้ยังไง กาแฟแก้วนี้พี่เขาเป็นคนชงให้พ่อ”
โบยอนยังไม่อยากเชื่ออะไรทั้งนั้น
เด็กน้อยปล่อยให้พ่อยีผมก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างของฮีโร่ที่ไม่ได้อยู่ปกป้องเธอกับพี่แบคฮยอนเมื่อคืนนี้
คนเป็นเจ้าของบ้านเดินออกมาพร้อมมื้อเช้าสำหรับหนึ่งที่ วางลงบนโต๊ะอาหารตรงหน้าลูกสาวซึ่งยังคงหลงเหลืออาการเมาง่วงกับเรื่องหลอนที่สร้างขึ้นเองอยู่
“พ่อจ๋า”
“ครับน้อง?”
“เมื่อคืนผีแอบเข้ามาในบ้านเราตอนไฟดับด้วย
ตอนนั้นน้องไม่รู้ว่าพี่แบคฮยอนคิดอะไรอยู่ถึงได้พยายามสู้กับผีด้วยตัวเอง แล้วก็บอกให้น้องขึ้นไปหลบในห้อง”
“เห็นว่าหม้อแปลงระเบิดน่ะ แถวนี้ไฟดับหมด
วุ่นวายกันใหญ่เลย” พ่อจ๋านั่งลงข้าง ๆ พร้อมดันจานมื้อเช้าให้ลูกสาวคนเล็ก
คนที่กินยากและกินเชื่องช้าที่สุดในบ้าน
“เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็น พ่อฟังน้องก่อน”
“แลกกับกินผักคำนึง”
“ได้”
เด็กวัยสิบสองขวบคีบผักเข้าปาก ปิดจมูกเคี้ยวอย่างฝืนใจแล้วรีบกลืนก่อนจะกระดกน้ำตามจนพ่อต้องรีบยั้งมือไว้
ชานยอลไม่อยากให้ลูกติดนิสัยข้าวคำน้ำคำ “ตอนนั้นน้องกลัวมาก
เป็นห่วงพี่แบคฮยอนด้วย พี่แบคฮยอนบอกว่าถ้าได้ยินเสียงร้องให้โทรหาตำรวจทันทีเลยนะ
น้องตั้งใจมากอะ กำโทรศัพท์แน่นจนมือเจ็บไปหมดเลย แต่อยู่ดี ๆ น้องก็วูบไป”
“น้องวูบหรือง่วงจนหลับ?”
“วูบจริง ๆ! ต่อนะ ทีนี้น้องก็ตื่นมากลางดึกเพราะหิวน้ำ
แต่เพิ่งนึกได้ว่าทิ้งพี่แบคฮยอนไว้กับผีตามลำพัง จริง ๆ นะพ่อ
ถึงพี่แบคฮยอนจะต่อยคนไม่เป็น ดูนุ่มนิ่มเหมือนหน้าอกแม่ แต่น้องก็รักของน้อง” เด็กน้อยพูดงุบงิบไม่หยุด พอนึกถึงแล้วน้องอยากปกป้องพี่จ๋าด้วยความสวยงามของน้องเอง
“แล้วเรื่องต่อยมันเกี่ยวกับผียังไง?”
“ไม่รู้อะ ต่อนะ ตอนน้องตื่นไฟก็มาแล้ว
น้องอุ่นใจมากก็เลยกดทุกสวิตซ์ไฟที่เดินผ่าน พอลงไปข้างล่าง
น้องหวังว่าจะเจอพี่แบคฮยอนนั่งรออยู่ แต่น้องคิดผิด”
“เพราะพี่เค้าหลับไปแล้ว”
“ไม่ใช่..."
โบยอนกดเสียงลงต่ำ กำตะเกียบกับช้อนแสตนเลสไว้แน่นขณะจ้องหน้าพ่อจ๋า “พี่แบคฮยอนไม่อยู่... แต่ผีอยู่” คนฟังถอนหายใจ กุมศีรษะพลางเขย่านิ้วโป้งกับนิ้วกลางตรงขมับเบา
ๆ ก่อนจะหันเข้าหาลูก
“ฟังนะโบยอน พ่อรู้ว่าน้องกลัว
แต่บ้านเราไม่มีผีจริง ๆ หรอกนะลูก” ชานยอลพยายามอธิบายเรื่องงมงายที่ลูกสาวเอามาพูดเป็นตุเป็นตะอยู่หลายวัน
ที่บอกให้หาอะไรทำเพื่อลืมจุนมยอนนั่นไม่ใช่การฟังเรื่องงมงายแบบนี้สิ
“มีจริง ๆ
น้องได้ยินเสียงผีเขย่าประตูห้องพี่แบคฮยอน มันดังกึก ๆๆ เหมือนท้าทายน้องว่าจะกล้ายืนอยู่ตรงนั้นต่อไหม
และแน่นอนว่าน้องไม่อยู่”
“อาจจะเป็นเสียงลมพัดก็ได้
พอไม่มีไฟฟ้าใช้ พี่เราคงเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท”
“ไม่ใช่เสียงพัดลมนะ น้องได้ยินพี่แบคฮยอนพูดกับผีด้วย” เด็กน้อยพยายามบอกให้รู้ว่าที่พูดไปทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องจริง และพอพ่อจ๋ามีท่าทีว่าไม่อยากเชื่อ
โบยอนจึงคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แล้วเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ๆ “พี่แบคฮยอนพยายามปกป้องน้องยันวินาทีสุดท้ายเพราะไม่อยากให้น้องตื่นมาเจอเรื่องน่ากลัว
เลยบอกผีว่า ‘โอ๊ย... เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวโบยอนตื่น’”
“เดี๋ยว”
“โอ๊ย พอแล้ว พอ ไม่ไหว อ๊ะ” ชานยอลรีบตะปบปากลูกสาวก่อนที่จะพูดประหลาด ๆ ด้วยโทนเสียงเดียวกันได้มากไปกว่านี้
“อ้องอังเอ้าไอ้อบเอย” (น้องยังเล่าไม่จบเลย)
สำหรับเรื่องผีของชานอีที่โบยอนเคยเจอ คนเป็นพ่อไม่คิดว่าแบคฮยอนจะทำแบบนั้น
เพราะโดยพื้นฐานแล้วลูกชายคนโตของบ้านหลังนี้อยู่กับลู่กับทางมาตลอด แม้แต่การใจเต้นกับเด็กผู้หญิงที่เต้นคู่กันตอนประถมต้นก็ยังเล่าให้พ่อแม่ฟัง
แล้วเรื่องผีแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
“ทีนี้พ่อเชื่อน้องแล้วหรือยัง...
ว่าบ้านเรามีผีอยู่จริง ๆ”
*
“แบคฮยอน”
“พ่อ?”
เจ้าของชื่อละจากสมุดบัญชีระหว่างเช็กของเข้าสต็อก ก่อนจะยิ้มทักทายคนที่เดินเข้ามาพร้อมถุงกระดาษและเครื่องดื่มสี่แก้ว
สำหรับพ่อ แบคฮยอน และลูกจ้างอีกสองคน
“สวัสดีค่ะซาจังนิม”
*ซาจังนิม = เจ้าของร้าน
/ เจ้านาย
“หิวไหม พ่อซื้อขนมมาฝาก”
“หิวครับ แต่ผมอยากเช็กล็อตนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยออกไปกินข้าว
พ่อมาได้จังหวะพอดีเลย ขอบคุณนะครับ”
แบคฮยอนถอดแบบแม่ออกมาไม่มีผิด
รอยยิ้มที่ส่งให้เขาเมื่อครู่นี้ทำให้ปาร์คชานยอลนึกถึงภรรยาเมื่อเธอยังเป็นสาว ท่าทางก้ม
ๆ เงย ๆ ตอนทำเรื่องที่ไม่ถนัดแต่ก็ไม่คิดที่จะหยุดพักหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นนั่นน่ะ
ทำเขาลอบยิ้มออกมาได้อย่างง่าย ๆ
ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคนรู้จักเป็นอย่างดี
ปัจจุบันนี้ขยายกิจการออกไปหลายสาขาไม่ว่าจะเป็นฮงแด อินซาดง อีแด มยองดง และปัจจุบันเพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ปูซาน
บริหารโดยผู้หญิงมากความสามารถอย่างบยอนแบคฮี แม้จะตัวเล็กและอายุขึ้นหลักสี่แล้ว
แต่เธอก็ยังดูสาวเพราะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
ก่อนมาที่นี่ชานยอลหยุดดูรูปภรรยาซึ่งถูกอัปโหลดลงในเว็บไซต์ร้าน
มองรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขกับสิ่งที่ได้ทำมาตลอดหลายสิบปี ส่วนเขาเลือกจะมาที่นี่เพื่อมาช่วยลูกชายและไขความคาใจ
ยอมรับว่ากังวลเรื่องที่โบยอนเล่าให้ฟัง
อันที่จริงเขาจะปล่อยเลยตามเลยก็ได้ถ้าไม่มีเรื่องตอนทำความสะอาดห้องลูกชายคนโตให้ได้คิด
กับตุ๊กตาหมีที่นอนห่มผ้าอยู่บนเตียง และเขาไม่เคยเห็นมันในห้องแบคฮยอนมาก่อน
ตอนนั้นชานยอลเอามันขึ้นมาดูใกล้ ๆ
ในทีแรกคิดว่าแบคฮยอนอาจจะซื้อมาให้น้องสาวจึงวางลง แต่ในจังหวะนั้นก็พลันไปเห็นโลโก้ที่ถูกเย็บอยู่ข้างตุ๊กตา
ระบุไว้อย่างดีว่ามันผลิตมาจากประเทศไหน
อเมริกา...
ชานยอลมองภาพรอยยิ้มของภรรยาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเข้ามาในร้าน
เขาเลือกที่จะหาความสบายใจให้ตัวเองด้วยการไปหาลูกมากกว่าจะแบ่งความลำบากใจให้แบคฮีได้รับรู้
ช่วงเวลาที่ร้านใหม่กำลังวุ่นวาย เขาอยากให้เธอเหนื่อยไปพร้อมความสบายใจมากกว่าต้องแบกรับเรื่องนี้ไว้จนนอนไม่หลับ
ทั้งเรื่องเสียงลูกกับประตู และตุ๊กตาจากอเมริกา
มันยังคงสร้างคำถามให้คนเป็นพ่อว่ามันคืออะไรกันแน่
“เหลืออีกแค่เทอมเดียวก็จะเข้ามหาลัยแล้ว
ลูกตัดสินใจได้หรือยังว่าอยากเรียนนิติหรือมนุษย์?”
