ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] SDD : Sleep , Deep , Death [MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 11 [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.77K
      13
      26 ก.พ. 58





    “ครับแม่ ครับ ผมอยู่กับเด็กโจอี้ของแม่แหละครับ ครับ..ระวังอยู่ครับ ครับ..เจอกันพรุ่งนี้ครับแม่”


    ยูคยอมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์พลางมองไปที่คนตัวเล็กกว่าที่นั่งใส่แว่นเขียนหนังสืออย่างขะมักเขม้น ก่อนที่จะเก็บสมาร์ทโฟนเครื่องสวยลงกระเป๋า

     

    ร่างสูงค่อยๆลุกจากพื้นก่อนจะเดินไปยืนข้างหลังคนที่ตัวเล็กกว่า แต่ก็ดูเหมือนอีกคนจะไม่สนใจ

     

     

    “แล้วเราจะรอถึงเมื่อไร” ยูคยอมถาม



    วันนี้แทบจะทั้งวันยูคยอมแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งเล่นนอนเล่นในห้องแคบๆของมาร์ค ตอนนี้ก็เริ่มจะบ่ายแต่โจอี้ยังไม่คิดจะออกจากห้อง ตามที่ตกลงกันเขากับโจอี้ต้องไปที่ทิ้งรถเพื่อหาเครื่องรางในซากรถของเจบี แต่ร่างเล็กเพิ่งจะตื่นได้ไม่กี่ชั่วโมง แถมยังไม่อาบน้ำยังอยู่ในชุดนอนเสื้อแขนสั้นสีขาวกับกางเกงบอลขาบานสีน้ำเงิน และที่แปลกตาคือใส่แว่นอันใหญ่จดจ้องสมุดและหนังสือกองโต

     


    “จนกว่าผมจะทำการบ้านเสร็จ” โจอี้บอก อย่างที่บอกถ้าตัดอาชีพปราบผีออก พี่น้องต้วนก็เป็นพวกเข้าข่ายเนิร์ดพวกหนึ่ง


    “เราควรรีบหาของเหมือนที่พี่จินยองบอก” ยูคยอมบอกก่อนนั่งลงเก้าอี้ตรงข้าม จ้องคนตัวเล็กอย่างหงุดหงิด

    “แล้วคิดว่าผมนั่งทำการบ้านแบบใจเย็นรึไง” โจอี้เหลือบมองอีกคนก่อนก้มลงไปทำการบ้านต่อ


    “ก็เห็นๆอยู่” ยูคยอมบอก


    “ผมแค่รอเวลา....ตามสมควร” โจอี้ทำเป็นเมินอีกคนซึ่งนั่นยิ่งทำให้ยูคยอมหงุดหงิด


    “เงยหน้ามาคุยกับฉัน ไอ้เด็กเปี๊ยก!!” ยูคยอมทุบโต๊ะ เขาไม่ชอบเด็กที่ชอบทำท่าอวดดีแบบนี้เลย





    “............”

     




    “โจอี้!

     







    ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

     





    เสียงโทรศัพท์สั่นบนโต๊ะเบนความสนใจจากคนทั้งคู่ ก่อนที่โจอี้จะลุกไปรับโทรศัพท์

     


    “ครับ ลุงควอน” โจอี้กรอกเสียงลงไป

     

    “อ่า ครับ แปบนะครับ” โจอี้เดินกลับมาหยิบเศษกระดาษกับปากกามาจดอะไรยุกยิกเหมือนแผนที่

     

    ยูคยอมได้แต่มองตามพลางขมวดคิ้ว

     

    “ครับ ถ้างั้นแสดงว่าผมเข้าไปได้เลยสินะครับ ขอบคุณครับลุง” โจอี้วางสาย

     


    ยูคยอมยังคงจ้องคนตัวเล็กประจวบกับที่โจอี้เงยหน้าขึ้นมามองสบตาอีกคน ยูคยอมยังคงขมวดคิ้ว โจอี้ก็ยังคงมองอีกฝ่ายพยายามจะตีหน้าให้นิ่งที่สุดถึงในใจจะกลัวๆตั้งแต่มันตะคอกประโยคแรกก็เหอะ

     


    “รถน่ะ พอถูกรับซื้อไปแล้ว หลังจากนั้นสองอาทิตย์ก็จะถูกย้ายไปที่ที่ทิ้งรถอีกที่หนึ่ง” โจอี้พูดก่อนปิดและเก็บหนังสือบนโต๊ะ


    “ผมโทรถามเพื่อนพ่อตั้งแต่เช้าเรื่องที่ทิ้งรถ ส่วนมากเขาจะทำการขนรถไปไว้ในลานทิ้งตอนเช้า เพราะงั้นช่วงเช้าคนเยอะทำงานไม่สะดวก ช่วงบ่ายก็จะมียามเฝ้าข้างหน้าแค่คนเดียว แถมยังเป็นเพื่อนลุงควอน ลุงควอนโทรไปติดต่อให้แล้ว ที่เหลือก็แค่เข้าไปหาของให้เจอก่อนที่ยามคนอื่นมาเปลี่ยนกะ” โจอี้พูดพลางยื่นแผนที่ที่จดคร่าวๆเมื่อกี้ให้ยูคยอม


    “แล้วก็ไม่บอก” ยูคยอมบอกแต่ก็ยังวางฟอร์ม เผลอตะคอกไปซะเยอะ


    “บอกไปอย่างกับจะฟัง” โจอี้อุ้มหนังสือไปเก็บ ยูคยอมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด ไอ้เปี๊ยกขี้ประชดเอ้ย


    “แล้วจะไปรึยัง” ยูคยอมเดินตามอีกคนไป


    “เปลี่ยนชุดก่อน”


    โจอี้พูดจบก็ถอดเสื้อยืดออกมาตรงนั้น เล่นเอายูคยอมที่เดินตามมาถึงกับเหวอ เอาจริงๆโจอี้ไม่ค่อยสนใจหรอก เพราะปกติอยู่กับมาร์ค มาร์คก็เป็นพวกหยิบอะไรได้ก็ใส่ นึกจะถอดตรงไหนก็ถอด โจอี้ก็ไม่ต่างกัน เขาไม่ใช่พวกพิถีพิถันเรื่องการใช้ชีวิตเท่าไร อีกอย่างเขาเองก็ไม่คิดว่าการที่เขาถอดเสื้อจะสามารถดึงดูดสายตาใครได้ หุ่นก็แห้งๆ ผิวก็ซีดๆ แถมมีแผลเป็นจากการต่อสู้ในบางจุดด้วย ไม่เหมือนมาร์คถึงจะผอมแต่ก็ยังมีกล้ามแขนกับซิกแพ็คน้อยๆ เป็นพี่ประสาอะไรเล่นเอาแต่สิ่งดีๆไปหมดเลย



    โจอี้ล่ะเซ็ง!!!!

