ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง
ชาวสกลนครมีการฉลองเทศกาลออกพรรษาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากจังหวัดอื่น ๆ ด้วยการสร้าง “ ปราสาทผึ้ง ” ถวายเป็นพุทธบูชาโดยยึดคติความเชื่ออยู่ 2 กระแส คือที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นเวลาผู้คนและเป็นของสูง หากเป็นที่ประทับของพระราชาก็เรียกว่า พระราชวัง ถ้าเป็นที่อยู่ของเศรษฐีก็เรียกว่า คฤหาสน์ ส่วนสถานที่จำพรรษาของพระภิกษุสามเณรนิยมเรียกว่า กุฏิ สำหรับที่อยู่ของคนธรรมดาสามัญพากันเรียกว่า บ้าน
ส่วนความเชื่ออีกกระแสหนึ่ง สืบเนื่องมาจากครั้งพุทธกาลได้มีพระภิกษุชาวโกสัมพีเกิดทะเลาะวิวาทกัน ระหว่างพระธรรมธรฝ่ายหนึ่งกับพระวินัยธรอีกฝ่ายหนึ่ง แม้พระพุทธองค์ทรงตักเตือนสักเท่าใดก็ไม่ฟัง จึงเสด็จหนีความรำคาญเหล่านั้นไปพักอยู่ที่ป่ารักขิตวัน ซึ่งที่ป่านั้นมีพญาช้างและพญาวานรคอยเป็นอุปัฏฐากพระพุทธองค์ โดยพญาช้างมีหน้าที่ตักน้ำ ส่วนพญาวานรเป็นผู้หาผลไม้มาถวายเป็นประจำตลอดพรรษา
อยู่มาวันหนึ่งพญาวานรได้ไปพบรวงผึ้งบนต้นไม้เข้า จึงเก็บมาถวายแด่พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับรวงผึ้งนั้นแล้วทำให้พญาวานรดีใจมาก ถึงกับกระโดดโลดแล่นไปบนต้นไม้กระโจนไปมาบนคาคบ เกิดพลาดพลัดตกลงมาถึงแก่ความตาย ด้วยอานิสงส์จากการได้ถวายรวงผึ้งแด่พระพุทธเจ้า ทำให้พญาวานรได้ไปเกิดเป็นพรหมบนสวรรค์ด้วยความเชื่อทั้งสองกระแสจึงเป็นที่มาของประเพณีปราสาทผึ้ง
เครื่องประกอบพิธีดังนี้
1. ปราสาทผึ้ง
2. แคน ดีดพิณ ซอ ฆ้อง และ กลอง
3. ทำบุญตักบาตร
4. ขบวนแห่ปราสาท
5. พระธาตุเชิงชุม
ขั้นตอนในการประกอบพิธี
โดยชาวสกลนครเอารวงผึ้งที่คั้นน้ำออกแล้วต้มให้เปื่อย ทำเป็นดอกไม้ต่างๆมาสร้างเป็นปราสาท ซึ่งก่อนนั้นทำกันอย่างง่ายๆคือเอากาบกล้วยมาทำเป็นโครงปราสาทร้อยให้ติดต่อกันด้วยตอกไม้ไผ่ เรียกว่า "แทงหยวก" จากนั้นประดับด้วยดอกผึ้งเป็นลวดลายต่างๆรวมทั้งเครื่องประดับอันได้แก่ ไม้ขีด กระดาษ ดินสอ ผ้าฝ้ายและผ้าแพร ฯลฯ