“ถ้าผมบอกว่าเปลี่ยนใจจากทั้งสองอย่างแล้วพ่อจะหาว่าผมเป็นคนโลเลไหมครับ
แหะ...” แบคฮยอนยิ้มทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากสินค้าที่วางกองกันอยู่ตรงหน้า
“หื้ม จะบอกว่ามีคณะในใจแล้วเหรอ?”
“ครับ ผมเพิ่งตัดสินใจได้เมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง
ปุบปับใช่ไหมล่ะครับ?” ลูกชายคนโตผอมแห้งแรงน้อยยิ้มกับสิ่งที่พูดพร้อมพยายามหอบเสื้อผ้าเข้าไปเก็บเข้าชั้นสต็อกอย่างขยันขันแข็ง
ระหว่างนั้นเขาจึงคว้าแก้วน้ำผลไม้ปั่นมา แกะซองยื่นหลอดให้เสร็จสรรพและแบคฮยอนก็อ้าปากงับดูดน้ำดับกระหายเสียอึกใหญ่
เขาจึงเช็ดเหงื่อตามขมับและเสยผมให้ลูกอย่างเอ็นดู
“ไหนเล่าให้พ่อฟังหน่อย
แบคฮยอนของพ่ออยากเรียนอะไร?” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก
กลอกตาไปมาอยู่ในทีราวกับลังเลว่าจะพูดให้ผู้เป็นพ่อฟังดีหรือไม่
“ผมอยากเรียนเหมือนแม่ครับ”
“หืม?”
ไกลเกินกว่าที่คาดเดาไว้ ชานยอลไม่เคยคิดว่าแบคฮยอนจะอยากเรียนแฟชั่นดีไซน์
“นิติก็น่าเรียน มนุษย์ก็เหมือนกัน
แต่ที่เลือกแฟชั่นเพราะผมอยากปรับปรุง ดูแล แล้วก็พัฒนาร้านช่วยแม่ครับ”
“แบคฮยอน พ่อเข้าใจว่าลูกเป็นห่วงแม่
แต่พ่อกับแม่เคยบอกลูกแล้วใช่ไหมว่าทางที่เราอยากเดินสำคัญที่สุด อย่าแบกรับความฝันของพ่อแม่เอาไว้”
“ผมรู้
ตอนนั้นผมถึงตอบว่านิติกับมนุษย์ไงครับ” เด็กหนุ่มหัวเราะ “ผมไม่ปฏิเสธว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะแม่ ไม่รู้สิครับ... กิจการร้านเดินมาไกลขนาดนี้แล้ว
แม่เหนื่อย แม่ทุ่มเทกับมันมาครึ่งชีวิตเพื่อให้ผมกับน้องมีชีวิตที่ดีขึ้น ผมกลัวว่าถ้าวันหนึ่งแม่ทำไม่ไหวแล้วแม่จะเสียใจถ้าจะต้องปิดร้านไปเพราะไม่มีเสื้อผ้าแบบใหม่ ๆ ออกมาให้ลูกค้าสนใจอีก ผมอยากให้พ่อกับแม่นอนอยู่บ้านสบาย ๆ ให้ผมกับน้องได้ตอบแทนบ้าง”
“...”
“อีกอย่าง... ผมไม่มีความฝันเป็นของตัวเองตั้งแต่แรกด้วย ไม่รู้ว่าชอบอะไร ไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร
และที่ผมหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าอยากเรียนแฟชั่นก็เพราะเป้าหมายของผมคือความสุขของพ่อแม่แล้วก็น้องอีกสองคน
ผมอยากเป็นลูกชายคนโตที่รับผิดชอบครอบครัวได้ พ่อไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ได้ฝืนเลยสักนิดเดียว”
คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดขำในลำคอเบา ๆ กับเรื่องราวที่ทำให้เขาตื้นตันใจจนพูดไม่ออก
ปาร์คแบคฮยอนก็ยังคงเป็นปาร์คแบคฮยอน เด็กผู้ชายสดใส จิตใจดี ไม่มีพิษมีภัยกับใคร และนึกถึงคนอื่นอยู่เสมอ
ในขณะที่ลูกกำลังให้ความมั่นคงกับพ่อ
แล้วเขาล่ะกำลังทำอะไรอยู่...?
“แบคฮยอน”
“ครับ?”
“เมื่อเช้าพ่อเห็นตุ๊กตาหมีอยู่บนเตียงตอนเข้าไปทำความสะอาดห้องให้ลูก
ซื้อมาให้น้องเหรอเรา?”
เขาไม่ได้บังคับให้ลูกตอบ
แต่การถามในสิ่งที่อยากรู้มันคงไม่ใช่การบังคับเกินไปนัก มันก็แค่เรื่องตุ๊กตา
ไม่ได้ถามว่าใครสูบบุหรี่ตรงชิงช้าหน้าบ้านเหมือนที่เคยเจอ
“อ๋อ เปล่าครับเปล่า คือ
มันเป็นของชาร์ลน่ะ...”
“ชาร์ลี? เขากลับมาแล้วเหรอ?”
“อะ... ครับ เพิ่งถึงเมื่อวาน
ก็เลยแวบเอาของฝากมาให้เราครับ แต่พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ ชาร์ลก็เลยเอาของฝากของพ่อกับแม่กลับไปก่อน” แบคฮยอนไม่ชอบโกหก
แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่พูดความจริง
เพียงเพราะรู้สึกผิดกับพ่อที่ทำเรื่องแบบนั้นในบ้านตัวเองอีกครั้งน่ะเหรอ
ใช่... เขารู้สึกอย่างนั้นอยู่ รู้สึกว่ากำลังทำเรื่องไม่ถูกต้อง
และถ้าพ่อรู้คงเสียใจ ดังนั้นแบคฮยอนจึงเลือกพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวแล้วหันกลับไปสนใจสมุดบัญชีในมืออีกครั้ง
“ของฝากจากชาร์ลีงั้นเหรอ ลูกกำลังทำพ่อตื่นเต้นนะ” ชานยอลหัวเราะ
“ครับ ชาร์ลบอกว่าอยากมาขอบคุณพ่อกับแม่ด้วยตัวเอง...”
“พ่อชอบประโยคนี้ ‘อยากมาขอบคุณด้วยตัวเอง’” แบคฮยอนหันไปสบตากับคนข้าง
ๆ เพื่อดูว่าตอนนี้พ่ออยู่ในอารมณ์ไหน คนตัวเล็กรู้ว่าพ่อเป็นคนใจดี แต่เซนส์ลึก ๆ
ในใจก็กังวลว่าท่านจะรับรู้เรื่องไม่ควรเข้า “ชาร์ลีเป็นเด็กดีขึ้น
เราเองก็รู้สึกได้ใช่ไหม?”
“...”
ลูกชายคนโตนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะหลับตาลงเมื่อพ่อเอื้อมมือขึ้นมายีผมเบา ๆ
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว
เดี๋ยวพ่อจะไปรับโบยอนที่บ้านน้ามินซอกก่อน อย่าทำงานหนักจนลืมกินข้าวนะลูก
พ่อวางขนมไว้ตรงนั้น แบ่งพวกพี่จินฮเยด้วย”
“ครับ”
“พ่อรักลูกนะ”
“ผมก็รักพ่อครับ รักที่สุดเลย”
เสียงจุ๊บหน้าผากดังจนลูกจ้างสาวทั้งสองแอบลอบยิ้ม
กับการแสดงความรักที่แตกต่างจากครอบครัวอื่นเพราะเด็กวัยเดียวกันคงไม่ชอบการแสดงความรักแบบนี้สักเท่าไหร่
ยกตัวอย่างใกล้ตัวได้ง่าย ๆ เช่นปาร์คชานอี
ลูกชายคนกลางบ้านนี้ที่ไม่ยอมเข้าใกล้คุณแบคฮีเกินสองเมตรเด็ดขาด แต่ลูกชายคนโตกลับนุ่มนิ่ม
โอนอ่อนไปกับการแสดงความรักอย่างนั้น
พร้อมโบกมือลาเมื่อพ่อเดินไปหยุดอยู่หน้าประตู
“พักก่อนไหมคะน้องแบคฮยอน?”
“ครับ... ดีครับ...”
คนตัวเล็กทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่เห็นว่าพ่อไปแล้ว
จะเรียกว่ายกภูเขาออกจากอกก็ไม่ใช่ แบคฮยอนไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่ารอยยิ้มของพ่อในวันนี้แปลกไปกว่าทุกครั้ง
ทำไมถึงกลัวนักล่ะ... ทั้งที่พ่อแค่ถามถึงตุ๊กตาที่เขานอนกอดจนถึงเช้า
มันก็แค่นั้นเอง... ไม่ใช่เหรอ?
*
“ตลกว่ะคิมจุนโล้น 5555555555”
( ถ้านายเปิดกล้องมาเพื่อหัวเราะเยาะทรงผมฉันล่ะก็
เจอกันอีกทีวันเปิดเทอมนะ )
“ถ้านายวางสายฉันตามไปกระทืบถึงหออะ
นี่พูดจริง ไม่ได้ขู่”
( พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่ผ่าตัดเสร็จ ทุกคนก็ดูเหมือนว่าจะย้ายมาอยู่ฝั่งฉันหมดแล้ว
ถ้านายคิดว่าตัวเองเจ๋งก็มาหอแรคคูนเดี๋ยวนี้เลยสิชาร์ลี ฮอปส์ )
“มาว่ะ ไอ้โล้นนี่มันน่าเตะให้คว่ำจริง
ๆ”
( ผมฉันงอกแล้วนะ อย่างน้อยมันก็เรียกว่าสกินเฮดได้
แฟชั่นน่ะรู้จักไหม )
ชาร์ลง้างมือใส่คนบนจอโทรศัพท์ที่เอาแต่ยิ้มขำอย่างมีความสุขหลังจากได้ใช้อินเทอร์เน็ตในหอเพราะที่บ้านไม่มี
คิมจุนมยอนเริ่มมีผมงอกออกมาบ้างแล้ว และคาดว่าอีกไม่นานคงกลับมาเป็นทรงง่อย ๆ
ที่ไม่เคยตามแฟชั่นบ้านเมืองทัน
( จับไหดี ๆ หน่อยสิ มัวแต่คุยเดี๋ยวของสะสมของคุณปู่ก็หลุดมือหรอก
)
“มันจะหลุดมือก็เพราะปากนายนั่นแหละ
รู้ไว้ด้วย”
( สอนแคปจอหน่อยได้ไหม
ฉันอยากเก็บรูปนี้ไว้ล้อนายวันหลัง )
“ฝันไปเถอะ” ชาร์ลแค่นหัวเราะใส่คนในจอ
ก่อนจะหันไปเช็ดไหจีนโบราณในบ้านอย่างระมัดระวัง ในเมื่อปู่ไม่อยู่ดูแลมันแล้ว
เขาก็อยากจะทำแทนท่าน
( ชางซู มานี่หน่อย )
( ว่า? )
( แคปหน้าจอน่ะ มันทำยังไงนะ? )
( ก็นี่ไง กดตรงนี้แล้วก็ตรงนี้ )
“Hey, you idiot!”