     

     

    “ฮะ..เฮ้ย..คิดจะถอดก็ถอดรึไงเนี่ย” ยูคยอมถาม

    ยูคยอมเป็นลูกคนเดียวมาทั้งชีวิต ไม่เคยถอดเสื้อผ้าต่อหน้าใครและไม่เคยมีใครมาถอดเสื้อผ้าต่อหน้า แค่เดินตามมาแล้วอีกคนก็ดันถอดโชว์พอดี
    จริงๆก็ไม่ได้อยากจะมองนักหรอกนะ ผู้ชายอะไรวะ เอวก็อย่างเล็ก แล้วนั่นทำไมผิวถึงได้ขาวขนาดนั้น เคยโดนแดดบ้างป่ะไอ้เด็กนี่ ไหนว่าเป็นนักปราบผี ผิวนี่เนียนอย่างกับลูกคุณหนู ติดก็แต่มีรอยแผลเป็นที่ไหล่ซ้าย ตรงเอวก็มีนี่หว่า

    แล้วไหนจะ...

     


    “มะ..มองอะไร” โจอี้ที่หันมาจะเดินไปหยิบตู้ในเสื้อถามเมื่อเห็นอีกคนเอาแต่จ้อง จริงอยู่ที่โจอี้ไม่ซีเรียสเรื่องการถอดเสื้อหน้าคนอื่น แต่แบบว่า......






    มันไม่เคยมีใครจ้องนี่เฟร้ยยยยย!!!!!!




    “อะไร..ใครมอง นายนั่นแหละถอดโชว์เอง” ยูคยอมพูดทั้งที่ข้างในใจก็เต้นรัวที่โดนอีกคนจับได้


    “ผะ..ผมเปล่า...ผมไปเปลี่ยนในห้องน้ำก็ได้” โจอี้ที่หน้าขึ้นสีเล็กน้อยบอกก่อนจะหยิบเสื้อผ้าในตู้แล้วเดินผ่านอีกคนเร็วๆไปที่ห้องน้ำ แต่.......

     





    หมับ!!!

     




    เป็นร่างสูงที่รั้งแขนเล็กเอาไว้พลางยิ้มกวนๆ ตอนแรกก็เขินอยู่นะที่เห็นอีกคนถอดเสื้อ แต่พอเห็นท่าทางอีกคนความรู้สึกอยากแกล้งกลับเข้ามาแทนที่ซะงั้น

     


    “ปะ..ปล่อยสิเว้ย” โจอี้ตะคอกใส่อีกคนพยายามไม่มองหน้า ก็คนมันอายนะครับ


    “เป็นเด็กเป็นเล็กตะคอกผู้ใหญ่ได้ไง มาโว้ยมาวะ เปลี่ยนตรงนี้แหละ เสียเวลา” ยูคยอมแกล้งพลางยิ้มขำ หนุกว่ะหนุก


    “มันเสียเวลาก็ตรงที่พี่จับแขนผมไว้นี่แหละ” โจอี้ที่มือนึงก็เอาเสื้อผ้าปิดท่อนบนตัวเองลวกๆสะบัดแขนอีกคน


    “ขอโทษที่ตะคอกใส่ฉันก่อนสิ” ยูคยอมต่อรอง เสียเวลาสักสองสามนาทีคงไม่เป็นไรหรอกน่า


    “พี่จะปล่อยไม่ปล่อย” โจอี้หยุดแล้วมองอีกคนนิ่งๆ


    “ขอโทษก่อนดิ” ยูคยอมยักคิ้วกวนๆ


    "นับหนึ่ง..." โจอี้พยายามสงบ



    "ขอโทษก่อน"



    "นับสอง"


    ยูคยอมยังคงยิ้มกวนๆให้อีกคน



    “พี่บังคับให้ผมทำแบบนี้เองนะ” พูดจบร่างเล็กก็จัดการจับแขนอีกคนพร้อมบิดแล้วเอาไปไพล่หลังอย่างแรง

     

    “โอ้ยยยยย!!!!! ไอ้เด็กบ้านี่ เจ็บนะเว้ย ปล่อย!!” ยูคยอมที่ตอนนี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบร้องเสียงหลง

     

    “สมน้ำหน้า ใครให้พี่มาแกล้งผมก่อนล่ะ!! นี่แถม!!” โจอี้ปล่อยอีกคนก่อนจะกระทืบลงไปที่เท้ายูคยอมอย่างแรงแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป

     

     

    “ไอ้เด็กแสบเอ้ย..คราวหน้านายโดนแน่” ยูคยอมว่าก่อนจะลงไปนั่งลูบเท้าตัวเอง

     

     

    ..............................................................................
     

    มาร์คที่ได้งีบเต็มอิ่มประมาณสองชั่วโมง ลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างแรง ก่อนจะเริ่มสำรวจรอบบ้านบ้าง ร่างสูงเดินไปเรื่อยๆตั้งใจมองหาแบมแบม แต่ก็ไร้วี่แววของอีกคนที่ชั้นล่างของบ้าน


    “แบมแบม” มาร์คตัดสินใจตะโกนเรียกหาอีกคน

    .

    .
     

    “แบมแบมครับ” มาร์คเรียกอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

     .

    .

    “แบม...”