ในวันขึ้น14ค่ำ เดือน11เป็นวันโฮม หรือวันรวมปราสาทผึ้งจากคุ้มต่างๆที่บริเวณวัด แต่ละคุ้มจะอยู่ซุ้มใครซุ้มมันรอบกำแพงวัด พอค่ำลงมีบรรดาหนุ่มๆจะมาเป่าแคน ดีดพิณและสีซอเดินเป็นกลุ่มๆไปรอบคุ้ม หนุ่มที่หมายตาสาวใดไว้ก็จะเข้าไป "แอ่ว" หรือจีบได้ โดยพ่อแม่ของสาวจะไม่ขัดขวางเหมือนวันปกติ
รุ่งขึ้นจะมีการทำบุญตักบาตร เสร็จแล้วจัดขบวนแห่ปราสาทผึ้งแค่ละขบวนจะแห่ด้วยเกวียน ใช้คนเทียมแทนวัวควาย นางฟ้าปราสาทผึ้ง(ปัจจุบันเรียกเทพี)จะนั่งอยู่ตอนหน้าของเกวียน ตรงกลางเป็นปราสาทผึ้ง ขบวนแห่มีพิณ ฆ้อง กลองตามด้วยคนหนุ่มคนสาวและเฒ่าแก่ ประนมมือถือธูปเทียนแห่รวบพระธาตุเชิงชุมจนครบ 3 รอบเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ในปัจจุบันการทำปราสาทผึ้งและขบวนแห่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากรูปทรงของตัวปราสาทผึ้ง และการประดับประดาได้วิจิตรพิสดารมากมีการออกแบบลวดลายต่างๆไม่เหมือนในอดีต ขบวนแห่ที่เคยใช้เกวียนก็เปลี่ยนเป็นรถยนต์และเปลี่ยนสถานที่รวมขบวนจากบริเวณวัดมาอยู่ที่สนามมิ่งเมือง แต่ละปีจะมีขบวนแห่ยาวเป็นสิบกิโลเมตร มีสิ่งแปลกๆใหม่ๆเพิ่มขึ้นในขบวนแห่ปราสาทผึ้งคือ การแสดงเกี่ยวกับประเพณีโบราณของอีสาน เช่น การบุญข้าวสาก การตำข้าว การปรุงยาสมัยโบราณ รำมวยโบราณ การทำบุญข้าวประดับดิน และการปลุกพระ ตลอดจนถึงการแสดงนรก สวรรค์ ว่าคนที่ตกนรกทุกข์ทรมานอย่างไร และคนที่ขึ้นสวรรค์จะได้รับความสุขแค่ไหน หลังจากที่มีการทอดถวาย
ปราสาทผึ้งแล้ว วันรุ่งขึ้นจะมีการแข่งเรือกันที่หนองหาน สำหรับการแข่งเรือนั้นเดิมเป็นการแข่งเอาความสนุกสนานและสืบทอดประเพณีปัจจุบันเป็นการแข่งขัน เพื่อช่วงชิงรางวัลกันมากกว่า การแห่ปราสาทผึ้งของชาวสกลนครเป็นประเพณีเก่าแก่ ดังที่ เจริญ ตันมหาพรานได้กล่าวไว้ว่า มีหลักฐานปรากฏอยู่ในตำนานเมืองหนองหาน ( คือสกลนครในปัจจุบัน ) ในสมัยขอมเรืองอำนาจและปกครองเมืองหนองหาน ในแผ่นดินพระเจ้าสุวรรณภิงคาระ ได้โปรด ฯ ให้ข้าราชบริพาร จัดทำต้นเผิ่ง ( ต้นผึ้ง ) ขึ้นในวันออกพรรษา เพื่อแห่แหนคบงันที่วัดเชิงชุม ( ปัจจุบันเรียกกันว่าวัดพระธาตุเชิงชุมวรมหาวิหาร ) จากนั้นเมืองหนองหานได้จัดทำปราสาทผึ้งติดต่อกันมาทุกปี
( เจริญ ตันมหาพราน‚ 2536 : 165 )
ติดตามประเพณีเพิ่มใด้ในบล็อคค่ะ
สาขาวิชาภาษาไทย ศศ.บ.
ราชภัฏเชียงใหม่
ความคิดเห็น