คนหัวร้อนโผล่มาหน้ากล้องที่ตั้งไว้บนโต๊ะพร้อมถลึงตาขู่ให้หยุด
แม้ว่าทั้งสองฝั่งจะอยู่คนละที่กัน
แต่ชางซูก็เผลอผงะถอยหลังทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาใกล้
( ห่าเอ๊ย ตกใจหมดเลยเชี่ยหรั่ง! )
“ถ้าฉันไปถึงโรงเรียนแกตายแน่ จีชางซู”
( อ่า ได้แล้ว )
“นายด้วยคิมจุนมยอน!”
สงครามย่อยหยุดลงทันทีที่ได้ยินเสียงออดหน้าบ้าน
ชาร์ลขมวดคิ้วหันไปด้านหลัง ชะงักและประหลาดใจว่าใครกันที่มากดกริ่งบ้านที่ไม่มีคนอยู่มานาน
ถ้าจะบอกว่าเป็นแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดทุกอาทิตย์แล้วล่ะก็...
อาจจะมาผิดเวลาไปหน่อย
( มึงหยิบคาตานะไปด้วยดิหรั่ง... )
( ชางซู... ปู่ชาร์ลีเป็นคนจีน... ไม่ใช่ญี่ปุ่น )
( อ้าวเหรอ... เซี่ย ๆ นะหรั่ง )
เด็กหนุ่มแตะนิ้วชี้กับริมฝีปากเป็นการบอกให้คนในสายเงียบ
ชางซูรีบเอามือตะปบปากพร้อมพยักหน้ารับ ในขณะที่จุนมยอนกลอกตามองอย่างลุ้น ๆ
เด็กหนุ่มผิวขาวหันไปสะกิดบอกให้เพื่อนเอามือถือออกมาเตรียมกดโทรหาตำรวจ ถ้าหากว่ามีเสียงอึกทึกครึกโครมเกิดขึ้น
คิมจุนมยอนพอจะจำได้ว่าบ้านคุณปู่ชาร์ลี ฮอปส์อยู่แถวไหน
ขายาวค่อย ๆ ก้าวไปหยุดหน้าบ้าน ก่อนจะมองจอเล็กซึ่งสามารถมองเห็นได้ว่าใครกันที่มากดกริ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเขาตอนนี้ ตรงนั้นมีผู้ชายตัวสูงยืนหันหลังอยู่คนหนึ่ง ชาร์ลีหันไปคว้าก้อนหินประดับสวนขนาดย่อมด้านข้างพร้อมมือซ้ายที่กำลูกบิดไว้... ถ้าหากว่าเป็นโจรหรือคนที่คิดจะเข้ามาในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะก็... ชาร์ลี ฮอปส์ก็พร้อมที่จะเอาก้อนหินทุบหัวโดยไม่เสียเวลาไตร่ตรองเลยสักนิดเดียว
แต่สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็หันมา ผู้ชายคนนั้นที่คิดว่าคงมาหาใครอีกคนที่เป็นส่วนหนึ่งในบ้านหลังนี้เช่นกัน เด็กหนุ่มจึงโยนก้อนหินกลับไปที่เดิม
( ชาร์ลี เปิดประตูให้อาหน่อย )
แต่คนที่อาชานยอลมาหากลับไม่ใช่พ่อของเขา
50%
บรรยากาศตอนนี้จะเรียกว่าอึดอัดก็ไม่ใช่
แต่ชาร์ลี ฮอปส์ก็ไม่ได้มีความสบายใจเมื่อใครอีกคนนั่งอยู่บนเบาะสีน้ำตาลฝั่งตรงข้ามโดยมีโต๊ะไม้สีดำมันเงาสไตล์จีนคั่นกลางระหว่างเรา
สีหน้าอาชานยอลเรียบเฉยไม่ได้ยินดียินร้าย ผู้ชายคนนี้ยังคงทิ้งคำถามไว้ให้ประหลาดใจว่าเพราะเหตุผลอะไรอีกฝ่ายถึงมาที่นี่ในเมื่อพ่อของเขาไม่ได้อยู่บ้านปู่
“อามีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำกล่าวพร้อมมองจอกเหล้าจีนโบราณในมือ หมุนไปมาอยู่ในทีระหว่างชมความสวยงามของมันก่อนจะยิ้มบาง
ๆ “ตอนเพิ่งมีแบคฮยอน ปู่เคยชวนอากับพ่อนายมานั่งดื่มด้วยกัน
ที่นี่ ตรงนี้ และใช้จอกเหล้าชุดนี้”
ชาร์ลหลุบสายตาลงมองจอกเหล้ากับไหสีขาวนวลซึ่งมีภาษาจีนเขียนกำกับไว้ว่ามันเป็นเหล้าสมุนไพรซึ่งราคาคงไม่ใช่น้อย
ๆ
“ปู่บอกว่า ‘เชื่อสิว่าแค่จอกเดียวแกสองคนก็เครื่องร้อนแล้ว
ถ้าดื่มไหวจนหมดไห ฉันพนันได้เลยว่าลูกชายคนที่สองต้องตามมาแน่ ๆ’ ตอนนั้นอาก็แค่หัวเราะแล้วยื่นจอกให้ปูรินเหล้าตามมารยาท
คิดว่าการนั่งดื่มกันในวันนั้นคือการทุเลาความเหงาให้พ่อของเพื่อนสนิท
แต่เรื่องน่าขำก็คือหลังจากนั้นไม่นานอาแบคฮีก็ท้องลูกชายจริง ๆ และเด็กคนนั้นก็คือชานอี”
อาชานยอลยิ้มขำ ชาร์ลเริ่มตระหนักได้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่เราทั้งคู่จะนั่งคุยกันอย่างนี้
กับเรื่องสับเพเหระที่คิดว่าคงมีแค่คนสนิทกันเท่านั้นที่จะพูดคุยกันได้
ซึ่งเขากับอาชานยอลยังห่างไกลกับคำ ๆ นั้นอยู่มากโข ตลอดชีวิตชาร์ลี ฮอปส์รู้จักผู้ชายคนนี้ในนามเพื่อนสนิทพ่อ
และเห็นสัญญาณไฟแดงขึ้นอยู่ตลอดเวลาเมื่อมองอีกฝ่าย เพื่อบอกตัวเองว่าอย่าเข้าใกล้อาชานยอลเด็ดขาดถ้าไม่จำเป็น
‘ผู้ใหญ่จะยัดเยียดเรื่องน่าปวดหัวให้จนแกคลั่ง’ นั่นคือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัว
แม้ว่าทัศนคติที่มีต่อคนรอบข้างจะเปลี่ยนไปบ้างแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะทั้งหมด
ชาร์ลยังคงประหม่า
กังวลกับการเข้าหาผู้ชายคนนี้ซึ่งไม่ได้อยู่ในฐานะเพื่อนพ่อเพียงอย่างเดียวแล้ว
ตอนนี้อาชานยอลคือพ่อของแฟน และทั้งชีวิตชาร์ลี
ฮอปส์ก็ไม่เคยคิดจะอ่อนน้อมถ่อมตนกับพ่อแฟนจนกระทั่งอีกฝ่ายเป็นปาร์คแบคฮยอน
เพราะแคร์มาก
และไม่อยากให้น้องน้อยต้องผิดหวังในตัวเขาอีกแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
สักแค่ไหน ถ้าอาชานยอลไม่ใช่พ่อแฟน ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องผ่าตัดของจุนมยอน
ชาร์ลี ฮอปส์ก็ไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะได้นั่งอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายหรือไม่
ไม่สิ... อันที่จริงต้องบอกว่า ‘จะยอมเปิดประตูให้หรือเปล่า’ น่าจะถูกเสียมากกว่า
“เข้าเรื่องเถอะ
ผมว่าอาคงมีเรื่องอยากคุยมากกว่าเรื่องนั่งดื่มกับปู่”
จะเรื่องพ่อ เรื่องการเรียนหรืออะไรเขาก็พร้อมทั้งนั้น
“ดื่มก่อนสิ”
ชานยอลยื่นจอกเหล้าให้เด็กหนุ่ม เขาเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
สับสน แต่ก็ยังคงหยั่งเชิง “มันเป็นเหล้าสมุนไพร
ไม่แรงเท่าไหที่อาดื่มกับปู่หรอก”
“บอกมาเถอะว่ามีเรื่องอะไร” สุดท้ายคนแพ้คือคนไม่ทันผู้ใหญ่ อันที่จริงชาร์ลี ฮอปส์จะตามน้ำทำตามที่อีกฝ่ายพูดก็ได้
แต่ความคาใจมันก็มีมากกว่า พ่อไปบ่นอะไรอีกหรือไง
ถ้าใช่ผู้ชายคนนี้ก็จะใจร้ายกับเขาเกินไปแล้ว เพราะตั้งแต่กลับไมอามี่
เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สร้างปัญหาเลยสักเรื่อง แค่ไปหาเพื่อน
คุยกันไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็กลับมาอยู่เฝ้าไข้แม่ทั้งที่ไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน
“อาไม่รีบ นายเองก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วใช่ไหม?”
“...”