     

    “มีอะไรเหรอครับ” ร่างเล็กโผล่มาตรงบันไดถามรุ่นพี่


    แบมแบมกำลังหาของอยู่ในห้องของเจบีแต่ได้ยินเสียงคนเรียกก็เลยลงมาดูก็เห็นว่ามาร์คตื่นแล้ว


    “แบมหาข้างบนเหรอ” มาร์คเดินมาหาอีกคนพร้อมกับถาม


    “ครับ แต่พี่มาร์คครับ แบมสงสัยว่าแบบไหนถึงจะเรียกว่าเครื่องรางน่ะครับ แบมแยกไม่เห็นออกเลย” แบมแบมเดินหน้ายู่มาหามาร์คในมือถือของมาสองอย่าง อันนึงเป็นเหมือนตุ๊กตาดินเผา อีกอันเป็นเหมือนป้ายเครื่องรางเล็กๆ


    “ไหนดูซิ” มาร์คยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกคนอย่างเนียนๆอีกแล้ว แต่คราวนี้ร่างเล็กเหมือนจะรู้ทันเลยถอยออกมาเล็กน้อย


    “พี่ไม่ต้องยื่นหน้ามาใกล้ขนาดนั้นก็ได้ครับ ของอยู่ในมือไม่ได้อยู่บนหน้าแบม”  แบมแบมบอกก่อนยื่นของไปสุดแขนให้มาร์คดู ถ้ามาร์คไม่พูดแบบนั้น ร่างเล็กก็คงจะไม่ระแวงขนาดนี้หรอก
     

    “โทษที สงสัยพี่จะสายตาสั้น” มาร์คบอกยิ้มๆ เอาจริงๆนะ มาร์คก็ไม่เคยจีบใครหรอก คือคนมันโลกส่วนตัวสูงไง เพิ่งจะมีแบมแบมคนแรกนี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกชอบขึ้นมาได้ อีกอย่างมาร์คก็ไม่ชอบอะไรที่มันคลุมเครือ บอกกันโต้งๆนี่แหละ ชีวิตกูก็เสี่ยงเหลือเกิน ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง อย่าทำให้ยุ่งยากเลย

    “แบมไม่หลงกลพี่หรอก รีบๆดูให้แบมสิครับ” บอกตรงๆตอนแรกก็แอบใจเต้นเหมือนกันนะ ที่คนอย่างมาร์คมาบอกว่าจะจีบน่ะ แต่แบมแบมเชื่อว่าพี่มาร์คเองก็คงไม่ต่างจากหนุ่มคนดังในมหาลัยคนอื่นๆที่จีบคนนู้นคนนี้ไปทั่ว อารมณ์แบบเช็คเรตติ้งไง คนบ้าที่ไหนถ้าไม่มั่นหน้าตัวเองมากคงไม่พูดออกมาหรอกว่าจะจีบนะ


    “อืม..พี่ว่ามันไม่ใช่ทั้งคู่นะ แบมลองหาอะไรที่เป็นแบบตุ๊กตาวูดูจะทำจากด้ายหรือจากฟางก็ได้ หรือพวกหน้ากากไม้หน้าตาประหลาดๆก็ได้” มาร์คบอกเมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงพลังงานที่ควรจะมีตามสัญชาตญาณตัวเอง

    “เฮ้อ..แบมไม่รู้จะหายังไงแล้ว ยากจัง” แบมแบมพูดพร้อมกับทรุดลงไปนั่งบนพื้น


    “อะไร แค่นี้ท้อซะละ พี่ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ต้อง ใครที่ดื้ออยากจะช่วยเองฮะ” มาร์คบอกก่อนจะเลิกคิ้วถามอีกคน


    “ใครบอกว่าแบมท้อ แบมไปหาต่อดีกว่า ขี้เกียจเถียง” แบมแบมลุกขึ้นพรวดพราด


    “พี่ว่าหากันสองคนน่าจะเร็วกว่านะ”


    “แยกกันหาก็ดีแล้วนะครับ”


    “ถึงแยกกันหาแบมก็ต้องเอามาให้พี่ช่วยดูอยู่ดีนั่นแหละ” มาร์คว่าก่อนเดินไปหาคนตัวเล็กกว่าพร้อมกับเกาะไหล่สองข้างของอีกคนเหมือนเด็กที่ชอบเล่นรถไฟ


    “แค่ช่วยกันหาไม่ต้องจับก็ได้นะครับ” แบมแบมปัดมืออีกคนออกจากไหล่


    “ทำไมดุอย่างงี้เนี่ย ตอนเด็กๆไอ้เจบีมันให้กินอะไรนะ” มาร์คยังคงเล่นต่อไป


    “พี่มาร์ค!!” แบมแบมเริ่มเสียงดังใส่อีกคน จริงจังหน่อยได้ป่ะล่ะ


    “โอเคๆ ทำงานครับทำงาน แบมนำเลย” มาร์คยิ้มก่อนจะผายมือไปที่บันได ร่างเล็กก็ออกเดินทันที

     

    มาร์คเดินตามแบมแบมขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ข้างบนนี้น่าจะมีห้องสักสามสี่ห้องได้มั้ง ถึงจะรู้แต่แรกแล้วว่าบ้านใหญ่แต่ยิ่งมาสำรวจแบบนี้ยิ่งรู้สึกเลยว่าใหญ่มากๆ คือบ้านมาร์คก็ไม่ได้เล็กนะ หมายถึงบ้านที่เป็นบ้านจริงๆที่ไต้หวัน ก็สองชั้นเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าของเยอะหรืออะไรมันไม่ได้ดูกว้างขวางแบบนี้  เขากับโจอี้ก็ยังต้องแชร์ห้องร่วมกันอยู่ดี แบมแบมพามาร์คมาหยุดที่ห้องห้องหนึ่ง หน้าประตูไม้ธรรมดาสีเข้ม
     

     

    “เริ่มจากห้องพี่บีมั้ยครับ” ร่างเล็กหันมาถามอีกคนที่เดินตามมาร์คพยักหน้ารับน้อยๆ

     

    ห้องเจบีเป็นห้องสไตล์ไมเดิร์นหน่อยข้าวของเครื่องใช้จะเป็นในโทนสีน้ำเงินแทบทั้งหมด อาจจะไม่ใช่ห้องที่ใหญ่มากแต่ถ้าเทียบการใช้งานที่ใช้เป็นแค่ห้องนอนของเด็กมหาลัยคนหนึ่งก็ถือว่าใหญ่พอสมควร มีโซนที่เป็นชั้นหนังสือและโต๊ะทำงานกับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค มีตู้และชั้นเสื้อผ้าที่เป็นระเบียบ และมีห้องน้ำที่ดูจะเป็นตัวเชื่อมกับห้องนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งถ้าให้เดาก็คงเป็นห้องนอนของแบมแบม มาร์คตรงไปสำรวจบริเวณใต้เตียงก่อน เขานำไฟฉายพกอันเล็กๆมาด้วยก่อนจะใช้มันส่องสำรวจบริเวณนั้น

     

    “ต้องหาใต้เตียงด้วยเหรอครับ” แบมแบมถาม

    “อืม พวกใต้โต๊ะใต้เตียงนี่ตัวดีเลย ลองคิดดูว่าถ้าแบมอยากซ่อนอะไรให้ไม่มีใครหาเจอแบมจะซ่อนไว้ตรงไหน ถ้าคิดแบบนั้นได้เราก็จะไม่พลาดนะ”

     

    แบมแบมพยักหน้าเล็กน้อย นี่สินะที่เขาบอกว่าเป็นมืออาชีพ

     




    “ทำไมพี่มาร์คถึงมาทำงานนี้ล่ะครับ” แบมแบมถามขณะที่ตัวเองรับผิดชอบในการหาบริเวณตู้เสื้อผ้า


    “ธุรกิจครอบครัวน่ะ” มาร์คตอบก่อนจะย้ายไปที่โต๊ะทำงาน


    “หมายความว่า พ่อกับแม่พี่ก็..”


