nextstep_10
ดู Blog ทั้งหมด

"ไฮบริด" ชักเก่าไป มีลูกผสมพันธุ์ใหม่เรียก "ไซบริด"

เขียนโดย nextstep_10
Victorian ClothingWestern ClothingHarley Davidson ClothingChildrens ClothingEagles Eye ClothingPlus Size Womens ClothingIndian ClothingWomen ClothingKids ClothingAfrican ClothingTall Womens ClothingHemp ClothingPlus Size Women'S ClothingToddler Dora The Explorer ClothingPetite ClothingFresh Produce ClothingCoast ClothingColumbia ClothingUnder Armour ClothingDiscount ClothingCamo ClothingPeasant ClothingDora The Explorer ClothingOld West ClothingH&m ClothingDiscount Designer ClothingEd Hardy ClothingWomens Plus Size ClothingLadies Sheer ClothingAlternative ClothingChildren'S ClothingLands End Clothing70 S Party ClothingArmy Surplus ClothingWoolrich ClothingGypsy ClothingNative American ClothingPuritan ClothingLadies ClothingWomen'S Plus Size ClothingFetish ClothingBoutique ClothingPersonalized Infant ClothingAffliction ClothingMilitary Surplus ClothingChildrens Boutique ClothingElement ClothingDrop Dead ClothingMango ClothingBoys Clothing
คำว่า “ไฮบริด” เป็นที่รู้จักกันดีว่าหมายถึง ลูกผสม ที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ได้ลูกที่เกิดมามีดีเอ็นเอของพ่อและแม่อย่าง ละครึ่ง เช่น ล่อ เกิดจากการผสมกันระหว่างม้ากับลา แต่เมื่อไม่นานมานี้มีคำศัพท์ใหม่เกิดขึ้นในวงวิชาการอีกแล้ว นั่นคือคำว่า “ไซบริด”
       
       เมื่อต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษได้อนุมัติให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างตัวอ่อนที่เป็นลูกผสม ระหว่างคนกับสัตว์ เช่น กระต่าย หรือ วัว เป็นต้น เพื่อใช้ในการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ได้ ภายใต้การควบคุมของสำนักงานการเจริญพันธุ์มนุษย์และตัวอ่อนวิทยา (Human Fertilisation and Embryology Authority) แต่วิธีการสร้างตัวอ่อนลูกผสมที่ว่านี้ต่างออกไปจากเดิมที่เป็นการผสมระหว่างอสุจิกับไข่ต่างสายพันธุ์ ซึ่งตัวอ่อนที่ได้มีพันธุกรรมที่รับมาจากพ่อและแม่อย่างละครึ่ง ที่เรียกว่า “ไฮบริด” (hybrid)
       

       ส่วน วิธีที่นักวิจัยอังกฤษใช้สร้างตัวอ่อนลูกผสมระหว่างคนกับสัตว์ นั้น ไม่ได้นำเอาอสุจิของสัตว์มาผสมกับไข่ของคน หรือนำอสุจิของคนไปผสมกับไข่ของสัตว์ หากแต่เป็นการนำ ดีเอ็นเอของคนไปหลอมรวมเข้ากับเซลล์ไข่ของสัตว์ที่เอานิวเคลียสออกไปแล้ว คงเหลือแต่ดีเอ็นเอส่วนของไมโตคอนเดรียที่ยังอยู่ในไซโตพลาส
       
       เมื่อ การผสมด้วยวิธีดังกล่าวเจริญเป็นตัวอ่อน จะได้ตัวอ่อนที่มีดีเอ็นเอของคน 99.9% ส่วนอีก 0.1% เป็นดีเอ็นเอของสัตว์ เรียกตัวอ่อนนี้ว่า “ไซบริด” (cybrids) ซึ่งต่างไปจากตัวอ่อนที่เรียกว่า ไฮบริด
       
       ที่ ผ่านมามีนักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการสร้างตัวอ่อนไซบริ ดบ้างแล้ว เช่น ทีมของหุยเจินเซิง (Hui Zhen Sheng) มหาวิทยาลัยเซเคินด์ เมดิคอล เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Second Medical University) ประเทศจีน เคยรายงานผลการวิจัยการสร้างสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนไซบริดระหว่างคนกับกระต่าย และฉีดกลับเข้าไปในกล้ามเนื้อและเซลล์ประสาทได้ในวารสารเซลล์รีเซิร์ช (Cell Reserch) และยังมีตัวอ่อนไซบริดคนกับวัวที่เจริญจนถึงระยะบลาสโตซิสท์ (blastocyst) อีกด้วย
       
       ขณะที่ทีมของบ็อบ ลานซา (Bob Lanza) จากสถาบัน แอดวานซ์ เซลล์ เทคโนโลยี (Advanced Cell Technology) เมืองวอร์เชสเตอร์ (Worcester) มลรัฐแมสซาชูเซ็ตส์ กลับล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง เขาสร้างตัวอ่อนลูกผสมได้ถึงระยะ 16 เซลล์ แล้วหลังจากนั้นตัวอ่อนก็หยุดการเจริญ ลานซาคาดว่าเป็นเพราะสารพันธุกรรมของสัตว์ที่ยังอยู่ในไมโตคอนเดรียไม่ทำงาน ร่วมกับสารพันธุกรรมของมนุษย์ที่ใส่เข้าไป ซึ่งกรณีนี้ย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันสักเท่าใด อย่างกระต่ายกับคน แต่หากมีพันธุกรรมที่ใกล้เคียงกันอย่างวัวกับกระทิง
       
       อย่าง ไรก็ดี การสร้างตัวอ่อนลูกผสมระหว่างคนกับสัตว์ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ยังเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบถึงผลที่จะได้ และความถูกต้องตามหลักจริยธรรมกันต่อไป ซึ่งหากอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ก็อาจมีผลดีมากกว่าเสีย แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายและนโยบายของแต่ละประเทศ

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น