“คิดซะว่าดื่มเป็นเพื่อนอานะ” ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง
ชาร์ลจึงรับมายกดื่มรวดเดียวจนหมดโดยไม่มีท่วงท่าการรับจอกตามมารยาทอย่างที่เด็กควรมีต่อผู้ใหญ่
“เรื่องพ่อใช่ไหม?”
“อี้ฝานน่ะเหรอ?” อาชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะยกจอกเหล้าดื่มบ้าง “เปล่าหรอก ที่อามาหาก็เพราะอยากคุยกับนาย”
“ผม?”
“เห็นแบคฮยอนบอกว่าเมื่อคืนนายไปหาอาที่บ้านเพราะจะเอาของฝากให้ไม่ใช่เหรอ
มันอยู่ไหนล่ะ?” เซนส์ด้านร้ายเริ่มทำงานทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่มาพร้อมสายตาของอีกฝ่าย
ชาร์ลไม่รู้หรอกว่าข้างในดวงตาคู่นั้นแฝงไปด้วยอะไร แต่ถ้าหากว่าการมาของอาชานยอลไม่ใช่เรื่องที่คิดอยู่ในหัว
แต่กลับเป็นเรื่องที่รู้ว่าเขาไปบ้านหลังนั้น โดยมีข้ออ้างเป็นคำที่แบคฮยอนต้องโกหกแล้วล่ะก็...
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดี
เด็กหนุ่มตัวสูงลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องสีน้ำตาลที่วางอยู่ใกล้
ๆ กระเป๋าเดินทางซึ่งมันยังคงอยู่จุดเดิมตั้งแต่กลับมาถึง
ชาร์ลไม่ได้เอาเสื้อผ้าออกมาจัดเพราะเขาตั้งใจพักบ้านปู่เพียงชั่วคราวก่อนกลับหอตอนเปิดเทอมเท่านั้น
ซึ่งมันก็เหลืออีกแค่ไม่กี่วันแล้ว
กล่องกระดาษสีน้ำตาลขนาดเล็กถูกวางลงบนโต๊ะก่อนจะดันไปตรงกลางพร้อมโค้งศีรษะเล็กน้อยตามมารยาทที่ทั้งชีวิตคนอย่างชาร์ลี
ฮอปส์ก็ไม่คิดว่าจะคุ้นชินกับมัน ท่าทางทุกอย่างล้วนกระอักกระอ่วน ชาร์ลรู้ตัวดี
เขาเคยรับมือกับสถานการณ์กดดันได้เก่งกว่านี้
แต่พอในหัวเอาแต่คิดว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นกับน้องน้อย ทุกอย่างก็ออกมาไม่ค่อยดีนัก
“ไหนดูซิ
ของฝากจากไมอามี่จะเป็นอะไร”
อาชานยอลมีสิทธิ์เล่นกับความรู้สึกเขาอย่างเต็มที่ ดังนั้นชาร์ลจึงเลือกนั่งอยู่เฉย
ๆ เพื่อรอดูว่าผู้ใหญ่จะเล่นสงครามประสาทกับเขาแบบไหน แต่มันก็น่าหงุดหงิดเหลือเกินที่คนอย่างเขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้
รอคอยคำตอบอย่างประหม่าขณะที่คนตรงหน้ากำลังพูดไล่ต้อนบีบกรอบกำแพงเข้ามาเรื่อย ๆ
“มันคือนาฬิกาปลุก” มือแกร่งชะงักตั้งแต่ยังไม่เปิดกล่อง
ชานยอลเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กหนุ่มเพียงครู่หนึ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมา
“จะไม่ให้อาลุ้นเลยหรือไง?”
“ผมไม่ได้ซื้อมาเพื่อเซอร์ไพรส์”
“อาไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นหรอกชาร์ลี” ชานยอลยิ้มขำ “แต่สำหรับคนที่เห็นนายมาตั้งแต่เด็กและไม่ได้สนิทเท่ากับแบคฮยอน
มันก็คงมีบ้างที่อาจะดีใจ”
“มันก็แค่ของราคาถูกที่หาซื้อได้ทั่วไป”
“แต่เจตนาที่นายตั้งใจซื้อให้อามันมีความหมาย
แค่นั้นก็พอแล้ว”
“...”
“อาไม่ได้บังคับให้นายขอบคุณหรือแสดงท่าทีอ่อนน้อมเพื่อตอบแทนเรื่องจุนมยอนหรอกนะ
อาไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักนิด เพราะฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองเถอะ”
มันเป็นความย้อนแย้งอย่างหนึ่งที่อาชานยอลไม่ได้รู้จักเขาดีเหมือนคนที่อยู่ด้วยมาทั้งชีวิต
แต่อีกแง่ผู้ชายคนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะอ่านใจและจับทางชาร์ลี ฮอปส์ได้อย่างง่ายดาย
ถ้าตรงหน้ามีกระดานหมากรุกวางอยู่แทนไหเหล้า
เด็กอย่างเขาก็คงถูกรุกฆาตได้อย่างง่ายดาย
“การยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ใช่เรื่องน่าอาย
และการรับคำขอบคุณจากคนอื่นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ในทุก ๆ วันเหมือนกัน” อาชานยอลดันจอกแก้วมาตรงกลางพร้อมผายมือไปทางไหและพยักหน้าบอกให้เขารินให้
ชาร์ลนิ่งไปครู่หนึ่ง ทบทวนความคิดอยู่เงียบ ๆ
ก่อนจะตัดสินใจรินเหล้าใส่จอกพร้อมยื่นให้อย่างคนที่ยังตั้งหลักรับสถานการณ์ตอนนี้ไม่ทัน
“ขอบใจนะ”
“...”
“ทั้งเรื่องรินเหล้าและนาฬิกาปลุกจากไมอามี่” ผู้ชายคนนี้... “อาจะใช้มันแทนนาฬิกาปลุกตัวเดิมตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”
“ผมไม่ได้ซื้อมาเพื่อบังคับให้อาใช้
ผมรู้ว่ามัน -- ให้ตาย มีอะไรก็ช่วยพูดออกมาตรง ๆ ได้ไหม
ผมจะอ้วกความอัดอัดออกมาอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มถอนหายใจหนัก ๆ
สองมือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำเข้าหากันแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้เหลือเกิน สู้ให้พูดเรื่องแย่ ๆ
ออกมารวดเดียวจนหมดยังจะรู้สึกดีกว่า ชาร์ลี ฮอปส์คุ้นเคยกับมันอยู่แล้ว
“ได้ ชาร์ลี”
“...”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบ
และตอนนี้คนอายุน้อยกว่ารู้สึกได้ถึงความเรียบเฉยผ่านทางแววตา
“ที่อามาวันนี้ ก็คือเรื่องแบคฮยอน”
จนได้ เซนส์ของเขาไม่เคยทำงานพลาดเลยจริง
ๆ
จากที่โดนไล่ต้อนมานาน ชาร์ลี
ฮอปส์ก็เริ่มจับทางได้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
ถ้าอาชานยอลมาที่นี่เพื่อถามเรื่องการเรียน
หรือความสนิทสนมของเขาและน้องน้อยมันก็คงไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่มากกว่านั้น... เด็กหนุ่มก็พร้อมที่จะรับมือ
“กับแบคฮยอนน่ะ”
คนอายุมากกว่าเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง
แต่มันก็นานมากเสียจนรู้สึกได้ว่าจังหวะการหายใจขาดห้วงไปกับความตื่นเต้นในเรื่องที่ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องรับมือให้ได้
“มากกว่าเพื่อนแล้วใช่ไหม?”
*
“อย่าลืมเช็กประตูหน้าร้านให้ดีนะคะน้องแบคฮยอน
ถ้าสงสัยอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดนะ”
คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วโบกมือลาพนักงานหลังจากช่วยกันเก็บร้านจนเกือบเรียบร้อย
แต่ลูกชายเจ้าของร้านก็ยังเลือกที่จะอยู่ต่อ ลูกจ้างสาวทั้งสามจึงยืนมองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลอบยิ้มออกมากับความตั้งใจของเด็กน้อยที่แสดงให้เห็นอยู่ตลอดทั้งวัน
ไม่ว่าจะเป็นยกของหรือแนะนำสินค้าให้ลูกค้า พวกเธอทั้งสามโดนน้องแบคฮยอนแย่งทำงานจนต้องผลัดกันอยู่แคชเชียร์คิดเงินเพื่อไม่ให้ว่างจนเกินไป
“เฮ้โมจิ” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียง
ก่อนจะพบว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาในร้านคือคนที่ทำให้ยิ้มได้ทุกครั้งที่เจอกัน
“ชาร์ลมาได้ไง ไม่เห็นโทรบอกเราเลย”
“ต้องให้รายงานทุกอย่างเลยเหรอ
เป็นแม่ฉันหรือไง?” คนตัวโตเลิกคิ้วหาเรื่อง
แบคฮยอนจึงย่นจมูกใส่แล้วเดินไปต่อยท้องเบา ๆ
“เราจะได้เตรียมตัวรอต่างหาก”
“รออะไร”
“รอแฟน”
“ยังเห็นฉันเป็นแฟนอยู่เหรอ ส่งข้อความหายังไม่เห็นตอบ
นึกว่าเจอลูกค้าหล่อ ๆ จนเตลิดไปกับเขาแล้ว” ชาร์ลยีผมคนที่ทำหน้าดื้อใส่จนต้องเสยผมม้าขึ้นแล้วก้มไปจุ๊บเหม่งแรง
ๆ ให้หายมันเขี้ยว ก่อนจะโอบแก้มนุ่มนิ่มให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน
“เราวางโทรศัพท์ไว้ในลิ้นชักอะ
วันนี้ยุ่งมาก ๆ เลย”
“วันนี้ยุ่งมาก ๆ เลย”
“ห้ามล้อ”
มือนุ่มนิ่มเอื้อมขึ้นปิดปากอีกคนก่อนจะถูกจุ๊บจนเกิดเสียงชวนเขิน
แบคฮยอนรีบชักมือกลับ หน้าขึ้นสีจัดแล้วเอาหัวโขกแผงอกแกร่งก่อนจะซบลงไปแก้เขิน
“ชาร์ลกินข้าวหรือยัง?”
“ถ้าบอกว่ามารับไปกินด้วยกันคนแถวนี้จะจุ๊บเป็นรางวัลที่ถ่อหน้ามาหาตั้งไกลไหม?”