    “ก็ทำ แต่ตอนนี้เลิกแล้ว พ่อพี่ปวดหลังเรื้อรังน่ะ ให้บู๊มากๆคงไม่ไหว” มาร์คพูดติดตลก


    “งานเสี่ยงแบบนี้ พี่ไม่กลัวบ้างเหรอครับ”


    “ก็..มีบ้างน่ะ จะให้ตอบว่าไม่เลยก็คงไม่ใช่” มาร์คตอบก่อนจะเริ่มรื้อของบนโต๊ะ


    “แย่สุดที่พี่เคยเจอคืออะไรครับ” แบมแบมถาม ใจหนึ่งคืออยากรู้เรื่องของมาร์คบ้าง อีกใจหนึ่งก็แค่ไม่อยากให้ห้องมันเงียบ


    “อ่า........ตอนที่รับงานคนเดียวครั้งแรกมั้ง ตอนนั้นพี่อายุ 15.....” มาร์คพูดไปพลางนึกไป สิบห้านี่เด็กมากนะครับพี่


    “...เป็นวิญญาณในห้องใต้ดินของบ้านหลังนึง คือบ้านน่ะใหม่นะแต่เหมือนไปทับที่อะไรประมาณนั้น....” มาร์คพูดพลางเปิดลิ้นชักโต๊ะ แบมแบมก็รอฟังเงียบๆ
     

    “ตอนนั้นพี่เข้าไปตอนช่วงเย็นๆ หลังเลิกเรียน เจ้าของบ้านดูไม่เชื่อมือพี่เท่าไรแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทำไงได้ก็พ่อพี่บอกว่างานง่ายๆ พี่ไปคนเดียวก็พอ ร้ายกาจมั้ยล่ะ ฮะๆ” มาร์คว่าขำๆ ในใจก็นึกถึงหน้าพ่อตัวเองไปด้วย
     

    “พี่ไปทั้งชุดนักเรียนเหรอครับ” แบมแบมถาม ตลกดีแฮะ


    “อืม..ตอนเดินเข้าไป ห้องมันมืดแล้วก็เย็นมาก พี่มองไม่เห็นอะไรเลย ตัวสั่นไปหมด ไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อน หูอื้อ ประสาทสัมผัสทุกอย่างที่ฝึกมาเหมือนด้านชา พี่.....กลัวมากๆเลย” แหงล่ะ เด็กอายุสิบห้านะ ตอนแบมแบมสิบห้านี่ยังไม่กล้าออกนอกบ้านคนเดียวเลย

    “ตอนวิญญาณนั้นปรากฏ พี่ยิงมั่วมาก ไม่โดนสักเป้า กากมากตอนนั้น ตอนโดนพุ่งใส่ทีเหมือนมีอะไรมากระแทกแต่ไม่เจ็บ โดนหลายๆรอบเข้ามันรู้สึกอึดอัดเหมือนจะตายซะให้ได้ แต่สุดท้ายพี่ก็ยิงมันได้ตอนที่กำลังจะโดนอัดรอบสุดท้าย จบเกม แขนหักด้วยตอนนั้น ได้ผ่าใส่เหล็กด้วย” มาร์คพูดก่อนจะโชว์รอยผ่าแขนซ้ายให้อีกคนดู


    “อ่า.....อันตรายจังนะครับ” แบมแบมบอก มือยังรื้อตู้ต่อไป นี่มันแทบจะเรียกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงเลยนะ ทำไมพี่มาร์คถึงได้พูดได้เล่าเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา

     

    “ก็ประมาณนั้นแหละ นี่เบาๆนะ พ่อกับแม่พี่เคยหายไปจากบ้านเกือบสองเดือน ทิ้งพี่กับโจอี้อยู่บ้านสองคน ตอนนั้น.....พี่ยังอยู่ประถมอยู่เลย พ่อก็ไม่บอกว่าจะกลับมาเมื่อไรแล้วก็....ไม่ติดต่อมาเลย....." มาร์คว่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนพยายามนึกเรื่องราว แบมแบมหันไปตั้งใจฟังอีกคนที่พยายามจะเล่า


    "ตอนเดือนแรกผ่านไปพี่เกือบปักใจเชื่อแล้วว่าพ่อกับแม่อาจจะไม่กลับมา......" มาร์คพูดน้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด


    "แต่สุดท้ายก็ปลอดภัยทั้งคู่ แผลนี่เต็มตัวเลย” มาร์คว่ายิ้มๆเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่จริงๆแล้วเหตุการณ์เหล่านั้นมันสร้างความกลัวให้กับมาร์คมาตลอด กลัวการสูญเสีย กลัวว่าวันหนึ่งเขาจะไม่มีครอบครัวที่เขารัก

     

    มาร์คแบกรับทุกอย่างในฐานะพี่คนโต มาร์คเริ่มทำความรู้จักกับเครื่องรางต่างๆตอนสามขวบพร้อมๆกับจินยอง เขาจับปืนครั้งแรกตอนอายุห้าขวบ มาร์คเริ่มถูกทิ้งให้อยู่บ้านเพียงลำพังกับโจอี้เมื่อเขาอายุได้เจ็ดขวบ มาร์ครู้แค่ว่าพ่อกับแม่มักจะไปทำงานแต่ทุกครั้งที่พวกท่านไปทำงานท่านไม่เคยบอกว่าจะกลับมาเมื่อไร ทุกครั้งที่โจอี้งอแงหรือร้องหาพ่อกับแม่ มาร์คจะพูดแค่ว่า เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็มา

    หน้าที่ของมาร์คในวัยเด็กมีแค่การปกป้องโจอี้ ปกป้องบ้านในเวลาที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ ตอนเด็กๆมาร์คไม่เคยเข้าใจว่า ทำไมพ่อกับแม่ต้องทิ้งเขาไว้กับน้อง ทำไมถึงไม่ไปรับส่งเขาที่โรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทำไมมาร์คต้องใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ไปกับการท่องบทสวด การฝึกยิงปืน การใช้อาวุธ จนเมื่อเขาเริ่มโตเขาจึงเริ่มซึมซับสิ่งเหล่านั้นทีละเล็กทีละน้อย ถึงมันจะทำให้มาร์คแข็งแกร่งขึ้นมากแต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้มาร์ครู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยวด้วยเช่นกัน


    .

    .

    .
     

    “พี่เคยคิดจะเลิกมั้ยครับ” แบมแบมเริ่มหาของอีกครั้ง

     

    “ตอนนี้ยัง แต่.......” มาร์คเว้นช่วงก่อนจะหันไปมองแบมแบม

     .

    .

    .

     

    “ถ้าแบมแบมบอกให้พี่เลิก...พี่จะกลับไปคิดดู” มาร์คว่าต่อก่อนจะยิ้มกว้าง

     

    “แล้วแบมไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะครับ”

     

    “ก็พี่กลัวแบมเป็นห่วงพี่ไง...โอ้ย!!” มาร์คร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆก็มีหนังสือจากไหนไม่รู้ปาใส่หลังตัวเอง

     

    “แบม ปาทำไมเนี่ย พี่เจ็บนะ” มาร์คพูดต่อเมื่อหันไปเห็นอีกคนที่ยังแกล้งหาของทำตัวไม่รู้ไม่ชี้


    “แบมก็แสดงให้พี่เห็นไงครับ ว่าแบมไม่ได้ห่วงพี่เลยสักนิดเดียว” แบมแบมว่า โกหกไปงั้น ไอ้ห่วงอ่ะใช่แต่หมั่นไส้อ่ะยิ่งกว่า

     

    “แบมไม่เคลิ้มไปกับพี่หรอกครับ” แบมแบมบอกก่อนย้ายตัวไปที่ชั้นวางของหน้ามุ่ยๆ

     

    ร่างสูงยิ้มขำกับท่าทางของอีกคนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหยิบหนังสือที่ร่างเล็กปาใส่ขึ้นมาเปิดดู

     

     .

    .

    .

     

    “ แบม อันนี้รูปใครอ่ะ” มาร์คเปลี่ยนเรื่องเมื่อหยิบสิ่งที่ร่างเล็กปามาขึ้นมาแล้วพบว่ามันเป็นอัลบั้มรูปต่างหาก

     

    “ไหนครับ” ร่างเล็กเดินมานั่งข้างมาร์ค

     

    “เนี่ย เด็กสูงๆเนี่ย” มาร์คชี้ไปที่รูปที่เป็นเด็กผู้ชายสามคนยืนเรียงกัน คนกลางตัวโตสุดตาหรี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันยื่นนิดๆชัดเจน ไอ้ผีเจบีชัวร์ คนทางซ้ายของรูปดูจะตัวเล็กสุดยืนดูดนิ้วทั้งที่โดนพี่ชายกอดคอซะแน่น ตาแป๋วๆนั้นเดาว่าน่าจะเป็นแบมแบม แต่ไอ้อีกคนทางขวาที่เจบีกอดคอยืนทำหน้าอึนมึนๆแถมสูงเกือบเท่าเจบี หน้าคุ้นๆอยู่นะ


    “ยูคยอมไงครับ เพื่อนแบมอ่ะ จำไม่ได้เหรอ” อ๋อ ไอ้เด็กที่กระซิบกระซาบกับโจอี้นี่เอง หน้าตากวนตีนชิบ นี่ไม่ได้อคตินะ สาบาน

    “แล้วนี่.....อาแดเนียล?” มาร์คถามเมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่ดูคุ้นหน้าเพียงแต่เด็กกว่าในรูปที่เขาเปิดถัดมา


    “ใช่ครับ อาแดเนียลเป็นอาแท้ๆของยูคยอมน่ะครับ” แบมแบมบอกเพราะในรูปแดเนียลกำลังอุ้มเด็กชายหน้าอึนยืนคู่กับหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่อุ้มแบมแบม


    “แล้วผู้หญิงคนนี้” มาร์คชี้ไปที่สาวสวยคนนั้น


    “แฟนเก่าอาแดเนียลน่ะครับ คุณอาจีซู” แบมแบมบอกหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

    “อ่า....แล้วแฟนปัจจุบันล่ะ” มาร์คสงสัย คือถ้าจะเลิกกับคนสวยขนาดนี้ คนใหม่นี่คงระดับนางงามหรือไม่ก็นิสัยดีประหนึ่งแม่ชีเทเรซ่า 

    “ไม่มีหรอกครับ อาเองก็ไม่เคยพูดถึง”


    “ไม่ใช่รีเทิร์นเหรอ” มาร์คพูดพลางพลิกรูปไปเรื่อย รูปคู่ดูหวานมาก เหมาะกันหยั่งกับกิ่งทองใบหยก คือเอามาทำพรีเวดดิ้งยังได้


    “แบมเคยถาม แต่อาบอกว่า อาไม่เจอคุณอาจีซูตั้งแต่เลิกกันแล้วครับ ไม่แม้แต่จะได้ข่าวคราว” แบมแบมเอ่ยชื่อถึงหญิงสาวผู้เคยมีตำแหน่งว่าที่อาสะใภ้ของแบมแบมมาแล้ว


    จริงๆมาร์คก็ไม่ใช่คนที่ขี้เสือ_กนะ แต่คือตั้งแต่วันนั้นมาร์คก็ยังติดใจเรื่องแหวนของแดเนียลอยู่ เพราะงั้นการจะสืบข้อมูลของผู้ชายคนนั้นบ้างก็ไม่เสียหาย


    “แบมแบมดูสนิทกับอาจีซูนะ” มาร์คชี้รูปที่แบมแบมวิ่งเล่นกับคุณอาสาว


    “ตอนเด็กๆก็ใช่ครับ แต่ตอนโตก็เหมือนห่างๆ แต่ก็แอบคิดถึงนะ” แบมแบมยิ้ม


    "เอ๊ะ....." มาร์คหยุดมองรูปถ่ายระยะใกล้ใบหนึ่ง รูปของคุณอาสาวที่สวมแหวน คือไม่รู้ว่าอาจเพราะรูปมันเก่าด้วยรึป่าวแต่แหวนที่เธอใส่มันดันเป็นสีขาวซะนี่ และไม่รู้ว่ามาร์คพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวไปมั่วตั้วรึป่าวมันถึงได้รู้สึกว่าแหวนนั่นเหมือนแหวนที่แดเนียลใส่ ณ ปัจจุบัน

    "มีอะไรเหรอครับ" แบมแบมถามพลางชะโงกดูรูป

    "ปะ..เปล่าน่ะ ว่าแต่คุณอาสองคนนี้เคย....เอ่อ......หมั้นกันมั้ย" มาร์คถาม

    "ไม่นะครับ เลิกกันก่อน ทำไมเหรอครับ"

    "เปล่าหรอก...พี่ว่าเขาดูเหมาะกันดี" มาร์คบ่ายเบี่ยง ใครจะกล้าบอกในเมื่อแดเนียลก็เป็นอาของแบมแบม แถมสนิทกันอย่างกับอาหลานแท้ๆ

    .