“ทำเพื่อหวังผลนี่” แบคฮยอนผละออกมาเล็กน้อยเพื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย
หัวใจเต้นตึกตักเลยตอนได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้
“เพิ่งรู้เหรอ?” คนฟังอมยิ้ม ก่อนจะเขย่งขาขึ้นจุ๊บปากอีกคนแช่ไว้แล้วผละออก
“คิดถึงเราล่ะสิ”
“ถ้าให้พูดความจริงคือฉันกำลังมีอารมณ์น่ะ”
“โหชาร์ลอะ ทำไมต้องลามกด้วย เวลาแบบนี้ควรพูดหวาน
ๆ ให้โรแมนติกสิ” แบคฮยอนขมวดคิ้ว ทำปากยื่นใส่อย่างออดอ้อนก่อนจะหลุดยิ้มออกมาทันทีที่อีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาจุ๊บซ้ำ
ๆ “เป็นอะไรเนี่ย วันนี้เมาจุ๊บเหรอ”
“ฉันเป็นแฟนนาย จะจูบ จะฟัด
จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเปล่า?”
“มันก็ได้” เขาทำปากมุบมิบขณะจ้องหน้าแฟนหนุ่มที่วันนี้เอาใจเกินไปจนผิดปกติ
ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็นอนอยู่ด้วยกันจนเกือบเช้าแท้ ๆ “แต่มันแปลกไปกว่าทุกวันนี่”
“คงเพราะวันนี้นายแต่งตัวน่าเขมือบ”
ชาร์ลยังคงพูดจาทะลึ่งตึงตัง
แต่แบคฮยอนกลับรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าในดวงตาคู่นั้นที่ไม่ได้มาพร้อมรอยยิ้ม
แววตาที่ทำให้เขาเป็นห่วง
“ชาร์ลเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“หืม? เปล่านี่?” คนตัวสูงขมวดคิ้วพลางส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างชัดเจน
และที่เป็นอยู่ตอนนี้นั่นแหละที่ทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังผิดปกติ
“ทะเลาะกับลุงอี้ฝานมาใช่ไหม?” ชาร์ลส่ายศีรษะปฏิเสธ “แล้วเป็นอะไร เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหม?”
ถึงตอนนี้เราจะเข้าใจกันมากกว่าเมื่อก่อนแต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ไม่กล้ารบเร้าเอาความจริง
แบคฮยอนรู้ว่าคนที่จะได้ฟังทุกเรื่องของชาร์ลคือจุนมยอน คนที่เป็นเพื่อนสนิท
คนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากรู้
แต่อีกใจก็กลัวจะเห็นอีกฝ่ายเงียบแล้วทิ้งความคาใจไว้ให้
แต่อย่าเป็นอย่างนั้นเลยนะ...
ปาร์คแบคฮยอนอยากเป็นทุกอย่างของชาร์ลี ฮอปส์จริง ๆ
“ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่ง่าย”
คนตัวเล็กเว้นจังหวะไปก่อนจะกุมมือแกร่งขึ้นมาระดับอก “แต่เป็นเพราะเราแคร์ชาร์ลไงถึงได้รู้”
“พูดจาน่ารัก” คนตัวโตยีผมเขาเบา ๆ แบคฮยอนไม่รู้ว่าเผลอแสดงสีหน้ากดดันไปหรือเปล่า
แต่เขาพยายามเก็บสีหน้าอย่างเต็มที่แล้ว “ใช่
ฉันมีเรื่องไม่สบายใจ”
คนตัวเล็กเงยหน้ามองอย่างตั้งใจและคาดหวัง
ถ้าชาร์ลบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นหัวใจคงวูบแล้วก็ทำหน้าหงอยให้อีกฝ่ายเห็นโดยไม่รู้ตัวแน่
ๆ แต่แล้วคนตรงหน้าก็ทำตรงข้ามกับความคิด เมื่อมืออุ่น ๆ กุมมือเขาขึ้นไปจูบเบา ๆ ก่อนจะสบตากัน
“เก็บร้านแล้วไปหาที่เงียบ ๆ นั่งคุยกัน แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลย”
70%
แบคฮยอนเงยหน้ามองท้องฟ้า มองความมืดมนบนนั้นซึ่งไร้กลุ่มดาวคอยส่องแสงประกาย
มันไม่เคยเงียบเหงาขนาดนี้กระทั่งเขาได้ยินเรื่องสะเทือนใจจากปากคนรัก
ชาร์ลขึ้นรถเมล์กลับไปแล้วหลังจากมาส่งถึงหน้าปากซอย
แต่เขากลับไม่กล้าเดินเข้าไปในทางยาวที่เคยเดินเข้าเดินออกเป็นประจำมาตลอดชีวิต ฝีเท้าหยุดยืนอยู่ใต้เสาไฟ
สายตาจ้องมองเงาตนเองระหว่างถูกความกังวลเล่นงาน มันกำลังต่อสู้กับคำสอนของลุงจงแดที่ว่า
‘เวลาเจอปัญหา
ลุงอยากให้แบคฮยอนมีสติ เพราะถ้าเราทำมันหายไป หรือปล่อยให้ตัวเองจมอยู่แต่กับปัญหา
ตอนนั้นเราจะทำอะไรไม่ได้จนเรื่องเล็กน้อยกลายเป็นใหญ่โต เรื้อรังจนยากที่จะแก้ไข’
เขาพยายามแล้ว
แต่หัวใจมันก็เต้นแรงเสียจนต้องยกมือขึ้นทาบ
ความคิดในหัววิ่งวนตีกันจนทำอะไรไม่ถูก นอกจากเหตุการณ์พ่อกับแม่ทะเลาะกัน...
เรื่องนี้คงเป็นอีกครั้งที่ทำให้แบคฮยอนกลัว
‘ฉันคงกลับไปอยู่ไมอามี่หลังจากจบมอปลาย’
‘ไหงงั้นล่ะ
ลุงอี้ฝานไม่ได้ให้ชาร์ลต่อมหาลัยที่นี่หรอกเหรอ?’
‘ตอนแรกก็เหมือนจะใช่ แต่อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้กับผู้ใหญ่ที่ถือเงินไว้ในมือ
ถ้าดีหน่อยก็อาจจะได้เรียนต่อ
แต่สำหรับเด็กผลการเรียนอย่างฉันที่พ่อก็ไม่ได้ประทับใจ
ไอ้ที่เรียกว่ามหาลัยก็ดูจะหวังไกลเกินไปหน่อย’
ตอนนั้นหัวใจมันชาวาบเหมือนมองเห็นเข็มนับหมื่นพันกระจายอยู่บนถนนเบื้องหน้าซึ่งเขาและอีกคนกำลังเดินอยู่
เคยคิดไว้เหมือนกันว่าสักวันหนึ่งชาร์ลอาจจะต้องกลับไมอามี่ แต่อีกใจก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงไม่เป็นอย่างนั้น
เราจะต้องได้อยู่ด้วยกัน
‘แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น
นายจะยังอยากคบกับฉันอยู่ไหม?’
‘อยากสิ ทำไมชาร์ลถามแบบนี้’
‘ระยะทางเกาหลีกับไมอามี่มันไกลกัน
นายทำใจได้เหรอที่ --’
‘เราทำได้’
‘แรก ๆ นายอาจจะทำได้ แต่พอนานไปล่ะ
เราต้องหมดเงินไปสักเท่าไหร่กว่าจะเก็บเงินค่าตั๋วเครื่องบินไปหากันได้’
‘ชาร์ลไม่ต้องเก็บ เราจะทำเอง
เราจะบินไปหาที่ไมอามี่... เพราะงั้นเราไม่เลิกนะ
ชาร์ลจะมาเซอร์ไพรส์เราที่บ้านพร้อมตุ๊กตา นอนกอดเราจนเกือบถึงเช้าแล้วจะบอกเลิกเราแบบนี้ไม่ได้
เราไม่ยอม’
ไม่เคยงอแงขนาดนั้น อันที่จริงแบคฮยอนเคยคิดอยู่บ่อยครั้งว่าถ้าหากวันหนึ่งไปกันไม่ได้จนต้องจบความสัมพันธ์
ตอนนั้นจะเป็นใครกันที่ต้องคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้และอ้อนวอนขอไม่ให้จากไป และตอนนี้เขาก็ได้รู้คำตอบแล้ว
ว่ามันคือปาร์คแบคฮยอนเองที่ทนไม่ได้
‘นายต้องเก็บเงินค่าตั๋วเครื่องบินเพื่อไปหาฉันถึงไมอามี่แค่อาทิตย์เดียว
แล้วก็กลับไปเจอฉันแค่ตอนเปิดกล้องวันละไม่กี่นาทีเพราะเวลาของเรามันสวนทางกัน
นายกลางวัน ฉันกลางคืน’
‘อือ เราจะทำ’
‘แตะต้องตัวกันก็ไม่ได้
ฉันกอดนายไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ มันเหนื่อย ไม่เข้าใจหรือไง’
‘เราเข้าใจทุกอย่าง
แต่เราแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมชาร์ลถึงยอมแพ้ง่ายแบบนี้’
‘เพราะฉันรู้ว่าฉันคงทนไม่ได้ไง...
โมจิ’
‘พยายามหน่อยสิ
เราไม่อยากทำมันคนเดียว เราอยากให้ชาร์ลเข้มแข็งแล้วผ่านมันไปด้วยกัน’
ตอนนั้นแบคฮยอนได้แต่ก้มลงมองมือตัวเอง
ก่อนจะเงยหน้ามองดวงตาคู่นั้นที่คงเจ็บไม่แพ้กัน ชาร์ลคงคิดมาอย่างดีแล้ว
คงกังวลอยู่คนเดียวมาตลอดหลังจากที่รู้ว่าลุงอี้ฝานคงไม่ให้อยู่เกาหลีตลอดไป
แต่เมื่อคืนผู้ชายคนนี้กลับกอดเขาไว้ และให้ความสบายใจเป็นความอบอุ่น
‘เดี๋ยวเราจะลองคุยกับลุงอี้ฝานก่อน...
ชาร์ลอย่าเพิ่งถอดใจนะ’
เขาคงเหมือนเด็กห้าขวบที่ร้องไห้ออกมาง่าย ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็อยากให้ชาร์ลเข้มแข็งและเชื่อใจว่าเขาจะพาอีกฝ่ายผ่านพ้นเรื่องนี้ไปให้ได้
‘มันไม่ง่ายหรอกโมจิ พ่อฉันน่ะ
--’
‘งั้นเราจะไปอยู่กับชาร์ลด้วย
เราจะไปเรียนที่นั่น เราจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ จะเรียนพิเศษเพิ่ม’
‘...’
‘เพราะงั้นอย่าคิดที่จะบอกเลิกเรานะ...
ไม่เอา...’
ใบหน้าของแฟนหนุ่มหล่อแค่ไหน
ตอนนั้นแบคฮยอนมองเห็นแค่ความพร่าเบลอ
กระทั่งชาร์ลเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะรั้งตัวเขาเข้าไปกอดพร้อมกดศีรษะลงให้ซบกับอกกว้าง
แบคฮยอนกอดอีกฝ่ายไว้แน่นราวกับกลัวว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาจะมีโอกาสได้ทำอย่างนั้นอีก
ท่ามกลางความเงียบในเวลาที่มีแต่ปัญหาล้อมอยู่โดยรอบ
เราต่างได้ยินแต่ความเสียใจของกันและกัน
‘พ่อนายรู้เรื่องของเราแล้ว’
‘...’
แบคฮยอนผละออกมาจากอ้อมกอด
มองหน้าคนรักที่กำลังบอกให้รู้ผ่านทางแววตาว่าเรื่องของเรามันยากกว่าที่คิดเอาไว้
‘พ่อ... รู้แล้วเหรอ?’
‘อืม’
‘...’
‘แล้วเขาก็...
ไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันทำกับนาย’
พ่อเป็นคนใจกว้างและเข้าใจโลกได้ดีกว่าใครในสายตาลูกชายอย่างแบคฮยอน
แต่พอถึงตอนนี้เขาเริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว มันเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่จุดขึ้นมาในใจว่าต่อให้พ่อจะเข้าใจโลกเป็นอย่างดี
แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ในสิ่งที่เขาเป็น
ลูกชายคนโตมักจะเป็นความหวังของบ้าน
แม้ว่าพ่อแม่จะไม่เคยกดดัน
แต่สิ่งแวดล้อมรอบข้างก็บ่มเพาะให้แบคฮยอนบอกตัวเองเสมอว่าต้องทำให้ท่านทั้งสองภูมิใจให้ได้
และการที่เขาเป็นแบบนี้... พ่อก็คงจะผิดหวังอยู่ไม่น้อยสินะ
ได้ยินเสียงพากย์ฟุตบอลทันทีที่เปิดประตูเข้าบ้าน
แบคฮยอนหยุดฝีเท้าอยู่ตรงนั้น มองผู้ให้กำเนิดที่ค่อย ๆ หันมา
ด้วยแววตาที่ลูกชายอย่างเขาพอจะเข้าใจอะไรได้บ้าง
“กลับมาแล้วเหรอลูก เหนื่อยไหม?”
แต่ถึงอย่างนั้น พ่อก็ยังยิ้มและถามไถ่ถึงเรื่องนี้ก่อนเสียอีก
“พ่อครับ” คนตัวเล็กกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
เขาไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่กำลังจะพูดออกไป มันจำเป็นต้องเตรียมใจไว้ก่อนหรือไม่
สำหรับคน ๆ นั้นที่เรียกว่าพ่อ คนที่แบคฮยอนรักและเชื่อใจมาตลอดชีวิต “ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
*
ชิงช้าหน้าบ้านที่ทำไว้ตั้งแต่ลูกชายคนแรกยังไม่เกิด
ตอนนี้เขากับพ่อกำลังนั่งแกว่งมันข้าง ๆ กันอย่างเชื่องช้าเพื่อปล่อยให้ใจผ่อนคลายไปกับบรรยากาศในเวลานี้
โบยอนหลับแล้ว และนั่นหมายความว่าจะไม่มีเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วคอยขัดจังหวะในช่วงเวลาที่แบคฮยอนกำลังจะพูดเรื่องจริงจังที่สุดในชีวิต
“ดูนี่สิ”
คนตัวเล็กหันไปตามแสงสว่างจากจอสมาร์ทโฟน
เผยให้เห็นคลิปวิดีโอที่กำลังเล่นบนมือของพ่อ ในนั้นมีเด็กตัวเล็ก ๆ
คนหนึ่งกำลังเดินเตาะแตะไปเกาะกับชิงช้า
โดยมีเสียงของใครอีกคนคอยให้กำลังใจอยู่เบื้องหลังของคลิปวิดีโอนี้
คุณแม่ยังสาวยืนอยู่ไม่ห่างจากเด็กคนนั้นมากนัก
เธอดูกังวลไม่น้อยจึงหันมาพูดกับคนถือกล้องว่า ‘จะดีเหรอคะ หนูกลัวลูกตกชิงช้า’
ชายที่อยู่เบื้องหลังกล้องจึงพูดว่า ‘ไม่ต้องกลัวหรอก
เราควรปล่อยให้ลูกรู้ว่าการเจ็บจากความสนุกเป็นยังไง และหลังจากที่ลูกเจ็บ ลูกจะได้เรียนรู้ว่าแบบนี้มันทำให้เจ็บนะ
คราวหน้าลูกก็จะระวังตัวไปเองโดยที่เราไม่ต้องบอก’
ยังไม่ทันขาดคำ
เจ้าตัวเล็กก็ปีนขึ้นไปบนชิงช้าและพลาดตกลงไปก้นจ้ำเบ้า กล้องค่อย ๆ ซูมเข้าไปใกล้
ๆ ดวงตากลมโตคู่นั้น จับภาพนิ่งใบหน้าเรียบเฉยไร้เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างนึกสนุกเช่นก่อนหน้านี้
‘อย่าเข้าไป แบคฮี’ เสียงคนถือกล้องพูด หญิงสาวคนนั้นจึงหยุดฝีเท้า
‘ลุกขึ้นครับแบคฮยอน
เล่นชิงช้ากันต่อนะ’
เด็กคนนั้นคงฟังไม่รู้เรื่อง
แต่อาจเป็นเพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำและคาดว่ามันคงมาพร้อมรอยยิ้มของคนถือกล้อง
เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่ประสีประสาจึงลุกขึ้นยืนโดยไร้การบีบน้ำตา ก่อนจะปีนขึ้นชิงช้าอีกครั้ง
โดยมีสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของแม่จับจ้องมองอยู่ตลอด
“พ่อเก็บคลิปนี้ไว้ตลอดเลยเหรอ”
คนถูกถามขานตอบในลำคอพร้อมรอยยิ้ม
ก่อนจะกดปิดหน้าจอมือถือแล้วสบตากับเขา “ของชานอีกับโบยอนก็มีนะ
เปิดดูตอนเหนื่อย ๆ มันช่วยได้เยอะเลย”
ได้ยินอย่างนี้ยิ่งใจชาวาบ
แบคฮยอนกำราวโซ่จนมือเจ็บแต่มันคงน้อยกว่าความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่หัวใจกำลังจะสลายเพราะลูกชายอย่างเขา
พ่อรักเราสามคนมาก ไม่เคยทำให้เสียใจเลยสักครั้ง เรื่องนี้คนตัวเล็กรู้ดีมาตลอด
แล้วตอนนี้มันอะไรกัน
“ผมขอโทษครับ...” คนข้าง ๆ ไม่ได้ตอบอะไร แบคฮยอนมองเห็นเพียงกางเกงสแล็คของพ่อ
ก่อนจะรู้สึกได้ถึงฝ่ามือใหญ่ที่วางลงบนศีรษะตน พ่อก็คงพูดอะไรไม่ออก
และมันต้องเป็นหน้าที่ของคนตัวเล็กที่ควรรับผิดชอบกับเรื่องทั้งหมด
“พ่อจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น
แต่ถ้าหลังจากนี้ลูกยังร้องไห้อีกพ่อจะนับแล้วนะ”
“พ่อโกรธผมหรือเปล่าครับ...” แบคฮยอนช้อนตามองคนข้าง ๆ และเขาไม่รู้ว่าพ่อกำลังมองมาด้วยแววตาแบบไหน
“ที่ผม... เป็นแบบนี้”
คนเป็นพ่อไม่ได้ตอบในทันที
ปาร์คชานยอลเพียงนิ่งไปเพื่อให้ลูกชายได้เช็ดน้ำตาก่อนจะฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด
“พ่อไม่ได้โกรธ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตกใจ”
“ผมควรจะบอกตั้งแต่แรก...
ขอโทษที่มีความลับนะครับ”
“พ่อไม่ได้คิดที่จะให้ลูกเล่าทุกอย่างให้ฟัง
ทุกคนในโลกมีความลับทั้งนั้น แต่แบคฮยอน ถ้ามันไม่ลำบากเกินไปพ่อก็อยากให้ลูกปรึกษาพ่อบ้างสักนิด”
“ผมขอโทษ... ที่ผมไม่บอกก็เพราะผมกลัวพ่อจะผิดหวังเพราะคนที่ผมเลือกเป็นผู้ชายด้วยกันมากกว่าจะเป็นผู้หญิง”
“กลายเป็นคนคิดแทนพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชานยอลใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาออกให้ลูกชายคนโตอย่างเบามือ
“ผมกลัวพ่อจะผิดหวังในตัวผมที่เป็นลูกชายคนโต”
“พ่อไม่ได้ให้แบคฮยอนเกิดมาเพื่อเป็นความหวังของพ่อ
พ่อกับแม่ตั้งใจให้ลูกเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต”
“...”