    .

    .


    “แล้วพี่มาร์คทำไมใจเย็นมาพาแบมนั่งดูรูปล่ะครับ” ร่างเล็กแขวะพร้อมฟาดมือไปที่ไหล่อีกคนเบาๆ


    “อะไร พี่นั่งเก็บข้อมูลนะแบม ทีเมื่อกี้แบมเก็บข้อมูลพี่ไปตั้งเยอะ” นั่งดูรูปไปแล้วยิ้มไปเนี่ยนะเก็บข้อมูล


    “เอาไปดูที่บ้านเลยมั้ยครับ”แบมแบมประชด


    “แบมแบมถ่ายรูปเยอะมากเลยตอนเด็กๆ พี่ชอบดู” มาร์คพลิกไปพลิกมา คือมันน่ารักจริงๆนะ ให้ตายเหอะ อยากมีลูกแบบนี้ต้องทำไง หาแม่หน้าตาแบบนี้ใช่มั้ย


    “อย่างกับตอนเด็กๆพี่ไม่มีถ่ายเก็บอย่างนั้นแหละ”


    “ก็ไม่มีน่ะสิ” มาร์คตอบเสียงเรียบ แต่คนฟังถึงกับอึ้ง ไม่มีจริงอ่ะ


    “จริงๆก็มีนะ แต่น้อยน่ะ พ่อแม่พี่ไม่ค่อยอยู่บ้านน่ะ” มาร์คบอกถึงน้ำเสียงจะไม่ได้รู้สึกอะไรแต่แบมแบมก็จับความเหงาในประโยคนั้นได้


    “พี่ย้ายบ้านบ่อยด้วย แถมบางรูปก็โดนเผาอีก" มาร์คบอกทำให้แบมแบมหันมาตั้งใจฟังอีกครั้ง


    "ตอนเด็กๆบ้านพี่เคยไฟไหม้น่ะ แบบว่าผลพวงจากการล่าผีนั่นแหละ....." มาร์คพูดต่อ หันไปมองแบมแบมที่ยังจ้องตาแป๋ว


    "ยังไงล่ะ คือวันนั้น....”


    “พอเถอะครับ”  แบมแบมสวนขัดมาร์ค


    มาร์คเงียบก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายงงๆ


    “ถ้าพี่ไม่อยากนึกถึง พี่ไม่ต้องเล่าหรอกครับ” แบมแบมจ้องหน้ามาร์คด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงอีกคน


    .

    .

    .

    “อ่า..............เฮ้อออ.....โดนจับได้ซะละ” มาร์คพูดติดตลกเพื่อกลบเกลื่อนก่อนจะลุกขึ้นเดินเอาอัลบัมไปเก็บที่ชั้นที่แบมแบมโยนมาพร้อมนั่งลงข้างร่างเล็ก


    “พี่มาร์ค..แบม...” ร่างเล็กพยายามจะเอ่ยขอโทษ เขารู้สึกผิดที่ทำให้มาร์คต้องนึกถึงอดีตแย่ๆ


    “พี่ไม่ได้อ่อนไหวขนาดนั้นซะหน่อย” มาร์คลูบหัวแบมแบม ก็แหม ทำหน้าซะอย่างกับเป็นเรื่องตัวเอง


    “แต่เสียงพี่มาร์คมันดูเจ็บปวดนิ่ครับ เวลาที่พี่เล่าน่ะ” แบมแบมจ้องหน้ามาร์คซึ่งมาร์คเองก็ไม่ได้หลบหน้าแถมยังลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเพลินๆ

    ถึงมาร์คจะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่น้ำเสียงที่จับได้มันก็บอกได้ชัดเลยว่ามาร์ครู้สึกยังไงเวลาเล่าเรื่องในอดีต




    “แบมแบม” มาร์คเรียกอีกคนเสียงแผ่วพร้อมเลื่อนหน้ามาหาอีกคนช้าๆ


    “คะ..ครับ” แบมแบมตอบตอนนี้หน้าของทั้งคู่ก็ใกล้กันพอสมควร ใบหน้าหวานเริ่มขึ้นสีหน่อยๆ อุณหภูมิบนใบหน้ารู้สึกจะสูงกว่าปกตินะ

     









    “เคลิ้มแล้วดิ่” มาร์คยิ้มพลางยกคิ้วกวนๆ

     


    ป้าบ!!!!!!!

     

    อัลบัมรูปอันเดิมกระแทกเข้าที่หน้าหล่อๆอย่างจังด้วยฝีมือของคนตัวเล็กกว่า ก่อนที่คนตัวเล็กจะลุกกระแทกเท้าปึงปังไปอยู่อีกฟากของห้อง
     

     





    ไอ้พี่มาร์ค!!!! ต่อไปนี้จะไม่เชื่ออะไรอีกแล้ว!! แบมแบมจะฟ้องพี่บี!!!!!!!

     

     

    .............................................................................................................

     


    “เบื่อ” เสียงเรียบจากคุณผีโปร่งแสงหาได้ทำลายสมาธิจินยองในการอ่านกระทู้ในจอคอมพิวเตอร์ได้ไม่ 

    .

    .

    .