“อยากเป็นอะไรลูกเป็นได้เลย
ไม่ต้องแบกคำว่าความหวังของพ่อกับแม่ไว้บนบ่า แต่ที่พ่อบอกว่าอยากให้ปรึกษาก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ส่งผลถึงอนาคตของลูก
พ่อสอนเราทั้งสามคนไปยังไง วันนี้พ่อก็ยังคอยมองอยู่ตลอด ชานอีชอบพาผู้หญิงเข้าบ้านตอนที่พ่อกับแม่ไม่อยู่
มันทำให้พ่อเป็นกังวลว่าเขาจะพลาดจนทำผู้หญิงเสียอนาคต ส่วนเรา... แบคฮยอน”
เจ้าของชื่อตั้งใจฟังทั้งน้ำตาคลอ
คนเป็นพ่อถอนหายใจเบา ๆ เพราะลูกชายคนนี้เป็นคนเดียวที่กังวลน้อยมากที่สุด
แต่วันนี้เขากลับต้องพูดเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
“กับผู้ชายด้วยกันมันเสี่ยงต่อการติดโรคได้มากกว่า
ถ้าลูกกับชาร์ลีมีความสัมพันธ์กันไปไกลถึงขั้นนั้นแล้วพ่อก็อยากให้ลูกยึดเรื่องนี้ไว้
อีกอย่าง... ใช่ พ่อกังวล เพราะเราต่างก็รู้ว่าชาร์ลีเป็นคนยังไง เขาเคยเป็นเด็กมีปัญหา
ต่อต้านทุกคนมาก่อน” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “พ่อกลัวเขาจะรักลูกแค่ตอนนี้”
“ผมไม่รู้ว่าผมกับชาร์ลจะไปได้ไกลแค่ไหน
เพราะผมคิดแค่ว่าจะทำวันนี้กับพรุ่งนี้ให้ดีครับ...”
“ลูกต้องคิดนะแบคฮยอน
อีกคนไม่ใช่คนอื่นที่จะเลิกกันแล้วหายไปจากชีวิตเราได้ เขาคือลูกชายลุงอี้ฝานเพื่อนสนิทพ่อ
ในอนาคตหรือสักวันหนึ่งเราอาจจะต้องกลับมาเจอหน้ากันอีก
พ่ออยากให้ลูกคิดอะไรให้กว้าง ๆ”
“ผมขอโทษครับ...
ต่อไปนี้ผมจะคิดให้มาก ๆ เพราะงั้น... พ่ออย่าห้ามผมคบกับชาร์ลได้ไหม...”
“ไม่ลูกไม่ พ่อไม่เคยคิดที่จะห้ามลูกสองคนคบกันเลย
ทำไมถึงพูดอย่างนั้น?” ชานยอลขมวดคิ้วมองคนที่กำลังสะอื้นจนไหล่สั่น
ก่อนจะลุกไปนั่งยอง ๆ ตรงหน้าลูกชายคนโตพร้อมกุมมือเล็กเอาไว้ “ที่พ่อพูดก็เพราะอยากให้ลูกป้องกัน อยากให้คิดถึงอนาคตก็เท่านั้นเอง”
“แต่ชาร์ลบอกว่าวันนี้พ่อไปหาที่บ้าน
แล้วก็บอกว่าพ่อไม่เห็นด้วยที่ผมกับเขาจะคบกัน พ่อแกล้งพูดให้ผมดีใจเฉย ๆ
หรือเปล่า”
เขาไม่เคยเห็นแบคฮยอนร้องไห้สะอื้นงอแงแบบนี้นอกเสียจากตอนถูกชานอีแกล้ง
แต่คราวนี้ดวงตาคู่นั้นกำลังมองมาอย่างคาดหวัง และแน่นอนว่าคนเป็นพ่อจะไม่มีวันทำให้ลูกเสียใจ
เพราะเขาได้ตั้งปฏิญาณตนไว้ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าแบคฮีตั้งท้องแล้ว
แต่เดี๋ยวนะ... คำว่า ‘ไม่เห็นด้วยที่จะคบกัน’ นั่นน่ะ มันอะไรกัน?
“พ่อน่ะเหรอพูดอย่างนั้น?” หลังจากที่เขาพูดจบ ลูกชายก็พยักหน้าเร็ว ๆ
“พ่อกับลุงอี้ฝานวางแผนจะจับชาร์ลแยกไปจากผมจริง
ๆ เหรอ พ่ออย่าทำแบบนั้นนะ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ จะให้เจอกันอาทิตย์ละครั้งก็ยอม
แต่อย่าให้ชาร์ลกลับไปอยู่ไมอามี่เลยนะ ผมกลัวลุงอี้ฝานไม่ให้ชาร์ลเรียนต่อ
กลัวเขาต้องไปทำงานลำบากทั้งที่ยังไม่ได้วุฒิปริญญาตรี”
แบคฮยอนพ่นความในใจออกมาทั้งน้ำตาจนคนฟังแทบจับใจความไม่ได้
คนเป็นพ่อขมวดคิ้วพลางเลียริมฝีปากเพื่อตั้งสติ พยายามนึกถึงตอนพาตัวเองไปบ้านปู่
ตอนนั้นเขานั่งดื่มกับชาร์ลี
แต่สาบานได้เลยว่าเหล้าเพียงไม่กี่จอกนั้นไม่ได้ทำให้เขาเมาจนถึงขั้นพูดเรื่องร้ายแรงออกไป
‘ที่พูดอ้อมค้อมอยู่นานก็เพราะสงสารผมสินะ’
‘คำนั้นมันแรงเกินไปสำหรับเรื่องที่อาคิดอยู่’
‘อาไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีตลอดเวลาก็ได้
โดยเฉพาะตอนที่เป็นห่วงอนาคตของแบคฮยอน
คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงอยากให้ลูกชายแต่งงานมีลูกออกมาสืบทายาทให้อยู่แล้ว’
‘อาชอบที่นายเป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้’
‘...’
‘แน่นอนว่าอาเป็นห่วงแบคฮยอน
เพราะส่วนหนึ่งนายไม่ได้ให้ความมั่นใจกับอาและอาแบคฮีเลย นายยังทำตัวลอยไปลอยมา
ไม่สร้างหลักปักฐานให้กับชีวิตตัวเอง แล้วในอนาคตจะทำยังไง ชาร์ลี?
อาไม่ได้คิดไปถึงเรื่องดูแลแบคฮยอนหรอก
เพราะถ้าคบกันยืดยาวเกินคำว่ารักวัยเด็กไปแล้ว อาก็อยากให้ทั้งคู่ดูแลกันและกัน’
‘...’
‘อาไม่โกรธถ้าแบคฮยอนชอบผู้ชายจนกลับไปชอบผู้หญิงไม่ได้อีก
อายินดีด้วยซ้ำถ้าเขาเจอคนที่ใช่ เจอคนที่คิดว่าจะรัก แต่ที่อามาวันนี้ก็เพราะอาอยากรู้ว่านายชัดเจนกับความรักครั้งนี้มากแค่ไหน’
‘ผมอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก
แต่ผมรู้แค่ว่าถ้าอามาที่นี่เพื่อจะขัดขวาง ผมก็จะพาแบคฮยอนหนี’
‘ชาร์ลี นายไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว
ถ้าหนีไปแล้วยังไง จะหางานทำทั้งที่ยังไม่จบมอปลายเงินเดือนมันจะสักเท่าไหร่กัน?’
‘งั้นก็อย่าห้าม
เพราะผมจะไม่มีวันเลิกกับแบคฮยอนเด็ดขาด’
‘...’
‘ไม่มีใครหยุดผมได้
ถ้าอาอยากรู้ก็ลองดู’
“พ่ออย่าส่งชาร์ลไปไมอามี่นะ...”
“พ่อไม่ส่งแน่นอน ฟังพ่อก่อนแบคฮยอน”
ชานยอลโอบใบหน้าอีกฝ่ายให้สบตากัน
เห็นลูกชายคนโตร้องไห้สะอึกสะอื้นจนน่าสงสารแบบนี้หัวใจคนเป็นพ่อก็บางเป็นกระดาษ
เขาไม่เคยตีลูกเลยสักครั้ง มีแต่จะทะนุถนอมเพราะแบคฮยอนเป็นลูกชายคนแรก
เป็นเด็กดีมาตลอด เป็นคนที่ทำให้เขาและแบคฮีได้เรียนรู้การเป็นพ่อเป็นแม่คน
“พ่อไม่เคยพูดแบบนั้น
พ่อว่าชาร์ลีคงเข้าใจอะไรผิด”
“...อะไรนะครับ”
“พ่อไปเพื่อบอกให้ชาร์ลีเอาจริงเอาจังกับชีวิตให้มากขึ้น
พ่อไม่อยากให้ลูกสองคนคบกันแบบเด็ก ๆ ที่เดี๋ยวเดียวก็หมดรักแล้วเลิกกันมันก็เท่านั้นเอง”
“แต่ชาร์ล...”
“พ่อเคยโกหกลูกเหรอ?” ตอนนี้บนหัวเริ่มร้อนปุด ๆ ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ยิ่งเห็นสีหน้างง ๆ
ของลูกชายคนโตที่ดวงตาคลอไปด้วยหยดน้ำใสก็ยิ่งฉุน เขาไปเพื่อคุยดี ๆ
แต่ไหงกลับออกมาเป็นอีท่านี้
“ไม่ครับ ไม่เคย”
“แล้วชาร์ลีล่ะ เขาเคยโกหกลูกหรือเปล่า?” คนถูกถามนิ่งไปครู่หนึ่งพลางกระพริบตา ก่อนจะพยักหน้าเร็ว ๆ
“เคยครับ บ่อยด้วย”
“แล้วลูกคิดว่าเรื่องนี้ใครพูดจริงใครโกหก?”
อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเสียน้ำตาไปอย่างเปล่าประโยชน์
เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อซึ่งดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
คนตัวเล็กนั่งนิ่งพลางนึกย้อนไปถึงก่อนหน้านี้
นึกไปถึงสีหน้าอมทุกข์ของแฟนหนุ่มที่แสดงอย่างสมจริง แต่พอมาคิดอีกทีก็รู้สึกว่ามันแปลก
ๆ ไปหน่อย
เพราะถ้าเป็นชาร์ล... ก็ไม่น่าจะยอมแพ้อะไรง่าย
ๆ แบบนั้นไม่ใช่เหรอ
“หมายความว่าพ่อไม่ได้ห้ามคบกัน
แล้วชาร์ลก็ไม่ต้องกลับไมอามี่ใช่ไหมครับ?”
“พ่อเพิ่งคุยกับอี้ฝานไปเมื่อวันก่อนเองว่าจะทำยังไงถึงจะให้ชาร์ลีเข้ามหาลัยเดียวกับลูกได้” คนเป็นพ่อถอนหายใจแรง ๆ ระหว่างที่ลูกชายคนโตกำลังทำตัวไม่ถูก “พ่อขอไปอาบน้ำนอนก่อนที่ไมเกรนจะขึ้น”
“ครับ... ราตรีสวัสดิ์นะครับพ่อ” แบคฮยอนมองตามแผ่นหลังกว้างขณะที่ยังเรียกสติกลับมาได้ไม่ครบ เดี๋ยวนะ...