    “เบื่อมาก” เจบียังย้ำ จินยองปรายตามาเล็กน้อยก่อนจะหันมามองเจบีเต็มตัว


    “อะไรของคุณ” จินยองถาม


    “ผมพูดออกจะชัดว่าผมเบื่อ คุณให้ผมนั่งรอเฉยๆ แถมปล่อยให้ไอ้มาร์คไปกับน้องผมสองคนน่ะนะ” คุณผีขี้หวงเอ่ยอย่างหงุดหงิด


    “นี่คุณ ช่วยพูดถึงเพื่อนผมดีๆหน่อย” จินยองแขวะให้


    “ปกป้องจังนะ” เจบีแขวะกลับ พาดพิงไม่ได้เลยนะ


    “ก็เพื่อนผมเป็นคนดี ไม่ได้เหมือนคุณนิ่” จินยองบ่น


    แต่ก่อนเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องเจบีมากนักหรอก แต่พอรู้จัก พอสืบข้อมูลอีกฝ่าย (คือติดนิสัยมาจากเพื่อนมาร์คไง) ก็ได้คำตอบมาว่า อิม แจบอม ชื่อเสียงร้ายกาจ จีบสาวไปเรื่อย เดทคนโน้น คนนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่คบใครจริงจังสักคน หล่อเหรอวะ น่าหมั่นไส้ว่ะ


    “ผมทำไม?” เจบีหันไปมองจินยอง


    “ใครๆก็พูดว่าคุณมันพวกจีบดะ” จินยองบอกต่อ

    “แล้วคุณเชื่อข่าวลือ?” เจบีเลื่อนตัวมาหาจินยอง


    “ผมไม่รู้ ผมแค่พูดตามที่ได้ยิน” อันนี้ก็ไม่ได้สืบจากไหน ก็ไอ้พวกกลุ่มเพื่อนสาวทั้งหลายในคณะเขานั่นแหละ มีหนุ่มฮอตขอให้บอก แม่นางพวกนั้นสืบหมด เก่งกว่าปาปารัซซี่และนักข่าวสายบันเทิง
     

    “ผมแค่เปิดโอกาสให้ตัวเอง ถ้าคุยกับใครแล้วคลิกผมก็สานต่อ แต่ถ้าคุยแล้วมันไม่ใช่ผมก็เลิก แล้วอีกอย่างที่ผ่านมาผมไม่เคยเริ่มก่อน” มั่นได้อีก จินยองได้ฟังคำตอบถึงกับกลอกตา


    “มั่นหน้าไปอีก” จินยองประชดหน่ายๆ


    “ผมพูดเรื่องจริง” เจบีตอบ จะว่าเนื้อหอมมั้ย เจบีก็ไม่อยากจะคิดอย่างนั้นหรอก แต่อาจเพราะเป็นคนที่คนรู้จักเยอะ เลยได้มีคนเข้ามาคุยด้วยเยอะ เขาเองก็เป็นคนอัธยาศัยดีพอตัว ถ้ามีคนมาคุยด้วยเขาก็จะคุย แต่ไม่เคยเลยนะที่จะเดินไปขอเบอร์หรือแอดไลน์ใคร


    “แล้วคลิกใครบ้างมั้ยล่ะ” จินยองประชดก่อนเดินมาล้มตัวนอนที่เตียง


    “ยังอ่ะ คลิกสุดก็....คุณมั้ง” เจบีบอกแกล้งๆแต่อีกฝ่ายหาได้หวั่นไหวไม่ ไม่ได้ตั้งใจจะหยอดแต่ชอบดูเวลาจินยองหน้าบึ้ง อิม แจบอมเหมือนพวกโรคจิตอ่ะ

    “ประสาท” จินยองขว้างหมอนทะลุผ่านเจบีที่ยิ้มร่า


    “นี่คุณ ทำตัวให้มันน่ารักสมกับหน้าตาหน่อยได้มั้ย” เจบีล้มตัวนอนตามจินยอง


    “จำเป็นด้วยรึไง”


    “แล้วคุณล่ะ มีแฟนป่ะ” เจบีถามอีกคน


    “ทำไมคุณชอบถามเรื่องผมจัง” จินยองนอนตะแคงข้างหลับตา


    “ทีคุณยังรู้เรื่องผมเลย”


    “อันนั้นคุณเล่าเองเหอะผมไม่ได้ถาม อย่ามั่ว”


    “ถึงคุณไม่ถาม คุณก็ไปสืบจากที่อื่นอยู่ดี แถมยังเชื่อข่าวลือผิดๆอีก” เจบีย้อนอีกคน


    “ผมไม่ได้สืบ ผมแค่บังเอิญได้ยิน” จินยองแก้ตัว 

    “เอาเหอะ คุณพ่อมดปากแข็ง สรุปจะตอบคำถามผมได้ยัง” เจบีวกกลับคำถามเดิม


    “คำถามอะไร” จินยองลืมตามาถามเจบีแปบนึงก่อนจะหลับลงเหมือนเดิม

    “มีแฟนป่ะ” เจบีถาม นี่ไม่ได้หวังคำตอบอะไรนะ อยากรู้เฉยๆ


    “ไม่มี ไม่เคยมีและไม่คิดจะมี พอใจยัง” จินยองตอบส่งๆตัดรำคาญอีกคนไป


    “ทำไมล่ะ”


    “ยุ่งยาก แค่นี้ชีวิตผมก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว จะให้มาคอยเทคแคร์คนอีกอ่ะนะ ฝันไปเหอะ” จินยองว่าแต่ยังไม่ลืมตา


    “คุณก็ไม่เห็นต้องเทค แค่ทำตัวน่ารักๆให้คนอื่นเทคก็ได้”


    “นั่นยิ่งยุ่งยากกว่าเก่าอีก”


    “ไม่เคยมีเลยเหรอ แฟนน่ะ ถ้างั้น..........คุณก็ยังซิงดิ” เจบีได้ใจก็ยิ่งแหย่อีกคนเล่น


    “ทะลึ่ง!!” จินยองหันมาถลึงตาใส่คุณผีทีนึงก่อนจะหันกลับไปนอนต่อ พยายามซ่อนใบหน้าแดงแปร๊ด


    “ทะลึ่งอะไร ผมหมายถึงจูบ คุณคิดไปถึงไหนเนี่ย” เจบีกลั้นขำกับท่าทางของอีกคน ตอนอยู่ในพิธีทำเป็นเก่ง ทีเรื่องแบบนี้กลายเป็นเด็กน้อยไปเลย


    “ผมไม่คุยแล้ว คุณเองก็เงียบได้แล้ว ผมจะนอน แล้วอย่าคิดหนี ผมกางเขตแดนไว้ทั่วห้องแล้ว คุณไปไหนไม่ได้หรอก” จินยองบอกก่อนจะเงียบไป




    “นี่คุณ” เจบีเรียก แต่ดูเหมือนจินยองจะไม่สนใจ....ทำเป็นเข้ม อีแบบเนี้ยไม่เคยแน่ๆ




    “จินยอง” เจบียังเรียกต่อแต่อีกฝ่ายไม่ตอบสนอง





    “คุณพ่อมด...”