ที่กังวล ที่ร้องไห้จนเหมือนคนบ้าสองสามรอบนั่นมันอะไรกัน
คนตัวเล็กกดเปิดกล้องหาแฟนหนุ่มที่เขารู้ดีว่าตอนนี้คงยังไม่นอน
ไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่ได้ความจริงคืนนี้เขาต้องนอนไม่หลับแน่
แบคฮยอนรู้ว่าพ่อไม่มีทางโกหก แต่ชาร์ลจะเล่นแรงขนาดนั้นเลยหรือไงกัน
“ชาร์ล เปิดไฟเดี๋ยวนี้”
( เสียงเข้มมาเลย... ฉันเปิดไม่ได้หรอกจะนอนแล้ว )
“อย่ามาโกหก
เรารู้ว่าชาร์ลยังไม่นอน” แบคฮยอนเพ่งมองความมืดในจอ
แต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดที่จะเปิดไฟเพื่อให้เขาได้จับโกหกผ่านทางสีหน้า
( นี่อยู่ไหน ทำไมไม่เหมือนในห้อง )
“เราอยู่หน้าบ้าน ชาร์ล เปิดไฟ”
( แอบร้องไห้อยู่เหรอ
เข้าบ้านได้แล้วเดี๋ยวยุงกัด )
“ให้มันกัดจนเราตายไปเลย
เปิดไฟเดี๋ยวนี้นะ” ไม่ชอบคนงี่เง่า
และแบคฮยอนก็ไม่อยากเป็นคนงี่เง่าด้วย แต่ถ้าชาร์ลยอมให้เห็นหน้าเพื่อให้รู้ว่ายังเสียใจเหมือนไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาก็คงไม่ร้อนรน
( ทำไมต้องขึ้นเสียง ฉันกำลังเสียใจอยู่นะ )
“เสียใจอะไรอะ ไหนบอกว่าพ่อเราไม่เห็นด้วยไง
พ่อเราไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยนะ”
( อ่า นั่นสินะ อาชานยอลคงหน้าเสียเลย )
“หน้าเสียอะไร?”
( ก็ตอนที่นายร้องไห้แล้วบอกว่าอย่าให้เลิกกันนั่นน่ะ
อา... ภาพตอนอาชานยอลพยายามโอ๋นายมันทำให้ฉันทั้งขำแล้วก็เอ็นดู )
“เดี๋ยวนะ”
แบคฮยอนลุกขึ้นยืนพร้อมกวาดสายตาไปโดยรอบหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้
( ฉันไม่ได้อยากแกล้งนายหรอกนะที่รัก
แต่ว่าพ่อนายชอบทำเข้ม ทำหล่อ พูดจาวกไปวนมา วางท่าจนน่าหมั่นไส้
ฉันก็เลยให้บทเรียนเขาสักหน่อย )
คนตัวเล็กยังคงระแวง
กวาดมองไปตามพุ่มไม้หน้าบ้านก่อนสายตาจะหยุดอยู่ข้างรั้วซึ่งมีเงาตะคุ่ม ๆ อยู่
ก่อนเงาดำนั้นจะสูงขึ้นพร้อมเอาแสงสว่างจากจอมือถือส่องใต้คางตัวเอง
เพื่อให้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เห็นว่าใบหน้าของผู้ชายคนนั้นทะเล้นแค่ไหน
“ชาร์ล!!!”
( อย่าโกรธกันนะ ล้อเล่นนิดเดียวเอง )
“ล้อเล่นงั้นเหรอ เราไม่ตลกเลยนะ เดี๋ยว
-- นั่นชาร์ลจะไปไหน กลับมานี่ก่อน!!!” แบคฮยอนเบิกตากว้าง
มองแฟนหนุ่มที่มูนวอล์คถอยไปพร้อมขยิบตาให้ และแน่นอนว่าเขาไม่ยอม!!!
เด็กหนุ่มตัวสูงตัดสายพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดีหลังจากแผนการทุกอย่างสำเร็จ
จริงอยู่ว่าการแกล้งแฟนจนร้องไห้มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่มันก็คงมีข้อยกเว้นไว้บ้างสำหรับคนที่มีจุดมุ่งหมายมาแต่แรกแล้วว่าแกล้งน้องน้อยให้ร้องก่อนแล้วค่อยโอ๋
กว่าจะเล่นละครให้สมจริงได้ขนาดนั้น
กว่าจะกลั้นขำตอนได้ยินเสียงพ่อง้อลูกได้ ชาร์ลี ฮอปส์ต้องใช้ความอดทนมากเท่าไหร่ใครบ้างจะเข้าใจ
‘บ้านมีหูประตูมีตา หลังจากนี้ห้ามปีนเข้าทางหน้าต่างอีก
จะคบกับลูกชายอาก็ต้องให้เกียรติกันด้วย’
ก็ถ้าไม่ทำเข้มเหมือนปลัดหวงลูกสาวแบบนั้นก็คงยอมเป็นลูกเขยที่น่ารักให้อยู่หรอก...
“ชาร์ล หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“ก็ยืดขาให้ยาวสิจะได้ตามทัน”
“เราจะฆ่าชาร์ลให้ตายวันนี้เลย!!!”
คนถูกขู่หลุดยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีก่อนร่างกายจะเซไปข้างหน้าเพราะเจ้าตัวเล็กกระโดดขี่หลังพร้อมใช้แรงอันน้อยนิดรัดคอเขา
กลิ่นของน้องน้อยช่างหอมเหลือเกิน กลิ่นของความซื่อ ความน่ารัก
และความพยายามที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าปาร์คแบคฮยอนรักผู้ชายไม่มีอะไรสักอย่างเช่นชาร์ลี
ฮอปส์มากแค่ไหน
“เอาถึงขั้นตายเลยเหรอ ใจร้ายว่ะ”
“อือ
โทษฐานที่โบ้ยความผิดให้พ่อเรา แล้วก็ทำเราเสียใจไปตั้งหลายชั่วโมง”
“โทษ งั้นจูบง้อได้ปะ” เขาหันไปกระซิบถามพร้อมสอดแขนเข้าใต้ข้อพับขาน้องน้อย
พร้อมกระชับให้ขึ้นหลังในท่าที่สบายตัว
“ไม่” เสียงอู้อี้ในลำคอยังคงเรียกรอยยิ้ม
บอกเลยนะว่าถ้าร้องไห้อีกจะจับฟัดมันข้างทางเนี่ยแหละ ชอบทำตัวน่ารังแกนัก
“งั้นให้หยิกสิบที”
“น้อยไป”
“เรื่องมาก แฟนใครวะ”
“แฟนชาร์ลนั่นแหละ ไอ้บ้า”
“โห เดี๋ยวนี้หัดหยาบคายนะ
เดี๋ยวทิ้งลงถังขยะซะเลยดีไหม -- โอ๊ย!!!” ทั้งบ่นทั้งหลุดขำหลังจากถูกทุบด้วยมือเล็ก
ชาร์ลหันไปฟัดแก้มนุ่มนิ่มแรง ๆ ก่อนจะถูกทุบอีก เขาทำอย่างนั้นซ้ำ ๆ
โดยไม่กลัวเจ็บ จนกลายเป็นน้องน้อยเองที่ยอมเบาแรงไป
“ห้ามเล่นแบบนี้อีกนะ...
สัญญากับเราก่อน”
“อือ ไม่ทำแล้ว ขอโทษ” ชาร์ลปล่อยแขนซ้ายออกใต้ขาพับเพื่อเกี่ยวก้อยสัญญากับคนตัวเล็ก
และเจ้าลิงน้อยก็ตวัดเกี่ยวขาเข้ากับเอวเขาราวกับกลัวว่าจะตกลงไป
“ห้ามบอกว่าจะเลิกด้วย
เพราะเราไม่เลิก อันนี้ก็เกี่ยวก้อยนะ”
“เด็กจริง ต่อให้ตายลงนรกก็ตามไปคบด้วยงี้เหรอ
โคตรเฮี้ยน”
“อือ เราเป็นแฟนที่เฮี้ยน” มันเขี้ยว อยากจับปากนุ่มนิ่มมาจูบแรง ๆ เอาให้พูดจาแบบนี้ไม่ได้ไปอีกสักพัก
“น่ารักจริงโว้ย แฟนใครวะ”
“เราเป็นแฟนชาร์ล!”
“ให้มันดังกว่านี้”
“เราเป็นแฟนชาร์ล!!! เรารักชาร์ล!!!”
ได้ยินเสียงหัวเราะของแฟนหนุ่มหัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาก็พองโตขึ้นมา
แบคฮยอนกระชับกอดรอบคอขณะที่คนตัวโตกำลังเดินไปตามทางเนินอย่างเชื่องช้า
เขาไม่ได้ถามว่า ‘เรากำลังจะไปไหน’ เพราะไม่ว่าฝีเท้าคู่นี้จะหยุดอยู่จุดไหนของโลก
ไม่ว่ามันจะดึกสักเท่าไหร่ แบคฮยอนคนนี้ก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเสมอ
“คิดว่ารักอยู่คนเดียวหรือไง
ก็รักเหมือนกันล่ะวะ”
TBC
ยังไม่ได้ทำอะไรเปนทางการ ก็ไปกวนตีนพ่อตาแระ
ถ้าพ่อตาหร่อนเฮี้ยน หร่อนคงไม่ก้าแซ่บ-ลิ้นแบบนี้หรอก
ทัมมาเปง
ส่วนทางคุนพ่อก็ ขี้โอ๋ลูก หัวแก้วหัวแหวนสุด
ชานอีบอก แร้วกุล่ะพ่อ แคกุมั่งไหม ตัดภาพไปที่โบยอน น้องบอกอย่ายุ่ง น้องจะนอน
ปล. เพิ่งกลับมาจากเกาหรี ไม่ได้อัพฟิคนานมาก
จนมีน้องดีเอมมาถามว่า พี่คะ พี่ยังเขียนฟิคอยุ่ไม๊ จิตใจตอนนั้นแบบ เอนดู พี่อยากบอกน้องว่า
พี่ยังเขียนต่ออยุ่นะ อื่อ
ความคิดเห็น