    เงียบ

     

    “หลับจริงดิ” เจบีที่พยายามเรียกอีกคนต้องยอมแพ้ก่อนจะพลิกตะแคงไปมองอีกคนที่นอนหันหลังให้เขาอยู่ ไม่รู้ว่าง่วงจริงหรือแกล้งหลับกันแน่

     

    เจบีก็ได้แต่นอนมองร่างเล็กอยู่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะทำอะไร ออกไปไหนก็ไม่ได้ ตอนนี้ ปาร์ค จินยองคงกำลังเคลิ้ม ถ้าเขาไปเรียกหรือกวนตีนตอนนี้ได้โดนสวดส่งวิญญาณแน่ กวนตีนวันละนิดถ้ายังรักชีวิตและวิญญาณ

    วันแรกที่วิญญาณออกจากร่างเจบีรู้สึกเหมือนโลกถล่ม แต่พอได้มาเจอกับคนพวกนี้ ไม่ใช่ว่าความกังวลจะหายไปนะ แต่เจบียังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆที่มีคนเหล่านี้ช่วย จริงๆพวกนี้ไม่จำเป็นต้องช่วยเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ที่ซุกหัวนอนกับเขา ไม่จำเป็นต้องพูดเล่นหยอกล้อ หรือเป็นเพื่อนกับเขาด้วยซ้ำ จริงอยู่ว่าเจบีเองก็มีเพื่อนเยอะ แต่ส่วนมากจะรู้จักกันเพราะงาน เพราะการเรียน เพื่อนที่สนิทมากๆก็ไม่มีเพราะเขาเองก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเด็กหอ ที่จะมีรูมเมท มีพวกเพื่อนบ้าๆบอๆไว้เฮฮาด้วยกัน เรียนเสร็จไปสโม ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน แค่นั้น 


    ขณะที่เจบีนอนอยู่ที่เดิมคิดอะไรเพลินๆ อีกคนที่ไม่รู้ว่าละเมอหรือนอนดิ้นกลับพลิกร่างหันหน้ามาประจันกับเขาซะงั้น ร่างสูงถึงกับผงะเล็กน้อย



    !!!!!!!



    ก็ไม่ได้อะไรนะถ้าตอนนี้หน้าของเจบีกับจินยองจะอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ถึงจะสัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย แต่เจบีกลับรู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง ดวงตาที่หลับลง ลมหายใจที่ดูเริ่มสม่ำเสมอ ตอนนี้คนตัวเล็กคงกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ตาเรียวเล็กของเจบีไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่ายได้ จินยองเป็นคนขี้บ่น ขี้โวยวาย จริงจัง ทำอะไรทำจริง ทั้งที่มันไม่ได้เป็นกิริยาที่น่ารักเลยแต่ทำไมเวลาจินยองทำหน้าบูดๆมันถึงได้ดูน่ารักอย่างห้ามไม่ได้


    และคนอย่าง อิม แจบอม เป็นพวกแพ้ของน่ารักๆ


    ไม่งั้นไม่หวงน้องชายขนาดนั้นหรอก


    ยิ่งตอนนี้ใบหน้าหวานที่เคยโวยวายไม่หยุดกลับหลับอย่างสงบยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักขึ้นไปอีก

    เจบีค่อยๆเคลื่อนใบหน้าโปร่งแสงของตนเข้าไปใกล้อีกคนอย่างไม่รู้ว่าทำไมและเพราะอะไร ถึงจะไม่รู้ว่าต้องใกล้แค่ไหน แต่ร่างสูงกลับหลับตาตัวเองเหมือนเป็นกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ ก่อนที่จะเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้.....


    ใกล้จนคิดว่าริมฝีปากของเขาแตะกับอีกคนหนึ่ง


    ถึงจะสัมผัสกายไม่ได้ แต่กลับรู้สึกวาบไปทั้งตัวเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ร่างสูงแตะริมฝีปากอันแผ่วเบาของตัวเองเข้ากับอีกคนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถอนออกมา ร่างเล็กเองก็ยังคงหลับสนิท แหงล่ะ ก็ไม่รู้สึกนี่หว่า


     

    เจบีลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็วเมื่อตั้งสติได้


    เมื่อกี้...


    เขา...


    ลักหลับคุณพ่อมด....!!!!!!



    ชิบหายยยยยยย ถ้าคุณพ่อมดรู้ กูโดนจับยัดหม้อถ่วงน้ำแน่ๆ



    ร่างสูงที่กำลังสับสนในตัวเอง พยายามหาคำตอบกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเมื่อกี้ 


    จูบทำไม  เพราะอะไร  เพราะน่ารัก  ใช่  น่ารัก  แล้วมึงจูบทำมายยยยย มันไม่ใช่เหตุผลเลยครับ ถึงมันจะไม่เหมือนจูบก็เหอะ

     


    เจบีหันไปมองอีกคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง ตาเรียวเพ่งมองริมฝีปากแดงนั่นอีกที แววตารู้สึกผิดฉายอยู่ในดวงตาร่างสูง 

     

     

    อ่า.....เสียดายที่เมื่อกี้ไม่ได้จูบในร่างปกติ

     

     

     

    เดี๋ยว!!


    มันใช่มั้ย!!!!!!!


    มึง!! อิม แจบอม!!!



    มึงโดนคุณพ่อมดทำคุณไสย์ใส่แน่เลยยยยยยยยยยยยย





    ...................................................................................................

    ครบร้อยแล้วนะ จะพยายามอัพให้เร็วนะ แต่แบบบางทีฟิลลิ่งไม่มามันไปต่อไม่ได้ เราวางไว้แต่พลอทไงแต่พอถึงเวลาพิมมันต้องเอามาเชื่อมกันใช่ป่ะล่ะ นั่นล่ะต้องใช้อารมณ์ไง (แกอู้ใช่มั้ยนังไรท์)

    โหย ดีใจมากเลยสำหรับทุกคอมเม้น ตอนแรกเราก็รู้สึกดีแล้วนะที่มีคนอ่านมีคนชอบ เราก็ขอบคุณมากจริงๆ พอมีเม้นท์เราก็มีกำลังใจมากๆๆเลย ขอบคุณมากจริงๆนะคะ

    รักรีดเดอร์ทุกคนจริงๆ

    แต่ทำไมตัวละครใหม่เพิ่มเรื่อยๆ สรุปใครเป็นคนร้ายนะ 5555 ลุ้นเอานะ 



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×